Monday, 12 May 2025
POLITICS NEWS

ครม.ไฟเขียวงบกลาง 2,254 ล. จ้างพนักงานราชการเฉพาะกิจ 10,000 อัตรา

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่าที่ประชุมครม. เห็นชอบให้มีการจ้างพนักงานราชการเฉพาะกิจ 10,000 อัตรา เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 เป็นวงเงิน กว่า 2,254 ล้านบาท 

ทั้งนี้จะเปิดรับผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีที่จบใหม่ จัดสรรอัตราเข้าสู่หน่วยงานราชการที่มีภารกิจสำคัญ และเร่งด่วนทั่วประเทศโดยเฉพาะในส่วนภูมิภาค ซึ่งจะได้รับค่าตอบแทน 18,000 บาทต่อเดือน มีสัญญาการจ้างงาน ไม่เกินหนึ่งปี และได้รับสิทธิประโยชน์เทียบเท่า พนักงานราชการปกติรวมถึงเงินประกันสังคมด้วย ถือเป็นมาตรการหนึ่งที่รัฐบาลต้องการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เรียกว่าได้เข้าเป็นพนักงานราชการเฉพาะกิจ

สำหรับจ้างพนักงานราชการรวม 10,000 อัตราครั้งนี้ รวมทั้งรัฐบาลจะจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม 750 บาท และเงินสมทบเข้ากองทุนทดแทนเดือนละ 36 บาท ให้ด้วย และจะได้สิทธิประโยชน์เช่นเดียวกับพนักงานราชการปกติ ยกเว้นสิทธิในการลาอุปสมบท หรือประกอบพิธีฮัจญ์ ซึ่งกำหนดไว้ไม่เกิน 120 วัน โดยมีระยะเวลาจ้างงานไม่เกิน 1 ปีนับจากวันทำสัญญาหรือไม่เกินวันที่ 30 ก.ย. 2565 ฉะนั้น ให้เร่งจ้างให้แล้วเสร็จภายในเดือนส.ค. 2564 และไม่มีการต่อสัญญาจ้าง แต่หากตำแหน่งว่างลงระหว่างปีก็ให้ทำการจ้างคนใหม่ได้ 

ทั้งนี้ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีมีข้อสังเกตให้รีบการสรรหาบุคคลให้แล้วเสร็จ ภายในเดือนมิ.ย. และให้พิจารณาคุณสมบัติผู้ที่มีทักษะความเข้าใจและการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อสอดคล้องกับนโยบายเวิร์ค ฟอร์ม โฮมของรัฐบาลในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ด้วย

‘บิ๊กตู่’ เปิดไทม์ไลน์รัฐบาลเหลือ 1 ปี สั่งครม. เร่งเดินกิจกรรมส่งต่อรัฐบาลหน้า ลั่น จากนี้งานต้องมีผลสำเร็จจับต้องได้ ย้ำฝ่ายการเมือง-ข้าราชการ ทิ้งกันไม่ได้ อ้อนอยู่ด้วยกันมานาน ขอทุกคนเข้าใจ จะทำทุกอย่างให้ดีที่สุด

เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 8 มิ.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ปัจจุบันสถานการณ์เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท ได้มีการอนุมัติไปแล้ว 984,000 ล้านบาท จนถึงวันนี้เบิกจ่ายไปแล้ว 73 เปอร์เซ็นต์ ยังคงเหลือเงินกู้อีกประมาณ 15,000 ล้านบาท ซึ่งต้องมีเงินไว้ส่วนหนึ่งเพื่อสำรองในการลดค่าน้ำค่าไฟให้กับประชาชนต่อไป ทั้งนี้หลายเรื่องที่ได้มีการหารือในที่ประชุมครม. ซึ่งตนมีความเป็นห่วงกังวลเกี่ยวกับเกษตรกร ชาวนา ชาวไร่ ชาวสวน ว่าทำอย่างไรจะให้หลุดพ้นจากความยากจนได้โดยเร็วที่สุด โดยตนได้สั่งการและมอบนโยบายไปแล้วว่าจำเป็นต้องเร่งรัดหลายกิจกรรมในช่วงระยะเวลา 1 ปีที่ยังเหลืออยู่ในรัฐบาลปัจจุบัน และเตรียมพร้อมที่จะทำอะไรให้เกิดผลสัมฤทธิ์ส่งต่อให้กับรัฐบาลวันข้างหน้าต่อไป ทั้งนี้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ชาติ ตามแผนงาน 1 ปี และแผนงานระยะปานกลาง 3 ปี ยุทธศาสตร์ 5 ปี นั่นคือความต่อเนื่องและสอดคล้อง สุดแล้วแต่รัฐบาลใดจะเข้ามารับผิดชอบกันต่อไป ถ้าไม่ทำแบบนี้ก็ไม่ต่อเนื่อง แล้วจะทำไม่ได้

“ผมไม่ได้ขัดข้องเรื่องแผนงานโครงการที่เสนอขึ้นมา แต่เราจำเป็นต้องมีการตรวจสอบคัดกรอง โดยคณะอนุกรรมการ คณะกรรมการหลายระดับด้วยกัน จากภาครัฐและภาคเอกชน มีส่วนร่วมในการพิจารณาแผนงานโครงการทั้งสิ้น ซึ่งไม่ได้ต้องการให้ไปเกิดประโยชน์อะไรกับใครทั้งสิ้น ประโยชน์ต้องตกอยู่กับพี่น้องคนไทยทุกคนในแต่ละพื้นที่ แต่ละจังหวัด ให้เกิดความทั่วถึงและเป็นธรรม” นายกฯ กล่าว

