Tuesday, 13 May 2025
POLITICS NEWS

"ธันวา" แนะ นายกฯ ปรับ ครม.ดีกว่าไล่ฟ้อง ปมภาพโจรอุ้มโจร ย้ำ ต้องแก้ปัญหาให้ถูกจุด

นายธันวา ไกรฤกษ์ โฆษกพรรคกล้า กล่าวถึงกรณีแกนนำพรรคการเมืองหนึ่งถูกฟ้อง ในฐานะแอดมินเพจที่โพสต์รูปภาพของบุคคล 2 คนพร้อมกับคำว่าโจรอุ้มโจรนั้นว่า หากดูตามข้อเท็จจริงแล้ว ผู้ถูกกล่าวหาในภาพมีสิทธิ์ฟ้องได้ แต่ก็ควรจะพิจารณาตัวเอง ถึงต้นเหตุที่นำมาซึ่งภาพดังกล่าว รวมถึงภาพรวมว่ามันถูกต้องตามหลักจริยธรรม และมันคัดค้านต่อความรู้สึกของประชาชนคนไทย หรือไม่ด้วย 

"ถ้าไม่ยอมรับความจริงและแก้ให้ถูกจุด อีกหน่อยคงได้ไล่ฟ้องคนทั้งประเทศ เพราะไม่ว่าจะฝั่งซ้ายหรือฝั่งขวา เชียร์พรรคไหนขั้วไหน ก็คิดเหมือนกันหมดในเรื่องนี้ ยิ่งฝืน ยิ่งดิ้น ยิ่งดูเสื่อม กลายเป็นสร้างความชอบธรรม สร้างแต้ม ให้คนอื่นเขาเปล่า ๆ ดังนั้น หากรักประเทศชาติจริงอย่างปากว่า ก็ควรคิดเพื่อส่วนรวม ทำเพื่อส่วนรวม และปรับครม." โฆษกพรรคกล้ากล่าว 

นานธันวา กล่าวย้ำว่า การที่ตนเองออกมาแสดงความเห็นในเรื่องนี้ แม้จะเป็นเรื่องของพรรคการเมืองอื่น ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับพรรคกล้าโดยตรง แต่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของคนทั้งชาติ ดังนั้นในฐานะพรรคการเมืองที่อยากให้บ้านเมืองสงบสุข ไม่แตกแยก และมีมาตรฐานทางจริยธรรม จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องแสดงความคิดเห็น

อัยการนัดฟังคำสั่ง"ธนาธร-ปิยบุตร-ช่อ" คดีม.116 ที่ อดีตพระพุทธะอิสระให้ทนายเข้าแจ้งความ 13 ก.ค.นี้

เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2564 ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถ.รัชดาภิเษก พนักงานสอบสวน สน.พญาไท ได้นัด นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า, นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า และน.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษกคณะก้าวหน้า ผู้ต้องหาในฐานความผิดฐานร่วมกันยุงยงปลุกปั่น ตามมาตรา 116 กรณีที่ทั้ง 3 คน โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กการปราศรัยกับนักศึกษา หรือการแสดงความคิดเห็นต่าง ๆ รวมถึงเชิญชวนประชาชนร่วมชุมนุมทางการเมืองเมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว ตามที่อดีตพระพุทธะอิสระให้ทนายเข้าแจ้งความเมื่อปีที่แล้ว พร้อมส่งสำนวนให้อัยการพิจารณาความเห็นสั่งฟ้อง

โดยนายปิยบุตร เปิดเผยก่อนเข้าพบพนักงานอัยการ ว่า วันนี้พวกตนทั้งสามคนมาตามที่พนักงานสอบสวน มีความเห็นสั่งฟ้องพวกเราจากกรณีเมื่อปลายเดือน ต.ค. 2563 นายสุวิทย์ ทองประเสริฐ หรือที่สังคมรู้จักกันว่า พุทธะอิสระ มาร้องทุกข์กล่าวโทษพวกตนได้กระทำผิดกฎหมายมาตรา 116 เรื่องยุยงปลุกปั่น แล้ววันนี้พนักงานสอบสวนมีความเห็นควรสั่งฟ้องก็จะนำตัวพวกเรามาให้พนักงานอัยการดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ เมื่อพวกเราได้อ่านบันทึกการแจ้งข้อกล่าวหาของนายสุวิทย์ พวกตนไม่เข้าข่ายความผิดตามมาตรา 116 

