Tuesday, 29 April 2025
NEWS FEED

นครพนม​ -​ทหารพราน 21 ตรวจยึดยาเสพติด ของกลางยาบ้า 2 กระสอบ 189 มัด จำนวน 378,000 เม็ด 

(28 ม.ค. 68) เวลา 13.00 น. ที่กองร้อยเฉพาะกิจทหารพรานที่ 2101 หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 21 บ้านปากห้วยม่วง ตำบลนาเข อำเภอบ้านแพง จังหวัดนครพนม พลโทบุญสิน   พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2/ผู้บัญชากาหน่วยบัญชาการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติดสารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ ชายแดนภาคตะวันอออกเฉียงเหนือ มอบหมายให้ พันเอกอิทธิพล  นนลือชา รองผู้อำนวยการส่วนอำนวยการ หน่วยบัญชาการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติดสารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ ชายแดนภาคตะวันอออกเฉียงเหนือ เป็นประธานการแถลงข่าว  โดยมี นายราชวัชร์ เพ็ชร์ไพฑูรย์ นายอำเภอบ้านแพงพร้อมหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ ร่วมแถลงข่าวการตรวจยึดยาบ้า จำนวน 2 กระสอบ 189 มัด จำนวน 378,000 เม็ด ในพื้นที่ อำเภอบ้านแพง จังหวัดนครพนม 

สำหรับการจับกุมในครั้งนี้ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2568 เวลา 22.00 น. โดย ร้อยโท วันชาติ  เหมือนปืนผู้บังคับกองร้อยเฉพาะกิจทหารพรานที่ 2101 หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 21 ได้รับแจ้งจากแหล่งข่าวจะมีการขนย้ายยาเสพติดมาพักคอยในพื้นที่เพื่อลำเลียงขนย้ายสู่พื้นที่ตอนใน โดยจะนำมาวางไว้พื้นที่ริมถนนทางหลวง หมายเลข 212 หน่วยจึงกำลังพลทำการลาดตระเวนด้วยรถจักรยานยนต์ตรวจสอบพื้นที่เสี่ยง,จุดล่อแหลม, จุดเพ่งเล็งตามภาพข่าว ตลอดเส้นทางถนนทางหลวงหมายเลข 212 ในเขตพื้นที่รับผิดชอบของหน่วย ได้ตรวจพบชายต้องสงสัย จำนวน 1 คน จอดรถจักรยานยนต์ติดเครื่องยนต์อยู่ใกล้กับศาลาที่พักรอรถโดยสาร ริมถนนทางหลวงหมายเลข 212 พื้นที่บ้านดอนกลาง หมู่ที่ 6 ตำบลหนองแวง อำเภอบ้านแพง จังหวัดนครพนม  ลักษณะท่าทางมีพิรุธ เมื่อชายคนดังกล่าวเห็นเจ้าหน้าที่จึงได้ทำการขับรถจักรยานยนต์ออกไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นเจ้าหน้าที่จึงเข้าทำการตรวจสอบพื้นที่โดยรอบ บริเวณดังกล่าว ตรวจพบกระสอบสิ่งของต้องสงสัย จำนวน 2 กระสอบ จึงได้ทำการตรวจสอบดูสิ่งของที่อยู่ภายใน พบว่าภายในบรรจุยาเสพติดประเภทที่ 1 (ยาบ้า) ห่อหุ้มด้วยกระดาษไข พิมพ์อักษร 999 มีถุงพลาสติกใส ห่อหุ้มอีกชั้นหนึ่ง จำนวน 2 กระสอบ 189 มัด (ประมาณ 378,000 เม็ด) หน่วยจึงได้ทำการตรวจยึดยาเสพติดดังกล่าว มาที่กองร้อยเฉพาะกิจทหารพราน ที่ 2101 หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 21 เพื่อทำการตรวจสอบอย่างละเอียด  และประสานหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ ร่วมบันทึกภาพการตรวจยึดยาเสพติดดังกล่าวต่อไป และส่งดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป การตรวจยึดยาบ้าได้ในครั้งนี้ เกิดจากความร่วมมือของประชาชนในพื้นที่ หันมาให้ข้อมูลและชี้เบาะแสแก่เจ้าหน้าที่ ทำให้เจ้าหน้าที่ทราบเครือข่ายขบวนการค้ายาเสพติดเพิ่มขึ้น 
ทั้งนี้ ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก ได้มอบหมายให้กองทัพภาคที่ 2 (มทภ.2) จัดตั้ง นบ.ยส.24 เป็นหน่วยหลัก ในการบูรณาการสกัดกั้น ปราบปราม ป้องกัน และแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยมอบหมายให้กองกำลังป้องกันชายแดน เป็นส่วนสกัดกั้น ตำรวจภูธร เป็นส่วนปราบปราม และ ศอ.ปส.จว. เป็นส่วนป้องกัน ซึ่งการบูรณาการนี้ ได้ดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพทั้งนี้ นับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 จนถึงปัจจุบัน

ในห้วงที่ผ่านมา มีสถิติการจับกุมในพื้นที่อำเภอชายแดนของจังหวัดนครพนม จำนวน 124 ครั้ง ผู้ต้องหา 213 คน โดยมีของกลางยาบ้ามากถึง 10,481,059 เม็ด, เฮโรอีน 67.10 กิโลกรัม, ไอซ์ 120.495 กิโลกรัม,เคตามีน 320 กิโลกรัม และ happy Water 56 ซอง
การจับกุมในพื้นที่รับผิดชอบทั้งหมด 7 จังหวัด 25 อำเภอ จำนวน 378 ครั้ง ผู้ต้องหา 543 คน โดยมีของกลางยาบ้ามากถึง 59,218,331 เม็ด, ไอซ์ 1,908.308 กิโลกรัม, เฮโรอีน 123.95 กิโลกรัม, เคตามีน 573.83 กิโลกรัม, และอื่นๆ (ยาอี 1,490 เม็ด, happy Water 796 ซอง, ฝิ่น 0.66 กรัม

ภาพ/ข่าว : พรพิพัฒน์   เพ็ชรสังหาร 
เด​วิท​ โชคชัย​ รายงาน​ 092-5259777​

ศาลเลสเตอร์ ตัดสินปมเฮลิคอปเตอร์ ‘เจ้าสัววิชัย’ ตก ชี้ ตลับลูกปืนที่ใบพัดแตก บริษัทรู้เรื่องแต่ไม่แก้ไข

(29 ม.ค. 68) ศาลเมืองเลสเตอร์มีคำตัดสินกรณีไต่สวนสาธารณะอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ตกที่สนามคิงเพาเวอร์ ปรากฎว่ามีสาเหตุมาจากตลับลูกปืนที่ใบพัดหางของเครื่องเฮลิคอปเตอร์แตก โดยทางบริษัทผู้รับผิดชอบนั้นรู้เรื่องทุกอย่าง แต่ไม่ยอมแก้ไขก่อนขึ้นบิน

เมื่อเวลา 15.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นประเทศสหราชอาณาจักร วันที่ 28 มกราคมที่ผ่านมา ศาลเมืองเลสเตอร์มีคำตัดสินกรณีไต่สวนสาธารณะอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ตกที่สนามคิงเพาเวอร์ โดยคณะลูกขุนมีคำตัดสินกรณีโศกนาฏกรรมเฮลิคอปเตอร์ เลโอนาร์โอ AW169 ตกที่สนามคิงเพาเวอร์เมื่อ 6 ปีที่แล้ว เป็นเหตุให้วิชัย ศรีวัฒนประภา, เอริก สวอฟเฟอร์, อิสซาเบลลา เลโควิช, นุสรา สุขหน้าไม้ และกวีพร พรรณแพร เสียชีวิตจากอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดและไม่ควรจะเกิดขึ้น

