Friday, 9 May 2025
POLITICS NEWS

“บิ๊กตู่” ปัดตอบสถานการณ์ในเมียนมา “ยอมรับ” มีความซับซ้อนหวังกลับมาสงบโดยเร็ว ส่ง “ดอน” ร่วมประชุมผู้นำอาเซียน ที่อินโดนีเซียแทน พร้อมขอความร่วมมือผู้ป่วยโควิด เชื่อฟังหมอ ปัดพูดถึงการย้ายหลานเขยบิ๊กป้อม

ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ถึงการเข้าร่วมประชุมสุดยอดผู้นำสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน)ที่กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซียเป็น ที่เป็นที่จับตาจากหลายประเทศอย่างมาก เนื่องจากพล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของเมียนมา เตรียมเดินทางไปร่วมประชุมด้วย ว่า ตนได้ตัดสินใจ ส่งนายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ  ไปประชุมแทน และทราบว่าหลายประเทศ ก็ส่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไปประชุมแทนเช่นกัน

ผู้สื่อข่าวถามถึงท่าทีรัฐบาลไทยต่อคณะรัฐประหารเมียนมาและ พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย รวมทั้งรัฐบาลไทยจะให้การยอมรับความชอบธรรมต่อรัฐบาลผลัดถิ่น ของเมียนมาที่เพิ่งประกาศตัวไปเมื่อกลางเดือนที่ผ่านมทหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เรื่องของสถานการณ์ในเมียนมานั้นมีความสลับซับซ้อนมาก จึงขออนุญาตไม่ตอบคำถามสื่อมวลชน เพราะเป็นเรื่องที่รัฐบาลดำเนินการอยู่ในหลายช่องทางด้วยกัน และคิดว่าทำอย่างไรจะให้เกิดความสงบโดยเร็วในฐานะที่เราเป็นอาเซียนด้วยกัน

นอกจากนี้ยังกล่าวถึงกรณีผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด-19 ไม่ให้ความร่วมมือกับแพทย์ทั้งเรื่องการปฏิบัติตนในช่วงการรักษา และเข้ารับการรักษาโดยเลือกสถานที่เข้ารับการรักษาโดยไม่ขอไปอยู่ที่โรงพยาบาลสนาม ว่า ก็ขอความร่วมมือผู้ป่วยทุกคนด้วยเมื่อถามถึงกรณีการสั่งย้าย พ.ต.อ.ดวงโชติ สุวรรณจรัส ผกก.สน.ทองหล่อ  ซึ่งถือเป็นหลานเขยพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี จะกระทบภาพรวมหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า “แล้วย้ายไหมละ”

นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ โฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวถึงนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภาฯ ว่า...

นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ โฆษกพรรคก้าวไกล ซึ่งเข้ารับวัคซีนไปแล้วเมื่อ 16 เม.ย. ที่ผ่านมา กล่าวถึงกรณีนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ให้สัมภาษณ์ว่ารอให้บุคลากรทางการแพทย์ฉีดวัคซีนให้ครบก่อนทุกคน ซึ่งตนก็ได้สอบถามไปว่าเขาจะได้ฉีดกันเมื่อไร เขาก็บอกว่า ภายใน 1-2 สัปดาห์นี้ ไม่เช่นนั้นจะหาว่านักการเมืองเอาไปก่อน ขณะที่บุคลากรผู้เสี่ยงต่อการติดเชื้อยังไม่ได้ฉีด ตนจึงรอให้เขาเรียบร้อยก่อน นั้น

นายวิโรจน์ กล่าวว่า แม้ประธานชวนจะมีสปิริตสูง แต่ต้องยอมรับความจริงว่า นายชวนเป็นประชาชนกลุ่มเป้าหมายกลุ่มแรกที่ทางกระทรวงสาธารณสุขเชิญชวนให้ไปฉีด นั่นคือผู้ที่อายุสูงกว่า 60 ปี หรือที่เรียกว่าผู้สูงอายุ เนื่องจากเป็นกลุ่มที่หากมีการติดเชื้อแล้วอาจมีอาการรุนแรง จนมีความเสี่ยงในการเสียชีวิตมากกว่ากลุ่มประชากรที่มีอายุน้อย ไม่นับว่าในฐานะประธานชวนที่เป็นผู้แทนราษฎร ต้องพบปะกับพี่น้องประชาชนเป็นจำนวนมาก ต้องเข้าร่วมประชุมกับผู้แทนราษฎรอีกหลายร้อยคน

จึงเป็นที่มาของการที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดให้รัฐมนตรี และผู้แทนราษฎรทั้งหลายเป็นเป้าหมายของการฉีดด้วย เนื่องจากหากติดเชื้อไปก็จะไปแพร่กระจายให้คนใกล้เคียงอีกเป็นจำนวนมาก ดังเช่น รัฐมนตรีพรรคร่วมรัฐบาลพรรคหนึ่งที่ติดเชื้อ จนส่งผลกระทบต่อการประชุมคณะรัฐมนตรี และการประชุมสภาเมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมาด้วย

ดังนั้น ไม่มีเหตุผลใดเลยที่ท่านประธานชวนจะไม่ไปฉีดวัคซีนในตอนนี้ หากจะบอกว่าต้องรอให้หมอฉีดให้ครบก่อนแล้วประธานชวนค่อยไปฉีด ก็ดูจะไม่ถูกนัก เพราะการที่ประธานชวนจะไปฉีดช้าหรือเร็ว ก็ไม่ส่งผลให้หมอได้รับวัคซีนช้า หรือเร็วขึ้นเช่นกัน เพราะทางกระทรวงสาธารณสุขได้แบ่งโควต้าในการฉีดเรียบร้อยแล้ว แต่ถ้าเกิดปัญหาว่าฉีดให้บุคลากรสาธารณสุขได้น้อยนั้น ก็คงต้องสอบถามหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า ทำไมจึงยังฉีดได้ไม่เข้าเป้า

