Monday, 20 May 2024
NEWS FEED

กรมธนารักษ์ เตรียมจัดที่ดิน 600 ไร่ ให้กระทรวงพัฒนาสังคมฯ สร้างคอนโด 3,000 ห้อง เป็นที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงอายุ

นายยุทธนา หยิมการุณ อธิบดีกรมธนารักษ์ เปิดเผยว่า กรมฯ เตรียมทำสัญญามอบที่ราชพัสดุ 600 ไร่ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ให้กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ภายในช่วงเดือนก.พ.นี้ นำไปดำเนินโครงการที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงอายุ

โดบเบื้องต้นอาจเป็นอาคารชุดประมาณ 3,000 ห้อง ราคาเริ่มต้นห้องละ 999,999 บาท โดยให้สิทธิผู้สูงอายุตั้งแต่ 50 ปี เข้าจองอยู่ได้ รวมปถึงการใช้สร้างเป็นโรงพยาบาล ศูนย์ฝึกอาชีพ และอาคารสำนักงานของพม. เพื่อรองรับการดูแลภาคประชาสังคม

ปัจจุบันกรมธนารักษ์มีผู้เช่าที่ราชพัสดุทั่วประเทศ 182,000 ราย แบ่งเป็นผู้เช่าที่ดินราชพัสดุ 160,000 ราย และผู้เช่าอาคารราชพัสดุ 22,000 ราย มีผลการจัดเก็บรายได้เฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปี ประมาณ 10,000 ล้านบาท เป็นรายได้จากการบริหารจัดการด้านที่ราชพัสดุ ประมาณ 9,000 ล้านบาท

โดยการให้บริการรับชำระค่าเช่าผ่านแอปพลิเคชัน จะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้เช่าที่ราชพัสดุในยุคปัจจุบันมากขึ้นสามารถลดภาระค่าใช้จ่ายและระยะเวลาในการเดินทางไปชำระค่าเช่าได้เหมาะสมกับพฤติกรรมเข้าสู่การใช้ชีวิตวิถีใหม่ได้ด้วย

“การมอบที่ราชพัสดุครั้งนี้เพื่อนำไปสร้างที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงอายุ น่าจะช่วยตอบโจทย์ความต้องการได้ โครงการนี้กระทรวงพัฒนาสังคมฯ จะเป็นผู้ดำเนินการ เพราะกลุ่มผู้สูงอายุที่ยังมีความต้องการที่อยู่อาศัยอีกจำนวนมาก”

‘104 บาท’ แพงเกิน! 'สุรเชษฐ์' ชี้ต้นตอ รัฐอุดหนุนไม่เพียงพอ เพราะการลงทุนแบบไม่พอเพียง อัด กทม.จับประชาชนเป็นตัวประกัน ปมขยายสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว

สุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ รองเลขาธิการพรรคก้าวไกล และส.ส.บัญชีรายชื่อ ให้ความเห็นจากการที่ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยเมื่อวาน (15 ม.ค. 64) ว่าจะมีการประกาศอัตราค่าโดยสารใหม่เนื่องจากการกำหนดฟรีค่าโดยสารในส่วนต่อขยายกำลังจะสิ้นสุดลงในวันที่ 15 ม.ค. 64 และได้เผยแพร่ “ประกาศกรุงเทพมหานคร” เรื่อง “การกำหนดค่าโดยสารโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว” ลงวันที่ 15 ม.ค. 64

ส่งผลให้ค่าโดยสารใหม่มีผลตั้งแต่ 16 ก.พ. 64 โดย “ไม่มีการเก็บค่าแรกเข้าซ้ำซ้อน” และให้จัดเก็บอัตราค่าโดยสาร “ตลอดเส้นทางไม่เกิน 104 บาท” นับว่าข้อเรียกร้องจากประชาชนเป็นผลอยู่บ้าง โดย กทม. ยอมถอย “เปลี่ยนแผน” จากเดิม 158 บาท มาเป็น 104 บาท หรือลดลงมา 54 บาท จากการไม่คิดค่าแรกเข้าซ้ำซ้อนระหว่างส่วนหลักและส่วนต่อขยาย อย่างไรก็ตาม ราคาตลอดเส้นทางดังกล่าวก็ยังแพงเกินไปอยู่ดี

"หลายคนอาจยังไม่เข้าใจว่าทำไมถึงแพง ต้นตอของปัญหาที่แท้จริงก็คือ รัฐอุดหนุนไม่เพียงพอ เพราะการลงทุนแบบไม่พอเพียง กล่าวคือ พอเอาเงินไปลงทุนเพื่อก่อสร้างเยอะเกินจำเป็นก็เหลือเงินอุดหนุนน้อยกว่าที่ควรจะเป็น ต้องเก็บแพง ๆ จากผู้โดยสาร รัฐบาลก็ทราบดีว่าค่าโดยสารแพง แต่อยากเก็บเงินไว้สร้างหรือผลาญกับโครงการอื่นเพิ่มเติม จึงพยายาม Hot Fix โครงการนี้โดยให้ กทม. เอารายได้จากอนาคตมาโปะคล้ายการกู้เพิ่ม และพยายามขยายสัมปทานออกไปอีก 30 ปี ทั้งที่ยังเหลืออีก 9 ปี ซึ่งเรื่องนี้มีความไม่ชอบมาพากลหลายประการเกิดขึ้นจากการใช้อำนาจพิเศษตามมาตรา 44 แต่งตั้งคนของตัวเองไปมุบมิบเจรจา และไม่เป็นไปตาม พรบ. ร่วมทุน"

