Tuesday, 14 May 2024
LITE

Portobello & Desire จิบน้ำชายามบ่าย สไตล์อังกฤษ ร้านหรูวินเทจ ในสวนร่มรื่น ย่านเกษตร-นวมินทร์

วันอาทิตย์ แบบนี้ THE STATES TIMES ขอแนะนำร้านดีๆ ที่จะทำให้ วันอาทิตย์ของคุณวันนี้กลายเป็นวันหยุดสุดพิเศษ

Portobello & Desire (พอร์ทโทเบลโล่ แอนด์ เดเซเร) คาเฟ่สีขาวบรรยากาศอบอุ่น ย่านเกษตรนวมินทร์ ร้านนี้เปิดอยู่ในซอยประดิษฐ์มนูธรรม ร้านตกแต่งสไตล์อังกฤษ มีโซนเอาท์ดอร์ให้ดื่มด่ำกับบรรยากาศสบายท่ามกลางสวนร่มรื่น รวมถึงโซนห้องแอร์ที่เน้นโทนสีขาวแนวชวนฝันแบบเรียบหรู 

เดินเข้ามาจากทางด้านหน้า จะเห็นพื้นที่นั่งในสวนเอาท์ดอร์ที่กว้าง มีที่นั่งอยู่หลากหลายท่ามกลางสวนสีเขียว ส่วนตัวร้านนั้น เป็นบ้านวินเทจสีขาว  บรรยากาศแบบ English Country Home แสนอบอุ่น จากสวนมองไปเห็นพื้นที่ภายในร้านซึ่งทำเป็นหน้าต่างให้มองออกมาข้างนอกได้ เรียกได้ว่านั่งทานอาหารไปก็ชมสวนไปด้วย ส่วนพื้นที่โซนห้องแอร์เย็นๆนั้น พื้นที่ไม่กว้างมากแต่ตกแต่งได้น่ารักชวนฝัน ประดับด้วยดอกไม่ในโทนสีขาว 

สำหรับเมนูอาหารของPortobello & Desire จะเน้นอาหารแบบตะวันตกสไตล์โฮมเมด โดยมีทั้งอาหารจานหลักและเมนูของว่าง แต่ละอย่างล้วนได้รับการปรุงอย่างใส่ใจ และมีความสร้างสรรค์ตามแบบฉบับของทางร้าน เมนูแนะนำ ได้แก่ “garlic bread” ขนมปังกระเทียมเนื้อนุ่ม, “spicy salmon” แซลมอนหั่นเต๋า เคล้าน้ำยำเนื้อข้น, “spaghetti clams meat” สปาเกตตี้ผัดพริกแห้งใส่หอยลายรสจัดจ้าน, “duck confit” น่องเป็ดปรุงด้วยซอสส้ม, “orange crepe” เครปนุ่ม ๆ เสิร์ฟกับพีชเชื่อมและส้มเชื่อม และ “rose soda” สดชื่นซู่ซ่า สั่งมากินตัดเลี่ยนได้เป็นอย่างดี

เมนูของหวาน ก็มีมากมายอาทิ เครปสตรอเบอรี่ ที่มาพร้อมไอศกรีมวนิลลาและสตรอเบอรี่ สดกรอบอร่อย เครื่องดื่มก็มีหลากหลายให้เลือก ซึ่งล้วนเข้ากันได้ดีกับอาหาร โดยเฉพาะชาที่มีกลิ่นหอม รสชาติเยี่ยมมาก

ข้อมูลเพิ่มเติม
เวลาเปิด-ปิด : วันจันทร์-พฤหัสบดี ตั้งแต่เวลา 11.00-21.00 น. และวันศุกร์-อาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 11.00-22.00 น. 
ที่อยู่ : ถนนประเสริฐมนูกิจ แขวงลาดพร้าว เขตลาดพร้าว กรุงเทพฯ
เบอร์โทรศัพท์ : 098-289-8703

เรื่อง : กันย์ ฉันทภิญญา Content Manager

‘เป๊ก-อ๊อฟ-ไอซ์’ เตรียมจัดคอนเสิร์ตใหญ่สุดในรอบ 15 ปี แฟนคลับกาปฏิทินรอพบความสนุกแบบเกินต้าน!!

