Saturday, 10 May 2025
NEWS FEED

‘เพจดัง’ เปิดคลิปท้องฟ้า ‘เชียงใหม่’ ฝุ่นหนาปกคลุมทั่วพื้นที่ จนแทบมองไม่เห็น

(10 เม.ย.67) เพจเฟซบุ๊ก ‘อยากดังเดี๋ยวจัดให้รีเทิรน์ part 7’ ได้โพสต์คลิปเครื่องบินโดยสารขณะกำลังบินอยู่บนเหนือน่านฟ้าประเทศไทย จังหวัดเชียงใหม่ แต่ผู้โดยสารถ่ายคลิปนอกหน้าต่างที่มองไม่เห็นอะไรเลย เพราะท้องฟ้าปกคลุมไปด้วยฝุ่นควันพิษ PM2.5

โดยเพจ ‘อยากดังเดี๋ยวจัดให้รีเทิรน์ part 7’ ระบุข้อความว่า "PM 2.5 เชียงใหม่อากาศดี๊ดี...ถถถ Drama-addict Take off จากเชียงใหม่เหมือนหนีตายจาก PM2.5 ไม่ต้องประกาศเขตภัยพิบัติบางอำเภอค่ะ เรียกว่าค่าฝุ่นเชียงใหม่แย่มากทั้งจังหวัด หายใจลำบากมาก เลือดกำเดาออก มีผงขี้เถ้าลอยในอากาศฟุ้งไปหมด กินข้าวแทบไม่ได้ มันกล้ำกลืนไปหมดไม่สนับสนุนข่าวเท็จ อากาศดี ดีที่ไหนกันนนน ช่วยกันแชร์หน่อยค่ะ เพื่อชาวให้ชาวเชียงใหม่มีอากาศที่ดีขึ้น มาตรการควรเคร่งครัดมากกว่านี้ บรรเทาให้ถูกจุด ลด ละ เลิกแก้ปัญหาระยะสั้น แต่ผู้คนไม่สามารถมีชีวิตที่ยืนยาวได้"

‘โจ มณฑานี’ ชี้ สัญญาณแห่งคุณค่าแบบไทยๆ กำลังกลับมา หลัง ‘หลานม่า’ ทะลุ 100 ล้านบาทใน 5 วัน

(10 เม.ย.67) จากเฟซบุ๊ก 'Jo Montanee' โดยคุณโจ มณฑานี ตันติสุข ดีเจ พิธีกร นักวิจารณ์ นักเขียนและวิทยากรชื่อดัง ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับหนังเรื่อง 'หลานม่า' ที่กำลังนำพาคุณค่าดี ๆ กลับคืนสู่สังคมไทย ระบุว่า...

"อาม่า 5 วัน 100 ล้าน คือสัญญาณที่พี่โจบอกเสมอว่าคุณค่าแบบไทยจะค่อย ๆ กลับมา ขอแค่เราจงอดทน ศรัทธา และไม่ถอดใจ"

ทั้งนี้ หลังโพสต์ดังกล่าว ก็มีชาวเน็ตหลายท่านที่เห็นด้วยได้เข้ามาตอบคอมเมนต์มากมาย อาทิ...

"ศรัทธาและคุณค่าแบบไทย ไม่เคยจางหายไปจากใจเลยค่ะ ยังคงยึดถือและเคารพในตัวตนของเราเองเสมอมา 'ความเป็นไทย' ไม่เคยจางหายไปจากใจ จริง ๆ"

"ชื่นใจ…หอมกลิ่น กตัญญู"

"พอหนังออกโรงแล้ว กระทรวงศึกษาฯ ควรติดต่อขอฉายในสถานที่ศึกษาก็ดี"

"ความดีแบบไทย ๆ ต้องกลับมา เด็กรุ่นบางคน ก็บ้า ๆ บอ ๆ ตามเพื่อนไปเท่านั้น"

ฯลฯ

เผยตัวเลขพีคไฟฟ้ารอบ 7 ปี 2567 ช่วงวันหยุดยาว ยอดใช้พุ่งถึง 34,656 เมกะวัตต์ เฉียดทำลายสถิติ

ยอดใช้ไฟฟ้าพุ่งสูงช่วงวันหยุดยาวที่ผ่านมา เกิดพีคไฟฟ้าของปี 2567 รอบที่ 7 ถึง 34,656 เมกะวัตต์ 
ช่วงกลางคืนวันที่ 6 เม.ย. 2567 ในระบบของ 3 การไฟฟ้า เหตุอากาศร้อนสะสม เฉียดทำลายสถิติพีคไฟฟ้าประเทศปี 2566 พลังงานระบุ ได้โซลาร์เซลล์ช่วยตัดพีคไฟฟ้ากลางวัน ส่งผลให้เกิดการเกลี่ยไฟฟ้าไปใช้กลางคืนตามระบบอัตราค่าไฟฟ้า TOU ชี้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ใช้โรงไฟฟ้าให้เต็มประสิทธิภาพ อยู่ในเกณฑ์ที่ดีไม่จำเป็นต้องปรับโครงสร้าง TOU ใหม่

เมื่อวานนี้ (9 เม.ย. 67) ผู้สื่อข่าวศูนย์ข่าวพลังงาน (Energy News Center - ENC) รายงานว่า จากสถิติการใช้ไฟฟ้าของไทยแบบเรียลไทม์ในระบบของสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ. ) พบว่าในช่วงวันหยุดยาว 3 วันที่ผ่านมา (วันที่ 6-8 เม.ย. 2567) สภาพอากาศร้อนสะสมต่อเนื่องทั่วประเทศ ส่งผลให้ยอดการใช้ไฟฟ้าในช่วง 3 วันดังกล่าวพุ่งเกิน 34,000 เมกะวัตต์โดยตลอด แต่ช่วงที่เกิดสถิติการใช้ไฟฟ้าสูงสุด (พีค) ของปี 2567 นี้ ไปเกิดในวันที่ 6 เม.ย. 2567 มียอดใช้ไฟฟ้ารวม 34,656 เมกะวัตต์ ช่วงกลางคืนเวลา 20.54 น. ซึ่งพีคไฟฟ้าของปี 2567 นี้ นับว่าเข้าใกล้ยอดพีคไฟฟ้าของประเทศที่เคยสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เมื่อปี 2566 ที่ 34,827 เมกะวัตต์