แต่ทั้งหมดนี้ ไม่เกี่ยวกับการฉีดหรือไม่ฉีดของประธานชวน ไม่นับว่าการฉีดวัคซีนของผู้แทนราษฎรนั้น ได้รับการส่งข้อความเชิญมาจากทางสำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเองตั้งแต่วันที่ 9 เม.ย.2564 แล้วด้วย ดังนั้น การแสดงสปิริต และความรับผิดชอบที่สง่างามที่สุด คิดว่าเป็นการไปฉีดตามที่กระทรวงฯ จัดสรรให้โดยเร็วที่สุด เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมส่วนรวม และเป็นแบบอย่างที่ดี และเป็นที่เคารพของคนรุ่นลูกรุ่นหลานต่อไป

ที่มา: https://www.thaipost.net/main/detail/100119?fbclid=IwAR2XT2suM7IHBWMe9-S8o6luX7H1C8oYfLHXxyflFRc8Lh0VlMFyU8MpHS0


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

.

“นายกฯ” สั่งเดินหน้า ”โครงการบ้านสุขประชา” พร้อมทำบ้าน “น็อคดาวน์”ให้ผู้มีรายได้น้อยมีความมั่นคงในชีวิต พร้อมเร่งรัดรัฐวิสาหกิจ ดูแลหน่วยงานในเครือดำเนินตามยุทธศาสตร์ชาติ สร้างรายได้ เพื่อลดภาระงบประมาณภาครัฐ

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ว่าตนให้ความสำคัญกับการจัดหาที่อยู่ ที่ทำกินให้กับประชาชน ซึ่งวันนี้ได้เร่งรัดในที่ประชุมครม.ไปแล้ว ในเรื่องของการจัดหาที่ดิน ในลักษณะของกระบวนการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล(คทช.) และเรื่องของบ้านเคหะสุขประชา ซึ่งจากการเปิดโครงการไปเมื่อสัปดาห์ก่อน ได้รับการตอบรับเป็นจำนวนมาก ตนก็จะเร่งรัดในเรื่องนี้ เพราะเป็นนโยบายหลักของรัฐบาล ที่ต้องการให้ทุกคนมีที่อยู่อาศัย ที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

“บ้านเคหะสุขประชา จะเดินหน้าต่อไป ซึ่งไม่ใช่เฉพาะในกรุงเทพฯ แต่จะให้มีการทำแผนงานไปในทุกจังหวัดทั่วประเทศ จะมีการทยอยดำเนินการไปตามงบประมาณที่มีอยู่ หรือตามแนวทางปฏิบัติ วันนี้ผมก็ให้แนวคิดไปอีกอย่างหนึ่งคือการทำบ้านในลักษณะบ้านน็อคดาวน์ เพื่อทำให้เร็วขึ้น ในพื้นที่ที่แออัด เดี๋ยวจะลองทำสแตนบล็อกตรงนี้ออกไป เพื่อให้เกิดให้เร็วขึ้น ซึ่งเรื่องนี้ ซึ่งทางกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.)ได้รับเรื่องตรงนี้ไปแล้ว สำหรับผู้มีรายได้น้อยจะได้มีความมั่นคงในเรื่องของที่อยู่อาศัย”

นอกจากนี้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ยังแถลงถึงการพัฒนารัฐวิสาหกิจว่า ตนได้เร่งรัดให้หน่วยงานต่างๆ ได้ดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ และมีการปฏิรูปเศรษฐกิจใหม่ของรัฐบาล ก็ขอให้รัฐวิสาหกิจต่างๆได้พิจารณาความจำเป็น และกำกับดูแลบริษัทในเครือให้ได้ตามวัตถุประสงค์ ด้วยแนวทางและวิธีการทำงานใหม่ ในการให้บริการประชาชน ทั้งนี้เพื่อจะสร้างรายได้ให้กับประเทศและเป็นการลดภาระงบประมาณภาครัฐ และประชาชน มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น วันนี้เราก็ต้องยอมรับกันว่า สถานการณ์โควิด ทำให้เกิดปัญหามากพอสมควร ในเรื่องของเศรษฐกิจ

กสม.แถลงผลการดำเนินการรอบปี 63 เผยมี 465 เรื่องร้องเรียน เฉพาะสิทธิในกระบวนการยุติธรรมนำโด่ง 170 เรื่อง ยันห่วงใยการชุมนุมทางการเมือง ตั้งคณะทำงานติดตาม พร้อมลงพื้นที่ ทั้งเตรียมลงพื้นที่ชายแดนช่วยเหลือด้านสิทธิมนุษยชนกับชาวเมียนมา