“รัฐบาลยืนยันงบประมาณที่มีอยู่จะใช้อย่างคุ้มค่า รัฐบาล นายกรัฐมนตรี ก็ได้มีการย้ำในที่ประชุมครม. เสมอมาให้ระมัดระวังการทุจริต ระมัดระวังความไม่โปร่งใสไม่เป็นธรรมอะไรก็แล้วแต่ ซึ่งมีคำพูดคำกล่าวมามากมายในขณะนี้ ขอให้เข้าใจว่ารัฐบาลหรือ ครม. มีหน้าที่ในการอนุมัติหลักการและการดำเนินการ อนุมัติการใช้จ่ายเงิน แต่ในขั้นตอนการดำเนินการเป็นเรื่องของหน่วยงาน คณะกรรมการต่างๆ จะต้องรับผิดชอบ ผมเองรับผิดชอบในฐานะเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร ผมรับผิดชอบตามลำดับชั้นของผม

อย่างไรก็ตามขอยืนยันว่าจะทำทุกอย่างให้กับพี่น้องคนไทยทั้งประเทศ ไม่ละเว้นใครแม้แต่คนเดียว จะทำให้มากที่สุด และทุกจังหวัด ไม่ใช่เฉพาะคนรักคนชอบ มันไม่ใช่ ผมไม่ได้ทำงานแบบนั้น จะเห็นได้ว่าหลายอย่างมีทั้งเข้าใจและไม่เข้าใจ ผมก็ไปโกรธเคืองกับใครไม่ได้ ขอให้ระมัดระวังความขัดแย้งที่มันจะเกิดขึ้น ทำให้บ้านเมืองไม่มีเสถียรภาพ และทำให้การทำงานต่างๆ มันเป็นไปไม่ได้ แผนงานโครงการต่างๆ เดินหน้าต่อไปไม่ได้ ขอให้รับฟังคำชี้แจงอันเป็นประโยชน์เป็นข้อเท็จจริงในการพิจารณางบประมาณต่างๆ ในชั้นกรรมาธิการ และยืนยันว่าหากมีงบประมาณอะไรที่มีการแปรญัตติมาแล้ว ผมจะนำมาดำเนินการบริหารเพิ่มให้มากขึ้นในส่วนที่ลดน้อยลงตามความจำเป็น อันนี้เป็นเรื่องของฝ่ายบริหารที่จะต้องรับผิดชอบต่อไปในอนาคตด้วย ขอความร่วมมือกับทุกท่านแค่นั้น” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขอเป็นกำลังใจให้ข้าราชการทุกคนที่ทำงานอย่างหนักในการแก้ปัญหาสถานการณ์โควิดหลายเดือนมาแล้ว เป็นปีมาแล้ว บางคณะทำงานทุกวัน 24 ชั่วโมง มีการประชุมทุกวันไม่มีวันหยุด หลายคนเจ็บป่วยเป็นไข้บ้าง ขอให้เห็นใจเจ้าหน้าที่ บุคคลากรทางการแพทย์ สาธารณสุข อสม. แม้กระทั่งหน่วยงานท้องถิ่นจังหวัดทุกคน นั่นคือพลังของคนไทยที่เราจะต้องชนะไปด้วยกันในเรื่องของโควิด และสถานการณ์เศรษฐกิจที่กำลังมีปัญหาในขณะนี้ แต่ยินดีที่ภาคเศรษฐกิจในภาพรวม มหภาค ยังดีอยู่ในส่วนของการส่งออกที่ปริมาณการส่งออกมากขึ้น ในปัจจุบันสถานการณ์หลายประเทศเริ่มฟื้นฟูเรื่องเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องสุขภาพด้วย ซึ่งหน่วยงานต่างประเทศประเมินว่าในปี 65 หลายอย่างน่าจะดีขึ้นในทุกภูมิภาคของเรา

ดังนั้นเราจะต้องเดินหน้าไปสู่เป้าหมายอย่างท้าทายว่าจะทำอย่างไรให้เศรษฐกิจของเราเดินหน้าได้ วันนี้ต้องหวังพึ่งเศรษฐกิจรอบบ้าน ซึ่งมีสถิติสูงขึ้นหลายเปอร์เซ็นต์ หรือ 20 กว่าเปอร์เซ็นต์ 5 แสนกว่าล้านบาทในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งเราตั้งเป้าไว้ประมาณ 1 แสนล้านบาท จากเศรษฐกิจชายแดน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์รอบประเทศเราด้วย ซึ่งเราต้องติดตามสถานการณ์ในทุกมิติ