กาปฏิทินรอ!! ‘GMM SHOW’ ร่วมกับ ‘ATIME SHOWBIZ’ เตรียมเสิร์ฟปรากฏการณ์ความสนุกแบบเกินต้าน จัดคอนเสิร์ตใหญ่สุดพิเศษในรอบ 15 ปี ของ ‘เป๊ก – อ๊อฟ – ไอซ์’ กับ ‘The Concert Application Presents Peck Aof Ice InFriendnity Concert’

หลังห่างหายไปนานกว่า 15 ปี ในที่สุด 3 ศิลปินมากความสามารถและมีเอกลักษณ์ของเสียงร้องอย่าง ‘เป๊ก-ผลิตโชค อายนบุตร’, ‘อ๊อฟ-ปองศักดิ์ รัตนพงษ์’ และ ‘ไอซ์-ศรัณยู วินัยพานิช’ เจ้าของเพลงฮิตที่แฟนเพลงยังคงคิดถึง ไม่ว่าจะเป็น แค่คนโทรผิด, น่ารัก น่า Love, เรื่องไม่ดีไม่จำ และอีกหลายเพลงฮิตที่ยังคงเปิดฟังและนำมาร้องกันอยู่ในทุกวันนี้

ล่าสุด ‘เป๊ก-อ๊อฟ- ไอซ์’ พร้อมแล้วที่จะส่งคอนเสิร์ตใหญ่เต็มรูปแบบในรอบ 15 ปี กับคอนเสิร์ต ‘The Concert Application Presents Peck Aof Ice InFriendnity Concert’ - Friend สนิท Fin สนั่น (เดอะคอนเสิร์ต แอปพลิเคชั่น พรีเซนต์ เป๊ก อ๊อฟ ไอซ์ อินเฟรนด์นิตี้ คอนเสิร์ต) ในวันเสาร์ที่ 4 พฤศจิกายน และวันอาทิตย์ที่ 5 พฤศจิกายน 2566 ณ รอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 ศูนย์การค้าสยามพารากอน งานนี้มาพร้อมโชว์สุดพิเศษ และโปรดักชั่น แสง สี เสียง สเตจ จัดเต็มกว่าที่เคย การันตีความสนุกสุดประทับใจแบบครบทุกโมเมนต์ โดย 2 ผู้จัดมืออาชีพอย่าง ‘ATIME SHOWBIZ’ (เอไทม์โชว์บิส) และ ‘GMM SHOW’ (จีเอ็มเอ็มโชว์)

โดย ‘เป๊ก-ผลิตโชค’ เผยถึงคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งนี้ว่า “รู้สึกดีใจมาก ๆ ที่ได้กลับมาทำงานร่วมกับเพื่อน ๆ ทั้ง 2 คน และจะได้เจอกับแฟน ๆ อีกครั้งครับ สำหรับคอนเสิร์ตครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นคอนเสิร์ตใหญ่เต็มรูปแบบครั้งที่ 2 ของเราทั้ง 3 คน และถ้าใครจำบรรยากาศความสนุกของคอนเสิร์ตเมื่อ 15 ปีที่แล้วได้ อยากบอกว่าทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นในคอนเสิร์ตรียูเนี่ยนครั้งนี้ทุกคนจะเต็มอิ่มทุกโมเมนต์ ได้ดูกันแบบครบทุกอารมณ์ ฉะนั้น 2 กันยายนนี้ อย่าลืมกดซื้อบัตร แล้วมาเจอและสนุกไปด้วยกันนะครับ”

‘อ๊อฟ-ปองศักดิ์’ กล่าวเสริมว่า “ดีใจนะที่ได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้งในรอบ 15 ปี มันเป็นความพิเศษมาก ๆ ครับ ในระหว่าง 15 ปี แต่ละคนมีเส้นทางเดินของตัวเอง พอวันนี้ได้มีโอกาสกลับมาทำงานร่วมกันมันยิ่งทำให้มีความอยากจะขึ้นโชว์ แล้วได้มาร้องเพลงที่หลายคนยังคงคิดถึงอยู่ สำหรับคอนเสิร์ตที่จะเกิดขึ้นนี้ ทั้งความสนุก ความประทับใจ ทุกอย่างจะบียอน หรือคูณ 3 อย่างแน่นอน บอกตามตรงว่าตื่นเต้นมาก ๆ ครับ พวกเราต้องทำให้ดีที่สุด อยากให้ทุกคนซื้อบัตรไม่อยากให้พลาดคอนเสิร์ตครั้งนี้เพราะไม่รู้จะมีครั้งหน้าเมื่อไหร่ที่เราจะได้มารวมตัวกันอย่างนี้ครับ”