ที่สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) นายสุวัฒน์ เทพอารักษ์ กรรมการสิทธิมนุษยชน ทำหน้าที่แทนประธานกรรมการสิทธิมนุษยชน (กสม.) พร้อมกสม.ร่วมกันแถลง ผลการปฏิบัติงานประจำปีงบประมาณ 2563 โดยกสม.ได้รับเรื่องร้องเรียนทั้งสิ้น 465 เรื่องเป็นการร้องเรียนเกี่ยวกับสิทธิในกระบวนการยุติธรรม 170 เรื่อง สิทธิพลเมือง 74 เรื่องสิทธิของบุคคลในทรัพย์สิน 53 เรื่อง ซึ่งพื้นที่ที่มีการร้องเรียนแสนสูงสุดคือตะวันออกเฉียงเหนือมีจำนวน 90 เรื่อง ซึ่งกสม.ได้ตรวจสอบคำร้องและจัดทำรายงานผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนจำนวน 387 เรื่อง เช่น สิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย กรณีชีวิตของนักเรียนโรงเรียนเตรียมทหาร จ.นครนายก  สิทธิในกระบวนการยุติธรรม กรณีกล่าวอ้างว่าถูกเจ้าหน้าที่ทหารควบคุมตัวและตรวจเก็บตัวอย่างสารพันธุกรรมไม่ชอบด้วยกฎหมาย  

ส่วนการติดตาม ตรวจสอบและรายงานข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนและมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของ กสม. 131 เรื่อง ส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับสิทธิชุมชนกรณีการมีส่วนร่วมในโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ การเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน รวมทั้งปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบ  อาทิ การเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะของคนพิการ  กรณีศึกษาผลกระทบด้านการจราจรของโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย - มีนบุรี การยุติการตั้งครรภ์เพื่อให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน และมีการประเมินสถานการณ์เฉพาะอีก 2 เรื่อง คือการประเมินสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 การประเมินสถานการณ์เกี่ยวกับเสรีภาพในการชุมนุมเพื่อแสดงความคิดเห็นและข้อเรียกร้องทางการเมือง ซึ่งได้มีการเสนอรายงานดังกล่าวต่อรัฐสภาและครม.แล้วเมื่อเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา 

นอกจากนี้ยังได้มีการจัดทำหลักสูตรสิทธิมนุษยชนศึกษาสำหรับกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย และคู่มือการจัดการเรียนรู้สิทธิมนุษยชนศึกษาสำหรับการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชน ร่วมมือและประสานงานด้านสิทธิมนุษยชนกับองค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ จัดตั้งสำนักงานกสม.ในต่างจังหวัด นำร่องในพื้นที่ภาคใต้ที่จ.สงขลา และจัดตั้งศูนย์ศึกษาและประสานงานด้านสิทธิมนุษยชนในภูมิภาคร่วมกับเครือข่ายสถาบันอุดมศึกษาอีก 6 แห่ง รวมเป็น 12 แห่งทุกภูมิภาคทั่วประเทศ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงกลไกการส่งเสริมคุ้มครองสิทธิมนุษยชนได้สะดวกรวดเร็วขึ้น  

อย่างไรก็ตาม กสม.เห็นว่ายังมีสิ่งที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการของกสม.และควรมีการแก้ไข คือกรณีที่รัฐธรรมนูญ และ พ.ร.ป.ว่าด้วยกสม.กำหนดให้กสม.ต้องชี้แจงและรายงานข้อเท็จจริงที่ถูกต้องโดยไม่ชักช้ากรณีมีการรายงานสถานการณ์เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนในประเทศไม่ถูกต้องเป็นธรรม  และข้อจำกัดด้านกฎหมายกรณีพ.ร.ป.ว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ60 ไม่ได้บัญญัติหน้าที่และอำนาจในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านสิทธิมนุษยชน ซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่เดิมที่ กสม.เคยมี ซึ่งถือว่าไม่สอดคล้องกับอำนาจหน้าที่ของสถาบันสิทธิมนุษยชนแห่งชาติและหลักการสากล รวมทั้งเมื่อมีการจัดทำรายงานหรือข้อเสนอแนะในเรื่องต่างๆไปยังครม.รัฐสภาหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วส่วนใหญ่ ไม่มีการแจ้งเหตุผลที่หน่วยงานเหล่านั้นไม่สามารถปฏิบัติตามข้อเสนอแนะที่กสม.ได้ 

เมื่อถามถึงการจับกุมผู้ชุมนุมทางการเมือง กรณีที่นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน แกนนำกลุ่มราษฎร อ้างว่า ไม่ได้รับความเป็นธรรมในการต่อสู้คดี ทางกสม.จะมีการดำเนินการอย่างไร  นายสุวัฒน์ กล่าวว่า กรณีการชุมนุมทางการเมืองทางกสม.มีข้อห่วงใยและติดตามข้อมูล ข่าวสารมาโดยตลอด ตั้งแต่เริ่มต้นมีการชุมนุม เราได้ตั้งคณะทำงานเฝ้าระวังเพื่อติดตามข้อมูลทุกวันที่มีการชุมนุม และส่งเจ้าหน้าที่ไปร่วมสังเกตการณ์การชุมนุมที่สำคัญทุกครั้งและมีการสรุปรายงานให้ทราบทุกสัปดาห์ ส่วนที่มีประชาชนยื่นร้องเรียนเข้ามาประมาณ 10 เรื่อง เราก็ได้ตั้งคณะทำงานตรวจสอบโดยเฉพาะและเร่งดำเนินการนำข้อมูล เหตุการณ์ ข้อร้องเรียนต่างๆมาประมวลเพื่อหาข้อสรุปโดยเร็ว โดยมีการเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนมาร่วมให้ข้อมูล อาทิ ผู้ชุมนุม นักวิชาการ สื่อมวลชน เป็นต้น 