สุรเชษฐ์ กล่าวต่อไปว่า สภาผู้แทนเคยพิจารณาประเด็นนี้แล้ว และกรรมาธิการเสียงข้างมาก ทั้งจากฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล 'ไม่เห็นด้วยกับการขยายสัมปทาน' แต่ล่าสุด กทม. ยังดึงดันจะขยายสัมปทาน โดยใช้ผลการมุบมิบเจรจาตามมาตรา 44 โดยออกมาขู่ประชาชนว่าหากไม่ขยายก็จะแพงอย่างนี้ หากยอมขยายก็จะลดเหลือ 65 บาทตลอดสาย นี่คือจับประชาชนเป็นตัวประกันชัด ๆ

ประเด็นสำคัญคือหากจะขยายสัมปทานที่มีมูลค่าหลายแสนล้านบาทแบบนี้ ต้องเจรจาบนพื้นฐานของกฎหมายปกติและเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส นอกจากนั้น การขยายสัมปทานออกไปอีก 30 ปี จะส่งผลให้การแก้ปัญหาอย่างบูรณาการ กับรถไฟฟ้าสายสีอื่นและระบบรถเมล์ ช้าออกไปอีก 30 ปี

ดังนั้น แม้จะแก้ปัญหาค่าโดยสารแพงในเส้นนี้ได้ เส้นอื่นก็ยังคงมีปัญหาอยู่ การเชื่อมต่อกับสายสีอื่นหรือระบบรถเมล์ก็ยังคงมีปัญหาอยู่ ทุกวันนี้ แค่ 'ตั๋วร่วม' ง่าย ๆ ยังทำไม่ได้เลย ปัญหา “ค่าแรกเข้าซ้ำซ้อน” กับสายสีอื่นก็จะยังคงอยู่ต่อไป ไม่ต้องพูดถึงการ 'ยกเว้นค่าแรกเข้าระหว่างรูปแบบการเดินทาง' เช่น ขึ้นรถเมล์ไปต่อรถไฟฟ้า เป็นต้น ซึ่งเรื่องเหล่านี้จุดพีคก็คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะต้องเป็นคนทุบโต๊ะ คงต้องติดตามกันต่อว่าสุดท้ายแล้วผลจะออกมาอย่างไร

กรมบังคับคดีเร่งช่วย ‘ลูกหนี้’ บัตรเดรดิต เจรจาไกล่เกลี่ย ก่อนถูกเจ้าหนี้ฟ้องยึดทรัพย์ช่วงโควิด-19 เผยปี’63 ช่วยลูกหนี้กว่า 3 หมื่นราย มูลหนี้กว่า 1.17 หมื่นล้าน

นางอรัญญา ทองน้ำตะโก อธิบดีกรมบังคับคดี เปิดเผยว่าจากสถานการณ์ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ได้ส่งผลให้ประชาชนมีภาระหนี้สินเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะหนี้บัตรเครดิต ซึ่งเมื่อถึงที่สุดประชาชน ที่ไม่สามารถชำระหนี้ได้ ก็จะถูกฟ้อง และยึด อายัด ทรัพย์สินของลูกหนี้

กรมบังคับคดีเล็งเห็นถึงปัญหาความเดือดร้อนดังกล่าว จึงได้เร่งให้ความช่วยเหลือลูกหนี้บัตรเครดิต โดยร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน จัดกระบวนการไกล่เกลี่ยหนี้ชั้นบังคับคดีขึ้นในทุกจังหวัด โดยเปิดโอกาสให้เจ้าหนี้ ลูกหนี้ได้เจรจากันด้วยความสะดวก รวดเร็ว และไม่มีค่าใช้จ่าย โดยมีผู้ไกล่เกลี่ยของกรมบังคับคดีเป็นคนกลางในการเจรจา ซึ่งส่วนใหญ่จะได้รับการลดวงเงินที่ต้องชำระคืนแก่เจ้าหนี้ตามฐานะสภาพของลูกหนี้ ทำให้ลูกหนี้มีโอกาสชำระหนี้ในวงเงินที่ลดลงได้

การเจรจาไกล่เกลี่ยทำให้ลูกหนี้มีโอกาสชำระหนี้ได้ ก็จะทำให้ลดปัญหาการถูกบังคับคดี ลดปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ และลดความเดือดร้อนของประชาชน

โดยช่วงที่ผ่านมากรมบังคับคดีได้มีการจัดโครงการไกล่เกลี่ยทั่วไทย ระหว่างวันที่ 21 ธันวาคม 2563 ถึง 15 มกราคม 2564 ณ ศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท กรมบังคับคดี สำนักงานบังคับคดีแพ่งกรุงเทพมหานคร 1 – 3 , 5 และสำนักงานบังคับคดีจังหวัด/สาขาทั่วประเทศ รวม 116 แห่ง