พยานหลักฐานที่นำเสนอระหว่างการไต่สวนบ่งชี้ให้เห็นถึงความผิดพลาดในกระบวนการทางวิศวกรรมขั้นพื้นฐานของบริษัท เลโอนาร์โด โดยมีสาเหตุมาจากตลับลูกปืนที่ใบพัดหางของเครื่องเฮลิคอปเตอร์แตก ซึ่งนำไปสู่การล้มเหลวของระบบใบพัดหาง ส่งผลให้เฮลิคอปเตอร์เสียการควบคุมและเป็นสาเหตุของโศกนาฏกรรมในครั้งนี้

ความบกพร่องดังกล่าวมีมาตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบเครื่องเฮลิคอปเตอร์รุ่นนี้แล้ว และไม่เคยได้รับการปรับปรุงแก้ไขแต่อย่างใด

หลังการไต่สวนซึ่งใช้เวลากว่า 2 สัปดาห์ คณะลูกขุนรับฟังว่าเฮลิคอปเตอร์ลำนี้ประสบอุบัติเหตุทั้ง ๆ ที่เป็นเครื่องใหม่ และได้รับการบำรุงรักษาอย่างถูกต้อง ได้รับรองมาตรฐาน และไม่พบความผิดพลาดใด ๆ ของนักบินระหว่างทำการบิน

กัปตันเอริก เป็นนักบินที่มีความสามารถ มีประสบการณ์สูง และได้พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อควบคุมเครื่องเฮลิคอปเตอร์หลังจากใบพัดหางทำงานล้มเหลว เพียงไม่นานหลังนำเครื่องขึ้นบินจากสนามคิงเพาเวอร์

หลักฐานจากการไต่สวนบ่งชี้ว่าเหตุการณ์นี้เป็นเพียงอุบัติเหตุที่รอวันเกิดขึ้นเท่านั้น และด้วยการออกแบบเครื่องเฮลิคอปเตอร์ในลักษณะนี้ ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะนำไปสู่อุบัติเหตุครั้งใหญ่ในที่สุดอย่างแน่นอน

เลโอนาร์โดเองก็ทราบถึงความเสี่ยงของการเกิดอุบัติเหตุครั้งใหญ่จากการออกแบบเครื่องเฮลิคอปเตอร์ และตระหนักว่าการออกแบบดังกล่าวมีปัญหาที่อาจนำไปสู่ความล้มเหลวได้

การแก้ไขการออกแบบเครื่องเฮลิคอปเตอร์อย่างตรงไปตรงมา ซึ่งเคยดำเนินการกับเฮลิคอปเตอร์รุ่นก่อนหน้าของเลโอนาร์โด สามารถป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่เครื่องหมุนคว้างในอากาศในกรณีที่ลูกปืนเกิดความเสียหายได้ แต่ด้วยเหตุผลที่ไม่อาจอธิบายได้ เลโอนาร์โดกลับตัดสินใจไม่แก้ไขข้อบกพร่องกับเฮลิคอปเตอร์รุ่นนี้

ระหว่างขั้นตอนการออกแบบเครื่องเฮลิคอปเตอร์ เลโอนาร์โดมีโอกาสมากมายที่จะระบุ และแก้ไขความเสี่ยงเหล่านี้ได้ แต่ทั้งหมดกลับถูกละเลยไป ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าแปลกที่ทีมวิศวกรของเลโอนาร์โดประเมินและวิเคราะห์เบื้องต้นว่า หากเกิดกรณีลูกปืนแตก เพลาเหล็กควบคุมใบพัดหางจะฉีกขาด แต่ไม่หลุดออกมา ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว เพลาดังกล่าวได้หลุดออกมาจากน๊อตที่ยึดอยู่

ด้วยเหตุผลบางประการ เลโอนาร์โดไม่ได้ส่งผลการทดสอบการบินให้แก่ผู้ผลิตชื้นส่วนเครื่องเฮลิคอปเตอร์ ซึ่งผลการทดสอบดังกล่าวแสดงให้เห็นว่ามีแรงบีบอัดมหาศาลที่มีผลต่อระบบใบพัดหางมากกว่าการคำนวณตามแบบจำลองทางทฤษฎีของเลโอนาร์โด

ข้อสันนิษฐานทางสถิติของเลโอนาร์โดก็มีความคลาดเคลื่อนมากเช่นเดียวกัน ตลับลูกปืนซึ่งมีอายุการใช้งาน 2,400 ชั่วโมง กลับล้มเหลวหลังจากการใช้งานเพียง 330 ชั่วโมง

การตรวจสอบเพิ่มเติมจากสำนักงานสอบสวนอุบัติเหตุทางอากาศของประเทศอังกฤษ (AAIB) พบว่ามีตลับลูกปืนอีกสามชิ้นอยู่ในสภาพที่คล้ายกัน ซึ่งกำลังจะเสียหาย และหมดอายุการใช้งานซึ่งเร็วกว่าที่กำหนดมาก

ท้ายที่สุด เหตุการณ์อันน่าเศร้าครั้งนี้ได้สะท้อนให้เห็นถึงข้อบกพร่องที่ร้ายแรงในกระบวนการออกแบบ การทดสอบ และการประเมินความเสี่ยงของบริษัทเลโอนาร์โด ผู้ผลิตจากประเทศอิตาลี ครอบครัวของวิชัยยังคงแสวงหาความยุติธรรมและความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์นี้อยู่

ครอบครัวของวิชัย ศรีวัฒนประภา ที่ได้รับความทุกข์ทรมาน และเศร้าเสียใจเป็นอย่างมากอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ จากอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ตกในครั้งนี้และทุกครั้งที่มีการกล่าวถึงเหตุการณ์ดังกล่าว อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ลูกชายของวิชัย กล่าวว่า

“พ่อของผมมีความเชื่อมั่นในเครื่องเฮลิคอปเตอร์ลำนี้ โดยถือเป็นความรับผิดชอบของเลโอนาร์โดที่จะต้องทำให้มั่นใจว่าเครื่องเฮลิคอปเตอร์ลำนี้มีความปลอดภัย แต่ในความเป็นจริง มันกลับไม่ปลอดภัย และกลายเป็นดั่งกับดักแห่งโศกนาฏกรรมอย่างแท้จริง”

“ครอบครัวของเราขอขอบคุณศาสตราจารย์ เมสัน ที่ได้ทำการไต่สวนครั้งนี้ ซึ่งทำให้ผู้คนกลับมาสนใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2561 อีกครั้ง”

“ท่านเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของครอบครัว เป็นสามีที่เปี่ยมด้วยความใส่ใจและความทุ่มเท เป็นทั้งพ่อ และเป็นปู่ ที่เรารักยิ่ง เรายังรู้สึกถึงความสูญเสียอยู่ทุกวัน”

“ท่านเป็นผู้นำที่เปี่ยมด้วยวิสัยทัศน์และความเชื่อมั่น และเป็นแบบอย่างของความสำเร็จที่เกิดจากความมุ่งมั่นและการลงมือทำด้วยตัวเองอย่างแท้จริง ซึ่งคำพูดใด ๆ ก็มิอาจถ่ายทอดความยิ่งใหญ่ของท่านได้อย่างสมบูรณ์”

เราขอขอบคุณเมืองเลสเตอร์ สำหรับการสนับสนุนอันอบอุ่นและล้นหลาม เราจะคิดถึงท่านเสมอ และการจากไปของท่านจะคงอยู่ในหัวใจของเราตลอดไป” อัยยวัฒน์ กล่าวทิ้งท้าย

‘จอนนี่มือปราบ’ ประกาศทั้งน้ำตา นับถอยหลังโบกมือลาอาชีพตำรวจ

แห่เสียดาย 'จอนนี่มือปราบ' ประกาศทั้งน้ำตา ตัดสินใจลาออกจากอาชีพตำรวจ พร้อมเหตุผลในใจ ลั่นยังรักอาชีพนี้เสมอ

(29 ม.ค.68) ทำเอาหลายคนเสียดาย เมื่อ 'ด.ต.ยุทธพล ศรีสมพงษ์' หรือ 'จอนนี่ มือปราบ' นายตำรวจชื่อดัง ได้ออกมาประกาศผ่านเพจ จอนนี่ มือปราบ หลังตัดสินใจลาออกจากข้าราชการตำรวจ โดย จอนนี่ ระบุว่า...