เนื่องจากในสำนวนคำฟ้อง มีการกล่าวอ้างพฤติการณ์ของแต่ละคน เช่น กรณีของนายธนาธร คือนำเรื่องที่เคยมีเคยอภิปรายและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประวัติศาสตร์การเมืองไทยในสภา อภิปรายงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่าง ๆ รวมถึงงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ และเป็นผู้ที่มีส่วนในการก่อตั้งวารสารฟ้าเดียวกัน แล้วก็ไปปรากฏตัวในที่ชุมนุม ส่วนของตนเป็นการนำบทความ หรือเนื้อหาที่สมัยที่เป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย และเรื่องที่เคยมีการเขียนลงในหนังสือฉบับหนึ่ง มาชี้นำว่าเข้าข่ายกระทำความผิด ส่วนกรณีของ น.ส.พรรณิการ์ มีเพียงการไลฟ์สดเฟซบุ๊กในการชุมนุมดังกล่าวเท่านั้น 

นายปิยบุตร ได้กล่าวอีกว่า หากนำข้อเท็จจริงดังกล่าว ไปออกข้อสอบในกลุ่มนิติศาสตร์ ก็เชื่อว่าทุกคนจะตอบคำถามในทางเดียวกันว่าไม่เข้าองค์ประกอบความผิด ซึ่งแม้ว่าพนักงานสอบสวนจะไม่มีความเห็นงดสั่งฟ้อง หรือทำความเห็นแนบมากับสำนวนคดี ก็ตั้งความหวังว่าอัยการจะพิจารณาให้ความเป็นธรรม เช่นเดียวกับที่เคยมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องแบบเดียวกับคดีของนายธนาธรก่อนหน้านี้ พร้อมกันนี้ยังได้ตั้งคำถามกลับไปถึงกลุ่มนักร้องเรียน ว่า กลุ่มคนเหล่านี้จะไม่ต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่ตนเองได้ตระเวนร้องทุกข์ไปตามหน่วยงานต่าง ๆ หรือไม่

ขณะที่นายอิทธิพร แก้วทิพย์ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ระบุว่า เนื่องจากพนักงานสอบสวนเพิ่งนำสำนวนคำร้องส่งมาให้พิจารณาในวันนี้ พนักงานอัยการจึงยังไม่ได้พิจารณาข้อเท็จจริงสรุปได้ทันทีว่า สมควรมีความเห็นทางคดีนี้อย่างไร ประกอบกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จึงเห็นควรนัดฟังคำสั่งคดีนี้อีกครั้งในวันที่ 13 ก.ค.นี้ เวลา 10.00 น.

‘ปลัดสปน.’ เผย ช่องทาง 1111 ให้ปชช.แจ้งเบาะแสะทำผิดกฎหมาย-รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโควิด กว่า1แสนเรื่อง พบ แจ้งข้อมูลบ่อนพนันสูงสุด

เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2564 นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยความคืบหน้าการเปิดช่องทางรับเรื่องร้องเรียนผ่านศบค. และนายกรัฐมนตรี หากพบการกระทำความผิด หรือปล่อยปละละเลยการกระทำผิดกฎหมาย บ่อนการพนัน ค้าประเวณีและการลักลอบนำแรงงานต่างชาติเข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย ผ่าน 1111 ใน 5 ช่องทาง คือ สายด่วนของรัฐบาล โทร. 1111 ทุกวันตลอด 24 ชม. ส่งจดหมายมาที่ ตู้ ปณ.1111 ทำเนียบรัฐบาล ทุกวันตลอด 24 ชม. ผ่านเว็บไซต์ www.1111.go.th ทุกวันตลอด 24 ชม. ผ่าน Mobile Application (PSC 1111) ทุกวันตลอด 24 ชม.และผ่านจุดบริการประชาชน 1111 อาคารสำนักงาน ก.พ. (เดิม) ในวันและเวลาราชการ ซึ่งปัจจุบัน ปิดรับเรื่องจากประชาชนที่เดินทางมาเองไว้ชั่วคราวจนกว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จะกลับมาเป็นปกติ