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ขณะนี้มีการประชุมร่วมกันหลายกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มเศรษกิจใหญ่ๆ ทั้ง จี 7 จี 10 และอีกหลายเวทีโลก ซึ่งได้มีการประชุมหารือในเรื่องเศรษฐกิจในอนาคต เราก็ต้องเตรียมการให้พร้อมรับมือกับพันธสัญญาในเรื่องต่างๆ ที่มีอยู่ เพราะเราอยู่ในห่วงโซ่ของเขาหมด ทั้งเรื่องของการค้า การลงทุน ซึ่งมีกติกามากมายออกมา เราต้องเตรียมความพร้อม ทุกคนต้องเข้มแข็ง อดทน และเพิ่มขีดความสามารถของตัวเองให้สอดคล้องกับมาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลได้ออกมาในช่วงเวลานี้ ซึ่งก็มีมาตรการออกมาเป็นจำนวนมากที่บางทีก็ดูว่า ไม่สำเร็จซักเรื่อง แต่อย่าลืมว่า เรามีคนจำนวนมากที่เดือดร้อนในหลายอาชีพ เราจึงจำเป็นต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่องให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ของเรา

ซึ่งก็ได้ย้ำว่าใน 1 ปีนี้ จะต้องมีผลสำเร็จที่จับต้องเป็นรูปธรรมได้ว่าเรามีการแก้ไขปัญหาอะไรไปแล้วบ้าง และอีก 1 ปี ข้างหน้าจะทำอะไร เตรียมแผนเอาไว้ ทั้งนี้ แผนงานทั้งหมดไม่ใช่นายกฯ เป็นคนกำหนดทั้งหมด แต่เป็นแผนงานที่เสนอมาจากข้างล่าง จำนวนหลายหมื่นโครงการ ผ่านอนุกรรมการ ผ่านคณะกรรมการ จนมาถึงระดับนโยบายบริหาร ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันทั้งฝ่ายการเมือง ข้าราชการ เราทิ้งกันไม่ได้ เพราะทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎหมาย เป็นไปตามระเบียบราชการทุกกรณี

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า รัฐบาลพยายามแก้ปัญหาอีกเรื่องในขณะนี้ คือ การแก้ปัญหาเรื่องของโรงแรม สถานประกอบการต่างๆ รัฐบาลกำลังจะหาวิธีที่จะแก้ปัญหาในกรณีที่มีปัญหาเรื่องการจดทะเบียนต่างๆ ต้องใช้เวลาในการแก้ไขอีกนิดนึงเพื่อจะได้เตรียมการรองรับการท่องเที่ยวในปีหน้าว่าจะทำอย่างไรต่อไป อย่างไรก็ตามเรื่องนี้เป็นปัญหากดทับมานานแล้ว อย่างเช่นเรื่องของหนี้กยศ. หนี้ครู ทุกอย่างอยู่ในขั้นตอนการดำเนินการทั้งสิ้น ก็ต้องขอเวลาเพราะมีคนจำนวนมาก มีหนี้จำนวนมาก จะบริหารจัดการกันได้อย่างไรเพราะเราก็มีงบประมาณจำกัด ทำอย่างไรเราจะแก้ปัญหานี้ได้ให้มากที่สุด และทำอย่างไรจะไม่ให้เกิดปัญหาอื่นๆ ตามมาภายหลัง นี่คือสิ่งที่เราต้องทำงานให้รอบคอบ

“ในฐานะนายกรัฐมนตรี อยู่กับท่านมาหลายปีมาแล้ว ทุกคนก็คงทราบดีว่ามีความตั้งใจอย่างไร เจตนาของผมเป็นอย่างไร ขอเพียงให้ทุกคนเข้าใจ ผมไม่เคยบังคับอะไรท่านได้ เพราะเป็นเรื่องของประชาชนที่ต้องการ ผมก็ฟังทุกคนทุกภาคส่วน” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วานนี้ (7 มิ.ย.) ได้คุยกับสมาคมชาวนา ว่าจะพัฒนากันอย่างไรก็รับฟังความคิดเห็นมา และนำสู่การขับเคลื่อนโดยกระทรวงเกษตรฯ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ดูว่าจะทำอย่างไรให้ชาวนามีรายได้ที่สูงขึ้น ตนก็รับฟังข้อมูลมาจากหลายๆ ทาง ทั้งคนที่ทำนาเอง หรือ การจ้างแรงงาน เพราะฉะนั้นปัญหาของชาวนาคือเรื่องของการลดต้นทุน บริหารโดยวิสาหกิจชุมชนแบบครบวงจร ทั้งเมล็ดพันธุ์ทางการเกษตรที่มีคุณภาพ ปุ๋ยถือเป็นต้นทุนทั้งสิ้น บางคนไม่มีที่ของตัวเองก็ต้องไปเสียค่าเช่า เพราะฉะนั้นต้นทุนจะสูงแต่ขายข้าวมาได้จำนวนจำกัด

และนอกจากนี้เมื่อไปถึงโรงสีก็มีการตรวจในเรื่องของความชื้นอีก ซึ่งถ้าเราช่วยคนส่วนใหญ่ของประเทศเหล่านี้ได้ก็จะทำให้ หลุดพ้นจากการติดกับดักตัวเอง ซึ่งตนและครม. ของตนจะดำเนินการเรื่องเหล่านี้ให้ดีที่สุด ปัญหาอะไรที่ทับซ้อนยาวนาน บางอย่างมีความเกี่ยวข้องกับกฎหมาย กฎกระทรวง ก็พยายามแก้ไขให้ได้ทุกอย่าง ขอเพียงความเข้าใจ ความร่วมมือ ตนขอเพียงเท่านี้ และขอขอบคุณกำลังใจที่ทุกท่านส่งมาให้ตนเองและข้าราชการทุกคน โดยเฉพาะให้กับกระทรวงสาธารณสุขและบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงทุกคนที่เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหา ก็ยืนยันจะดูแลแก้ปัญหาให้ดีที่สุด