ทั้งนี้แสดงให้เห็นว่าหากสภาพอากาศยังคงร้อนสะสมต่อเนื่องไปอีก พีคไฟฟ้าของปี 2567 อาจทำลายสถิติของพีคไฟฟ้าประเทศที่เกิดปี 2566 ได้ ตามที่สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) คาดการณ์ว่าพีคไฟฟ้าปี 2567 จะพุ่งสูงสุดเกิน 35,000 เมกะวัตต์ได้ อย่างไรก็ตามกรมอุตุนิยมวิทยาได้คาดการณ์ว่าในวันที่ 9-11 เม.ย. 2567 นี้จะเกิดพายุฤดูร้อนขึ้นหลายพื้นที่ในประเทศไทย ซึ่งอาจเป็นปัจจัยให้ยอดการใช้ไฟฟ้าปรับลดลง

สำหรับระบบสถิติการใช้ไฟฟ้าแบบเรียลไทม์ของ สำนักงาน กกพ. เป็นการรวบรวมยอดการใช้ไฟฟ้าของ 3 การไฟฟ้า (การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หรือ กฟผ., การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค หรือ PEA และการไฟฟ้านครหลวง หรือ กฟน.) ซึ่งเกิดขึ้นในแต่ละวัน ขณะที่สถิติการใช้ไฟฟ้าแบบเรียลไทม์ในระบบของ กฟผ. จะเป็นยอดการใช้ไฟฟ้าในแต่ละวันของ กฟผ. เท่านั้น

ทั้งนี้พีคไฟฟ้าปี 2567 ได้เกิดขึ้นต่อเนื่องกันมา 7 รอบแล้ว โดยเกิดขึ้นในเดือน เม.ย. 2567 มากที่สุดดังนี้…

ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 22 ก.พ. 2567 เวลา 19.24 น. ยอดพีคไฟฟ้าอยู่ที่ 30,989.3 เมกะวัตต์
ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 7 มี.ค. 2567 เวลา 19.47 น. ยอดพีคไฟฟ้าอยู่ที่ 32,704 เมกะวัตต์
ครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 1 เม.ย. 2567 เวลา 21.00 น. ยอดพีคไฟฟ้าอยู่ที่ 33,340 เมกะวัตต์
ครั้งที่ 4 เมื่อวันที่ 2 เม.ย. 2567 เวลา 20.51 น. ยอดพีคไฟฟ้าอยู่ที่ 33,827.1 เมกะวัตต์
ครั้งที่ 5 เมื่อวันที่ 4 เม.ย. 2567 เวลา 21.00 น. ยอดพีคไฟฟ้าอยู่ที่ 34,196.5 เมกะวัตต์
ครั้งที่ 6 เมื่อวันที่ 5 เม.ย. 2567 เวลา 22.22 น. ยอดพีคไฟฟ้าอยู่ที่ 34,277.4 เมกะวัตต์
ครั้งที่ 7 เมื่อวันที่ 6 เม.ย. 2567 เวลา 20.54 น. ยอดพีคไฟฟ้าอยู่ที่ 34,656.4 เมกะวัตต์

ขณะที่เมื่อย้อนดูสถิติยอดใช้ไฟฟ้าในแต่ละเดือนของไทย นับตั้งแต่ ม.ค.- เม.ย. 2567 มีแนวโน้มปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง เช่นกัน ดังนี้…

>> เดือน ม.ค. 2567 มียอดพีคไฟฟ้าเกิดขึ้นในวันที่ 11 ม.ค. 2567 เวลา 18.52 น. ยอดใช้ไฟฟ้าอยู่ที่ 29,051.3 เมกะวัตต์
>> เดือน ก.พ. 2567 มียอดพีคไฟฟ้าเกิดขึ้นในวันที่ 22 ก.พ. 2567 เวลา 19.29 น. ยอดใช้ไฟฟ้าอยู่ที่ 30,989.3 เมกะวัตต์
>> เดือน มี.ค. 2567 มียอดพีคไฟฟ้าเกิดขึ้นในวันที่ 7 มี.ค. 2567 เวลา 19.47 น. ยอดใช้ไฟฟ้าอยู่ที่ 32,704 เมกะวัตต์
>> เดือน เม.ย. 2567 มียอดพีคไฟฟ้าเกิดขึ้นในวันที่ 6 เม.ย. 2567 เวลา 21.54 น. ยอดพีคไฟฟ้าอยู่ที่ 34,656.4 เมกะวัตต์

แหล่งข่าวกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า กรณีที่บางหน่วยงานแสดงความเห็นว่าควรปรับโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าแบบ TOU ใหม่ (Time of use tariff) หรือ ‘อัตราค่าไฟฟ้าที่คิดตามช่วงเวลาการใช้งาน’ เนื่องจากพีคไฟฟ้าส่วนใหญ่จะเกิดในช่วงกลางคืน และภาคอุตสาหกรรม รวมถึงผู้ใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) จะหันมาใช้ไฟฟ้าในช่วงกลางคืนด้วย จึงทำให้ยอดการใช้ไฟฟ้าเกิดพีคกลางคืนเป็นส่วนใหญ่นั้น ที่ผ่านมาทั้งคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) และ กฟผ. เคยหารือร่วมกันและได้ข้อสรุปว่า ไม่ควรปรับเปลี่ยน TOU