จากการประมวลผลการรับเรื่องร้องทุกข์ที่ประชาชนแจ้งข้อมูลและเบาะแสการกระทำผิดกฎหมายและการร้องเรียน ระหว่างวันที่ 7 ม.ค.-30 เม.ยที่ผ่านมา พบว่า ประชาชนแจ้งเบาะแส ร้องทุกข์ ขอความช่วยเหลือ สอบถามข้อมูล เสนอความคิดเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับโควิด-19 รวมทั้งสิ้น จำนวน 172,648 เรื่อง แบ่งเป็นแยกเป็น

1.) แจ้งเบาะแสแรงงานเข้าเมืองผิดกฎหมาย จำนวน 45 เรื่อง สามารถยุติเรื่องแล้ว 36 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 80 แบ่งเป็น เรื่องที่พบการกระทำผิด 7 เรื่อง ไม่พบการกระทำผิด 29 เรื่อง และเรื่องที่อยู่ระหว่างดำเนินการ 9 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 20

2.) แจ้งเบาะแสบ่อนการพนัน จำนวน 480 เรื่อง สามารถยุติเรื่องได้แล้ว 286 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 59.58 แบ่งเป็น เรื่องที่พบการกระทำผิด 29 เรื่อง ไม่พบการกระทำผิด 257 เรื่อง และมีเรื่องที่อยู่ระหว่างดำเนินการ 194 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 40.42

3.) แจ้งเบาะแสการไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดฉุกเฉินฯ จำนวน 270 เรื่อง สามารถยุติเรื่องแล้ว 144 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 53.33 โดยแบ่งเป็น เรื่องที่พบการกระทำผิด 33 เรื่อง ไม่พบการกระทำผิด 111 เรื่อง และมีเรื่องที่อยู่ระหว่างดำเนินการ 126 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 46.67

นอกจากนี้เป็นร้องทุกข์ขอความช่วยเหลือ สอบถามข้อมูล เสนอความคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะเกี่ยวกับโควิด-19 จำนวน 171,853 เรื่อง ดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจนได้ข้อยุติแล้ว 171,288 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 99.67
 
นายธีรภัทร กล่าวว่า ปัจจุบัน การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 อย่างกว้างขวางทั่วประเทศ จึงขอความร่วมมือประชาชนหากพบเห็นการลักลอบเข้าเมือง หรือเหตุการณ์ที่จะเป็นต้นเหตุให้เกิดการแพร่ระบาดขอให้แจ้งมายังช่องทาง “1111” ดังกล่าว ได้ตลอดเวลา ทั้งนี้ เพื่อช่วยกันลดการแพร่ระบาดและจะทำให้สถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็ว รวมทั้งขอความร่วมมือจากประชาชนและทุกภาคส่วน งดหรือลดการเดินทาง ปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด ลงทะเบียนฉีดวัคซีน และป้องกันตนเองไม่เดินทางไปในสถานที่เสี่ยงด้วย

“บิ๊กตู่” ย้ายถก ครม.ขึ้นตึกไทยหวั่นโควิดลาม – มอบเงินช่วยเหลือบุคลากรทางการแพทย์ พร้อมรับมอบกรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครองจนท.ปฏิบัติงานใกล้ชิดผู้ป่วยโควิด-19

วันที่ 11 พฤษภาคม 2564 ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ผ่านระบบวีดีโอคอนเฟอเรนซ์ จากห้อง PMOC ชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้า ไปยังกระทรวงต่างๆ โดยเปลี่ยนสถานที่จากเดิมที่ใช้ตึกภักดีบดินทร์ เพื่อลดจำนวนคนที่เข้าร่วมประชุมให้เฉพาะเท่าที่จำเป็นตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั้งนี้ เนื่องจากพบบุคลากรที่ปฎิบัติงานในทำเนียบรัฐบาลหลายรายติดเชื้อโควิด-19 ก่อนหน้านี้

โดยก่อนการประชุม นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีในการมอบเงินช่วยเหลือแก่เจ้าหน้าที่ที่ได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติหน้าที่ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จำนวน 24 ราย จากเงินบริจาค บัญชี สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อรับบริจาคสนับสนุนการแก้ไขปัญหาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)

โดยนพ.ธงชัย กีรติหัตถยากร รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และพล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้แทนรับมอบ ทั้งนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายอนุชา  นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี  นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการบริหารจัดการเงินบริจาคและทรัพย์สินเพื่อสนับสนุนการดำเนินการแก้ไขปัญหาจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) เข้าร่วมด้วย พร้อมรับมอบกรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครองบุคลากรทางการแพทย์ของภาครัฐและเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานใกล้ชิดผู้ติดเชื้อโควิด-19 จากคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย 