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

รัฐบาลเคาะเงินกู้อีก 3,210 ล. ให้สธ.สู้โควิด-บริหารจัดการน้ำ พร้อม เคาะอีก 505 โครงการพัฒนาภาค วงเงิน 6.3 หมื่นล้าน

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมครม. อนุมัติ 7 โครงการ ภายใต้ พ.ร.ก.กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท เพิ่มเติมอีก 3,210 ล้านบาท คือ

1.) โครงการยกระดับการให้บริการทางการแพทย์แก่ประชาชนเพื่อรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินจากการระบาดของโควิด-19 ของกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข 101 ล้านบาท

2.) โครงการยกระดับหน่วยบริการกรมอนามัยรองรับการระบาดของโควิด-19 ของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข 128 ล้านบาท

3.) โครงการจัดหาวัสดุครุภัณฑ์ทางการแพทย์ ของกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข 54 ล้านบาท

4.) ขยายระยะเวลาดำเนินโครงการจัดหาวัคซีน สำหรับบริการประชาชนในประทศไทย เพิ่มเติมจำนวน 35 ล้านโดส จากเดิม 5 เดือน (เดือนพ.ค.-ก.ย. 2564) เป็นระยะเวลา 7 เดือน (เดือนมิ.ย.-ธ.ค.2564) ของกรมควบคุมโรค เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในการจัดซื้อจัดหาและส่งมอบวัคซีน

5.) โครงการปรับปรุงพัฒนาแหล่งน้ำเพื่ออุปโภค บริโภค และการเกษตร ของกรมทรัพยากรน้ำ 1,826 ล้านบาท

6.) โครงการพัฒนาน้ำบาดาลเพื่อการเกษตรแปลงใหญ่ 601 ล้านบาท และโครงการเพิ่มประสิทธิภาพระบบกระจายน้ำบาดาลเพื่อการเกษตรด้วยพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อส่งเสริมเกษตรแปลงใหญ่ 497 ล้านบาท ของกรมทรัพยากรน้ำบาดาล รวมทั้งหมด 1,099 ล้านบาท 

7.) ให้จังหวัดยโสธรเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของโครงการส่งเสริมการเกษตรแบบผสมผสานโดยจัดระบบอนุรักษ์ดินและน้ำในไร่นา โดยเพิ่มพื้นที่หมู่บ้านดำเนินการจากเดิมทั้งหมด 12 หมู่บ้าน เป็น 13 หมู่บ้าน และยกเลิกกิจกรรมย่อยแปรรูปข้าว เพื่อสนับสนุนวิสาหกิจชุมชนกลุ่มผลิตและจำหน่ายข้าวเม่า ตำบลสามัคคี อำเภอเลิงนกทา วงเงิน 200,000 บาท ภายใต้โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและแปรรูปสินค้าเกษตร ทำให้กรอบวงเงินโครงการปรับลดจาก 3.98 ล้านบาท เป็น 3.78 ล้านบาท ทั้งนี้การดำเนินโครงการทั้งหมดจะทำให้วงเงินกู้ 1 ล้านล้านบาท เหลือกรอบวงเงิน 15,961 ล้านบาท

นอกจากนี้ นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมครม. เห็นชอบแผนปฏิบัติการภาค ประจำปีงบประมาณ 65 ทั้ง 6 ภาค รวมทั้งหมด 505 โครงการ คิดเป็นวงเงินงบประมาณ 63,595 ล้านบาท ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการบูรณาการนโยบายพัฒนาภาค หรือ ก.บ.ภ เป็นผู้นำเสนอ หลังจากพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ได้เป็นประธานการประชุม ก.บ.ภ เพื่อพิจารณาแผนฉบับนี้ไปแล้วเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา

สำหรับแผนปฏิบัติการภาค ทั้ง 6 ภาค แยกเป็น แผนปฏิบัติการ ภาคเหนือ จำนวน 62 โครงการ วงเงิน 13,688.47 ล้านบาท แผนปฏิบัติการภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 154 โครงการ วงเงิน 22,278.40 ล้านบาท แผนปฏิบัติการภาคกลางและพื้นที่กรุงเทพมหานคร จำนวน 90 โครงการ วงเงิน 9,684.14 ล้านบาท แผนปฏิบัติการภาคตะวันออก จำนวน 61 โครงการ วงเงิน 4,866.81 ล้านบาท แผนปฏิบัติการภาคใต้ จำนวน 87 โครงการ วงเงิน 10,226.53 ล้านบาท แผนปฏิบัติการภาคใต้ชายแดน จำนวน 51 โครงการ วงเงิน 2,851.41 ล้านบาท