โดยผลจากการจัดโครงการฯ ณ วันที่ 13 มกราคม 2564 มีเรื่องที่เข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ย จำนวน 764 เรื่อง ทุนทรัพย์ 398,801,568.67 บาท สามารถไกล่เกลี่ยสำเร็จ จำนวน 626 เรื่อง ทุนทรัพย์ 306,477,463.02 บาท คิดเป็นร้อยละ 94.44 ที่เจรจาสำเร็จ และตลอดปี 2563 มีการไกล่เกลี่ยสำเร็จจำนวน 30,623 เรื่อง ทุนทรัพย์ 11,703,154,195.60 บาท

พร้อมกันนี้กรมบังคับคดีขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนที่ประสบปัญหาหนี้สินจากบัตรเครดิต มาใช้บริการไกล่เกลี่ยผ่านสำนักงานของกรมบังคับคดีทั่วประเทศ

รวมทั้งสามารถยื่นคำร้องข้อไกล่เกลี่ยข้อพิพาทผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ทางเว็บไซต์กรมบังคับคดี www.led.go.th เพื่อขอเข้าไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้วยตนเองหรือขอไกล่เกลี่ยข้อพิพาทออนไลน์ ผ่านแอปพลิเคชัน Session call

และสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมบังคับคดี 1111 กด 79 หรือศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท หมายเลขโทรศัพท์ 0 2881 4840, 0 2887 5072


ที่มา: ประชาชาติธุรกิจ

นายกฯ เชิดชูครูเป็นบุคลากรสำคัญในการพัฒนาและขับเคลื่อนระบบการศึกษาของชาติ “ชี้” ต้องพร้อมปรับรูปแบบการเรียนการสอน และสร้างนวัตกรรมการเรียนรู้ให้ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลง

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ส่งสารเนื่องในโอกาสวันครู ครั้งที่ 65 ประจำปี 2564 ว่า ครูเป็นบุคลากรสำคัญในการพัฒนาและขับเคลื่อนระบบการศึกษาของชาติและมีบทบาทในการประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ในปัจจุบัน ครูยุคใหม่จึงต้องเป็นผู้อำนวยการในการเรียนรู้ เพื่อให้เด็กและเยาวชนเข้าถึงศาสตร์สาขาต่าง ๆ เป็นผู้ที่มีความรู้ครบถ้วน เป็นคนดี มีคุณธรรม และจริยธรรม พร้อมที่จะเติบโตเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศ

รัฐบาลมีนโยบายในการเสริมสร้างและพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาให้มีมาตรฐานวิชาชีพในระดับสากล ตลอดจนนำเทคโนโลยีซึ่งมีความก้าวหน้าและนวัตกรรมมาปรับใช้ในการจัดการศึกษา การพัฒนาบุคลากรและการจัดทำแผนการศึกษาเพื่อพัฒนาเยาวชนในทุกช่วงวัยให้เป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณค่าและมีศักยภาพสูง ดังนั้น อนาคตของชาติจึงอยู่ที่การศึกษา และการศึกษาที่มีคุณภาพย่อมเกิดจากครูที่มีคุณภาพด้วย

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันครูปีนี้ ผมได้มอบคำขวัญว่า “ครูวิถีใหม่ ใส่ใจดิจิทัล สร้างสรรค์คุณธรรมประจำชาติ” เพื่อให้ครูและบุคลากรทางการศึกษาได้ตระหนักถึงบทบาทและหน้าที่ของครูในยุคชีวิตวิถีใหม่ที่ต้องมีการปรับรูปแบบการเรียนการสอนและสร้างนวัตกรรมการเรียนรู้ให้พร้อมตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลง ครูจึงต้องได้รับการพัฒนา เสริมสร้างทักษะ ความรู้ และความสามารถด้านดิจิทัล เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะสมกับการดำเนินชีวิตวิถีใหม่

นอกจากนี้ ครูยังต้องเป็นบุคลากรตัวอย่างในการประพฤติปฏิบัติตนอย่างมีคุณธรรมและจริยธรรม เป็นที่ยกย่องของผู้คนในสังคม และเป็นต้นแบบที่ดีให้แก่ศิษย์ได้ดำเนินรอยตาม เพื่อเป็นคนเก่งคนดี มีความทันสมัย มีคุณธรรมประจำใจ และเป็นอนาคตของชาติ

“เนื่องในโอกาสวันครูครั้งที่ 65 พุทธศักราช 2564 ผมขอส่งความปรารถนาดี และกำลังใจมายังคณาจารย์ ครู บุคลากรทางการศึกษา ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกคนพร้อมทั้งขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย อีกทั้งเดชะพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ได้โปรดดลบันดาลประทานพรให้ทุกท่านประสบแต่ความสุข ความเจริญ มีกำลังกาย กำลังใจที่เข้มแข็ง และสัมฤทธิผลในสิ่งที่พึงปรารถนาทุกประการโดยทั่วกัน” นายกรัฐมนตรีกล่าว

‘แรมโบ้’ ยืนยัน เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่เคยฉวยโอกาสจับแกนนำผู้ชุมนุม หลัง ‘รังสิมันต์’ ออกโรงปกป้อง สวนกลับ สมองคิดแต่จะสนับสนุนหรือปกป้องคนจาบจ้วงสถาบัน

นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีนายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล และโฆษก กมธ.กฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน โพสต์เฟซบุ๊ก นายสิริชัย นาถึง หรือนิว แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม พ่นสีพระบรมฉายาลักษณ์ เขียนข้อความปล่อยเพื่อนเราไม่ผิดกฎหมาย ม.112 ว่า

ตำรวจไม่ได้ฉวยโอกาสจับใคร หรือซ้ำเติมกับประชาชนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะกับแกนนำผู้ชุมนุม แต่ตำรวจต้องทำตามกฎหมายจับกุมผู้ที่กระทำความผิดทุกคน รวมถึงได้ทำงานอย่างหนักในการปราบปรามลักลอบขนแรงงานข้ามประเทศ บ่อนการพนัน หรือยาเสพติด เพียงแต่คนอย่างนายรังสิมันต์มีแนวความคิดสนับสนุนกลุ่มคนที่คิดจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูงไม่เคยคิดออกมาห้ามปรามคนที่ทำผิดกฎหมายมาตรา112 จึงพยายามกล่าวหาเจ้าหน้าที่และปกป้องคนที่จาบจ้วงก้าวล่วงสถาบันตลอดมา

นายสุภรณ์ กล่าวว่า นายรังสิมันต์เป็นถึงโฆษก กมธ.กฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน แต่กลับปกป้องคนที่ทำผิดกฎหมายและอ้างว่าการชุมนุมเป็นไปตามสิทธิเสรีภาพ ในการชุมนุมสาธารณะแต่การชุมนุมที่ไปละเมิดคนอื่นกลับมองไม่เห็น ยิ่งกระทำความผิดกฎหมายตามมาตรา112 ทำให้กระทบกระเทือนจิตใจของคนไทยส่วนใหญ่ที่จงรักภักดี ทำไมพรรคก้าวไกลไม่เคยคิดออกมาห้ามบ้าง หรือว่าเป็นอีแอบตัวจริงที่สนับสนุนอยู่เบื้องหลังให้คนเหล่านี้กระทำความผิดมาตรา112

ตนเข้าใจว่านายรังสิมันต์เคยเป็นนักเคลื่อนไหวเช่นเดียวกัน ก็ต้องปกป้องกันแต่ขณะนี้นายรังสิมันต์มีสถานะที่เป็นถึง ส.ส.ซึ่งเป็นผู้แทนของประชาชนเข้ามาทำหน้าที่ในสภาฯและยังได้เป็นโฆษก กมธ.กฎหมายฯเวลาที่จะทำอะไร หรือจะปกป้องใครขอให้ใช้สมองคิดตริตรองให้ดีเสียก่อนว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องหรือไม่ และก็ควรให้เกียรติกับตำแหน่ง ส.ส.ที่ตนเองเป็นอยู่ด้วย

“หากนายรังสิมันต์ไม่อยากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมแกนนำผู้ชุมนุมที่ทำผิดกฎหมาย นายรังสิมันต์ในฐานะโฆษก กมธ.กฎหมาย ก็ควรไปขอให้แกนนำยุติการชุมนุม และขอให้แกนนำอย่าทำผิดกฎหมาย อย่าให้ร้าย ก้าวล่วงสถาบันในทุกรูปแบบ ทำแบบนี้ถึงจะเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ตนยืนยันมาตรา112 ไม่เคยไปใช้รังแกใคร มีแต่คนที่ไม่หวังดีต่อสถาบัน คิดร้ายต่อสถาบันไปท้าทายฝ่าฝืนกฎหมายมาตรา112 เสียเอง ดังนั้นบ้านเมืองมีขื่อมีแปร กฎหมายต้องเป็นกฎหมายเจ้าหน้าที่ต้องบังคับใช้อย่างเข้มงวดและเด็ดขาด"นายสุภรณ์กล่าว

‘เทพไท’ เตรียมชง ประชาธิปัตย์ ส่งผู้ว่าฯ กทม. ในนามพรรค แย้ม 4 รายชื่อเหมาะลงสมัคร "องอาจ-สามารถ-พนิต-ปริญญ์" พร้อมยืนยันไม่มีการฮั้วทางการเมืองกับพรรคหรือกลุ่มการเมืองใด ๆ

นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง การเปิดตัวผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร(กทม.)ในขณะนี้ว่า หลังจากคณะกรรมการเลือกตั้ง(กกต.) กำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่นขึ้นตามลำดับ ส่วน กทม.ซึ่งเป็นการปกครองรูปแบบพิเศษ ก็จะมีการเลือกตั้งด้วย จึงทำให้มีการเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครผู้ว่าฯกทม.กันอย่างคึกคักจำนวนหลายคน

ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นพรรคการเมืองเก่าแก่ และเคยเป็นผู้บริหาร กทม.มาหลายสมัย แต่ก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ ออกมา อาจจะทำให้สมาชิกพรรค แฟนพันธุ์แท้ หรือกลุ่มผู้สนับสนุนพรรค เกิดคำถามได้ว่าทางพรรคประชาธิปัตย์จะส่งผู้สมัครผู้ว่าฯกทม.ในนามพรรคหรือไม่