นายกรัฐมนตรี กล่าวยืนยันว่า จะให้การดูแลบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ทุกคนที่ปฏิบัติหน้าที่ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ต้องทำให้ดีที่สุด เพราะไม่ต้องการให้ใครต้องติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั้งสิ้น  พร้อมขอบคุณบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงานที่ได้ทุ่มเทกำลังกายและกำลังใจในการปฏิบัติงานแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อย่างเต็มความสามารถ ทั้งนี้ รัฐบาลและ ศบค. ได้เตรียมมาตรการต่าง ๆ อย่างเต็มที่ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และขอความร่วมมือประชาชนดำเนินการตามมาตรการด้านสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด

สำหรับการมอบเงินช่วยเหลือดังกล่าวสืบเนื่องจากนายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2563 ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีจัดตั้งกองทุนสนับสนุนการดำเนินการแก้ไขปัญหาจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) เพื่อให้ความช่วยเหลือบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่สนับสนุนที่ปฏิบัติงาน ด้าน COVID-19 ที่ได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติงาน ได้แก่ การช่วยเหลือกรณีป่วยหรือบาดเจ็บ และได้รับการรักษาตัวเป็นผู้ป่วยใน การช่วยเหลือกรณีได้รับบาดเจ็บสาหัส และการช่วยเหลือกรณีเสียชีวิตของทั้งบุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข และเจ้าหน้าที่ที่สนับสนุน การปฏิบัติงานด้านสาธารณสุข ผ่านบัญชี “สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อรับบริจาคสนับสนุนการแก้ไขปัญหาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)” โดยนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีได้ร่วมบริจาคเงินเป็นทุนประเดิม จำนวน 2,995,510 บาท รวมทั้งมีหน่วยงานภาคเอกชนและประชาชนผู้มีจิตสาธารณะร่วมบริจาคเงินสมทบในบัญชีดังกล่าว โดยมียอดเงินบริจาค ณ วันที่ 7 พฤษภาคม 2564 จำนวน 28,327,896.82 บาท ซึ่งที่ผ่านมาคณะกรรมการบริหารจัดการเงินบริจาคฯ ได้อนุมัติการให้ความช่วยเหลือเพื่อเป็นกำลังใจแก่บุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่สนับสนุนที่ได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติหน้าที่ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 แล้ว รวมทั้งสิ้น 102 ราย เป็นเงินจำนวน 3,800,000 บาท

สำหรับการระบาดระลอกปัจจุบัน รัฐยาลได้ให้ความช่วยเหลือแก่เจ้าหน้าที่ที่ได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติหน้าที่ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติม จำนวน 24 ราย รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 730,000 บาท ประกอบด้วย 1. บุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่สนับสนุน สังกัดกระทรวงสาธารณสุข จำนวน 21 ราย มอบเงินช่วยเหลือ รายละ 30,000 บาท จำนวนเงินทั้งสิ้น 630,000 บาท 2. เจ้าหน้าที่สนับสนุนทั้งด้านสาธารณสุข สังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำนวน 3  ราย เป็นเงิน 100,000 บาท  ประกอบด้วย 1) กรณีบาดเจ็บ (ผู้ป่วยใน) จำนวน 2 ราย มอบเงินช่วยเหลือรายละ 30,000 บาท และ 2) กรณีบาดเจ็บสาหัส 1 ราย มอบเงินช่วยเหลือรายละ 40,000 บาท

‘โฆษกพปชร.’เผย เตรียมถกวิป 4 ฝ่าย 14 พ.ค.นี้ วางแนวทางก่อนเปิดประชุมสภาฯช่วงโควิด-19ระบาด ชี้ มีร่างพ.ร.บ.งบ ฯปี 65 รอพิจารณา

เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2564vน.ส.พัชรินทร์ ซำศิริพงษ์ ส.ส.กทม.และโฆษกพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) ในฐานะคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร(วิปรัฐบาล) กล่าวว่า ในวันศุกร์ ที่ 14 พ.ค.เวลา 11.00 น. วิป 4 ฝ่าย ทั้งจากวิปรัฐบาล วิปฝ่ายค้าน ส.ว. และครม. จะประชุมเพื่อหารือแนวทางการเปิดประชุมสภา ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เนื่องจากมีกฎหมายสำคัญหลายฉบับ ที่ต้องเร่งพิจารณา โดยเฉพาะจะมีการพิจารณาร่างพระราชกำหนดของคณะรัฐมนตรี (ครม.)ก่อน 2ฉบับ รวมถึงร่างกฎหมายสำคัญ คือ ร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ที่รอการพิจารณาผ่านความเห็นชอบจากสภาฯ
 