นายอนุชา กล่าวว่า ที่ประชุมครม. ยังเห็นชอบแผนปฏิบัติราชการประจำปีงบประมาณ 65 ของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด จำนวน 76 จังหวัด และ 18 กลุ่มจังหวัด รวมทั้งสิ้น 1,757 โครงการ งบประมาณรวม 42,882.33 ล้านบาท ทั้งในส่วนของงบจังหวัดและงบกลุ่มจังหวัด เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาเพื่อเพิ่มศักยภาพที่เป็นความต้องการและแก้ไขปัญหาประเด็นร่วมของกลุ่มจังหวัด และเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาในลักษณะคลัสเตอร์ หรือตอบสนองนโยบายเชิงพื้นที่ด้วย

ขณะเดียวกันที่ประชุมยังเห็นชอบแผนพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัด พ.ศ.2561-2565 ฉบับทบทวนจำนวน 76 จังหวัด และ 18 กลุ่มจังหวัด โดยขอให้จังหวัดและกลุ่มจังหวัด จัดลำดับความสำคัญของปัญหาและความต้องการของประชาชนพร้อมทั้งระบุพื้นที่เป้าหมายและกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจน กำหนดตัวชี้วัดให้สอดคล้องกับเป้าหมายและประเด็นการพัฒนา ปรับข้อมูลทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยให้มีความสอดคล้องกับข้อมูลปัจจุบันมากที่สุดด้วย

ครม. เคาะ ร่างปฏิญญาการเมือง-การขนส่ง มอบ ศักดิ์สยาม รับรองในที่ประชุมระดับภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก 10 มิ.ย.นี้

ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า เห็นชอบร่างปฏิญญาเมืองและการขนส่ง ความปลอดภัย ความมีประสิทธิภาพและความยั่งยืน พร้อมอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองร่างปฏิญญาดังกล่าว โดยจะมีการรับรองร่างปฏิญญาฯ ในที่ประชุมระดับภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ว่าด้วยเมืองและการขนส่งฯ ผ่านระบบการประชุมทางไกลในวันที่ 10 มิถุนายนนี้ ตามที่คณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติสำหรับเอเชียและแปซิฟิก (เอสแคป) ได้มีหนังสือถึงกระทรวงคมนาคมแจ้งเชิญเข้าร่วมประชุมดังกล่าว

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สำหรับร่างปฏิญญาเมืองและการขนส่งฯ นี้ มีวัตถุประสงค์ในการให้ประเทศสมาชิกได้แสดงเจตนารมณ์ในการสนับสนุนการพัฒนาระบบการขนส่งภายในเมืองที่ยั่งยืน ซึ่งส่งผลต่อการพัฒนาด้านเศรษฐกิจภายในเมืองและคุณภาพชีวิตของประชาชนในการพัฒนาสู่ความเป็นเมือง รวมถึงการแก้ไขปัญหาการใช้เครื่องยนต์ที่มีอัตราเพิ่มสูงขึ้นจากการจราจรภายในเมือง การพัฒนาระบบการขนส่งสาธารณะที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการของประชาชนเพื่อลดต้นทุนการเดินทางและปัญหาการจราจรหนาแน่น การลดอัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในเขตเมืองที่รองรับยานพาหนะที่มีขนาดเบาและการขนส่งที่ไร้เครื่องยนต์

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า นอกจากนี้ยังมีเรื่องการส่งเสริมการใช้ยานพาหนะพลังงานไฟฟ้า การพัฒนาระบบขนส่งแบบดิจิทัลและสามารถเข้าถึงได้ ตลอดจนการมุ่งมั่นในการพัฒนาระบบการขนส่งภายในเมืองที่ยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าอาจต้องมีการปรับเปลี่ยนแนวทางในการดำเนินการ เนื่องจากผลกระทบของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (โควิด-19) หรือสภาวะวิกฤติต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

“จุรินทร์” ชี้ ยุบสภา อยู่ที่นายกฯ แต่ปชป.พร้อมเปิดตัวผู้สมัครส.ส.-สก. รุ่นใหม่อีกชุด โว จัดทัพผู้สมัครทั่วประเทศเกือบครบแล้ว

ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงความเป็นไปได้กับกระแสการยุบสภาที่เริ่มมาแรงมากขึ้น พรรคประชาธิปัตย์เตรียมความพร้อมอย่างไรบ้างว่า การยุบสภาเป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรี ตนไม่อยู่ในฐานะที่จะตอบได้ว่ามีหรือไม่มี หรือถ้ามีการยุบสภาจะมีเมื่อไหร่ แต่สำหรับการเตรียมความพร้อมในฐานะพรรคการเมือง เรามีความพร้อมและได้มีการเตรียมการมาต่อเนื่อง ซึ่งการเตรียมผู้สมัครรับเลือกตั้งส.ส.คืบหน้าไปมาก เกือบจะเรียกได้ว่าในกรุงเทพที่มีทั้งหมด 30 เขต พรรคเคาะไป 20 กว่าเขตแล้ว ถือว่าประมาณเกือบ 90 เปอร์เซนต์แล้ว และส่วนในภาคใต้ 50 เขต ยังขาดอีกไม่กี่เขต ขณะที่ภาคอื่นๆ ก็ดำเนินการไปคืบหน้าเช่นเดียวกัน โดยจะมีการประกาศว่าใครจะลงสมัครส.ส.ในนามพรรคประชาธิปัตย์เป็นลำดับไป 