ขณะเดียวกันในเรื่องของผู้ถูกกุมขัง ทางกสม.มีความเป็นห่วงและได้ติดตามโดยให้เจ้าหน้าที่ไปตรวจเยี่ยม ซึ่งตนก็มีโอกาสได้ไปเยี่ยมผู้ถูกกุมขังเช่นกันเพื่อดูชีวิตความเป็นอยู่ว่าเป็นอย่างไร ทั้งนี้ ประเด็นการจับกุมเราได้พยายามศึกษาว่าจะดำเนินการได้อย่างไรบ้าง ซึ่งในเรื่องของการประกันตัวนั้น ทุกคนทราบดีว่าเป็นดุลพินิจของศาล เมื่อเป็นดุลพินิจของศาล ในระเบียบของกสม.ไม่ได้ให้อำนาจกสม.ดำเนินการพิจารณาได้ เราจึงได้ให้คณะทำงานเฝ้าระวังซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญและที่ปรึกษากฎหมายพิจารณาศึกษาว่าเราจะมีข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะอย่างไรบ้าง ยืนยันว่าเราพยายามติดตามและให้ความช่วยเหลือเรื่องนี้อยู่  

เมื่อถามว่า เหตุการณ์การชุมนุมประท้วงในเมียนมาทำให้มีคนลี้ภัยมาตามแนวชายแดน ทางกสม.ได้รับเรื่องร้องเรียนหรือดำเนินการอย่างไรหรือไม่ นายสุวัฒน์  กล่าวว่า ตนได้รับการประสานว่าวันที่ 21 เม.ย.ทางประธานกสม.ระดับต่างประเทศจะหารือกันและเชิญประธานกสม.เมียนมาเข้ามาร่วมด้วย ซึ่งเราก็จะดูในภาพรวม ซึ่งประเด็นนี้เรามีความห่วงใยและเตรียมการจัดเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ชายแดนเพื่อดูว่ากรณีถ้ามีราษฎรจากเมียนมาเข้ามา เราจะดูแลเรื่องสิทธิมนุษยชน มนุษยธรรม ซึ่งเป็นหน้าที่ที่เราจะเข้าไปให้ความช่วยเหลือ  

ด้านนายบุญเกื้อ สมนึก เลขาธิการกสม. กล่าวว่า กรณีผู้ข้ามแดนลี้ภัยนั้น ทางกสม.มีมติมอบหมายให้สำนักงานฯลงพื้นที่เพื่อดูสถานการณ์ ซึ่งทางสำนักงานฯก๋ได้รับการตอบรับจากหน่วยความมั่นคงในพื้นที่กองทัพภาคที่ 3 ขณะเดียวกันทางสำนักงานฯก็ได้ประสานงานกับทางกระทรวงการต่างประเทศไว้แล้วว่าเรื่องนี้จะมีมาตรการอย่างไร โดยกสม.จะดูในมิติของสิทธิมนุษยชน

‘ศิริกัญญา’ คลี่แผนงบปี 65 วิจารณ์ยับ รัฐปรับลดงบสวัสดิการ หั่น เงินบัตรทอง-กองทุนการศึกษา ชี้ จับตา ‘ก.พลังงาน’ บวกเพิ่ม 19% ‘ก้าวไกล’ เล็ง ประชุมออนไลน์กางงบให้ประชาชนร่วมวางแผน

เมื่อวันที่ 21 เม.ย. น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะรองหัวหน้าพรรคก้าวไกลฝ่ายนโยบาย กล่าวถึงการเตรียมพร้อมอภิปรายร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2565 ซึ่งคาดว่าจะเข้าสู่การพิจารณาของสภาในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม ว่า เบื้องต้นตนเห็นข้อมูลงบระดับรายกรมและแผนงานต่าง ๆ จึงทำข้อสังเกตเบื้องต้นขึ้นมาก่อน อย่างแรกคือ เป็นรอบแรกในรอบ 12 ปีที่ปรับลดงบประมาณลง คือ ปรับลดลงเหลือ 3.1 ล้านล้านบาท จาก 3.29 ล้านล้านบาทในปี 2564 ซึ่งสามารถสรุปเป็นข้อสังเกตได้ ดังนี้ คือ

1.) 17 จาก 20 กระทรวงถูกปรับลดงบประมาณ โดยกระทรวงที่ถูกปรับลดงบมากที่สุด คือ กระทรวงศึกษาธิการ โดยถูกปรับลดลงกว่า 24,000 ล้านบาท ซึ่งสำนักงานคณะกรรมาการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เป็นหน่วยรับงบประมาณที่ถูกปรับลดมากที่สุด โดยถูกปรับลดลงถึงกว่า 20,000 ล้านบาท ในจำนวนนั้น 13,264 ล้านบาท เป็นการลดงบในแผนงานบุคลากรภาครัฐ ซึ่งก็คือส่วนของเงินเดือนค่าตอบแทน ส่วนกระทรวงที่ถูกตัดงบมากเป็นอันดับรองลงมา ได้แก่ กระทรวงแรงงาน ลดลง 19,977 ล้านบาท กระทรวงมหาดไทย ลดลง 17,144 ล้านบาท กระทรวงคมนาคม ลดลง 14,100 ล้านบาท

น.ส.ศิริกัญญา กล่าวต่อว่า 2.) มี 3 กระทรวงที่ได้รับงบประมาณเพิ่มขึ้น โดยกระทรวงที่ได้รับงบเพิ่มมากที่สุด คือ กระทรวงการคลัง คาดว่าจะเป็นเงินเพื่อชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ย รองลงมาคือกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยได้รับงบประมาณเพิ่ม 2,300 ล้านบาท โดยไปเพิ่มให้กับกรมเด็กและเยาวชน ดังนั้น คงต้องลุ้นกันต่ออีกปีว่าจะเป็นเงินเลี้ยงดูเด็กแบบถ้วนหน้าหรือไม่ ส่วนกระทรวงที่งบประมาณเพิ่มขึ้นมากที่สุดเมื่อคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ คือกระทรวงพลังงาน โดยมีสัดส่วนงบประมาณเพิ่มขึ้น 19% เพิ่มให้กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ (+80%) และกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (+37%)