เปิดวาระ ครม. คลังชงเพิ่มเงิน “เราชนะ - ม33” อีก 2,000 บาท

การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ผ่านระบบ Video Conference วันที่ 11 พฤษภาคม 2564 นี้ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ในฐานะประธานคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ 1 ล้านล้านบาท จะเสนอมาตรการบรรเทาผลกระทบการแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกเดือน เม.ย.64 ผ่านโครงการเราชนะ และ ม 33 เรารักกัน โดยเพิ่มเงินให้คนละ 2,000 บาท ซึ่งจะใช้วงเงินกู้ 85,500 ล้านบาท 

ทั้งนี้ ในส่วนของโครงการเราชนะ แยกเป็น 2 กลุ่ม คือ ผู้ใช้ผ่านแอปพลิเคชัน เป๋าตัง จะเริ่มโอนเงินให้งวดแรก 1,000 บาท วันที่ 20 พ.ค.64 และโอนงวดสอง 1,000 บาท วันที่ 27 พ.ค.64 ขณะที่ผู้เข้าร่วมโครงการเราชนะ หลุ่มผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และกลุ่มเปราะบางผู้ใช้บัตรประชาชนในการใช้จ่าย เริ่มโอนงวดแรก 1,000 บาท วันที่ 21 พ.ค.64 และโอนงวดสอง 1,000 บาท วันที่ 28 พ.ค.64 ขณะที่โครงการ ม.33 เรารักกัน โอนงวดแรก 1,000 บาท วันที่ 24 พ.ค.64 โอนงวดสอง 1,000 บาท วันที่ 31 พ.ค.64 โดยทั้ง 2 โครงการกำหนดใช้จ่ายได้จนถึงวันที่ 30 มิ.ย.64

ส่วนวาระอื่น ๆ กระทรวงการคลังเสนอร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ตามมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ปรับเปลี่ยนธุรกิจสู่เศรษฐกิจดิจิทัล และยังนำเรื่องแผนฟื้นฟูกิจการการบินไทยเข้าหารือ เพื่อหาข้อยุติก่อนนัดประชุมเจ้าหนี้ 13,133 ราย เพื่อโหวตแผนในวันที่ 12 พ.ค.นี้ ขณะที่สำนักงบประมาณ เสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 มีวงเงินงบประมาณรายจ่าย 3.1 ล้านล้านบาท ขาดดุลงบประมาณ 7 แสนล้านบาท และประมาณการจัดเก็บรายได้ 2.4 ล้านล้านบาท ภายใต้สมมุติฐานเศรษฐกิจขยายตัว 3.5%

ส่วนสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เสนอร่างพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด ด้านกระทรวงอุตสาหกรรม เสนอโครงการช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อยตัดอ้อยสดเพื่อลดฝุ่น PM2.5 ฤดูการผลิตปี 2563/2564 และกระทรวงเกษตรฯ เสนอร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทาน เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน รวม 2 ฉบับ และเสนอร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองระบายน้ำมูโนะเป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. ...

จับตา ครม. จ่อเคาะมาตรการเยียวยาประชาชน อัดงบ 85,500 ล้านบาท เข้าระบบ ด้านกระทรวงการคลังเตรียมเสนอแผนฟื้นฟูการบินไทยเข้าพิจารณา เพิ่มทุน 50,000 ล้านบาท ดันหวนรัฐวิสาหกิจประเภท 3 ให้คลังค้ำประกันเงินกู้

เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ.2564 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ผ่านระบบ Video Conference ตามมาตราการเว้นระยะห่างเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โควิด -19

โดยก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีมอบเงินช่วยเหลือแก่บุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่ได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติหน้าที่ในการป้องกันและแก้ปัญหาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 บัญชี “สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อรับบริจาคสนับสนุนการแก้ไขปัญหาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)” พร้อมรับมอบกรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครองบุคลากรทางการแพทย์ของภาครัฐและเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานใกล้ชิดผู้ติดเชื้อโควิด-19 จากคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย

ส่วนวาระการประชุมที่น่าสนใจในวันนี้คาดการณ์ว่า สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จะเสนอให้ที่ประชุมพิจารณามาตรการบรรเทาผลกระทบการแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกเดือน เมษายน โดยการเพิ่มเงินคนละ 2,000 บาท ให้แก่ผู้เข้าร่วมโครงการเราชนะ 32.9 ล้านคน และโครงการม.33 เรารักกัน 9.27 ล้านคน ใช้งบประมาณกว่า 85,500 ล้านบาท โดยหากครม.ผ่านการเห็นชอบก็จะเริ่มเติมเงินได้ตั้งแต่เดือนวันที่ 20 พฤษภาคมนี้เป็นต้นไป โดยแบ่งจ่ายเป็น 2 งวด ๆ ละ 1,000 บาทสำหรับโครงการเราชนะ สำหรับผู้ใช้แอปพลิเคชั่นเป๋าตัง โอนงวดแรก 1,000 บาท วันที่ 20 พฤษภาคม 2564 โอนงวดสอง 1,000 บาท วันที่ 27 พฤษภาคม 2564 โครงการเราชนะ

สำหรับผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และกลุ่มเปราะบางผู้ใช้บัตรประชาชน โอนงวดแรก 1,000 บาท วันที่ 21 พฤษภาคม 2564 โอนงวดสอง 1,000 บาท วันที่ 28 พฤษภาคม 2564 ขณะที่โครงการ ม.33 เรารักกัน โอนงวดแรก 1,000 บาท วันที่ 24 พฤษภาคม 2564 โอนงวดสอง 1,000 บาท วันที่ 31 พฤษภาคม 2564 และเก็บไว้ใช้จ่ายได้จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2564 นอกจากนี้ กระทรวงการคลังจะนำเรื่องแผนฟื้นฟูกิจการการบินไทยเข้าหารือในที่ประชุม คณะรัฐมนตรีอีกครั้ง เพื่อหาข้อยุติก่อนนัดประชุมเจ้าหนี้ 13,133 ราย เพื่อโหวตแผนในวันที่ 12 พฤษภาคมนี้ คือ การพิจารณาเพิ่มทุนให้การบินไทยซึ่งตามแผนระบุไว้ 50,000 ล้านบาท และการพิจารณานำการบินไทยกลับเป็นรัฐวิสาหกิจประเภท 3 เพื่อให้กระทรวงการคลังสามารถค้ำประกันเงินกู้หรือเพิ่มทุนได้ โดยไม่ต้องมีสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ ซึ่งคาดว่าคณะรัฐมนตรี จะมีมติออกมาเพื่อให้สามารถโหวตผ่านแผนฯ ไปได้ เพื่อนำการบินไทยเดินหน้าฟื้นฟูกิจการต่อไป

กัปตันนกแอร์ 20 ชีวิต ร้อง รมว.แรงงาน ช่วย หลังถูกเลิกจ้างไม่เป็นธรรม

เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ.2564 นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า ในวันนี้เวลา 15.00 น.สมาคมฯจะเดินทางไปกระทรวงแรงงาน ดินแดง เพื่อนำนักบินหรือกัปตันของสายการบินนกแอร์ประมาณ 20 คน เข้าพบนายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.กระทรวงแรงงาน เพื่อร้องเรียนกรณีบริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด(มหาชน)มีคำสั่งเลิกจ้างกลุ่มพนักงานการบินเป็นจำนวนมาก โดยยังไม่ยอมจ่ายค่าชดเชยจริงตามกฎหมาย

เมื่อปลายเดือนเมษายน 2564 ที่ผ่านมา ผู้บริหารสายการบินนกแอร์ได้มีหนังสือเลิกจ้างมายังกลุ่มพนักงานที่เป็นนักบินหรือกัปตันเป็นจำนวนมาก โดยอ้างว่าบริษัทประสบปัญหาด้านการเงิน และขาดทุนสะสมต่อเนื่อง ส่งผลให้ประสบภาวะวิกฤตทางการเงินจนเป็นเหตุให้บริษัทต้องเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ โดยบริษัทจะต้องปรับปรุงกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ ปรับปรุงโครงสร้างองค์กรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและเพิ่มความคล่องตัวในการปฏิบัติงาน ทำให้บริษัทมีความจำเป็นต้องควบรวมฝ่ายงาน หรือยุบโครงสร้างบางฝ่ายงาน ซึ่งทำให้ส่งผลกระทบต่อนักบินเป็นจำนวนมาก