ซึ่งเรื่องนี้โดยหลักการแล้ว พรรคประชาธิปัตย์จะต้องส่งผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.อย่างแน่นอน เพราะเป็นพรรคการเมืองที่เคยครองพื้นที่ กทม.อย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลายาวนาน มีฐานเสียงในเขตพื้นที่ กทม.หนาแน่นและเป็นอุดมการณ์ของพรรคที่สนับสนุนหลักการกระจายอำนาจอย่างชัดเจน ซึ่งมั่นใจว่าคณะกรรมการบริหารพรรคชุดนี้ จะมีมติส่งผู้สมัครผู้ว่าฯกทม.ในนามพรรคอย่างแน่นอน ยืนยันได้ว่าจะไม่มีการฮั้วทางการเมืองกับพรรคการเมืองหรือกลุ่มการเมืองใดๆ จนทำให้สมาชิกพรรคและผู้สนับสนุนพรรค ต้องผิดหวังอย่างเด็ดขาด

ส่วนตัวจะนำเสนอเรื่องนี้ต่อคณะกรรมการบริหารพรรคให้มีการประชุมพิจารณา และมีมติโดยเร็วที่สุด เพื่อให้สมาชิกพรรคและผู้สนับสนุนได้เตรียมตัวรณรงค์หาเสียง ให้กับผู้สมัครในนามพรรคประชาธิปัตย์ตั้งแต่เนิ่น ๆ ซึ่งในขณะนี้ทางพรรคมีสมาชิกพรรคที่มีคุณสมบัติเหมาะสม เป็นผู้มีความรู้ความสามารถ มีประสบการณ์ทางด้านการเมือง การบริหารงาน กทม.หลายคน ที่สามารถลงสมัครเป็นผู้ว่าฯกทม.ได้

เช่น 1.) นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค เป็น ส.ส.กทม.มาหลายสมัย เป็นอดีตรัฐมนตรี เป็นส.ส.ที่รู้ปัญหาพื้นที่ กทม.มากที่สุดคนหนึ่ง

2.) นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ รองหัวหน้าพรรค เป็นอดีต ส.ส. และเป็นอดีตรองผู้ว่าฯกทม. ที่มีความเชียวชาญด้านการขนส่งและการจราจรมากที่สุดคนหนึ่ง มีความเหมาะสมที่จะบริหาร กทม.เพื่อแก้ปัญหารถติด และรถไฟฟ้าทุกระบบ ซึ่งเป็นปัญหาหลักของ กทม.ในปัจจุบัน

3.) นายพนิต วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ เคยเป็นรองผู้ว่าฯกทม.สมัยนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน เป็นผู้ว่าฯ เป็นมีประสบการณ์การบริหารทั้งภาครัฐและเอกชน มีความรู้ทางด้านการเงินการคลังเป็นพิเศษ สามารถเข้ามาบริหารงบประมาณของ กทม.ปีละ1แสนล้านได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

4.) นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ รองหัวหน้าพรรค เป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจทันสมัย เป็นคนหนุ่มรุ่นใหม่ ไฟแรง เหมาะสมกับยุคสมัยปัจจุบัน มีประสบการณ์ด้านการบริหารระดับสูงภาคเอกชนมาก่อน มีความพร้อมทั้งด้านคุณวุฒิ วัยวุฒิ และชาติวุฒิ

นายเทพไท กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ทางพรรคยังมีบุคคลภายนอก ที่มีชื่อเสียงและประวัติการทำงานที่โดดเด่น มีความสนใจได้เสนอตัวเป็นผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.ในนามพรรคประชาธิปัตย์อีกหลายคน แต่เบื้องต้นตนจะขอเสนอให้คณะกรรมการบริหารพรรค พิจารณาผู้เหมาะสมจากบุคคลภายในพรรคก่อน ก่อนที่จะพิจารณาผู้เหมาะสมจากบุคคลภายนอกต่อไป

สะพัด!! กระทรวงการคลัง จะใช้เว็บไซต์ www.เราชนะ.com ในการรองรับการลงทะเบียน มาตรการเยียวยารอบ2 ของรัฐบาล ในชื่อ มาตรการ 'เราชนะ' ที่จ่ายเงิน เยียวยา เดือนละ 3,500 บาท เป็นเวลา 2 เดือน รวม 7,000 บาท ต่อคน เพื่อบรรเทาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19

แม้ตัว เว็บไซต์ www.เราชนะ.com จะยังไม่เปิดตัวอย่างเป็นทางการ แต่มีความเป็นไปได้ว่า หลังจากกระทรวงการคลังมีการนำเสนอวาระ 'มาตรการเราชนะ' เข้าพิจารณาในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ในวันอังคารที่ 19 มกราคม นี้ คงได้เห็นหน้าตาและความชัดเจนในการลงทะเบียน

ก่อนหน้านี้ นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยโดย คาดว่า เว็บไซต์ www.เราชนะ.com จะเปิดให้ลงทะเบียนรับสิทธิ์มาตรการเราชนะ ในการเยียวยารอบ2 ได้ในช่วงสิ้นเดือน ม.ค.นี้ ซึ่งรายละเอียดการลงทะเบียนจะไม่ยุ่งยากเหมือนมาตรการเราไม่ทิ้งกัน ที่มีชุดคำถามเชิงลึก เพื่อพิจารณาว่าได้รับผลกระทบจริงหรือไม่