น.ส.ศิริกัญญา กล่าวอีกว่า 3.) กระทรวงกลาโหมถูกปรับลดงบประมาณลง 11,000 ล้านบาท คิดเป็น 5.24% แต่ที่น่าสนใจคืองบบุคลากรของกระทรวงกลาโหมกลับเพิ่มขึ้นทั้ง 3 เหล่าทัพ คือ กองทัพบก เพิ่มขึ้น 799 ล้านบาท เป็น 58,892 ล้านบาท กองทัพเรือ เพิ่มขึ้น 531 ล้านบาท เป็น 21,283 ล้านบาท และกองทัพอากาศ เพิ่มขึ้น 365 ล้านบาท เป็น 13,258 ล้านบาท

4.) งบเพื่อสวัสดิการและการศึกษาหลายอย่างถูกตัด แม้เราอยู่ในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ เช่น กองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม ถูกตัดงบลง 5,740 ล้านบาท หรือคิดเป็น 29% กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ถูกตัดงบลง 432 ล้านบาท เหลือ 5,652 ล้านบาท หรือแม้แต่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ก็ถูกปรับลดงบประมาณลง 1,815 ล้านบาท เหลือเพียง 140,550 ล้านบาท ทั้ง ๆ ที่ สปสช. เองก็คาดการณ์ว่าจะมีผู้ที่เข้ามาใช้สิทธิบัตรทองเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 137,000 คน ในปี 2564 และอาจมีเพิ่มมากขึ้นหากสภาวะทางเศรษฐกิจยังคงย่ำแย่

น.ส.ศิริกัญญา กล่าวต่อว่า และ 5.) รัฐเอาเงินอุดหนุน อสม. ออกจากเงินอุดหนุน อบจ. กลับไปให้กระทรวงสาธารณสุข (ประมาณปีละ 12,500 ล้านบาท) แต่ก็ไม่ได้มีการชดเชยเงินอุดหนุนเพิ่มเติมให้ อปท. โดยในปีงบประมาณ 2565 รัฐอุดหนุนเงินให้ อปท. ลดลง 5% (หลังหักเอาเงิน อสม. ออกแล้ว) และคาดว่า อปท. จะมีรายได้น้อยกว่าปีงบประมาณก่อนประมาณ 76,000 ล้านบาท หรือลดลง 9% ทั้งนี้ รายได้ของ อปท. อาจต่ำกว่าที่ประมาณการลงอีก เนื่องจากแนวนโยบายของรัฐบาลที่จะมีการให้ลดภาษีที่ดิน ซึ่งเป็นรายได้โดยตรงของท้องถิ่นลงถึงร้อยละ 90 สำหรับปีภาษี 2564 และหากการเก็บภาษีของรัฐไม่เป็นไปตามเป้า ก็จะทำให้รายได้ที่รัฐจัดเก็บให้ และรายได้ที่รัฐแบ่งให้ เช่น ภาษีมูลค่าเพิ่ม ลดลงไปอีก

"หลังจากนี้พรรคก้าวไกลจะประชุมเพื่อกำหนดธีมและหัวข้อในการอภิปราย ซึ่งเรายังยืนยันเรื่องการจัดสรรสวัสดิการที่ต้องครบถ้วนและครอบคลุมมากว่านี้ สำหรับปีนี้พรรคจะมีโปรเจ็กต์นำข้อมูลงบประมาณทั้งหมดของปี 2565 มาให้ประชาชนได้รับทราบและร่วมพิจารณางบว่า งบส่วนไหนที่ตัดได้ เพื่อนำไปเติมส่วนงบสวัสดิการ เพื่อให้รัฐบาลเห็นว่าประชาชนอยากจัดสรรงบประมาณมาใส่ในส่วนงบสวัสดิการเท่าไหร่ ซึ่งคาดว่าจะจัดการประชุมในรูปแบบออนไลน์เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากที่สุด" น.ส.ศิริกัญญา กล่าว


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

‘แรมโบ้’ กางปีกป้อง ซัด ‘โอ๊ค’ ไล่ ‘บิ๊กตู่’ หวังให้พ่อกับอากลับมาเป็นนายกฯ หรือ โวลั่นสถานการณ์แบบนี้ยิ่งไม่ควรลาออก

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงนายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านทาง เฟซบุ๊ก วิพากษ์วิจารณ์การแก้ปัญหาโควิด-19 ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ว่าพาประเทศฝ่าโควิด เหมือนตาบอดคลำทาง ไม่เห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ ชี้ต้องให้ลาออก ให้คนมีความสามารถมาบริหาร ว่าแม้นายพานทองแท้ จะมองว่าการแก้ไขปัญหาโควิดของนายกฯ และรัฐบาล เหมือนตาบอดคลำทาง แต่ที่ผ่านมา 2 ครั้ง นายกฯ และรัฐบาลสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้มาแล้ว และครั้งนี้ตนเองมั่นใจว่านายกฯ จะสามารถทำให้สถานการณ์คลี่คลายลงได้ อย่าได้มาใช้นิสัยเดิม ๆ มาซ้ำเติมทำร้ายจิตใจคนที่ทุ่มเททำงานแก้ปัญหา