ผมตัดสินใจทุกอย่างดีแล้ว ถึงแม้ลูกจะยังไม่โอเคด้วยก็ตาม 1 กุมภา 2569 อีก 1 ปี ผมขอลาออกจากอาชีพรับราชการตำรวจ ด้วยเหตุผลในใจที่มีมากมาย จะทิ้งชื่อเสียงตนเองไว้ ว่าครั้งหนึ่ง เคยเป็นอดีตตำรวจที่มีผลงานรวมทั้งประชาชนรักและศรัทธา

โดยจอนนี่ ยังได้เผยอีกว่า..." ทุกครั้งที่คิดเรื่องนี้ ผมน้ำตาไหลตลอดเลย ผมยังรักอาชีพตำรวจของผม และลูกผม เขาก็ภูมิใจในตัวผม ในเมื่ออุดมการณ์ของผม มันขัดกับระบบ ผมจึงจำเป็นต้องยุติลง อีก 1 ปี ครบราชการบำนาญ ผมจึงต้องขออำลาแต่ก็เสียดาย ประสบการณ์ความรู้ความสามารถของนักสืบ ที่ตนเองมี"

ทั้งนี้ ภายหลังจากจอห์นนี่ ได้ประกาศออกไป ปรากฏมีชาวเน็ตจำนวนมาก ออกมาโพสต์คอมเมนต์ ขอบคุณที่ได้ทำประโยชน์ให้ประเทศชาติ และรู้สึกเสียดาย ที่กำลังจะต้องเสียตำรวจน้ำดีไปอีกคน

'บิ๊กอ้วน' ต้อนรับ รมว.กห.มาเลเซีย เยือนไทยอย่างเป็นทางการ เพื่อเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ไทย-มาเลเซีย

นายภูมิธรรม  เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ให้การต้อนรับ Dato' Seri Haji Mohamed Khaled bin Nordin (ดาโต๊ะ ซรี ฮาจิ โมฮาเม็ด คาเล็ด บิน นอร์ดิน) รมว.กห.มาเลเซีย พร้อมนำตรวจแถวทหารกองเกียรติยศ ในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ เพื่อเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ไทย - มาเลเซีย

โดย รอง นรม. และ รมว.กห. ได้ชื่นชมความสัมพันธ์ระหว่างไทยและมาเลเซีย ในโอกาสครบรอบ ๖๘ ปี ความสัมพันธ์ทางการทูต โดยมีพัฒนาความสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง และขอขอบคุณทางมาเลเซีย ที่ได้ให้การต้อนรับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของไทย ในการเยือนมาเลเซียอย่างเป็นทางการ เมื่อ๑๖ ธันวาคม ๖๗ ณ เมืองปูตราจายา ซึ่งผลของการหารือจากการเดินทางในครั้งนั้น กำลังถูกผลักดันอย่างจริงจัง โดยหน่วยงานรัฐทุกภาคส่วน เพื่อให้ความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างสองประเทศมีความแน่นแฟ้นและไร้รอยต่อมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ อีกหนึ่งผลลัพท์จากการเยือนของนายกรัฐมนตรีในครั้งนั้น คือการที่มาเลเซียที่พร้อมจะดำรงการสนับสนุนความร่วมมือในการเสริมสร้างสันติสุขในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมีเป้าหมายหลักร่วมกันคือเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของประชาชนทั้งสองประเทศ โดยขอแสดงความชื่นชมอย่างจริงใจที่ ฝ่ายมาเลเซียแสดงออกถึงจุดยืนที่ชัดเจนในทุกโอกาสว่าไม่ประสงค์จะยกระดับปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้เป็นประเด็นระหว่างประเทศ ทั้งนี้ ผลการเยือนดังกล่าวของนายกรัฐมนตรี กระทรวงกลาโหมได้นำมากำหนดเป็นหัวข้อสำคัญในการประชุม GBC ในครั้งนี้ เพื่อให้เกิดผลการปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมต่อไป โดยเฉพาะการเสริมสร้างความร่วมมือที่สามารถแก้ไขปัญหาสถานการณ์ด้านอุทกภัยในพื้นที่ชายแดนไทย-มาเลเซีย ที่มีแนวโน้มที่จะทวีความรุนแรงและขยายตัวมากยิ่งขึ้น เพื่อให้สามารถบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนทั้งสองประเทศได้

สหประชาชาติยกระดับต่อต้านอาชญากรรมคอลเซ็นเตอร์และการค้ามนุษย์ ให้ 'พล.ต.อ.ธัชชัยฯ' เป็นหัวหน้าหน่วยเฉพาะกิจ

สำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Office on Drugs and Crime : UNODC) เป็นองค์กรที่กำกับดำเนินการตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติที่จัดตั้งในลักษณะองค์กร (United Nations Convention against Transnational Crime : UNTOC) ซึ่งรวมถึงการต่อต้านการค้ามนุษย์และลักลอบขนผู้โยกย้ายถิ่นฐาน โดยให้การสนับสนุนรัฐบาลของประเทศสมาชิก จำนวน 193 ประเทศ จาก 195 ประเทศทั่วโลก ทั้งในทางด้านการให้คำปรึกษา การเสริมสร้างศักยภาพ รวมถึงความร่วมมือในการประสานงานระหว่างประเทศเพื่อให้ประเทศสมาชิกสามารถที่จะต่อสู้กับปัญหาการค้ามนุษย์และการลักลอบขนผู้โยกย้ายถิ่นฐานที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชน

ตั้งแต่ปี พ.ศ.2563 ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เผชิญกับปัญหาการค้ามนุษย์เพื่อการบังคับให้กระทำความผิดทางอาญา ที่มีความเชื่อมโยงกับการหลอกลวงทางออนไลน์และการฉ้อโกงทางการเงินเพิ่มขึ้นอย่างมาก การค้ามนุษย์รูปแบบนี้ส่งผลกระทบต่อผู้คนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียตะวันออก รวมไปถึงผู้เสียหายจากการฉ้อโกงในทวีปแอฟริกา เอเชียกลาง อเมริกา และยุโรป ผู้คนจำนวนมากถูกล่อลวงให้ไปทำงานในศูนย์คอลเซ็นเตอร์ในประเทศเมียนมา ลาว หรือกัมพูชา ซึ่งมีที่ตั้งอยู่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษใกล้กับคาสิโนหรืออาคารที่มีระบบรักษาความปลอดภัยสูง 

UNODC ตระหนักถึงความรุนแรงและความเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว จึงมีนโยบายยกระดับการต่อต้านอาชญากรรมคอลเซ็นเตอร์และการค้ามนุษย์ในภูมิภาคเอเชีย โดยการจัดตั้ง หน่วยเฉพาะกิจต่อต้านอาชญากรรมคอลเซ็นเตอร์และการค้ามนุษย์ (Specialized Cyber Scam and Trafficking in Persons for Forced Criminality Taskforce และได้เชิญ พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และศูนย์ต่อต้านการค้ามนุษย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (จตช./ผอ.ศปอส.ตร./ผอ.ศพคม.ตร.) ดำรงตำแหน่งหัวหน้าหน่วยเฉพาะกิจนี้ ซึ่งเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2568 ได้มีการจัดการประชุมเพื่อหารือเกี่ยวกับทิศทางในการดำเนินงานของหน่วยเฉพาะกิจนี้