เนื่องจากการตรวจสอบประสิทธิภาพการใช้ไฟฟ้าโดยภาพรวม ถือว่าสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานดีอยู่แล้ว ซึ่งหากปรับเปลี่ยนอัตราค่า TOU หรือ เปลี่ยนช่วงเวลาให้พีคไฟฟ้าไปเกิดในตอนกลางวัน ก็จะทำให้เกิดความปั่นป่วนกับผู้ใช้ไฟฟ้าทั้งระบบ เช่น ปรับพีคไฟฟ้าไปเกิดช่วงกลางวันแทน โรงงานอุตสาหกรรมก็จะต้องเปลี่ยนช่วงเวลาการผลิตสินค้าไปช่วงกลางวันเช่นกันและแรงงานก็ต้องเปลี่ยนเวลาทำงานกันใหม่หมดด้วย

ที่ผ่านมามีการกำหนดค่า TOU เนื่องจากต้องการเกลี่ยการใช้ไฟฟ้าให้ได้ทั้งวัน ไม่เช่นนั้นจะเกิดพีคไฟฟ้ากลางวันตลอด และทำให้ต้องสร้างโรงไฟฟ้ามาเพื่อรองรับพีคในช่วง 2-3 เดือนเท่านั้น ซึ่งไม่คุ้มค่าและจากนั้นโรงไฟฟ้าที่สร้างมาจะใช้งานไม่เต็มประสิทธิภาพ เพราะยอดการใช้ไฟฟ้าจะลดลงตามฤดูกาล ดังนั้นจึงกำหนด TOU เพื่อให้ประชาชนหันไปใช้ไฟฟ้าในช่วงกลางคืนบ้าง ซึ่งเป็นไปตามวัตถุประสงค์และโรงไฟฟ้าก็ได้ผลิตไฟฟ้าเต็มประสิทธิภาพ และอยู่ในเกณฑ์ประสิทธิภาพที่สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานด้วย

ดังนั้นการเกิดพีคไฟฟ้าช่วงกลางคืนนี้ ในความเป็นจริงถ้าไม่มีการผลิตไฟฟ้าโซลาร์เซลล์จากแสงอาทิตย์ที่มีมากกว่า 3,000 เมกะวัตต์ จะส่งผลให้เกิดพีคไฟฟ้าช่วงกลางวันอยู่ดี ดังนั้นขณะนี้เป็นการแสดงให้เห็นว่าการใช้ไฟฟ้าโดยรวมของไทยเพิ่มขึ้น การที่ไม่เกิดพีคไฟฟ้ากลางวันเพราะมีโซลาร์เซลล์มาช่วยตัดพีคกลางวัน จึงเห็นการเกิดพีคช่วงกลางคืนแทนนั้นเอง

สำหรับ TOU จะแบ่งช่วงเวลาและอัตราคิดค่าไฟฟ้าดังนี้…

1. แรงดันไฟฟ้า 12-24 กิโลโวลต์ ช่วง On Peak (09.00 - 22.00 น. วันจันทร์-วันศุกร์) อัตราค่าไฟฟ้าอยู่ที่ 5.1135 บาทต่อหน่วย ช่วง Off Peak (22.00 - 09.00 น. วันจันทร์ - วันศุกร์ และ 00.00 - 24.00 น. วันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุด) อัตราค่าไฟฟ้าอยู่ที่ 2.6037 บาทต่อหน่วย แต่ค่าบริการจะสูงถึง 312.24 บาทต่อเดือน

2. แรงดันไฟฟ้าต่ำกว่า 12 กิโลโวลต์ ช่วง On Peak (09.00 - 22.00 น. วันจันทร์-วันศุกร์) อัตราค่าไฟฟ้าอยู่ที่ 5.7982 บาทต่อหน่วย ช่วง Off Peak (22.00 - 09.00 น. วันจันทร์ - วันศุกร์ และ 00.00 - 24.00 น. วันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุด) อัตราค่าไฟฟ้าอยู่ที่ 2.6369 บาทต่อหน่วย แต่ค่าบริการจะต่ำกว่าอยู่ที่ 24.62 บาทต่อเดือน

ท่านอ้น วัชเรศร มอบแขนขาเทียมอุปกรณ์การแพทย์ รพ.พระจอมเกล้าฯ เลี้ยงอาหารกลางวันเด็กตาบอด มอบทุนการศึกษาและเกียรติบัตรให้แก่ครูนักเรียน

เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2567 “ท่านอ้น” ท่านชายวัชเรศร วิรัชรวงศ์  พระโอรสใน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เดินทางมาที่โรงพยาบาลพระจอมเกล้าฯ จ.เพชรบุรี เพื่อกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์สาธารณกุศลด้านงานส่งเสริมงานด้านสาธารณสุขใน จ.เพชรบุรี  โดยมี ประธานมูลนิธิโรงพยาบาลพระจอมเกล้าจังหวัดเพชรบุรีในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเพชรบุรี ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระจอมเกล้าคณะแพทย์ พยาบาล ประชาชนจำนวนมากให้การต้อนรับ 
ท่านชายวัชเรศร ถวายเครื่องราชสักการะและถวายมาลัยสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่4 เยี่ยมชมสำนักงานมูลนิธิโรงพยาบาลพระจอมเกล้าฯ  ทำพิธีเปิดกรวยดอกไม้ถวายราชสักการะเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ 2 เมษายน 67  มอบครุภัณฑ์ทางการแพทย์ อาทิ แขนเทียม เท้าเทียม ให้แก่ผู้ป่วย ผู้พิการจำนวน4ราย เก้าอี้รถเข็นคนพิการ10ราย มอบผ้าห่ม72ผืนให้กับผู้ป่วยและญาติๆ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล  ก่อนให้โอวาทให้กำลังใจการทำงานของคณะแพทย์พยาบาล   ภายหลังเสร็จพิธีท่านชายวัชเรศร ได้ลงพื้นที่เยี่ยมชมการดำเนินงานรักษาพยาบาลแบบสุขภาวัฒน์ ณ ห้องตรวจรักษาบริการผู้ป่วยนอก Smart OPD พระราชทาน จากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ตลอดจนเยี่ยมให้กำลังใจบุคลากรทางการแพทย์ ผู้ป่วยและญาติผู้ป่วย   ก่อนออกเดินทางต่อไปยังโรงเรียนธรรมิกวิทยาสอนคนตาบอด ในพระบรมราชูปถัมภ์ จังหวัดเพชรบุรี เป็นประธานมอบทุนอาหารกลางวันให้แก่โรงเรียน โดยมีนายแสวง เอี่ยมองค์ ผู้รับใบอนุญาตและผู้จัดการโรงเรียนธรรมิกวิทยาและคณะครูร่วมให้การต้อนรับ  ในการนี้ท่านชายวัชเรศรได้ร่วมรับฟังการแสดงดนตรีของนักเรียนตาบอด และนำอาหารกลางวันมอบให้แก่นักเรียนผู้พิการตาบอดด้วยตนเอง พร้อมให้โอวาทแก่นักเรียนพร้อมกันนี้ ได้เดินทางมาที่โรงเรียนวัดดอนไก่เตี้ย มอบทุนการศึกษาและเกียรติบัตรให้แก่คณะครูและนักเรียนของโรงเรียนวัดดอนไก่เตี้ย ที่มีผลงานเป็นเลิศด้านวิชาการดีเด่น ได้รางวัลชนะเลิศ การแข่งขันคณิตศาสตร์วิทยาศาสตร์และภาษาอังกฤษ ระดับชาติและนานาชาติ จำนวน 72 คน ในโอกาสครบรอบ 100 ปีของโรงเรียนฯ  

จากนั้นท่านชายวัชเรศร รับมอบทุนสมทบเข้ากองทุนการศึกษา Thai Heritage Scholarahip Fund of New York สำหรับนักเรียนไทยในมหานครนิวยอร์ค เพื่อสนับสนุนให้เด็กนักเรียนไทยที่เกิดหรือศึกษาในต่างแดนได้ระลึกถึงประเทศบ้านเกิดของตัวเองและทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศก่อนเยี่ยมชมบูธนิทรรศการผลงาน ทางวิชาการของโรงเรียนวัดดอนไก่เตี้ย  ชิมขนมหม้อแกงเมือง และชิมขนมหวานขนมโบราณ อื่นๆ อาทิ ทองหยิบ ทองหยอดฝอยทอง ขนมชั้นฯลฯ

บรรณรต เจริญกิจสัมพันธ์ จ.เพชรบุรี

สื่อจีนประมวลภาพ ‘กรมสมเด็จพระเทพฯ’ เสด็จเยือน ‘ม.ปักกิ่ง’ สะท้อนความสัมพันธ์อันดีงามระหว่าง ไทย-จีน ที่มีอย่างยาวนาน

เมื่อวานนี้ (9 เม.ย. 67) รศ.ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจจีน จากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ‘Aksornsri Phanishsarn’ กรณี กรมสมเด็จพระเทพฯ เสด็จเยือนมหาวิทยาลัยปักกิ่ง โดยระบุว่า…

“กรมสมเด็จพระเทพฯ เสด็จเยือนมหาวิทยาลัยปักกิ่ง Peking University, April 2024 🇨🇳 #สื่อจีน นำเสนอข้อมูลและประมวลภาพที่น่าประทับใจ 🇹🇭 #เจ้าหญิงของไทยเยือนจีน ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันไว้อย่างไรบ้าง 🥰 คลิกชมได้เลยค่ะ https://mp.weixin.qq.com/s/rshJdP0Wem9pxHWv3CTYjA

นอกจากนี้ยังได้โพสต์ข้อความเพิ่มเติมอีกว่า “โดยปกติ ช่วงต้นเดือน เม.ย. (หลังวันคล้ายวันพระราชสมภพ 2 เม.ย.) พระเทพฯ จะเสด็จเยือนจีนนะคะ (ยกเว้นช่วงโควิด จีนปิดประเทศ) การเสด็จเยือนจีนช่วงต้น เม.ย. พระเทพฯ ก็จะเสด็จเยือน ม.ปักกิ่งด้วย และม.ปักกิ่งจะเตรียม HBD cake ถวายพระเทพฯ แบบนี้มาโดยตลอดด้วยค่ะ 🥰 นี่คือส่วนหนึ่งของความสัมพันธ์ที่ดีงามอย่างยาวนานระหว่างไทย-จีน 🇹🇭🇨🇳นะคะ”

นราธิวาส-ผู้ว่าฯ นราธิวาส เปิดศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ประจำปี 2567 ภายใต้ชื่อรณรงค์ว่า “ขับขี่ปลอดภัย เมืองไทยไร้อุบัติเหตุ ”