เรื่องการแถลงข่าวของนายกฯ หากนายพานทองแท้ตั้งใจฟังก็จะเห็นว่าได้ทำอะไรไปบ้างแล้ว และจะทำอะไรต่อไปในอนาคต โดยเฉพาะเรื่องของการบริหารจัดการวัคซีนที่กำลังทยอยเข้ามาฉีดให้กับประชาชน อีกทั้งนายกฯ ได้มีการติดต่อผ่านกระทรวงการต่างประเทศก็มีแนวโน้มว่ามีแนวทางในการจัดหาวัคซีนมากขึ้นอย่างแน่นอน และในเดือนมิถุนายนนี้เราก็จะมีวัคซีนจำนวนมาก เพราะสามารถผลิตได้ในประเทศ สามารถที่จะคำนวณฉีดให้กับประชาชนได้โดยภายในปีนี้จะสามารถฉีดให้กับประชาชนให้เร็วที่สุดอย่างน้อยร้อยละ 60

นายเสกสกล กล่าวว่า คนทำงานอย่างพล.อ.ประยุทธ์ ไม่ควรต้องลาออก เพราะต้องแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนและพัฒนาประเทศ ซึ่งเชื่อว่าหากเป็นคนอื่นน่าจะทำไม่ได้เท่ากับพล.อ.ประยุทธ์ เพราะคงจะไม่เห็นความสำคัญของประชาชน ประเทศชาติ จะเห็นแต่ประโยชน์ส่วนตัวและครอบครัวของตัวเองเท่านั้น เหมือนผู้นำบางตระกูลก่อนหน้านี้ นายพานทองแท้ คงจำได้แน่นอน ขอให้นายพานทองแท้ เปิดใจรับฟังคนอื่นบ้าง ไม่ใช่จะว่ากล่าวตำหนิเพียงอย่างเดียว การบริหารจัดการสถานการณ์โควิด ต้องยอมรับว่าไม่ใช่เรื่องที่ง่ายแต่ทั้งนายกฯ รัฐบาล บุคลากรทางการแพทย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้พยายามทำอย่างดีที่สุด ทั้งนี้นายพานทองแท้ จะไม่ให้กำลังใจนายกฯ แต่ก็ขอให้กำลังใจบุคลากรทางการแพทย์ และคนทำงาน ให้กำลังใจคนไทยในการช่วยกันฝ่าฟันสถานการณ์ครั้งนี้ไปให้ได้

"นายพานทองแท้ ไล่นายกฯ ให้ออกจากตำแหน่ง ขอถามกลับว่าคงอยากให้คุณพ่อหรือคุณอา กลับมาเป็นนายกฯ อีกใช่ไหม ช่วยถามหัวใจคนไทยส่วนใหญ่หน่อยว่า รับได้หรือเปล่า ก่อนจะไล่ใคร ช่วยย้อนกลับมามองตัวเองก่อน อย่าเอาอคติความแค้นส่วนตัวมาจ้องทำลายคนอื่น เพราะสิ่งที่เสียหายในอดีตมากมายมหาศาล นายกฯ คนนี้เข้ามาเพื่อแก้ปัญหา ยังไม่ได้ทำให้ประเทศชาติประชาชนเสียหายอะไร แต่ในภาวะวิกฤติทั่วโลกกำลังเผชิญปัญหากับโควิด ประเทศเราก็ย่อมส่งผลกระทบความเดือดร้อนบ้าง แต่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่เหมือนการทุจริตคอร์รัปชัน โกงบ้านโกงเมืองแต่อย่างใด" นายเสกสกล กล่าว


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

‘รองโฆษก ปชป.’ แนะรัฐบาล เร่งหามาตรการช่วยแบ่งเบาภาระช่วงใกล้เปิดเทอมฯ ให้เป็น ‘ผู้ปกครองและเด็กชนะ’ ฝ่าวิกฤติโควิด

นายชัยชนะ เดชเดโช ส.ส.นครศรีธรรมราชและรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบให้ขยายเวลาการใช้เงินตามโครงการ เราชนะ ไปจนถึง 30 มิ.ย.นี้ และมีการพิจารณาในการดำเนินการโครงการคนละครึ่งเฟส 3 ว่า ตนขอขอบคุณรัฐบาลแทนประชาชนที่เข้าใจถึงสถานการณ์ความยากลำบากในช่วงของการระบาดระลอกใหม่ เพราะเชื้อไวรัสโควิด-19 ชนิดนี้ สามารถแพร่เชื้อได้ง่ายและอันตรายต่อผู้ติดเชื้อมากขึ้น ซึ่งจากยอดติดเชื้อที่ยังคงอยู่ในระดับหลักพัน และคาดว่าจะยังคงสถานการณ์แบบนี้อีกหลายวัน ทำให้ประชาชนเกิดความรู้สึกชักหน้าไม่ถึงหลัง พะว้าพะวังเป็นอย่างมาก

ดังนั้น การขยายระเวลาใช้สิทธิตามโครงการดังกล่าว ถือว่ารัฐบาลได้นำเสียงของประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนมาร่วมพิจารณา ซึ่งมติ ครม.ที่เกิดขึ้นจะเป็นการแบ่งเบาภาระประชาชนได้เป็นอย่างดี มีข้อพิสูจน์แล้วว่า ประชาชนต่างมีความกล้าในการจับจ่ายซื้อของมากขึ้น เพราะรัฐบาลได้สนับสนุนเงินทั้งประชาชนผู้ใช้สิทธิ์และร้านค้าผู้เข้าร่วมโครงการ ทำให้ภาพรวมสามารถประคับประคองสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศไทยเอาไว้ได้