ดร.มาซุด คาริมิปูร์ (Masood Karimipour) ผู้แทนภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิกของ UNODC กล่าวว่า ทาง UNODC ซึ่งเป็นองค์กรรัฐบาลระหว่างประเทศ มีความมั่นใจอย่างยิ่งว่า พล.ต.อ.ธัชชัยฯ จะนำความเชี่ยวชาญและความเป็นผู้นำ มาบัญชาการและกำหนดทิศทางการปฏิบัติงานของหน่วยเฉพาะกิจต่อต้านอาชญากรรมคอลเซ็นเตอร์และการค้ามนุษย์ ให้สามารถแก้ไขปัญหาอาชญากรรมคอลเซ็นเตอร์และการค้ามนุษย์ในภูมิภาคนี้ได้อย่างยั่งยืนและมีประสิทธิภาพ โดยการร่วมกันจัดตั้งหน่วยเฉพาะกิจนี้เป็นการแสดงเจตนารมณ์ของรัฐบาลไทยในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างจริงจัง

ดร.รีเบ็คก้า มิลเลอร์ (Rebecca Miller) ผู้ประสานงานภูมิภาคของ UNODC ด้านการค้ามนุษย์และการลักลอบขนผู้โยกย้ายถิ่นฐาน กล่าวว่า UNODC มีความยินดีและความพร้อมที่จะให้การสนับสนุนหน่วยเฉพาะกิจและสำนักงานตำรวจแห่งชาติในทุกมิติที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการพัฒนากลไกการประสานงานระหว่างประเทศ การฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ให้มีความสามารถในการรับมือกับรูปแบบของอาชญากรรมที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และการร่วมกันสร้างความตระหนักให้กับสังคมเกี่ยวกับอาชญากรรมคอลเซ็นเตอร์และการค้ามนุษย์

พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จตช./ผอ.ศปอส.ตร./ผอ.ศตคม.ตร. กล่าวว่า รู้สึกเป็นเกียรติและภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับเชิญจาก UNODC ซึ่งเป็นองค์กรระดับโลก ให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าหน่วยเฉพาะกิจนี้ เชื่อมั่นว่าการขับเคลื่อนหน่วยเฉพาะกิจนี้จะนำไปสู่สังคมโลกและภูมิภาคเอเชียที่ปลอดภัยจากอาชญากรรมคอลเซ็นเตอร์และการค้ามนุษย์ โดยจะดำเนินการผ่าน 3 เสาหลัก ได้แก่ 1.การช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ 2.การคุ้มครองผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ และ 3.การสืบสวนสอบสวนและดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดในคดีอาชญากรรมคอลเซ็นเตอร์และการค้ามนุษย์ หน่วยเฉพาะกิจนี้จะเป็นการประกอบกำลังของหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องในประเทศไทย โดยจะนำศักยภาพและทรัพยากรของแต่ละหน่วยงานมาบูรณาการร่วมกันในการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมคอลเซ็นเตอร์และการค้ามนุษย์จากต้นเหตุ นอกจากนี้ จะมีการใช้กลไกของ UNODC ในการเชื่อมหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายในประเทศต่างๆ ทั่วโลก ให้เข้ามาร่วมแลกเปลี่ยนข้อมูลและเปิดปฏิบัติการระหว่างประเทศทลายเครือข่ายอาชญากรรมคอลเซ็นเตอร์และการค้ามนุษย์ และการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในการสืบสวน รวมถึงการพัฒนาองค์ความรู้และเครือข่ายเพื่อยกระดับขีดความสามารถของเจ้าหน้าที่ในการปราบปรามอาชญากรรมดังกล่าว เป้าหมายสูงสุดของหน่วยเฉพาะกิจนี้ คือการขจัดองค์กรอาชญากรรมคอลเซ็นเตอร์และการค้ามนุษย์ให้หมดสิ้นภายในปีนี้ เพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับประชาคมโลกและประเทศไทย ซึ่งจะส่งผลดีโดยตรงต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน นักท่องเที่ยว และเศรษฐกิจของไทย รวมถึงยกระดับการจัดอันดับของประเทศไทยในรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ (TIP Report) ประจำปี พ.ศ. 2568

สำนักงานตำรวจแห่งชาติและผู้แทนกระทรวงความมั่นคงสาธารณะของจีน หารือกระชับความร่วมมือในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ พร้อมร่วมเดินหน้ากวาดล้างขบวนการทั้งในเมียนมา กัมพูชา และลาว 

เมื่อวานนี้ (28 ม.ค.68) เวลา 13.30 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มอบหมายให้ พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ต่อต้านการค้ามนุษย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (จตช./ผอ.ศตคม.ตร./ผอ.ศปอส.ตร.) พร้อมด้วย พล.ต.ท.อุดร ยอมเจริญ ผบช.ส. , พล.ต.ต.พงษ์สยาม มีขันทอง รอง ผบช.ทท. , พล.ต.ต.ปรัชญา ประสานสุข รอง ผบช.สทส.รรท.รอง ผบช.สตม. , พล.ต.ต.โสภณ สารพัฒน์ รอง ผบช.ก. , พล.ต.ต.นิเวศน์ อาภาวสิน รอง ผบช.สอท. , พล.ต.ตรุ่งโรจน์ ฐากูรปุณยสิริ รอง ผบช.ตชด. , พล.ต.ต.สุระพันธุ์ ไทยประเสริฐ ผบก.ตท. , พ.ต.อ.ทรงกลด เกริกกฤตยา รอง ผบก.อก.บช.ส.รรท.ผบก.ปคม. ร่วมหารือกับผู้แทนกระทรวงความมั่นคงสาธารณะแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน นำโดย นายหลิว จงอี้ (Mr.Liu Zhongyi) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงความมั่นคงสาธารณะแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน/ผู้บัญชาการสำนักงานสอบสวนอาชญากรรม และคณะ ณ ห้องพรหมนอก ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ในการหารือวันนี้เพื่อยกระดับความร่วมมือระหว่างไทย-จีน ในการปราบปรามอาชญากรรมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในฝั่งเมืองเมียวดี ประเทศเมียนมา ทั้งการป้องกัน , การปราบปรามจับกุม , การส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน ,การติดตามจับกุม 30 ผู้ต้องหาที่ทางการจีนออกหมายจับคดีหลอกลวงนายหวังซิง นักแสดงชาวจีน ซึ่งทางการจีนจับกุมได้แล้ว 20 คน , การช่วยเหลือบุคคลสูญหายหรือถูกกักไว้โดยแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในฝั่งเมียวดี , การตัดระบบสาธารณูปโภคต่างๆ เช่น น้ำ ไฟ สัญญาณอินเตอร์เน็ต จากไทยไปยังฝั่งเมียวดี และการเสริมสร้างกลไกความร่วมมือ การบังคับใช้กฎหมาย ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

พล.ต.อ.ธัชชัยฯ กล่าวว่า ทางการจีนได้มีข้อเสนอในการจัดตั้งศูนย์ประสานงานร่วมระหว่างไทย-จีน ในการแก้ไขปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้เสนอทางการจีนว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติของไทยได้ประสานความร่วมมือกับหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทย และประสานความร่วมมือกับประเทศต่างๆ ในการร่วมมือกันป้องกันปราบปรามอาชญากรรมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยจะมีการจัดตั้งศูนย์ประสานงานระหว่างประเทศ ซึ่งวานนี้ (27 มกราคม 2568) ทางสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) ได้เชิญตนเป็นผู้นำหน่วยปฏิบัติเฉพาะกิจด้านการหลอกลวงทางไซเบอร์และการค้ามนุษย์แห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Lead the Specialized Cyber Scam and Trafficking in Persons for Forced Criminality Taskforce) ซึ่งจะมีการประสานการทำงานร่วมกันในระดับสากล โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีความยินดีหากทางการจีนเข้าร่วมกับศูนย์ประสานดังกล่าว เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและประสานการทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ ซึ่งไม่เพียงจะปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในฝั่งเมียวดี ประเทศเมียนมา เท่านั้น แต่จะร่วมมือกันในการขยายผลปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในฝั่งประเทศกัมพูชา และบริเวณสามเหลี่ยมทองคำในพื้นที่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว อีกด้วย

