“ม่องหมดแล้วพวกในวัง”
คือข้อความที่มีคนหวังร้ายไปกระซิบบอกผู้แทนนิสิตนักศึกษาข้างนอกด้วยข้อมูลที่บิดเบือนเพื่อแหกตาและปลุกปั้นมวลชน
การสร้างข่าวเท็จ บิดเบือนข้อเท็จจริงมีทุกยุคทุกสมัย การบิดเบือนให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์มิได้เพิ่งเริ่มมีในยุคสามกีบนี้ แต่มีมาตั้งแต่เหตุการณ์นองเลือดเดือนตุลาแล้ว
เหตุการณ์นักศึกษาจำนวนมากหนีตายเข้าวังสวนจิตฯ ถูกนำมาเป็นเครื่องมือทางการเมืองทั้งในเหตุการณ์เดือนตุลา และนำมาแหกตาซ้ำกับพวกสามกีบในปัจจุบัน เพื่อสร้างความจงเกลียดจงชังสถาบันพระมหากษัตริย์ซ้ำอีก
ทั้งที่ความจริงคือในหลวงรัชกาลที่ 9 รับสั่งให้เปิดประตูวังเพื่อช่วยเหลือนักศึกษาให้พ้นภัย แต่ผู้ไม่หวังดีใช้โอกาสที่นักศึกษาหนีหายเข้าไปในวังนี้ ปล่อยข่าวเท็จว่า ในหลวงสั่งให้ฆ่านักศึกษานั้นทั้งหมด
พล.ต.อ.วสิษฐ คือหนึ่งในบุคคลที่เชื่อกันว่าเป็นผู้กุมความลับของเหตุการณ์ 14 ตุลา และนี่คือคำต่อคำจากปากของ พล.ต.อ. วสิษฐ ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในช่วงเวลานั้น
พล.ต.อ. วสิษฐ เดชกุญชร ซึ่งในเวลานั้นทำหน้าที่สำคัญในการติดต่อประสานเจรจากับผู้นำนิสิตนักศึกษา และเป็นผู้อัญเชิญพระบรมราโชวาทของในหลวงรัชกาลที่ 9 ไปอ่านต่อผู้ชุมนุมในเวลา 5.30 น. ของวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516
มีคนไปกระซิบบอกผู้แทนนิสิตนักศึกษาข้างนอกว่า “ม่องหมดแล้วพวกในวัง” นิสิตที่อยู่ข้างนอกที่มีคนมากระซิบว่าเขาจัดการคน (นิสิตนักศึกษา) ในวังหมดแล้วคือ คุณพีรพล ตริยะเกษม เพราะข่าวนี้เองทำให้คนที่ชุมนุมกันอยู่ที่ลานพระบรมรูปทรงม้าเคลื่อนมาที่หน้าประตูพระวรุณอยู่เจนที่สวนจิตรลดา เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่คนจำนวนแสนมาชุมนุมกันอยู่ที่หน้าวัง
พอเป็นอย่างนั้นผมก็ขอร้องพวกที่อยู่ในวังที่พูดกันรู้เรื่องแล้วให้ไปเจรจากับคนที่อยู่ข้างนอกหน่อยว่าบัดนี้อะไร ๆ ก็เรียบร้อยหมดแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชกระแสรับสั่งลงมาว่ารัฐบาลยอมปล่อยผู้ต้องหาทั้ง 13 คนแล้ว แล้วก็ปล่อยตัวแล้ว
นอกจากจะปล่อยแล้วยังมีข้อตกลงระหว่างฝ่ายรัฐบาลกับผู้แทนนักศึกษาในวังเป็นลายลักษณ์อักษร และจะขอพระราชทานรัฐธรรมนูญใหม่ภายใน 20 เดือน แทนที่จะเป็น 3 ปีตามที่รัฐบาลเคยบอก
เมื่อขอร้องให้ผู้แทนนิสิตไปชี้แจง ผู้แทนนิสิตบอกว่าเดี๋ยวเขาไม่เชื่อ อยากได้คนในวังไปด้วย ตอนนั้นคนในวังที่เป็นผู้ใหญ่มี 3 คน คนหนึ่งคือหม่อมราชวงศ์ทองน้อย ทองใหญ่ อีกคนคือพันเอก เทียนชัย จั่นมุกดา (ยศในเวลานั้น) แล้วก็มีผม
เราก็ถามว่ามี 3 คน เลือกเอาว่าจะเอาใครไป…คุณเสกสรรค์ชี้ว่าเอาพี่ ก็คือผม ที่เอาผมก็เพราะผมเคยเป็นนิสิตจุฬาฯ และผมเขียนหนังสือขาย เป็นดาราทีวีด้วย เขาขอให้ผมไป ผมก็ยอม
เวทีที่ใช้ปราศรัยหน้าวังเป็นรถสองแถวคันไม่ใหญ่นัก ใช้หลังคาเป็นที่ยืนพูด ผมก็ปีนขึ้นไปบนหลังคารถ พูดผ่านเครื่องขยายเสียง ผมก็อัญเชิญพระราชดำรัสของพระเจ้าอยู่หัวที่สำนักพระราชวังเขาบันทึกไว้ แล้วขึ้นไปอ่านให้ที่ชุมนุมฟัง
ผมก็ขึ้นไปอ่านพระราชดำรัสของพระเจ้าอยู่หัว รายละเอียดเรื่องทั้งหมดอยู่ในหนังสือชื่อ เหตุเกิดในกรุงรัตนโกสินทร์ พิมพ์ครั้งแรกใน พ.ศ. 2516
ผมก็อ่านสำเนาพระราชดำรัสและแถมท้ายว่า เมื่อพระเจ้าอยู่หัวรับสั่งแบบนี้ เหตุการณ์ยุติลงแล้ว ผมเห็นว่าพวกเราสมควรยุติการชุมนุมและกลับบ้านกันได้ ผมบอกว่าพระเจ้าอยู่หัวของท่านทั้งหลายไม่ได้บรรทมมา 7 วัน 7 คืนแล้ว เพราะเป็นห่วง รอฟังสถานการณ์บ้านเมือง พอผมพูดจบ ที่ประชุมก็ปรบมือกัน
ใครก็ไม่ทราบเป็นต้นเสียงให้ร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีพร้อม ๆ กัน คนแสนคนร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีดังกระหึ่มหันหน้าไปทางพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน ผมคุกเข่าลงร้องไห้ด้วยความปีติ
จากความปีติอยู่ได้ประเดี๋ยวเดียวเท่านั้นเอง ก็มีเสียงระเบิดตูมขึ้นทีหนึ่ง ปรากฏว่าเป็นนักเรียนอาชีวะคนหนึ่งพกระเบิดขวดในกระเป๋าแล้วระเบิดโดยอุบัติเหตุ แต่ต่อมาอีกสักประเดี๋ยวเดียวก็ได้ยินเสียงตูม ตูม คราวนี้ไม่ใช่ระเบิดขวด แต่เป็นเสียงระเบิดแก๊สน้ำตา ซึ่งเป็นเหตุจากการปะทะของตำรวจกับผู้ที่เดินกลับจากวังไปทางถนนราชวิถี
พอเกิดการตีกันขึ้นก็เกิดข่าวปากต่อปากแจ้งว่าตำรวจฆ่านิสิตนักศึกษาที่หน้าวัง เท่านั้นเองการจลาจลก็กระจายออกไปทั่วกรุงเทพฯ
นี่คือที่มาของมหาวิปโยคที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516