นายชัยชนะ กล่าวต่อว่า อีกประเด็นที่มีความกังวลในช่วงนี้คือความวิตกกังวลของผู้ปกครองที่จะต้องมีค่าใช้จ่ายให้กับลูกหลานในวัยเรียน ถึงแม้กระทรวงศึกษาธิการจะพยายามให้มีการเปิดเรียนในวันที่ 17 พ.ค.นี้ ก็ไม่มีใครรู้ว่า สถานการณ์การระบาดของโควิด จะเบาบางลงวันไหน ดังนั้นหากรัฐบาลมีแนวคิดที่จะช่วยเหลือผู้ปกครองให้ผ่านพ้นช่วงเวลายากลำบากเพื่อสร้างอนาคตของชาติแล้ว จะต้องนำแนวคิดที่เคยมีผู้เสนอ เช่น การลดค่าเทอม 40 % การสนับสนุนค่าใช้จ่ายหรือการใช้เครือข่ายอินเตอร์เน็ตเพื่อการศึกษาค้นคว้าฟรี หากจะต้องมีการเรียนผ่านระบบออนไลน์ เป็นต้น หรือการขยายสิทธิ์ของโครงการเยียวยาของรัฐบาล ให้ครอบคลุมหรือระบุวัตถุประสงค์ว่า จะต้องใช้จ่ายให้กับบุตรหลานในการเรียนเท่านั้น เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระผู้ปกครอง และสร้างความสบายใจให้กับเด็กในช่วงเวลาใกล้เปิดเทอมที่จะถึงนี้

“ผมเข้าใจว่า ขณะนี้ค่าใช้จ่ายในการเล่าเรียนส่วนใหญ่ นอกจากค่าชุดนักเรียน หนังสือ และอุปกรณ์การเรียนพื้นฐานแล้ว ก็มาจากการที่โรงเรียนเก็บเป็นเงินบำรุงหรือเงินอุดหนุนการศึกษา เพื่อดำเนินการจัดการเรียนการสอนเพิ่มเติมตามแต่ละโรงเรียน ซึ่งถือว่า เป็นภาระของผู้ปกครองที่จำเป็นจะต้องใช้จ่าย เพื่ออนาคตของบุตรหลาน ดังนั้น แนวคิดของพรรคประชาธิปัตย์ที่มีมาโดยตลอดคือการสนับสนุนเด็ก ๆ ให้มีอนาคตสดใส โดยพยายามแก้ไขปัญหาระหว่างทางให้มีน้อยที่สุด

ในสถานการณ์ท่ามกลางการระบาดของโควิดขณะนี้ ผมจึงอยากให้รัฐบาล หามาตรการในการช่วยเหลือเด็กนักเรียนและผู้ปกครองอย่างรวดเร็วที่สุด โดยรัฐบาลจะต้องประสานงานในกระทรวงที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาความร่วมมือ จนมาออกเป็นมาตรการเร่งด่วน เพื่อให้ผู้ปกครองสามารถผ่านพ้นสถานการณ์ที่ยากลำบาก และทำให้เป็น ‘ผู้ปกครองและเด็กชนะ’ ได้ในที่สุด ” นายชัยชนะกล่าว


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

นายกรัฐมนตรี ร่วมบำเพ็ญกุศลองค์พระหลักเมือง กรุงรัตนโกสินทร์ครบรอบ 239 ปี เพื่อความเป็นสิริมงคลของประเทศ

นายกรัฐมนตรี ร่วมบำเพ็ญกุศลองค์พระหลักเมือง กรุงรัตนโกสินทร์ครบรอบ 239 ปี เพื่อความเป็นสิริมงคลของประเทศ

เมื่อเวลา 07.45 น.วันที่ 21 เม.ย. 2564 ก่อนจะเดินทางเข้าทำเนียบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นผู้แทนประชาชน ทำหน้าที่ประธานพิธีบำเพ็ญกุศลทางศาสนาพุทธและจัดพิธีบวงสรวงสังเวยตามพิธีพราหมณ์อย่างเรียบง่าย ในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนาองค์พระหลักเมือง ครบรอบ 239 ปี และ 21 เม.ย. คือวันตั้งกรุงรัตนโกสินทร์ครบ 239 ปี

โดยนิมนต์พระสงฆ์ ประกอบพิธีทางศาสนา เพื่อความเป็นศิริมงคลของประชาชนชาวไทยทุกคนและประเทศชาติ


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

เว็บไซต์ The Isaan Record แถลงไม่ใช่องค์กรล้มเจ้าและจะดำเนินการฟ้องร้องผู้กล่าวหา

จากกรณีที่มีเว็บไซต์ข่าวบางแห่งได้กล่าวหาว่า เว็บไซต์ The Isaan Record ผลิตเนื้อหาล้มเจ้านั้น กองบรรณาธิการฯ ขอยืนยันว่า ไม่เป็นความจริงตามที่กล่าวหา แต่ The Isaan Record เป็นองค์กรที่ผลิตข่าวเชิงลึก และ สารคดีเชิงข่าว ในรูปแบบวิดีโอและรูปแบบต่าง ๆ เพื่อเป็นกระบอกเสียงให้คนอีสานที่เป็นประชากรที่มีจำนวนมากที่สุดในประเทศไทยและมีพื้นที่ที่มากที่สุด โดยมีสโลแกนว่า “สื่ออีสาน เพื่อคนอีสาน”