นอกจากนี้ พล.ต.อ.ธัชชัยฯ กล่าวว่า ที่ผ่านมาสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และตัดระบบสาธารณูปโภค เช่น ซิม สาย เสา น้ำ และไฟฟ้า มาโดยตลอด ตามยุทธการ “ระเบิดสะพานโจร” และประสานความร่วมมือกับกองทัพบกและฝ่ายปกครองในการลาดตระเวนตลอดแนวชายแดน ป้องกันการลักลอบให้บริการดังกล่าวจากฝั่งไทย และที่ผ่านมายืนยันว่ายังไม่พบว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์มีการกระทำความผิดในประเทศไทย ดังนั้นจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการประสานข้อมูลจากทางการจีนในเรื่องของคนร้ายที่กระทำผิด เพื่อกรณีมีคนร้ายเข้ามาในประเทศไทย แม้ไม่มีหมายจับ แต่ทางการไทยจะใช้ พ.ร.บ.คนเข้าเมืองฯ ในการเพิกถอนวีซ่า และประสานส่งตัวกลับประเทศต้นทางได้ทันที

ด้านรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงความมั่นคงสาธารณะแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน กล่าวว่า ทางการจีนขอขอบคุณและชื่นชมสำนักงานตำรวจแห่งชาติของไทย และทางการไทย ที่ให้ความสำคัญในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างจริงจังและจริงใจ ซึ่งทางการจีนยินดีให้ความร่วมมือกับไทยในทุกด้าน เพื่อการดำเนินการที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นต่อไป

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติแสดงความเสียใจกับการสูญเสียตำรวจน้ำดี “ส.ต.อ.เจริญพรฯ” ตำรวจ สภ.เมืองสุราษฎร์ธานี ช่วยคนขับรถจักรยานยนต์โซ่ขาด ถูกรถพุ่งชนจนเสียชีวิต 

(29 ม.ค. 68) พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้สูญเสียตำรวจน้ำดีอีก 1 ราย กรณี ส.ต.อ.เจริญพร เนียมนิยม อายุ 35 ปี ผู้บังคับหมู่ งานป้องกันและปราบปราม สภ.เมืองสุราษฎร์ธานี ปฏิบัติหน้าที่ตำรวจสายตรวจหน่วยบริการประชาชนบ้านบางใหญ่ ซึ่งถูกรถกระบะพุ่งชนท้ายระหว่างช่วยเหลือคนขับรถจักรยานยนต์โซ่ขาด ทำให้ได้รับบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตในเวลาต่อมาที่โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี เมื่อคืนวันที่ 27 มกราคม ที่ผ่านมา 

เหตุดังกล่าวเกิดเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2568 เวลาประมาณ 18.10 น. ส.ต.อ.เจริญพร เนียมนิยม ผบ.หมู่ (ป.) สภ.เมืองสุราษฎร์ธานี ได้ขับขี่รถจักรยานยนต์ออกตรวจพื้นที่รับผิดชอบ และได้เข้าช่วยเหลือรถจักรยานยนต์ของผู้อื่นซึ่งเกิดโซ่รถหลุดระหว่างทาง ด้วยการพาไปซ่อมบริเวณที่พักสายตรวจบางใหญ่ โดย ส.ต.อ.เจริญพรฯ ใช้เท้ายันรถจักรยานยนต์คันที่โซ่ชำรุดทางด้านหลัง โดยให้เจ้าของรถนั่งประคองรถของตนเองไป เมื่อไปถึงบริเวณ ถ.เลี่ยงเมือง ตรงข้ามสถานีบริการน้ำมันเชลล์ ต.มะขามเตี้ย อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี ได้ถูกรถยนต์กระบะคู่กรณีแล่นเข้ามาเฉี่ยวชนทางด้านหลัง เป็นเหตุให้ ส.ต.อ.เจริญพรฯ เสียชีวิตในเวลา 

นอกจากนี้ เนื่องจาก ส.ต.อ.เจริญพรฯ ผู้เสียชีวิต ได้เคยแจ้งความประสงค์บริจาคอวัยวะกับสภากาชาดไทย ล่าสุดภรรยาของ ส.ต.อ.เจริญพรฯ จึงได้ติดต่อศูนย์รับบริจาคอวัยวะสภากาชาดไทย โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี และศูนย์ดวงตาสภากาชาดไทย ในการบริจาคอวัยวะ ซึ่งคณะแพทย์โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานีได้ผ่าตัดอวัยวะสำคัญของ ส.ต.อ.เจริญพรฯ เพื่อนำไปปลูกถ่ายให้กับผู้ป่วย 5 คน ต่อไปแล้ว

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติรับทราบกรณีดังกล่าว ได้แสดงความเสียใจต่อครอบครัวของ ส.ต.อ.เจริญพรฯ ผู้เสียชีวิต พร้อมยกย่อง ส.ต.อ.เจริญพรฯ ปฏิบัติหน้าที่สมกับความเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ช่วยเหลือประชาชนจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต นับเป็นอีกหนึ่งความสูญเสียครั้งสำคัญของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมชื่นชมภรรยาของ ส.ต.อ.เจริญพรฯ ที่ติดต่อบริจาคอวัยวะตามเจตจำนงของผู้เสียชีวิต ทั้งนี้ ได้สั่งการให้ผู้บังคับบัญชาดูแลสิทธิประโยชน์ที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เบื้องต้นครอบครัวจะได้รับเงินช่วยเหลือประมาณ 1,150,000 บาท เลื่อนเงินเดือนไม่เกิน 3 ขั้น และเสนอเลื่อนยศเป็น ร.ต.ต.

นายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นเจ้าภาพ เน้นแก้ปัญหาเร่งด่วน 3 ด้าน

(29 ม.ค. 68) เวลา 11.30 น. นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมหัวหน้าส่วนราชการ โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นเจ้าภาพ โดยมีหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 1/2568 ข้าราชการตำรวจระดับรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จเรตำรวจแห่งชาติ และหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมแจ้งยอดสุข อาคารศูนย์ฝึกอบรมพัฒนาบุคลากรและสวัสดิการ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การประชุมวันนี้เน้นย้ำส่วนราชการระดับกระทรวงและเทียบเท่า และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการดำเนินการเร่งด่วน 3 เรื่อง ได้แก่
1. การแก้ไขปัญหาฝุ่นควัน โดยขอความร่วมมือทุกภาคส่วนดำเนินการผลักดันให้เห็นผลเป็นรูปธรรม
2. การกระชับความร่วมมือในโอกาส 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตไทย – จีน โดยขอให้ทุกกระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมมือกัน มุ่งไปสู่การสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกัน เพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนยิ่งขึ้น
3. การดูแลความมั่นคง โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นหลักในการร่วมดำเนินการในเรื่องการป้องกันปราบปรามปัญหายาเสพติด อาชญากรรมออนไลน์ และการแก้ไขปัญหาคนต่างด้าวและกลุ่มชาติพันธุ์

ทั้งนี้ ตามนโยบายรัฐบาล 10 นโยบาย ซึ่งมีนโยบายที่เกี่ยวข้องกับภารกิจของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำนวน 3 นโยบาย ได้แก่ นโยบายที่ 7 การเร่งส่งเสริมการท่องเที่ยว , นโยบายที่ 8 การแก้ปัญหายาเสพติดอย่างเด็ดขาดและครบวงจร และนโยบายที่ 9 การแก้ปัญหาอาชญากรรม อาชญากรรมออนไลน์/มิจฉาชีพ และอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งตามนโยบายดังกล่าว สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้เร่งรัดดำเนินการ ดังนี้