วันที่ (9 เม.ย.66) เวลา 16.00 น.  ที่ บริเวณด่านตรวจหน้าปั๊ม ปตท.ปลักปลา ต.ลำภู อ.เมืองนราธิวาส ว่าที่ร้อยตรี ตระกูล โทธรรม ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส  เป็นประธานเปิดศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ประจำปี 2567 ภายใต้ชื่อรณรงค์ว่า “ขับขี่ปลอดภัย เมืองไทยไร้อุบัติเหตุ” โดยมี นายสิทธิชัย สวัสดิ์แสน นายวีรพัฒน์ บุณฑริก รองผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส นายวสันต์  ไชยทวีวงศ์   หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดนราธิวาส  ในฐานะเลขานุการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนจังหวัดนราธิวาส หัวหน้าส่วนราชการ และภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมกิจกรรมว่าที่ร้อยตรี ตระกูล โทธรรม ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส  กล่าวว่า การสร้างความปลอดภัยทางถนน ถือเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลมุ้งเน้นการป้องกัน และลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนน โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสำคัญๆ ทั้งเทศกาลปีใหม่ และเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งมีวันหยุดยาวต่อเนื่องกันหลายวัน เป็นช่วงที่พี่น้องประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนา และท่องเที่ยว เส้นทางต่างๆ จะคับคั่งไปด้วยยานพาหนะ มีโอกาสในการเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย ซึ่งการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนเป็นหน้าที่ของทุกภาคส่วน เพราะปัจจัย ความเสี่ยงเกี่ยวข้องกับทุกคน ทั้งด้านคน ด้านรถ ด้านถนน และสิ่งแวดล้อม ขอให้ทุกท่านทุ่มเทปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มแข็ง เพื่อให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวมีความปลอดภัยในการสัญจร สิ่งสำคัญต้องร่วมกันสร้างจิตสำนึกด้านความปลอดภัยทางถนนทุกพื้นที่ ครอบคลุมทั้งจังหวัดนราธิวาส เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุให้น้อยที่สุด

สำหรับศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนจังหวัดนราธิวาส ได้กำหนดช่วงดำเนินการควบคุมเข้มข้น 7 วัน ระหว่างวันที่ 11-17 เมษายน 2567 ได้มีเป้าหมายการดำเนินการเพื่อให้ประชาชนเดินทางอย่างสุขใจกับชีวิตวิถีใหม่ที่ห่างไกลจากอุบัติเหตุ ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ.2567 มีตัวชี้วัดการดำเนินงาน คือ อุบัติเหตุไม่เกิน 28 ครั้ง จำนวนผู้บาดเจ็บ admit  ไม่เกิด 27 คน และผู้เสียชีวิตไม่เกิน 3 ราย โดยบูรณาการแผนและความร่วมมือกับหน่วยงานภาคีเครือข่าย ดำเนินการ 5 มาตรการหลัก ได้แก่ 1. มาตรการด้านการบริหารจัดการ 2. มาตรการด้านลดปัจจัยเสี่ยงด้านถนนและสภาพแวดล้อม 3. มาตรการด้านลดปัจจัยเสี่ยงด้านยานพาหนะ 4. มาตรการด้านผู้ใช้รถใช้ถนนอย่างปลอดภัย และ 5. มาตรการด้านการช่วยเหลือหลังการเกิดอุบัติเหตุ 

ทั้งนี้จังหวัดนราธิวาส ได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ประจำปี 2567 ที่ สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดนราธิวาส ภายใต้การกำกับควบคุมดูแลของผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนจังหวัด และมีการจัดประชุมทุกวัน พร้อมติตตามรับทราบข้อสั่งการจากที่ประชุมส่วนกลาง ผ่านระบบวีดิทัศน์ทางไกล ขณะที่ทุกอำเภอและการตั้งจุดตรวจ จุดบริการประชาชนในเส้นทางสายหลัก และด่านชุมชนในเส้นทางรองของจังหวัดนราธิวาสด้วย

ข่าว.แวดาโอ๊ะ หะไร / อัสมา บินมะนุ จ.นราธิวาส

‘บิ๊กป้อม’ อวยพรชาวไทยมุสลิม เนื่องในวันอีฎิ้ลฟิตริ  ขอทุกท่านสุขภาพแข็งแรง มีแต่ความสันติสุขตลอดไป

(10 เม.ย. 67) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวเนื่องในโอกาสวันอีฎิ้ลฟิตริ ประจำปีฮิจเราะห์ศักราช 1445 ว่า 

“เนื่องในโอกาสวันสำคัญทางศาสนาอิสลาม วันอีฎิ้ลฟิตริ ประจำปีฮิจเราะห์ศักราช 1445 ขอร่วมอำนวยพรแก่พี่น้องชาวไทยมุสลิมทุกท่าน และเชื่อมั่นว่าผลบุญที่ได้จากการบำเพ็ญศาสนกิจตามบทบัญญัติของศาสนาอิสลาม ด้วยความศรัทธาอันแรงกล้า มั่นคงและอดทน เพื่อน้อมถวายจิตใจอันบริสุทธิ์แด่องค์พระผู้อภิบาลจะบำรุงให้ท่านทั้งหลายมีความอิ่มเอมใจ และมีความสันติสุขตลอดไป ในวาระนี้ขอพระผู้เป็นเจ้าได้โปรดประทานความเมตตา ความสุขสวัสดี ความเจริญรุ่งเรือง และกำลังใจ กำลังกายที่สมบูรณ์แข็งแรงแก่พี่น้องชาวไทยมุสลิมทุกท่านโดยทั่วกัน”

‘อัครเดช’ เปิดไทม์ไลน์ปม ‘กากแคดเมียมอันตราย’ ลั่น!! จนท.รัฐ เอี่ยว ต้องถูก ‘สอบสวน-ดำเนินการ’

“กากแคดเมียมเมื่อผ่านกระบวนการหลอมเพื่อสกัดสิ่งที่อยู่ภายในมีมูลค่าการซื้อขายสูงถึงตันละประมาณ 200,000 บาท จึงเป็นผลประโยชน์ที่ใครก็อยากได้”

เป็นข้อมูลจาก ‘นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์’ ประธานกรรมาธิการอุตสาหกรรม สส.ราชบุรี โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ที่ชี้ให้เห็นถึงเม็ดเงินมหาศาลจาก ‘กากแคดเมียม-สังกะสี’ ที่เป็นข่าวดังครึกโครมอยู่ขณะนี้ หลังมีการขุดและลักลอบขนย้ายจากจังหวัดตาก กว่า 15,000 ตัน กระจายไปซุกไว้ตามจังหวัดต่าง ๆ ซึ่งข้อมูลการตรวจพบโดยกรมโรงงานอุตสาหกรรม ล่าสุดพบในพื้นที่ 2 จังหวัด คือ สมุทรสาครและชลบุรี