“ในกทม.ผมได้ลงพื้นที่ต่อเนื่องเป็นเดือนแล้ว สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง จากนี้ไปก็จะทยอยเปิดตัวผู้ที่พรรคพิจารณาแล้วเห็นว่าจะลงสมัครในนามพรรค ทั้งส.ส. และส.ก. โดยในสัปดาห์นี้หรือสัปดาห์หน้าจะเปิดตัวผู้สมัครส.ส. และส.ก.รุ่นใหม่ของกทม.อีกชุดหนึ่ง” นายจุรินทร์ กล่าว

เมื่อถามว่ามองอย่างไรที่มีการระบุว่ารอยร้าวในพรรคร่วมรัฐบาลจะเป็นสัญญาณว่าจะมีการยุบสภาในปลายปีนี้ นายจุรินทร์กล่าวว่า ตนไม่สามารถคาดการณ์อะไรล่วงหน้าได้ ส่วนเรื่องการแก้ปัญหาเป็นหน้าที่ของนายกฯ ที่เป็นแกนนำรัฐบาล และในฐานะที่ประธานของพรรคการเมืองที่นำพรรคการเมืองมาประกอบเป็นรัฐบาลผสม ฉะนั้นเบอร์หนึ่งก็ต้องมีหน้าที่คลี่คลายปัญหานี้ และเท่าที่ตนติดตามนายกฯ ท่านก็พยายามทำอยู่ ตรงไหนที่มีปัญาหาและมีประเด็นความไม่เข้าใจเกิดขึ้นท่านก็ทำหน้าที่อยู่ ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ได้มีปัญหาอะไร ตราบเท่าที่ยังไม่มีการละเมิดเงื่อนไขร่วมรัฐบาล

ครม.โยก “ณัฐธ์ภัสส์ ยงใจยุทธ” ที่ปรึกษา รมต.แฮงค์ ไปเป็น ผู้ช่วยรมต. รมว.ยุติ

ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.ไตรศุลี  ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรีว่า คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน 2 ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ดังนี้

1.) นายมรกต จรูญวรรธนะ นักวิชาการอาหารและยาเชี่ยวชาญ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ดำรงตำแหน่ง ผู้ทรงคุณวุฒิด้านความปลอดภัยและประสิทธิผลของผลิตภัณฑ์และการใช้ผลิตภัณฑ์ด้านสาธารณสุข (นักวิชาการอาหารและยาทรงคุณวุฒิ) สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ตั้งแต่วันที่ 30 กันยายน 2563

2.) นายบุญส่ง วนิชเวชารุ่งเรือง นายแพทย์เชี่ยวชาญ (ด้านเวชกรรม สาขาจักษุวิทยา) กลุ่มงานจักษุวิทยา ภารกิจด้านวิชาการและการแพทย์ โรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ ดำรงตำแหน่ง นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขาจักษุวิทยา) โรงพยาบาลสงฆ์ กรมการแพทย์ ตั้งแต่วันที่ 9 ตุลาคม 2563

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป 

คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอแต่งตั้ง นางลาวัณย์ ตรีเนตร ศึกษานิเทศก์ (วิทยฐานะศึกษานิเทศก์เชี่ยวชาญ) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 1 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาด้านพัฒนากระบวนการเรียนรู้ (นักวิชาการศึกษาทรงคุณวุฒิ) สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ตั้งแต่วันที่ 17 กันยายน 2563 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป

คณะรัฐมนตรีมติอนุมัติตามที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เสนอแต่งตั้ง นางนวลจันทร์ โพธิ์ช่วย ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ให้ดำรงตำแหน่ง รองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป 

คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอการแต่งตั้ง นางสาวณัฐธ์ภัสส์ ยงใจยุทธ เป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่นายกรัฐมนตรีลงนามในประกาศแต่งตั้ง 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้นางสาวณัฐธ์ภัสส์ ได้ลาออกจาก ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ของนายอนุชา นาคาศัย เพื่อไปดำรงตำแหน่งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม แทน นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ที่ลาออกไป

นายกฯ ขอบคุณ “จุรินทร์” ปลื้ม พาณิชย์จัดโครงการ “จับคู่กู้เงิน” ช่วยเหลือผู้ประกอบการ

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ได้ขอบคุณนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ได้จัดโครงการ “จับคู่กู้เงิน” เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการร้านอาหารทั่วประเทศให้เข้าถึงสภาพคล่อง ถือเป็นการขับเคลื่อนสำคัญตามนโยบายรัฐบาลที่ต้องการช่วยผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และไมโครเอสเอ็มอี ให้ได้เข้าถึงเงินกู้เพื่อประคับประคองธุรกิจในช่วงสถานการณ์โควิด-19

ทั้งนี้นายจุรินทร์ ได้รายงานว่า โครงการนี้ เป็นความร่วมมือของกระทรวงการคลัง ผ่านสถานบันการเงินของรัฐ 5 แห่ง คือ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม ธนาคารเอสเอ็มอี ธนาคารกรุงไทย ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ และธนาคารออมสิน ที่จะให้สินเชื่อแบบเงื่อนไขผ่อนปรนมากที่สุด เช่น ดอกเบี้ยอัตราพิเศษ ปลอดหลักทรัพย์ค้ำประกันในบางกรณี และเงื่อนไขอื่นๆ ทั้งนี้ โครงการเริ่มให้บริการเมื่อวานนี้เป็นวันแรก ประชาชนผู้สนใจสามารถติดต่อสถาบันการเงินดังกล่าวทั้ง 5 แห่งได้ 