การแก้ปัญหายาเสพติดอย่างเด็ดขาดและครบวงจร โดยเน้นการสืบสวนหาข่าวประเทศเพื่อนบ้าน การตรวจสอบและลาดตระเวนชายแดน การตั้งจุดตรวจ จุดสกัด ตั้งแต่บริเวณชายแดนจุดพักคอย และเส้นทางหลัก เส้นทางรอง พื้นที่ชั้นใน การสืบสวนปราบปรามจับกุม ทำลายเครือข่าย และการป้องกันสร้างการมีส่วนร่วมในชุมชน โดยได้เปิดปฏิบัติการสยบไพรี โดยบูรณาการกำลังร่วมกับเจ้าหน้าที่ทหาร สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปราม         ยาเสพติด และประเทศเพื่อนบ้าน ในการทลายเครือข่ายผู้ค้ายาเสพติดข้ามชาติ ผู้ค้ารายย่อย สกัดกั้นเส้นทางการลักลอบขนยาเสพติด ปิดล้อมตรวจค้นเครือข่ายทั่วประเทศ และยึดทรัพย์ผู้ค้ารายสำคัญ  

การแก้ปัญหาอาชญากรรม อาชญากรรมออนไลน์/ มิจฉาชีพ และอาชญากรรมข้ามชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้เปิดมาตรการระเบิดสะพานโจร เพื่อตัดช่องทางการติดต่อหลอกลวงประชาชนผ่านช่องทางการสื่อสารต่าง ๆ รวมทั้ง กรณีปัญหาคนต่างชาติถูกหลอกลวงโดยใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่านไปยังพื้นที่ชายแดน ซึ่ง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้กำหนด 7 มาตรการเข้มข้น ตั้งแต่กระบวนการก่อนเดินทางเข้าประเทศ ขณะอยู่ในประเทศ การสกัดกั้นแนวชายแดน และการช่วยเหลือ ประสานงานจากประเทศที่สาม โดยให้หน่วยต่างๆ ดำเนินการในแต่ละขั้นตอนอย่างชัดเจน ต้องเห็นผลเป็นรูปธรรมภายใน 7 วัน พร้อมคาดโทษตำรวจทุกหน่วยที่ปล่อยปละละเลย หรือเข้าไปยุ่งเกี่ยว ต้องถูกดำเนินการอย่างเด็ดขาด

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีกำลังพลจำนวนจำกัดเมื่อเปรียบเทียบกับปัญหาอาชญากรรมที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน โดยเฉพาะอาชญากรรมที่ส่งผลกระทบต่อพี่น้องประชาชนในห้วงเวลานี้ ได้แก่ ยาเสพติด อาชญากรรมออนไลน์ และปัญหาคนต่างด้าวถูกหลอกลวงไปยังประเทศที่สาม ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ตระหนักในภารกิจสำคัญดังกล่าว และได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถ แต่ด้วยข้อจำกัดด้านกำลังพลและ อุปกรณ์ เครื่องมือต่าง ๆ จึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับความร่วมมือระหว่างหน่วยงานระดับกระทรวง ทบวง กรม ในการขับเคลื่อนการปฏิบัติงาน โดยเฉพาะในห้วงเวลานี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มีการประชุมและ กำหนด 7 มาตรการเข้มข้น ให้หน่วยในสังกัดไปปฏิบัติ ตั้งแต่ก่อนคนต่างด้าวเดินทางเข้าประเทศ การปฏิบัติท่าอากาศยาน เส้นทาง รถเช่า รถสาธารณะ และจุดพักต่าง ๆ ตลอดจนในพื้นที่จังหวัดชายแดน และการสกัดกั้น รวมทั้งการช่วยเหลือประสานงานกับประเทศที่สาม จึงใคร่ขอความร่วมมือกับหน่วยงานความมั่นคง กองกำลังทหาร ฝ่ายปกครอง และภาคส่วนต่าง ๆ ในพื้นที่และส่วนกลาง ได้ร่วมกันปฏิบัติงานเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างยั่งยืน เกิดความผาสุกแก่ประชาชน และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับประเทศไทยต่อไป 

'ดร.สันติธาร' ตั้ง 5 คำถาม 'DeepSeek' AI จีนตัวเปลี่ยนเกมท้าชนมหาอำนาจ

(28 ม.ค. 68) ดร.สันติธาร เสถียรไทย Future Economy Advisor สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) และคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) โพสต์เฟซบุ๊กว่า การผงาดขึ้นมาของ DeepSeek เอไอจากจีนที่อาจเปลี่ยนโลก 5 คำถามสำคัญที่ตามมา จากการผงาดขึ้นมาของ DeepSeek เอไอของจีนที่เป็นกำลังเป็นประเด็นร้อนแรงในตอนนี้ 

ปรากฏการณ์นี้ไม่เพียงทำให้ตลาดหุ้นปั่นป่วนทั่วโลก แต่ยังมาจังหวะที่สหรัฐฯเปลี่ยนรัฐบาลพอดี เสมือนเป็นการ‘สะบัดหาง’ครั้งสำคัญของปีงูเล็กเลยกว่าว่าได้และอาจมีผลกระทบในวงกว้างอีกด้วย (ใครไม่ได้ตามข่าวนี้ผมแปะลิ้งค์ข้อมูลเกี่ยวกับเอไอตัวนี้ไว้ในคอมเมนท์ครับ)

ผมมองว่าปรากฏการณ์นี้น่าจะเปิดอย่างน้อย 5 ประเด็นสำคัญที่สามารถเปลี่ยนโลกได้ จึงอยากลองแชร์ไว้เผื่อไปช่วยคิดและติดตามกันต่อครับ
1.จีน vs อเมริกา. การมาของ DeepSeek ตั้งคำถามว่าเทคโนโลยีเอไอของอเมริกายังนำโลกอยู่จริงไหม หรือจีนสามารถวิ่งไล่กวดได้แล้วแม้จะไม่ได้เข้าถึงชิปคุณภาพสูงสุดที่โดนกีดกันจากสหรัฐฯและพันธมิตร  และหากไล่กวดได้จริงตามตัวเลขการทดสอบความสามารถเอไอต่างๆที่ออกมา ต่อไปสหรัฐฯจะตอบโต้อย่างไร:

-จะเพิ่มความเข้มข้นของสงครามการค้า-เทคโนโลยีเพื่อให้จีนเข้าถึงเทคโนโลยีต่างๆเหล่านี้ได้ยากขึ้นไปอีกไหม หรือ/และ
-จะทุ่มทุนยิ่งกว่าเดิมสร้างกับโครงการเอไอขนาดยักษ์อย่าง Stargate ที่มูลค่าที่ประกาศเกือบเท่าเศรษฐกิจไทยทั้งประเทศ
แต่ในทางกลับกันก็มีคนบอกว่าเพราะไปจำกัดการเข้าถึงชิปของจีนนี่แหละเลยทำให้เขาต้องคิดค้นวิธีใหม่ที่สร้างเอไอได้ประหยัดกว่าเดิม ทำ‘กันดารกลายเป็นสินทรัพย์‘

2.ความสิ้นเปลืองทรัพยากร. การที่ Deepseek ใช้เงินในการพัฒนาเอไอน้อยกว่า พวกบริษัทเทคโนโลยีดังๆของอเมริกาประมาณ 20-30x และ ใช้ชิปที่ไม่ได้ ’ทรงพลัง‘ เท่า (มีคนบอกว่าชิปที่พวกเขาใช้ แค่นักเรียนปริญญาเอกในมหาวิทยาลัยในอเมริกายังมีใช้เลย) ทำให้เกิดคำถามสำคัญในหมู่นักลงทุนและบริษัทเทคฯว่า “เอ้ะ ที่เราลงทุนไปหลายพันล้านเพื่อให้ได้ชิปที่ทรงพลังที่สุดนี่จริงๆแล้วมันจำเป็นหรือเปล่า” สรุปเราจ่ายไปเพื่อซื้อ ’เนื้อ’ หรือ ’ไขมัน’ กันแน่? หรือว่า: เงินอาจจะไม่ใช้มากขนาดนั้น ชิพอาจจะไม่ต้องทรงพลังขนาดนั้น พลังงานก็อาจจะไม่ต้องใช้หนักขนาดนั้น นี่จึงอาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้หุ้นวงการเทคฯและอุตสาหกรรมเกี่ยวข้องตื่นตระหนกตกใจพานิคร่วงกันเป็นแถวเมื่อวานนี้