นายอัครเดช เปิดเผยข้อมูลที่น่าสนใจว่า “กมธ.อุตสาหกรรม ได้ติดตามเรื่องดังกล่าวมาตั้งแต่ต้นปี 2567 เพราะได้รับการร้องเรียนมีการนำกากอุตสาหกรรม ที่คาดว่าจะไม่ถูกกฎหมายจำนวนมากเคลื่อนย้ายออกจากจังหวัดตาก ณ ขณะนั้นยังไม่ทราบว่าจะไปยังที่ใด ซึ่งตามรายงานกากแร่นี้ระบุไว้ว่า ‘มีอันตรายห้ามเคลื่อนย้าย’

>> กุมภาพันธ์ 2567
ประธานกรรมาธิการอุตสาหกรรม เล่าต่อไปว่า จากนั้นจึงเริ่มดำเนินการสืบสวนสอบสวนเชิงลึก กระทั่งมีการเชิญผู้ว่าราชการจังหวัดตาก อุตสาหกรรมจังหวัดตาก มาให้ข้อมูลเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ทั้ง 2 หน่วยงาน มอบให้ผู้แทนคือรองผู้ว่าฯ และผู้แทนอุตสาหกรรมจังหวัดมาชี้แจง ระบุว่า พื้นที่เหมืองเก่าใน อ.แม่สอด ส่งคืนพื้นที่ให้กรมป่าไม้ไม่มีการทำเหมือง

>> มีนาคม 2567
จากนั้นต้นเดือนมีนาคม 2567 กมธ.อุตสาหกรรม เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาอีกครั้ง เพราะได้รับข้อมูลว่า มีการย้ายกากแร่จาก อ.แม่สอด มาจาก จ.ตาก ทุกหน่วยงานจึงช่วยตรวจสอบ โดยเฉพาะกรมโรงงานอุตสาหกรรม ที่แจ้งว่า การตรวจสอบสามารถทำได้เพราะมีการลงทะเบียนผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ในใบขนย้าย

ต่อมาวันที่ 27 มีนาคม 2567 กรรมาธิการฯ ได้เชิญทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาประชุมอีกครั้ง ซึ่งอุตสาหกรรมจังหวัดตาก ชี้แจงว่า เป็นผู้เซ็นอนุมัติให้มีการขนย้ายกากแร่ดังกล่าวออกไปที่ จ.สมุทรสาคร

แต่ทางรองอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม ตั้งข้อสังเกตว่า ปลายทางไม่น่าจะรับกากแร่ที่ขนไปได้ แคดเมียมเป็นโลหะหนัก โรงงานปลายทางไม่สามารถหลอมโลหะอันตรายได้ เพราะเป็นโรงหลอมอะลูมิเนียมที่ไม่อันตราย

“ในวันนั้นที่ปรึกษากรรมาธิการอุตสาหกรรม สอบถามกับทางอุตสาหกรรมจังหวัดตาก เรื่องการขนย้ายกากดังกล่าว เพราะในข้อมูลทาง EIA ระบุชัดว่า จะต้องใช้วิธีการฝังกลบตามกระบวนการเท่านั้น แต่ทางอุตสาหกรรมจังหวัดตาก แจ้งว่า ขอกลับไปตรวจสอบก่อน”

>> เมษายน 2567
ประธานกมธ. เล่าอีกว่า และเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2567 จึงเชิญ 8 หน่วยงานมาประชุม และมีความเห็นว่า กากดังกล่าวเป็นอันตราย

โดยในที่ประชุม ผู้แทนกรมโรงงานฯ นำผลการตรวจสอบตัวอย่างกากแร่ที่พบในโรงงานสมุทรสาคร มาชี้แจง ว่า ผลการวิเคราะห์พบกากแคดเมียมมีความเข้มข้นสูงถึง 40% ถือว่าเป็นอันตรายมาก

“ในฐานะ ปธ.กมธ.อุตสาหกรรม จะปล่อยเรื่องนี้เงียบไม่ได้ กรณีนี้ จนท.รัฐ จะต้องถูกสอบสวนหรือดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใด”

ส่วนล่าสุดวันนี้ (9 เม.ย.67) แฟนเพจเฟซบุ๊ก ‘ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB)’ ได้เปิดเผยภาพและข้อมูล การเข้าตรวจค้นโรงงานแห่งที่ 4 ย่านคลองมะเดื่อ สมุทรสาคร พร้อมระบุว่า เจอแคดเมียมอีกเกือบ 1,000 ตัน

โดยด้านพล.ต.ต วัชรินทร์ พูสิทธ์ ผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ผบก.ปทส.) กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ สามารถตรวจพบกากแคดเมียมได้อีก 1,000 ตันที่โกดังแห่งหนึ่งใน อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร พร้อมทั้งเรียกประชุมคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน เพื่อวางแนวทางการทำงานร่วมกับกรมโรงงาน ในการตรวจสอบว่าโรงงานดังกล่าวได้รับอนุญาตให้ครอบครองวัตถุอันตรายหรือไม่ เพื่อแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติม รวมทั้งความผิดอื่น ๆ เช่น พ.ร.บ.สาธารณสุข พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร และพ.ร.บ.คนเข้าเมืองเพิ่มเติมต่อไป

‘อุ๊งอิ๊ง’ แจง!! ‘ทักษิณ’ ลงสระใช้ดัมเบลฟองน้ำ เพื่อออกกำลังกาย พร้อมบอกไม่คิดว่าจะเป็นประเด็น ขอโทษหากทำอะไรไม่ถูกใจ