ส่วนอีกเสียงที่มียืนยันคือ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวเมื่อวันที่ 14 มกราคม 2564 ว่า มาตรการเยียวยาประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ผ่าน 'เราชนะ' เตรียมเปิดให้ลงทะเบียนสิ้นเดือนมกราคมนี้ คาดว่าครอบคลุมผู้ได้รับผลกระทบจากโควิดประมาณ 30-35 ล้านคน การลงทะเบียนเราชนะ พยายามไม่ทำให้ยุ่งยากเหมือนรอบที่ผ่านมา โดยจะมุ่งเน้นใช้ฐานเฉพาะข้อมูล และเลขบัตรประชาชน


ที่มา: PostToday

'นอร์เวย์' พบผู้เสียชีวิต 23 รายหลังฉีดวัคซีน Pfizer-BioNTech เบื้องต้นเป็นผู้สูงอายุ 13 ราย เหตุเพราะแพ้

สถาบันสาธารณสุขแห่งนอร์เวย์นอร์เวย์กล่าวว่า วัคซีน Covid-19 อาจเป็นความเสี่ยงเกินไปสำหรับผู้ที่อายุมากและป่วยระยะสุดท้าย ซึ่งเป็นคำแถลงที่ระมัดระวังที่สุดจากหน่วยงานด้านสุขภาพของยุโรป เนื่องจากประเทศต่างๆ ประเมินผลข้างเคียงของการฉีดวัคซีนครั้งแรกเพื่อให้ได้รับการอนุมัติ

เจ้าหน้าที่นอร์เวย์กล่าวว่ามีผู้เสียชีวิต 23 คนในประเทศแล้วๆ หลังจากได้รับวัคซีนเข็มแรก ในบรรดาผู้เสียชีวิตเหล่านี้ได้รับการชันสูตรพลิกศพ 13 ราย โดยผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่าผลข้างเคียงที่พบบ่อยอาจส่งผลให้เกิดปฏิกิริยารุนแรงในผู้สูงอายุที่อ่อนแอ

“สำหรับผู้ที่มีความอ่อนแอแม้ผลข้างเคียงจากวัคซีนที่ไม่รุนแรงก็อาจส่งผลร้ายแรงได้ และสำหรับผู้สูงอายุมากๆ อาจได้รับประโยชน์จากวัคซีนเพียงอาจเล็กน้อยหรืออาจจะไม่เลย”

แต่ไม่ได้หมายความว่าผู้ที่มีอายุน้อยและมีสุขภาพดีจะควรหลีกเลี่ยงการฉีดวัคซีน แต่เป็นการบ่งชี้สิ่งที่ต้องเฝ้าระวังในระยะแรก เนื่องจากประเทศต่างๆ เริ่มออกรายงานการติดตามความปลอดภัยเกี่ยวกับวัคซีน

Emer Cooke จาก European Medicines Agency กล่าวว่า การติดตามความปลอดภัยของวัคซีนโควิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการพัฒนาโดยใช้เทคโนโลยีใหม่ เช่น Messenger RNA จะเป็นหนึ่งในความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเมื่อมีการนำไปฉีดให้กับผู้คนในวงกว้าง

Pfizer และ BioNTech กำลังทำงานร่วมกับหน่วยงานกำกับดูแลของนอร์เวย์ เพื่อตรวจสอบการเสียชีวิตในนอร์เวย์ โดย Pfizer กล่าวในแถลงการณ์ทางอีเมลว่า “จำนวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนถึงขณะนี้ยังไม่น่าตกใจและสอดคล้องกับความคาดหวัง”

จนถึงตอนนี้อาการแพ้เป็นเรื่องปกติ ในสหรัฐอเมริกาเจ้าหน้าที่ได้รายงานจำนวนผู้ป่วย 21 ราย ที่มีอาการแพ้อย่างรุนแรงตั้งแต่วันที่ 14 - 23 ธันวาคม หลังจากได้รับวัคซีนล็อตแรกประมาณ 1.9 ล้านโดส ที่พัฒนาโดย Pfizer Inc. และ BioNTech SE คิดเป็นสัดส่วน 11.1 รายต่อ 1 ล้านราย ตามข้อมูลของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐ

แม้ว่าวัคซีน Covid-19 ทั้งสองชนิดที่ได้รับการรับรองแล้วในยุโรป และได้รับการทดสอบในผู้คนหลายหมื่นคนรวมทั้งอาสาสมัครที่เกิดในช่วงปลายยุค 80 และ 90 ผู้เข้าร่วมการทดลองโดยเฉลี่ยอยู่ในช่วงอายุราว 50 ต้น ๆ คนกลุ่มแรกที่ได้รับการฉีดวัคซีนในหลายพื้นที่มีอายุมากกว่านั้น เนื่องจากประเทศต่างๆ เร่งฉีดวัคซีนให้กับผู้อยู่อาศัยในบ้านพักคนชราที่มีความเสี่ยงสูงจากไวรัส