3.โมเดลแบบเปิด vs ปิด. คนส่วนใหญ่อาจมองสงครามเอไอเป็นระหว่างสหรัฐฯ vs จีน แต่สำหรับคนในวงการเทคโนโลยีอีกศึกที่คุกรุ่นมานานคือระหว่าง โมเดลแบบเปิด (Open source) ที่เสมือนเปิด ‘สูตรลับ‘ หรือ โค๊ดให้คนอื่นสามารถเอาไปศึกษา ใช้พัฒนาต่อยอดได้ กับ โมเดลแบบปิดที่ไม่ได้เปิดข้อมูลเหล่านี้ เช่น ChatGPT Deepseek คือเป็นแบบเปิด จึงทำให้เกิดคำถามว่าโมเดลแบบเปิดนี้มันเจ๋งจนไล่กวดโมเดลแบบปิดที่ซ่อนสูตรลับของตัวเองแล้วหรือ? นึกภาพหากร้านอาหารอร่อยมากๆเปิดสูตรให้คนเอาไปทำที่บ้านแล้วทำออกมามันอร่อยไม่แพ้ร้านแพงๆที่เก็บสูตรเป็นความลับ ต่อไปใครจะอยากไปจ่ายแพงเพื่อกินที่ร้าน 
แต่ก็มีคำถามต่อไปอีกว่าแล้วต่อไป Deepseek จะยังเปิดสูตรตัวเองไปเรื่อยๆแบบนี้ไหม หรือวันดีคืนดีก็จะปิดมันและเก็บตังค์ค่าใช้แพงๆ และ/หรือ จะมีการเอาข้อมูลของ User ไปใช้อย่างไรเพราะบางคนก็ห่วงเรื่อง data governance

4.ผู้นำ-ผู้ตาม. Deepseek ใช้เวลาแค่ 2 เดือนกว่าๆเท่านั้นในการพัฒนาเอไอที่มี ความสามารถใกล้เคียงกับโมเดลรุ่นใหม่ ของ OpenAI โดยใช้โมเดลของ OpenAI ช่วยเทรนสอนโมเดลของตนเองด้วย เสมือนOpenAI เป็นจอมยุทธ์ที่ฝึกแทบตายกว่าจะบรรลุเคล็ดวิชาใหม่ แต่พอนักเรียนมาเลียน/เรียนต่อแป๊บเดียวสามารถได้วิชาระดับเดียวกันมาได้  (ภาษานักลงทุนคือ Moat หรือคูเมืองป้องกันปราสาทเรา มันไม่ได้ข้ามยากเท่าที่คิด) จึงทำให้เกิดคำถามว่าวงการเอไอนี่ผู้นำได้เปรียบมากจริงไหม หากผู้ตามสามารถตามได้เร็วขนาดนี้และยังทำได้ในต้นทุนที่ต่ำกว่ามาก แบบนี้มันยังคุ้มที่จะลงทุนพัฒนาเพื่อเป็นผู้นำ ‘บรรลุเคล็ดวิชาใหม่ๆ‘ ไหม เพราะผู้นำด้านเอไออาจถูกดิสรัปง่ายกว่าที่คิด

5.อนาคตของเอไอ. ในมุมผู้พัฒนาและลงทุนกับเอไอ คำถามเหล่านี้อาจทำให้ขนหัวลุก แต่ในมุมของผู้ใช้ พัฒนาการนี้ก็อาจมองในมุมบวกได้เช่นกัน
- ต้นทุนพัฒนาเอไอถูกลงทำให้ค่าบริการถูกลง คนเข้าถึงได้มากขึ้น
-เอไออาจสามารถใช้ทรัพยากรและพลังงานน้อยลง เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมขึ้น
-โมเดลแบบเปิดอาจทำให้คนเก่งๆทั่วโลก สามารถศึกษาและเอาไปพัฒนาต่อยอดได้ สร้างเอไอที่ตอบโจทย์และเหมาะกับบริบทของสังคมตนเอง 
- การพัฒนาเอไออาจมีการแข่งขันมากขึ้น Generative AI กลายเป็น‘เทคโนโลยีโหลๆ’ขึ้น ผลักดันให้หลายเจ้าอาจต้องหามุมการพัฒนาผลิตภัณฑ์แนวอื่นมากขึ้น คิดเรื่องแอพพลิเคชันมากขึ้น ไม่ใช่ทุ่มเงินสร้างมันสมองที่ฉลาดอย่างเดียว จึงอาจทำให้เกิดนวัตกรรมที่หลากหลายขึ้น 
ในทางกลับกันการที่แต่ละประเทศต่างแข่งกันสร้างสุดยอดเอไออาจทำให้ต่างลดความสำคัญด้านการกำกับดูแลความเสี่ยง ทำให้ยิ่งมีโอกาสเกิดเอไอแบบอันตรายต่อสังคมขึ้นหรือไม่ 

แน่นอนว่าเรายังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับ Deepseek อีกมากและก็เป็นไปได้ว่าต่อไปอาจมีการหักมุมจากผู้เล่นอื่นอีกที่ไม่ใช่ DeepSeek เลยก็เป็นได้ แต่อย่างน้อยก็คิดว่า 5 ประเด็นนี้คือคำถามที่เราควรตั้งและช่วยกันติดตามอย่างใกล้ชิดกับเทคโนโลยีที่มีโอกาสเปลี่ยนโลกและกระทบเราทุกคนในอนาคตครับ

‘เศรษฐา‘ บรรยายหลักสูตร วปอ.รุ่น 67 ขอทุกคนโฟกัสความเสมอภาค-เท่าเทียม พร้อมฉายภาพโอกาสประเทศไทย

(28 ม.ค. 68) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ขึ้นบรรยายพิเศษให้กับวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ หลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) รุ่นที่ 67 หัวข้อวิชา "ประสบการณ์และการเป็นผู้นำระดับยุทธศาสตร์" โดยนายเศรษฐา กล่าวช่วงหนึ่งว่า ตนไม่ได้มีอคติหรือว่ามีประเด็นอะไรกับใครใน วปอ. เพียงแต่มีความหวังดี และอยากให้สถาบันนี้อยู่อย่างมั่นคงพวกเราก็ทราบกันดีอยู่ว่าในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมานี้มีการเรียกร้องจากหลายฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นอดีตรัฐมนตรี คอลัมนิสต์ต่างๆ ให้ยกเลิกคอร์สที่ใช้คําว่าอภิสิทธิ์ชนทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น บยส. วปอ. ฯลฯ ซึ่งต้องยอมรับว่าจริงๆพวกท่านเป็น 0.01% ของประชาชนคนไทย ตนเชื่อว่าท่านทราบว่า การจะได้เข้ามาเรียนที่นี่ลําบากขนาดไหน แม้ตนจะไม่เคยเรียนหลักสูตรไหน แต่ก็ไม่เห็นด้วยกับการแก้ปัญหาด้วยการยกเลิก และคิดว่าไม่ถูกต้องด้วย ตนคิดว่า หากมีปัญหาเราก็ต้องแก้ ซึ่งการแก้ไขก็ไม่ได้แก้ไขได้แค่บางหลักสูตร แต่ต้องทําอย่างต่อเนื่อง สม่ําเสมอ และต้องเกิดการรวมพลังจากทุกภาคส่วน