(9 เม.ย. 67) ที่วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่ได้โพสต์ภาพนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ลงสระเล่นน้ำกับหลานโดยมีดัมเบล เสียงวิพากษ์วิจารณ์ค่อนข้างมาก ว่า จริง ๆ แล้วเป็นดัมเบลฟองน้ำและท่อฟองน้ำ เพื่อใช้ในการออกกำลังกายในน้ำ เพื่อช่วยให้กล้ามเนื้อกลับมา แต่ไม่ได้ว่ายน้ำเยอะเป็นเพียงการเดินในน้ำโดยใช้ดัมเบลฟองน้ำ ซึ่งไม่มีใครเอาดัมเบลเหล็กลงน้ำ ไม่ใช่นั้นคงจม ซึ่งลูกของตนก็ยังใช้เล่นด้วย เพราะว่ายน้ำไม่เป็น โดยนายทักษิณได้ให้หลานหนีบดัมเบลฟองน้ำ ไว้ทั้ง 2 ข้าง และเดินตาม ซึ่งก็เป็นการบริหารกล้ามเนื้อ

เมื่อถามว่า หากครั้งต่อไปจะโพสต์อะไรจะต้องมีการชี้แจงอย่างละเอียดหรือไม่ นางสาวแพทองธาร กล่าวว่า ไม่ตนก็คงจะโพสต์เหมือนเดิมแล้วไม่เป็นไรและอะไรที่เป็นกระแส ตนก็พร้อมที่จะตอบคำถาม ไม่เช่นนั้นชีวิตของตนก็จะต้องเปลี่ยนไป ทำอะไรต้องมา ระวังนู่นนี่นั่น ซึ่งจริง ๆ แล้วไม่ได้ตั้งใจจะโพสต์เพื่อทำร้ายใคร หรือเพื่อให้เป็นกระแสอยู่แล้ว แต่เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ตนงานยุ่งมาก 

"และเมื่อเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมา มีเวลาว่างอยู่กับลูก และไปนอนบ้าน รู้สึกว่าคุณตาตื่นมา มีความสุขหลาน ๆ มีความสุข อิ๊งค์ก็มีความสุข จึงเป็นสิ่งที่ต้องการจะสื่อ สื่อให้ตัวเอง ไม่ได้คิดว่าจะเป็นประเด็น ถ้าเป็นประเด็นก็อธิบายได้" น.ส.แพทองธาร กล่าว

เมื่อถามว่า ภาพร่างกายของนายทักษิณ ขณะนี้เป็นอย่างไรบ้าง น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ขึ้นเยอะ แข็งแรงขึ้น แต่ต้องมีการออกกำลังกายเรื่องกล้ามเนื้อเล็กน้อยเพราะอยู่ในพื้นที่จำกัดมานาน โดยบางส่วนต้องมีการฟื้นฟู โดยการออกกำลังกายในน้ำ เพราะอายุเยอะแล้วไม่ควรที่จะไปวิ่งเพื่อให้เกิดการกระแทก ดังนั้นการว่ายน้ำจึงปลอดภัยที่สุด ทั้งนี้ในทักษิณยังคงต้องไปตรวจเช็คอาการกับแพทย์อยู่อย่างต่อเนื่อง 

เมื่อถามว่าภายหลังจากการมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์นายทักษิณ ว่าอย่างไร นางสาวแพทองธารกล่าวว่า ไม่มีการพูดคุยในเรื่องนี้เลย ปล่อยผ่าน ก็ปล่อยผ่านไป 

เมื่อถามว่าหลังจากนี้จะมีการโพสต์ รูปนายทักษิณอีกหรือไม่ หลังจากมีกระแสหรือจะหยุดโพสต์ น.ส.แพทองธารกล่าวว่า "ใช่ ๆ คงจะโพสต์ต่อ หรือควรจะหยุดโพสต์ไหม" เมื่อย้อนถามกลับว่าเรื่องนี้จะทำให้เกร็งหรือไม่ นางสาวแพทองธารตอบว่า "ไม่เลยค่ะ" 

เมื่อถามว่า รู้สึกอย่างไรที่มีคนคอยจ้องจับผิด ความเคลื่อนไหวอยู่ตลอด น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า "ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก ที่โดนจ้องจับผิดแต่ไม่เป็นไร เราก็เป็นธรรมชาติของเราอยู่แบบนี้ ถ้าไม่ชอบหรือไม่ถูกใจก็ต้องขอโทษด้วยก็เป็นแบบนี้แหละค่ะ"

ทั้งนี้ นางสาวแพทองทานยังกล่าวถึงกำหนดการเดินทางกลับจังหวัดเชียงใหม่ของนายทักษิณว่า ยังไม่แน่ใจว่าจะ ยังไม่ยืนยันเวลา น่าจะเป็นวันที่ 12 หรือ 13 เม.ย.

เมื่อถามว่า ในวันพรุ่งนี้ (10 เม.ย.) นายทักษิณจะเดินทางไปฟังคำสั่งของสำนักงานอัยการสูงสุด ต่อคดีมาตรา 112 น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ยังไม่ทราบจริง ๆ อาจจะต้องไป ตอนนี้ยังไม่มีข้อมูล เขายังไม่ได้คุยกับนายทักษิณในเรื่องนี้ แต่ถ้าทางอัยการนัดก็คงจะต้องไป

‘เชียงใหม่’ อ่วม!! ยึดอันดับ 1 เมืองที่มี ‘ค่ามลพิษ’ สูงที่สุดของโลก แถมคนส่วนใหญ่ยังออกไปทำงานตามปกติ แม้ประกาศให้ WFH