ที่ผ่านมานำเสนอเรี่องราวเกี่ยวกับวัฒนธรรมอีสาน สิทธิมนุษยชนและคนชายขอบ โดยมีผลงานเป็นซีรีส์เรื่องยาว อาทิ ซีรีส์ชุด “ลมหายใจหน้าฮ้านหมอลำ” ซีรีส์ชุด “ความหวานและอำนาจ” ซีรีส์ชุด “ความรัก เงินตราและหน้าที่ : เมียฝรั่งในอีสาน” ซีรีส์ชุด “พลังคนรุ่นใหม่แห่งที่ราบสูง” ซีรีส์ชุด “LGBTIQ+ อีสาน” เป็นต้น โดยนำเสนอทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เพื่อเป็นทางเลือกให้ผู้รับสารได้เข้าใจคนอีสานมากขึ้น

ทั้งนี้มีบรรณาธิการภาษาไทย หทัยรัตน์ พหลทัพ ซึ่งปฏิบัติหน้าที่มาตั้งแต่เดือนกรกฎาคมปี 2562 โดยเคยเป็นผู้ช่วยบรรณาธิการและผู้สื่อข่าวอาวุโสองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (Thai PBS) แต่ได้ลาออกตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2561 เป็นต้นมา จึงไม่มีความเกี่ยวข้องกับ Thai PBS

อีกทั้ง Mr.David Streckfuss ไม่ได้เป็นผู้ก่อตั้ง เว็บไซ์ The Isaan Record แต่เป็นผู้ดูแลต่อจาก Lizzie Presser และ Glenn Baker ชาวอเมริกัน 2 คนที่ทำงานในโครงการ Princeton in Asia (PIA) ที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น เป็นผู้ก่อต้ังมาตั้งแต่ปี 2554

การกล่าวหาเว็บไซ์ The Isaan Record ไม่ว่าทางวาจาหรือการนำเข้าด้วยเครื่องมือทางอิเล็คทรอนิคส์ ทางกองบรรณาธิการจะปรึกษาทีมทนายและดำเนินการฟ้องร้องต่อไป

กองบรรณาธิการ The Isaan Record

วันที่ 20 เมษายน 2564

 

ที่มา: https://theisaanrecord.co/statement-of-the-isaan-recordth/


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

เลขาฯ ป.ป.ช. เผย กำลังตรวจสอบบัญชีทรัพย์สิน รมต.วีรศักดิ์-นายกฯ อบจ.ยลดา ปมหนี้หายหมื่นล้าน ส่วน 4 ครม.ใหม่ ยังไม่มีใครยื่นฯ

เมื่อวันที่ 20 เม.ย. ที่สำนักงาน ป.ป.ช. นายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีความคืบหน้าการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของนายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม และ นางยลดา หวังศุภกิจโกศล คู่สมรส ที่ได้ยื่นแสดงรายการบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินกรณีเข้ารับตำแหน่ง นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา ที่ถูกตั้งข้อสังเกตเมื่อเทียบกับกรณีที่ยื่นไว้เมื่อเดือน สิงหาคม ปี 2562 ปมหนี้สินหมดไปกว่าหมื่นล้านบาทนั้น ว่า เรื่องนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบ ต้องให้เวลาเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบเอกสารต่างๆก่อน ขณะนี้ยังไม่ได้รับข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ กรณีดังกล่าว ป.ป.ช. มีวิธีตรวจสอบอยู่แล้ว แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลใดใดได้

ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีนายวีรศักดิ์ อาจได้รับข้อยกเว้นไม่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินกรณีเข้ารับตำแหน่งรมช.คมนาคม เพราะมาตรา 105 พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริต มีข้อยกเว้นว่า หากเคยยื่นบัญชีทรัพย์สินเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งส.ส.แล้ว ไม่จำเป็นต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินตอนเป็นครม.อีก

จะทำให้การตรวจสอบกรณีหนี้สิน 10,000 ล้านบาท ที่หายไปมีความยากลำบากขึ้นหรือไม่ นายวรวิทย์ กล่าวว่า ไม่ลำบาก กรณีดังกล่าว ป.ป.ช. มีวิธีตรวจสอบพิสูจน์อยู่แล้ว

ผู้สื่อข่าวถามถึงความคืบหน้ากรณี 4 รัฐมนตรีใหม่ ที่เข้าดำรงตำแหน่งเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2564 ได้แก่

1.)นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ

2.) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม

3.) นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม

4.) นายสินิตย์ เลิศไกรรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์

ดำเนินการยื่นแสดงรายการบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อคณะกรรมการป.ป.ช.มีความคืบหน้าอย่างไร นายวรวิทย์ กล่าวว่า สำหรับกรณีของรัฐมนตรีทั้ง 4 ราย นั้น เคยยื่นเมื่อครั้งเข้าดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) แล้ว จึงไม่ต้องยื่นอีก นอกเสียจากเจ้าตัวต้องการยื่นไว้เป็นหลักฐานก็ สามารถทำได้ ตามที่ พ.ร.บ.ป.ป.ช. มาตรา 105 วรรคท้าย กำหนดว่าถ้าผู้ดำรงตำแหน่งตาม (1) (2) ซึ่งรวมถึงผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอื่นที่มีหน้าที่ต้องยื่นบัญชีด้วย ผู้นั้นไม่ต้องยื่นบัญชีในตำแหน่งใหม่ แต่ไม่ต้องห้ามที่จะยื่นเป็นหลักฐาน

นายวรวิทย์ กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่สำนักตรวจสอบทรัพย์สินรายงานว่า ปัจจุบันยังไม่พบว่ารมต.ทั้ง4 ได้ยื่นบัญชีในตำแหน่งรมต.ไว้เป็นหลักฐานมาแต่อย่างใด เนื่องจากยังไม่ครบ 60 วันตามกฎหมายกำหนด ถ้าจะยื่นต้องดำเนินการยื่นให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 28 มีนาคม-26 พฤษภาคม 2564 นี้


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top