ขณะนี้นักบินหลักและนักบินผู้ช่วยทั้งหมดกว่า 20 คนได้รับหนังสือแจ้งการเลิกจ้างแล้ว โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค.64 ที่ผ่านมา โดยบริษัทสายการบินนกแอร์อ้างว่าจะจ่ายเงินชดเชย และเงินอื่นๆตาม พรบ.คุ้มครองแรงงานฯ แต่จะได้รับเงินก็ต่อเมื่อบริษัทสามารถดำเนินธุรกรรมภายใต้กระบวนการของการฟื้นฟูกิจการตามกฎหมายล้มละลายต่อไปได้เสียก่อนแล้วเท่านั้น ซึ่งถือว่าไม่เป็นธรรมต่อพนักงานของบริษัทที่ถูกเลิกจ้าง เพราะตามหลักกฎหมายเมื่อบริษัทมีหนังสือเลิกจ้างแล้วมีผลวันใดบริษัทต้องจ่ายเงินชดเชยและเงินอื่นๆตามกฎหมายทันที ไม่ใช่ให้รอฟ้ารอฝนโดยไม่รู้ว่าจะได้รับเงินเมื่อไร

ก่อนหน้านี้บริษัทดังกล่าวได้เรียกนักบินหรือกัปตันไปเซ็นต์ชื่อแกมบังคับเพื่อขอลดค่าจ้างลงมาครึ่งหนึ่งประมาณ 2-3 ครั้งเพื่อให้ฐานเงินเดือนต่ำที่สุด ก่อนบอกเลิกจ้าง หากใครไม่ยอมเซ็นต์ก็จะถูกเลิกจ้างโดยทันที ทำให้นักบินส่วนใหญ่จำต้องเซ็นต์ชื่อให้เพราะกลัวตกงาน แต่ทางบริษัทกลับไม่ให้สำเนาหนังสือดังกล่าวให้พนักงานเก็บไว้คนละชุด และไม่มีการกรอกข้อความใดๆในหนังสือดังกล่าว ซึ่งบริษัทจะนำกลับไปกรอกข้อความอย่างไรก็ได้ ซึ่งการกระทำดังกล่าวอาจเข้าข่ายสัญญาที่ไม่เป็นธรรม ตาม พรบ.ว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม 2540 การใช้เทคนิคการเซ็นต์สัญญาเพื่อขอลดค่าจ้างลงมาจนถึงฐานเงินเดือนต่ำสุดก่อนบอกเลิกจ้าง จึงอาจเป็น “โมฆะ”ได้

นักบินหรือกัปตันของนกแอร์กว่า 20 คนจึงมาร้องขอความช่วยเหลือจากสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เพื่อขอให้ช่วยนำพาไปร้องเรียน รมว.กระทรวงแรงงาน เพื่อขอสั่งการช่วยให้ความเป็นธรรม และดำเนินการทางกฎหมายขั้นสูงสุดต่อบริษัทดังกล่าว

แรมโบ้ จวก หมอชลน่าน กรุณาหุบปากเพื่อชาติ

เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ.2564 นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณี นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส. พรรคเพื่อไทย ออกมาวิพากษ์วิจารณ์การแก้ไขสถานการณ์โควิด-19 ของรัฐบาลและนายกรัฐมนตรี ว่า นายกฯและรัฐบาล ทำทุกอย่างเพื่อแก้ไขปัญหา ทำทุกอย่างเพื่อจะให้สถานการณ์คลี่คลายลงให้ได้  มีมาตรการต่างๆออกมาอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้วเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการแพร่ระบาด แต่ต้องยอมรับว่าการระบาดเกิดขึ้นได้ทุกที ทุกเวลา  

เรื่องการบริหารจัดการวัคซีน ทั้งนายกฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ชี้แจงไปหลายครั้งแล้ว ยืนยันว่าไม่ได้ปิดกั้นเอกชนนำเข้าวัคซีน และขณะนี้ทุกฝ่ายเร่งทำงาน และเร่งนำไปฉีดให้กับประชาชนแล้ว โดยความร่วมมือจากภาคเอกชน ยืนยันการฉีดวัคซีนเป็นไปตามแผนที่วางเอาไว้อย่างแน่นอน  