นอร์เวย์ได้ให้ฉีดวัคซีนอย่างน้อย 1 ครั้งแก่ผู้คนประมาณ 33,000 คนโดยมุ่งเน้นไปที่ผู้ที่มีความเสี่ยงมากที่สุด หากพวกเขาติดเชื้อไวรัสรวมถึงผู้สูงอายุ โดยวัคซีนจาก Pfizer-BioNTech ที่ได้รับการอนุมัติเมื่อปลายปีที่แล้ว และมีการใช้กันอย่างแพร่หลายมากที่สุด ส่วนวัคซีนจาก Moderna Inc. พึ่งได้รับการอนุมัติเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา

จาก 29 กรณีของผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นที่ทางการนอร์เวย์ตรวจสอบพบว่า เกือบ 3 ใน 4 อยู่ในผู้ที่มีอายุ 80 ปีขึ้นไปหน่วยงานกำกับดูแลกล่าวในรายงานเมื่อวันที่ 14 มกราคม

ส่วนในฝรั่งเศสผู้ป่วยที่อ่อนแอรายหนึ่งเสียชีวิตในสถานดูแล 2 ชั่วโมงหลังจากได้รับวัคซีน แต่เจ้าหน้าที่กล่าวว่าเนื่องจากประวัติทางการแพทย์ของผู้ป่วยก่อนหน้านี้ไม่มีข้อบ่งชี้การเสียชีวิตที่เชื่อมโยงกับวัคซีน ซึ่งหน่วยงานด้านความปลอดภัยด้านเภสัชกรรมของฝรั่งเศสเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมารายงานว่ามีผู้ป่วย 4 รายที่มีอาการแพ้อย่างรุนแรงและมีอาการหัวใจเต้นผิดปกติ 2 ครั้งหลังการฉีดวัคซีน

รายงานความปลอดภัยฉบับแรกทั่วยุโรปเกี่ยวกับวัคซีน Pfizer-BioNTech อาจได้รับการเผยแพร่ในปลายเดือนมกราคม

ขณะที่ในสหราชอาณาจักรซึ่งดำเนินการฉีดวัคซีนต่อหัวมากกว่าที่อื่นๆ ในยุโรปเจ้าหน้าที่จะประเมินข้อมูลด้านความปลอดภัยและวางแผนที่จะเผยแพร่รายละเอียดของปฏิกิริยาที่น่าสงสัย “เป็นประจำ” ต่อหน่วยงานกำกับดูแลยาและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ


ที่มา:

https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-01-15/norway-warns-of-vaccination-risks-for-sick-patients-over-80

‘ศรีสุวรรณ’ ออกแถลงการจี้ รมว.คมนาคม ต้องรับผิดชอบค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียวแพง หลังปรับอัตราค่าโดยสารสูงสุดตลอดสายอยู่ที่ 104 บาท ‘ชี้’ อาจเพราะเป็นคนบุรีรัมย์เลยไม่ทุกข์ร้อน

นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย แถลงการณ์เรื่อง รมว.คมนาคมต้องรับผิดชอบค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียวแพง ว่า ตามที่มีข่าวเผยแพร่ออกมาว่ากรุงเทพมหานคร จะได้กำหนดอัตราค่าโดยสารของรถไฟฟ้าสายสีเขียวสูงสุดตลอดสายจะอยู่ที่ 158 บาท ตั้งแต่วันที่ 16 ก.พ.2564 เป็นต้นไปแต่เพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นกับประชาชนภายใต้สถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 กทม.จึงออกประกาศเมื่อวันที่ 15 ม.ค.64 ที่ผ่านมาโดยปรับอัตราค่าโดยสารสูงสุดตลอดสายมาอยู่ที่ 104 บาทนั้น

ทางสมาคมเห็นว่าการปรับราคาดังกล่าวลงมาเหลือ 104 บาทตลอดสายยังถือว่าแพงเกินไปสำหรับประชาชนที่หาเช้ากินค่ำ โดยเฉพาะในสถานการณ์การเผชิญกับปัญหาโควิด-19 ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ กทม.กับเอกชนผู้รับสัญญาสัมปทานเคยตกลงกันได้แล้วโดยความเห็นชอบของ รมว.มหาดไทย ว่าจะกำหนดอัตราค่าโดยสารสูงสุดอยู่ตลอดสายอยู่ที่ 65 บาท โดย กทม. ได้นำเสนอข้อตกลงการแก้ไขสัญญาสัมปทานต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ

ซึ่งหากมีการเห็นชอบแล้ว การแก้ไขสัญญาสัมปทานนี้จะช่วยลดอัตราค่าโดยสารสูงสุดจาก 104 บาท เป็น 65 บาท ลดลง 39 บาท และช่วยแก้ไขภาระหนี้สินกว่า 120,000 ล้านบาทของ กทม. ได้ นอกจากนี้ เอกชนยังจะสามารถแบ่งส่วนแบ่งรายได้ค่าโดยสารหลังปี 2572 ให้ กทม. อีกกว่า 200,000 ล้านบาท และมีส่วนแบ่งเพิ่มเติมในกรณีที่ผลประกอบการจริงดีกว่าที่คาดการณ์ตอนเจรจา