‘รัฐบาล' ระบุ สธ.เตรียมแผน ฉีดวัคซีนให้ชาวต่างชาติ ครอบคลุมแรงงานต่างด้าว

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลประชุมคณะรัฐมนตรี กรณีที่มีกระแสเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนให้กับชาวต่างชาติว่า ก่อนหน้านี้ กระทรวงการต่างประเทศ แถลงว่าประเทศไทยจะฉีดวัคซีนให้กับทุกคนที่พำนักอยู่ในประเทศไทย ทั้งแรงงานต่างชาติ หรือผู้ที่ทำหน้าที่อยู่ในประเทศไทยในลักษณะของคณะทูต หรือองค์กรระหว่างประเทศต่างๆ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขอยู่ระหว่างการจัดทำรูปแบบการลงทะเบียนให้ชาวต่างชาติผ่านระบบต่างๆ แต่ขณะนี้ยังไม่มีการประกาศว่าจะลงทะเบียนอย่างไร หากได้ข้อสรุปแล้วจะชี้แจงให้ประชาชนได้ทราบโดยอีกครั้ง

'นายกฯ' สั่ง 'รมว.คลัง' แจงพ.ร.ก.กู้เงิน 5 แสนล้านบาท

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม มอบหมายให้นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง เป็นผู้ชี้แจงพ.ร.ก.กู้เงิน 5 แสนล้านบาท ต่อสภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 9 มิ.ย.นี้ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปชี้แจงเพิ่มเติม ส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 

ประกอบด้วย 3 แผนงาน ได้แก่

1.) แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขปัญหาการระบาดของ โควิด-19 วงเงิน 30,000 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการแพทย์และสาธารณสุข การวิจัยและพัฒนาวัคซีนภายในประเทศ

2.) แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือ เยียวยา หรือชดเชยให้แก่ประชาชนในทุกสาขาอาชีพ ซึ่งได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 วงเงิน 3 แสนล้านบาท เพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน ช่วยผู้ประกอบอาชีพและผู้ประกอบการ สามารถดำเนินธุรกิจได้ต่อเนื่อง และ

3.) แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของ โควิด-19 วงเงิน 170,000 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับแผนงาน โครงการ เพื่อรักษาระดับการจ้างงาน กระตุ้นการลงทุนและการบริโภค 

"ทั้ง 3 แผนงานนี้ สามารถโยกเงินผ่านแผนงานต่างๆ มาใช้ได้ในวงเงิน 5 แสนล้านบาท แต่ไม่สามารถที่จะนำไปใช้ในแผนงานอื่นนอกเหนือจาก 3 กรอบนี้ได้" นายอนุชา กล่าว

‘ปิยบุตร’ ชวนประชาชนช่วยดัน ‘ร่างแก้ รธน. ขอคนละชื่อรื้อระบอบประยุทธ์’ เข้าสภา อัด ‘ร่างแก้ รธน. ฉบับพลังประชารัฐ’ รวบหัวรวบหางเอื้อประโยชน์ตนเอง เตรียมเลือกตั้งใหม่

นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ในฐานะแกนนำกลุ่ม Re-solution กล่าวถึงกรณีที่ นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐให้สัมภาษณ์ว่าในวันที่ 15 มิ.ย. 2564 นี้ประธานรัฐสภาจะมีการนัดหารือกับทั้ง ส.ว. พรรคร่วมรัฐบาลและพรรคร่วมฝ่ายค้านเพื่อเตรียมประชุมร่วมกันของรัฐสภา โดยคาดว่าในวันที่ 22-23 มิถุนายน 2564 จะมีการประชุมรัฐสภาพิจารณาญัติขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 

โดยนายปิยบุตรขอให้ประชาชนช่วยกันเร่งเข้าชื่อในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญขอคนละชื่อรื้อระบอบประยุทธ์ เพื่อไม่ให้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคพลังประชารัฐที่ยื่นโดย นายไพบูลย์ นิติตะวัน กลายเป็นร่างหลักในรัฐสภา เพราะร่างของพรรคพลังประชารัฐกำลังพยายามรวบหัวรวบหางแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่องระบบเลือกตั้งเพื่อเอื้อประโยชน์ให้พรรคใหญ่

นายปิยบุตร กล่าวว่า จากกระแสทางการเมืองในขณะนี้มีความเป็นไปได้ว่ารัฐบาลอาจเตรียมพร้อมยุบสภาหลังจากที่ พ.ร.บ.งบประมาณปี 2565 ผ่าน แต่ก่อนที่จะมีการยุบสภาเกิดขึ้น สิ่งที่รัฐบาลจะทำก่อนคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่จะทำให้พวกพ้องของตนเองได้ประโยชน์ เช่น การแก้ไขเรื่องระบบเลือกตั้ง เพื่อให้พรรคการเมืองที่สนับสนุนการสืบทอดอำนาจของตัวเอง ครองเสียง ส.ส. ในสภาได้จำนวนมากและได้เกินกว่าสัดส่วนที่ควรจะเป็น 