ไม่เข้าใจว่าเหตุใดพรรคเพื่อไทยถึงเอาแต่เรื่องเดิมๆ ซ้ำๆ มาโจมตีนายกฯไม่หยุด และไม่รู้ว่าจะนำมาพูดเพื่ออะไร ทั้งที่ประเด็นต่างๆหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ได้ชี้แจงไปหลายครั้ง ขอร้องว่าหากไม่มีประเด็นอื่น ขอให้หยุดพูด เพราะหมอชลน่าน หรือพรรคเพื่อไทย อาจไม่รู้ตัวว่าการออกมาพูดนั้นเป็นการทำลายขวัญและกำลังใจของคนทำงานอย่างบุคลากรทางการแพทย์

หมอชลน่านกับพรรคเพื่อไทย จิตใจทำด้วยอะไรเหตุใดถึงจะนำแต่ประเด็นทางการเมืองมาพูด เพียงเพื่อประโยชน์ของตัวเองโดยไม่นึกถึงประชาชน และชาติบ้านเมือง ในขณะที่กำลังเกิดวิกฤต และยังมาซ้ำเติม ไม่กลัวประชาชนเบื่อหน่ายเสื่อมศรัทธาเอือมระอาพรรคเพื่อไทยเลยหรือ หมอชลน่าน เป็นอดีตรัฐมนตรี อย่าทำพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้กับนักการเมืองคนอื่นๆเลย หัดหุบปากบ้าง จะดูดีกว่านี้ เพราะปากหมอชลน่านไม่ได้พูดเพื่อสร้างประโยชน์ให้กับประเทศขาติประชาชน มีแต่จ้องทำลายขวัญกำลังใจคนอื่นที่ทุ่มเททำงาน เพื่อแก้ไขความเดือดร้อนให้กับประชาชน กรุณาหุบปากเพื่อชาติ

สกัดจับรายวัน..!!!! “กกล.สุรสีห์” จับอีกต่างด้าว 49 คน ลอบเข้าเมืองผิด กม.

เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ.2564 จากกรณีตามนโยบาย พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) กำชับทุกกองกำลัง (กกล.) ชายแดนและหน่วยทหารสกัดจับป้องกันการลักลอบเข้าเมืองแบบผิดกฎหมายเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยกองทัพภาคที่ 1 โดยกองกำลังสุรสีห์ รายงาน การจับกลุ่มแรงงานต่างด้าว และผู้นำพา รายละเอียดดังนี้

ชุดปฏิบัติการข่าว (ชป.ขว.) ที่ 2 ได้รับแจ้งจากแหล่งข่าวว่า พบเส้นทางเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าว (ร่องรอยใหม่) จึงได้ประสานชุดทหารม้าลาดตระเวน (มว.ลว.) ที่ 4 ฉก.ลาดหญ้า จำนวน 4 นาย, สารวัตรกำนันตำบลบ้านเก่า และนายพนมกร คล้ายเมือง ผญบ.หมู่ 7 หนองบ้านเก่า พร้อมชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) 2 นาย รวมกำลังทั้งหมด 11 นาย ร่วมกันตรวจสอบเส้นทางและวางแผนซุ่มเฝ้าตรวจ เมื่อเวลา 02.10 น.

สามารถจับกุมผู้นำพา จำนวน 3 คน ทราบชื่อเบื้องต้นนายแป๊ะ (ไม่ทราบชื่อสกุลจริง) พี่ชาย นายมนัส ทองเถาว์, นายแอ๊ด อุดเรือน หรือแอ๊ด และนายติ่ง (ไม่ทราชื่อสกุลจริง) พร้อมแรงงานต่างด้าว จำนวน 49 คน (ชาย 25 คน หญิง 24 คน) บริเวณพื้นที่บ้านประตูด่าน หมู่ 14 ต.บ้านเก่า อ.เมือง จ.กาญจนบุรี 

ปัจจุบันยังควบคุมตัวทั้งหมดไว้ในพื้นที่จับกุม ซักถามเบื้องต้นจะมีผู้นำพาชื่อ “ป๊อกเด้ง” เดินพาต่างด้าวตามมาอีก 30 คน ปัจจุบันเจ้าหน้าที่กำลังซุ่มเพื่อจับกุมต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top