นายเศรษฐา กล่าวอีกว่า มาพูดวันนี้ ตนอยากฉายภาพประเทศไทยมากว่า ว่าจากนี้เราจะทําอะไรกันบ้าง และเราควรจะทําอะไร โดยเรื่องแรกที่เรากำลังประสบ คือการลดลงของประชากร ไทยรัฐรายงานเมื่อเช้าว่า เรามีประชากรลดลงด้วยทุกวันอีก 50 ปี ประชากรจะหายไปครึ่งหนึ่ง แล้วคนที่ขายของทั้งหลายจะขายขอฃให้ใคร เศรษฐกิจระยะยาวจะเป็นอย่างไร แล้วคนที่อยู่จะเป็นคนสูงวัยขนาดไหน เราต้องให้ลูกหลานมาแบกในส่วนนี้เรื่อยๆ ประเทศเราจะเดินไปข้างหน้าได้อย่างไร  ถ้าเราไม่ปรับปรุงวิธีการดํารงชีวิต วิธีการทํางานเพื่อทําให้ประเทศเดินไปข้างหน้าได้ ดังนั้น เราต้องสนับสนุนการมีลูก โดยจะต้องทำสังคมให้เสมอภาค เท่าเทียม มีโอกาสเข้าถึงระบบการศึกษาที่ถูกต้อง ไร้เส้นสาย และต้องมีนโยบายเพื่อให้คนมั่นใจว่า ลูกหลานจะได้รับสิทธิพื้นฐาน มีอากาศบริสุทธิ์ มีสิทธิเสรีภาพในการเลือกประกอบอาชีพ และต้องมีการปรับโครงสร้างภาษีรายได้ส่วนบุคคล ภาษีนิติบุคคลเพื่อดึงดูดให้คนรุ่นใหม่อยากอยู่ในประเทศ แต่ไม่ใช่ภาษี Vat

นายเศรษฐา กล่าวว่า ประเทศไทยมีศักยภาพสูงมากในการดึงดูดการลงทุน เรามีสถานพยาบาลที่ดีและทันสมัย มีโรงเรียนนานาชาติที่ได้รับการยอมรับ มีอาการการกินที่ดี ด้วยปัจจัยเล็กๆเหล่านี้ ทำให้หลายองค์กรของต่างชาติจึงอยากลงทุนในไทย แต่ที่สำคัญที่สุด คือความเป็นกลาง ไทยเราเป็นเพื่อนของทุกคน มีหลายประเทศที่ใฝ่ฝันหาประเทศที่เป็นกลางจริงๆ ซึ่งนี่ไม่ใช่ผลงานของรัฐบาลใด แต่เป็นจิตวิญญาณของคนไทยเองที่ทำให้เราได้เปรียบในเรื่องนี้ อีกเรื่องคือ Landbridge เรามีโอกาสทองตรงนี้ที่จะเป็นส่วนหนึ่งของโกลบอลโลจิสติกส์ อาวุธยุทโธปกรณ์เราอาจจะไม่จําเป็นต้องมียุทโธปกรณ์เยอะหรือมีมูลค่าราคาแพง เพราะจริงๆแล้วเนี่ยเราใช้คําว่าสงครามการค้าตลอดเวลา ตราบใดที่เรามี Landbridge และตราบใดที่เราจะมีอินฟราสตรัคเจอร์ระดับโลกถือว่าเรามีอาวุธอันนึงที่จะสามารถช่วยปกป้องเอกราชของประเทศไทยได้ ทําให้เราเป็นประเทศที่มีคนอยากค้าขายด้วย

นายเศรษฐา กล่าวถึงเรื่องสถานบันเทิงครบวงจร หรือ entertainment complex ด้วยว่า ไม่ได้หมายถึง คาสิโน อย่างเดียว วันนี้เรามี natural studium เรามี indoor natural stauium ที่จะจัดเวิลด์คลาสอีเวนท์ สร้างสนามอินดอร์สเตเดียม 30,000-40,000 ที่นั่ง โรงแรม exhibition center สวนสนุกอะไรหลายๆอย่าง ทําให้ประเทศไทยเป็น man made exhibition ที่มีคนอยากเข้ามา ควบคู่ไปกับการขยายสนามบินสุวรรณภูมิจาก 60 ล้านคนเป็น 150 ล้านคน ควบคู่ไปกับการลงทุนข้ามชาติที่ทาง BOI ไปติดต่อมา ควบคู่ไปกับสร้างล้านนาอินเตอร์เนชั่นแนลแอร์พอร์ตที่ทางภาคเหนือ ควบคู่ไปกับการสร้างสนามบินอันดามันที่ภาคใต้ นําความเจริญไปทั่วถึงไม่ใช่แค่ภาคใดภาคหนึ่ง รองรับการเดินทางของนักท่องเที่ยว คาสิโนเป็น 5% เท่านั้นเอง ตนว่านี่เป็นเรื่องที่เราควรที่จะต้องพูดคุยในเรื่องประสิทธิผล ไม่ใช่ไม่ชอบพรรคหรือคนที่ทําแล้วก็บอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่ดี

”เรื่องสำคัญที่ผมอยากพูดคุยกับทุกคนคือเรื่องของความเท่าเทียม ผมไม่ได้มองในด้านของเศรษฐกิจอย่างเดียว ผมมองในแง่ของจิตใจด้วยเราต้องให้เกียรติ ให้พื้นที่ให้ความเสมอภาคเท่าเทียมไม่ใช่ความเหนือชั้นกับชนบางกลุ่ม ผมไม่ปฏิเสธว่าสังคมไทยเนี่ยมีคนรวยอยู่เยอะมาก เพราะยอดพีระมิดมีอยู่ไม่กี่หมื่นคนเท่านั้นเอง ส่วนมากจะอยู่ที่ฐานราก เรื่องของความเสมอภาคเท่าเทียมจึงเป็นเรื่องที่สําคัญ ตอนที่ผมเป็นนายกฯ วันแรกที่ผมเดินทางออกต่างจังหวัดมีการเลี้ยงรับรองมื้อเที่ยง ผมก็เดินไปดูโต๊ะผู้สื่อข่าวกับสตาร์ฟของทําเนียบรัฐบาล และผู้ติดตาม เขาทานข้าวผัดกับแตงโม ผมก็เลยเรียก สลน.มาบอกว่าผมไม่เอาแบบนี้ ทุกคนต้องทานเหมือนกันหมด เวลาผมทานเลี้ยง ผมมีอาหารสํารับเดียวครับ ดังนั้น ถ้าท่านเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดลงไปตรวจพื้นที่ ผมอยากฝากข้อคิดไว้อันหนึ่งว่า ลูกน้องท่านเขาจะกินข้าวกับท่านปีนึงกี่หน บางคนแปลก ยิ่งเด่น ยิ่งชอบ ยิ่งจะทําตัวเหนือเขา นี่คือสิ่งที่ negative มากๆสําหรับคนคนรุ่นใหม่ สําหรับข้าราชการชั้นผู้น้อย หรือสําหรับคนที่กําลังไต่เต้า อีกประเด็นคืออย่ามาใช้ทรัพย์สมบัติของประเทศชาติในทางที่ผิด และเป็นการลดแรงบันดาลใจของคนรุ่นใหม่ ผมคิดว่าการที่เราจะทําให้เด็กรุ่นใหม่มีความหวังและแรงบันดาลใจต้องวางตัวให้ดีและเหมาะสมที่สุด วันนี้ทุกท่านได้อยู่ในสถาบันอันทรงเกียรติ เราต้องถามว่า หน้าที่ของเราคืออะไร แทนที่จะนั่งกันกินข้าวกันเรื่องไวน์ เรื่องลูก เรื่องธุรกิจ เด็กไทยประมาณสองล้านคนหลุดออกนอกระบบการศึกษา ไม่ได้เข้าสู่ระบบการศึกษา เราลองคิดช่วยกันหน่อย แสดงให้ทุกคนได้เห็นว่า พวกคุณเป็นผู้ที่เหมาะสม ควรที่จะถูกเลือกเข้ามาในเรียนในสถาบันทรงเกียรตินี้ และขอให้เราทุกคนลดความอคติที่จะเกลียดชังเป็นตัวบุคคลลงไป ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล หรือใครก็ตาม ลดความเกลียดชังในแง่ส่วนตัวลง แล้วให้ความเป็นธรรมกันมากขึ้น ถ้าไม่คิดอย่างนี้แล้วประเทศไม่มีความหวัง ผมอยากให้สังคมเดินไปข้างหน้าได้“ นายเศรษฐา กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top