นายปิยบุตร กล่าวต่อไปว่า การยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรครัฐบาล มีข้อเสนอเป็นที่แน่ชัดว่าพยายามรวบหัวรวบหางแก้ไขเรื่องระบบเลือกตั้งเพื่อประโยชน์ของพรรคการเมืองใหญ่ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ ปล่อยให้พรรครัฐบาลสามารถยื่นแก้ไขได้อย่างสะดวก ทิศทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็จะได้รัฐธรรมนูญตามที่ฝ่ายรัฐบาลสืบทอดอำนาจต้องการ ทำไปเพื่อประโยชน์ของคนบางกลุ่ม ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ และด้วยเสียงในสภาของทั้ง ส.ส. ฝ่ายรัฐบาล และ ส.ส. ฝากเลี้ยงตามพรรคการเมืองต่างๆ รวมเข้ากับเสียงของ ส.ว. 250 คนที่ไม่เคยแตกแถว แม้จะปัดตกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทุกร่าง แต่ถ้าเป็นร่างจากพรรคพลังประชารัฐก็จะต้องยกมือให้ผ่านหมดแน่นอน จนได้ผลลัพธ์ที่พวกเขาต้องการ

“หากปล่อยให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ตามสิ่งที่พวกเขาต้องการสำเร็จ ในอนาคตเมื่อมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น ด้วยการถือครองอำนาจรัฐ อำนาจสถาบันทางการเมือง มีกลไกองค์กรอิสระต่างๆ และระบบเลือกตั้งที่เอื้อให้พรรคสืบทอดอำนาจได้เปรียบ รวมเข้ากับเสียงของ ส.ว. 250 ที่คณะรัฐประหารแต่งตั้งมาเองกับมือและมีอำนาจเลือกนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ 2560 กลายเป็นว่าเราก็จะได้รัฐบาลแบบเดิม ระบอบประยุทธ์จะยิ่งมั่นคงขึ้น เจตจำนงและเสียงของประชาชนจะถอยหลังลงคลองลงเรื่อยๆ จะถือเป็นการผนึกกำลังกินรวบประเทศอย่างแท้จริง พวกเขาเคยสืบทอดอำนาจสำเร็จผ่านรัฐธรรมนูญ 60 มาแล้ว อย่าปล่อยให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ไม่เห็นหัวประชาชนเกิดขึ้นอีกครั้ง หากในอนาคตที่ทุกอย่างเข้าทางพวกเขาทั้งหมด พวกเขาจะยิ่งไม่เห็นหัวประชาชนมากขนาดไหน” ปิยบุตร กล่าว

นอกจากนี้แก้ไขรัฐธรรมนูญในส่วนที่เปิดทางให้ ส.ส. และ ส.ว. มีส่วนร่วมในการใช้จ่ายเงินงบประมาณให้ความเห็นชอบโครงการของหน่วยงานของรัฐได้ ทั้งๆ ที่ประเด็นนี้อาจนำไปสู่ผลประโยชน์ทับซ้อน เพราะ ส.ส. เป็นฝ่ายนิติบัญญัติ มีหน้าที่ตรากฎหมายและตรวจสอบรัฐบาล ไม่ใช่ใช้งบประมาณ 

“การเปิดโอกาสให้ ส.ส. วิ่งหางบประมาณมาลงในพื้นที่ตนเอง อาจมาในนามของการช่วยเหลือประชาชน แต่เอาเข้าจริงแล้ว ทำให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบกันระหว่าง ส.ส.รัฐบาล และ ส.ส.ฝ่ายค้าน รัฐมนตรีอาจแบ่งสรรงบประมาณไปลงให้เฉพาะแต่พื้นที่ของ ส.ส. พรรคพวกตนเอง ส่วน ส.ส. ฝ่ายค้าน หากอยากได้บ้างก็ต้องสยบยอมกับรัฐบาลหรือย้ายข้างไปอยู่กับรัฐบาล กลายเป็น ส.ส. งูเห่า ทั้งๆ ที่การช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ คืองานการบริหารราชการแผ่นดิน เป็นหน้าที่ของรัฐบาลและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น” นายปิยบุตร กล่าว

“ดังนั้นต้องมาช่วยกันยืนยันว่าอำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน เราต้องการรัฐธรรมนูญ ต้องการรัฐบาล รัฐสภาที่เห็นหัวประชาชน ที่เราทุกคนเป็นเจ้าของร่วมกัน อย่าปล่อยให้ ส.ว. 250 คนมาขี่คอประชาชนต่อไป ประชาชนจะสามารถทำให้หลักการนั้นเป็นจริงได้ คือการมาร่วมกันแสดงพลัง มาร่วมกันเข้าชื่อรื้อระบอบประยุทธ์ เพื่อดันให้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับขอคนละชื่อรื้อระบอบประยุทธ์เข้าสภาเป็นร่างหลักให้ได้ เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นในการถอนหมุดที่คณะรัฐประหารและรัฐบาลสืบทอดอำนาจปักไว้ในสังคมไทย” นายปิยบุตร กล่าวทิ้งท้าย

โดยประชาชนสามารถไปลงชื่อที่จุดตั้งโต๊ะใกล้บ้านหรือส่งเอกสารทางไปรษณีย์ ดูรายละเอียดที่นี่ www.resolutioncon.com/ ดาวน์โหลดแบบฟอร์มได้ที่นี่ https://bit.ly/3t04VTR
 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top