วิกฤตฝุ่นควันเชียงใหม่ยังอาการสาหัส ค่ามลพิษสูงยึดอันดับ 1 เมืองหลักคุณภาพอากาศเลวร้ายที่สุดในโลกต่อเนื่อง โดยทางจังหวัดออกประกาศขอความร่วมมือให้พิจารณาจัดการทำงานแบบ Work from Home ระหว่าง 9-11 เม.ย.67 เพื่อลดผลกระทบต่อสุขภาพประชาชน อย่างไรก็ตามพบคนส่วนใหญ่ยังต้องออกไปทำงานตามปกติ ยกเว้นหน่วยราชการส่วนใหญ่ที่ตอบสนองและปฏิบัติตามได้ทันที

(9 เม.ย.67) รายงานข่าวแจ้งว่าสถานการณ์ฝุ่นควันไฟป่าและมลพิษอากาศของจังหวัดเชียงใหม่ยังคงรุนแรงต่อเนื่อง โดยสภาพตัวเมืองเชียงใหม่ถูกปกคลุมหนาทึบด้วยฝุ่นควันจนไม่สามารถมองเห็นยอดดอยสุเทพจากระยะไกลได้เหมือนช่วงปกติ ซึ่งจากสถานการณ์ที่เลวร้ายดังกล่าวนี้ ทางจังหวัดเชียงใหม่จึงได้มีการออกประกาศขอความร่วมมือให้หน่วยงานราชการและเอกชนพิจารณาการทำงานแบบ Work from Home ระหว่างวันที่ 9-11 เม.ย.67 เพื่อลดผลกระทบต่อประชาชน อย่างไรก็ตาม พบว่าผู้คนส่วนใหญ่จำเป็นต้องออกไปทำงานตามปกติเนื่องจากผู้ประกอบการเอกชนยังคงเปิดตามปกติ รวมทั้งลูกจ้างจำนวนมากเป็นผู้ใช้แรงงานและรับค่าจ้างเป็นรายวันที่ไม่สามารถทำงานจากที่บ้านได้ ขณะที่ในส่วนของหน่วยงานราชการนั้น พบว่าหลายหน่วยงานสามารถปฏิบัติตามประกาศดังกล่าวได้ทันที โดยเฉพาะที่ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่

สำหรับจุดความร้อนจากไฟไหม้ป่าในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่นั้น ข้อมูลจากสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISDA) ระบุว่า ในรอบ 24 ชั่วโมงของวันที่ 8 เม.ย.67 พบจุดความร้อน (Hotspot) ในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ รวมทั้งสิ้น 961 จุด อยู่ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ 207 จุด ซึ่งมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ส่วนอันดับ 1 ได้แก่ จังหวัดแม่ฮ่องสอน 297 จุด,อันดับ 3 ตาก 83 จุด, อันดับ 4 น่าน 82 จุด และอันดับ 5 ลำปาง 44 จุด

ขณะที่ศูนย์บัญชาการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) จังหวัดเชียงใหม่ รายงานจุดความร้อนรอบเช้าประจำวันที่ 9 เม.ย.67 ว่าพบจุดความร้อนในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 145 จุด มากที่สุดในพื้นที่อำเภอเชียงดาว 21 จุด รองลงไป ได้แก่ แม่แจ่ม 19 จุด, ฮอด 18 จุด, ฝาง 16 จุด, อมก๋อย 14 จุด, แม่แตง 14 จุด, ไชยปราการ 11 จุด, สันกำแพง 9 จุด, พร้าว 6 จุด, สะเมิง 4 จุด, แม่อาย 4 จุด, กัลยาณิวัฒนา 3 จุด, เวียงแหง 2 จุด, ดอยสะเก็ด 2 จุด และแม่วาง 2 จุด

ทั้งนี้ รายงานผลการตรวจวัดคุณภาพอากาศจากสถานีของกรมควบคุมมลพิษที่ติดตั้งอยู่ในตำบลช้างเผือก, ตำบลศรีภูมิ,ตำบลสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่, ตำบลช่างเคิ่ง อำเภอแม่แจ่ม, ตำบลเมืองนะ อำเภอเชียงดาว และตำบลหางดง อำเภอฮอด พบค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 เฉลี่ยในรอบ 24 ชั่วโมง ณ เวลา 09.00 น. วันนี้ อยู่ที่ 122.7 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร, 129.8 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร, 125.5 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร, 76 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร, 151.6 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร และ 75.3 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร ตามลำดับ จากค่ามาตรฐานไม่เกิน 37.5 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร ส่วนค่าดัชนีคุณภาพอากาศ (AQI) อยู่ที่ 248,255,251,202,77 และ 201 ตามลำดับ จากค่ามาตรฐานไม่เกิน 100 ทั้งนี้ภาพรวมคุณภาพอากาศอยู่ในระดับที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ

ขณะที่เว็บไซต์ Iqair.com ซึ่งรายงานคุณภาพอากาศจากทั่วโลก แจ้งผลการตรวจวัดคุณภาพอากาศและการจัดอันดับเมืองที่มีมลพิษทั่วโลก เมื่อเวลา 08.00 น. วันนี้ พบว่าจังหวัดเชียงใหม่มีดัชนีคุณภาพอากาศอยู่ที่ 197 US AQI และค่า PM 2.5 วัดค่าได้ 145 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร ซึ่งเกินค่ามาตรฐาน และอยู่ในระดับที่มีผลกระทบต่อทุกคน โดยผลการตรวจวัดคุณภาพอากาศดังกล่าวอยู่ในอันดับที่ 1 ของเมืองหลักที่มีมลพิษอากาศสูงสุดของโลก ขณะที่อันดับ 2 ได้แก่ คูเวตซิตี้ ประเทศคูเวต ดัชนีคุณภาพอากาศ 194 US AQI และอันดับ 3 กาฐมาณฑุ ประเทศเนปาล 191 US AQI


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top