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า แต่กระทรวงคมนาคม กลับมีหนังสือถึงคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 พ.ย.2563 ไม่เห็นด้วยกับการขยายสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวของเอกชนใน 4 ประเด็น อาทิ 1.ความครบถ้วนตามหลักการของพ.ร.บ.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน 2562 2.การคิดอัตราค่าโดยสารที่เหมาะสม เป็นธรรมแก่ประชาชนผู้ใช้บริการ 3.การใช้สินทรัพย์ของรัฐที่ได้รับโอนจากเอกชนให้เกิดประโยชน์สูงสุดและ 4.ข้อพิพาททางกฎหมาย

ทั้ง ๆ ที่โครงการดังกล่าวเป็นเรื่องของ กทม. และกระทรวงมหาดไทย ซึ่งได้ตกลงเจรจากันเรียบร้อยแล้วเป็นที่พอใจทั้งสองฝ่าย แต่การที่กระทรวงคมนาคมสอดเข้ามาท้วงติงเช่นนี้ จึงเท่ากับว่าเป็นการผลักภาระค่าโดยสารที่ กทม.เพิ่งประกาศไปเมื่อวานเป็นภาระของประชาชนคนกรุงเทพฯโดยมิอาจเลี่ยงได้

“รมว.คมนาคมเป็นคนบุรีรัมย์ ไม่ได้ทุกข์ร้อนกับปัญหาค่าใช้จ่ายในการเดินทางของคนกรุงเทพฯจึงไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับปัญหาที่เกิดขึ้น ดังนั้นการที่ กทม.ประกาศกำหนดอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียวใหม่ดังกล่าว 104 บาท ทั้ง ๆ ที่ควรจะเป็น 65 บาท จึงเป็นความรับผิดชอบของ รมว.กระทรวงคมนาคม และพรรคภูมิใจไทย ที่ต้องตอบคำถามกับคนกรุงเทพฯว่าท่านจะรับผิดชอบกับกรณีนี้อย่างไร เลือกตั้งครั้งหน้าคนกรุงเทพฯควรจะเลือกคนของพรรคภูมิใจไทยเข้ามาเป็นผู้แทนไหม ? และตลอดเวลาที่ร่วมรัฐบาลพลเอกประยุทธ์มา พรรคภูมิใจไทยเคยทำอะไรที่ประสบผลสำเร็จตามที่ได้เคยหาเสียงไว้แล้วหรือไม่ ขอคำตอบให้คนกรุงเทพฯและปริมณฑลด้วย” นายศรีสุวรรณ กล่าว

‘บิ๊กตู่’ ขอบคุณทุกภาคส่วน ‘รวมไทย สร้างชาติ ต้านภัยโควิด-19’ เดินหน้าจัดตั้งรพ.สนาม ในหลายพื้นที่เสี่ยง สำหรับการสังเกตอาการผู้ติดเชื้อที่มีอาการเล็กน้อย หรือไม่มีอาการ

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้รับรายงานการดำเนินการตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 ที่ให้ฝ่ายความมั่นคง ทหาร ร่วมกับฝ่ายปกครองและสาธารณสุข บูรณาการงานสนับสนุนการจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม

โดยเฉพาะจังหวัดเสี่ยง ซึ่งขณะนี้ได้มีการตั้งโรงพยาบาลสนามแล้วหลายพื้นที่ โดยข้อมูลจาก ศปก.ศบค. รายงานว่าได้มีการ ประสานจัดตั้งโรงพยาบาลสนามในพื้นที่ของกองทัพแล้ว จำนวน 10 แห่ง 2,106 เตียง โดยแบ่งเป็นพื้นที่กองทัพบก 6 พื้นที่ จำนวน 1,260 เตียง กองทัพอากาศ 1 พื้นที่ จำนวน 120 เตียง และกองทัพเรือ 3 พื้นที่ จำนวน 726 เตียง ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนได้เข้าใจว่า โรงพยาบาลสนาม เป็นการจัดตั้งที่พัก สำหรับการสังเกตอาการผู้ติดเชื้อที่มีอาการเล็กน้อย หรือไม่มีอาการ ในพื้นที่ที่มีการควบคุมเท่านั้น

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีได้กำชับให้สาธารณสุขจังหวัดและหน่วยงานความมั่นคง ดูแลผู้ป่วยและประชาชนที่เข้ามาใช้โรงพยาบาลสนาม ปฏิบัติตามขั้นตอนระบบการรักษาและเฝ้าระวังโรคเช่นเดียวกับในโรงพยาบาล

ทั้งนี้ การจัดตั้งโรงพยาบาลสนามในพื้นที่ยังเป็นภารกิจเร่งด่วนเฉพาะหน้าที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ให้การดูแลผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทั้งชาวไทยและแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน

ซึ่งนายกรัฐมนตรียังฝากชื่นชมภาคเอกชนในหลายพื้นที่ที่ได้อนุญาตให้ใช้ที่ดินในการจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม สะท้อนความร่วมมือร่วมใจระหว่างภาคประชาชนและรัฐบาลตามแนวทาง “รวมไทย สร้างชาติ ต้านภัยโควิด-19” ให้เป็นวัคซีนประเทศนำไทยชนะภัยโควิด-19 ด้วย


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top