และ ‘ไอซ์-ศรัณยู’ กล่าวปิดท้ายว่า “ดีใจมาก ๆ ครับ ที่มีแฟน ๆ รอคอยการกลับมารวมตัวกันอีกครั้งของพวกเรา และคอนเสิร์ตของพวกเราทั้ง 3 คนในครั้งนี้ จะเป็นคอนเสิร์ตที่ได้รวมเอาประสบการณ์ทั้งหมดใน 15 ปีที่ผ่านมา มาเขย่ารวมกัน เพื่อทำให้แฟน ๆ ของพวกเราได้สนุกมากกว่าที่เคย รับรองว่าทุกเพลงที่เราเอามาเล่น ทุกคนร้องและเต้นตามได้แน่นอน อยากจะขอบคุณทุกคนที่สนับสนุนพวกเรามาโดยตลอด คอนเสิร์ตครั้งนี้พวกเรา และทีมผู้จัด ตั้งใจกันมาก ๆ ไม่อยากให้พลาดนะครับ”

สำหรับคอนเสิร์ตครั้งนี้ ‘เป๊ก-อ๊อฟ-ไอซ์’ มีความตั้งใจที่จะสร้างโมเมนท์สุดพิเศษแบบครบทุกอารมณ์ ทั้งสุข สนุก สุดซึ้ง เพื่อมอบความประทับใจให้กับแฟน ๆ ที่มาดูคอนเสิร์ต จึงอยากจะขอเชิญชวนทุกคนมาสนุกแบบเฟรนด์สนิท และมาฟินกันให้สนั่น ใน ‘The Concert Application Presents Peck Aof Ice InFriendnity Concert’ - Friend สนิท Fin สนั่น (เดอะคอนเสิร์ต แอปพลิเคชั่น พรีเซนต์ เป๊ก อ๊อฟ ไอซ์ อินเฟรนด์นิตี้ คอนเสิร์ต) ในวันเสาร์ที่ 4 พฤศจิกายน และวันอาทิตย์ที่ 5 พฤศจิกายน 2566 ณ รอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 ศูนย์การค้าสยามพารากอน เปิดจำหน่ายบัตรวันที่ 2 กันยายน 2566 ที่ The Concert Application หรือ www.theconcert.com บัตรราคา 5,500 / 4,500 / 4,000 / 3,500 / 3,000 / 2,500 / 2,000 / 1,500 บาท สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ FB: Atimeshowbiz และ FB: GMM SHOW รวมทั้งช่องทางอื่น ๆ ได้ที่ TIKTOK: @gmmshow, IG: @gmmshow

‘เปิ้ล ไอริณ’ แชร์ประสบการณ์เที่ยวคนเดียวมาแล้ว 43 ประเทศ แต่ไม่มีที่ไหนมีเสรีภาพเท่าไทย ขอทุกคนจงภูมิใจในแผ่นดินเกิด

เมื่อไม่นานนี้ ‘เปิ้ล ไอริณ’ นักแสดง นักร้อง และพิธีกรชาวไทย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ‘Irin Sriklao (เปิ้ล ไอริณ)’ ขณะกำลังพักผ่อนอยู่ที่หาดทรายแก้ว อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี โดยเธอได้โพสต์ข้อความในหัวข้อ ‘ว่าด้วยเรื่อง ‘เสรีภาพ’ ที่กำลังเรียกร้อง’ ระบุว่า…

ว่าด้วยเรื่อง ‘เสรีภาพ’ ที่กำลังเรียกร้อง 😁

เราเคยสงสัยว่า ทำไมเราถึงมีจิตวิญญาณรักการท่องเที่ยว รักการเดินทางเป็นชีวิตจิตใจ จนแบกเป้ไปคนเดียว เที่ยวมาแล้ว 43 ประเทศ!!

มาวันนี้ตกผลึกได้ว่า จักรวาลคงอยากให้เราไปสัมผัส ไปให้เห็นกับตา แล้วกลับมา บอกเล่าให้ทุกๆ คนฟัง!!

จากประสบการณ์ที่ได้พบ เราพูดได้เต็มปาก แบบไม่ลำเอียงเลย ว่า ประเทศไทยเรา ช่าง ‘มีเสรีภาพมากที่สุด’ ทั้งในเรื่องการใช้ชีวิต การท่องเที่ยว และการทำมาหาเลี้ยงชีพ ประเทศเรา จะตั้งโต๊ะหน้าบ้าน ขายหมูปิ้ง ขายก๋วยเตี๋ยว ขายโจ๊ก ปลาท๋องโก๋ (ปาท่องโก๋) จะตกปลา หาผักริมทาง จะปั่นรถขายกาแฟ รถขายไก่ย่างส้มตำ ตลาดนัด ถนนคนเดินไม่ต้องพูดถึง ไปทะเล ของอร่อยๆ ขายกันตามฟุตบาธ ตามริมหาดมีของแบกขาย จะนั่งริมหาดไหนนั่ง จอดรถริมหาดตรงไหนก็ได้ แต่ที่ต่างประเทศ คุณทำไม่ได้ค่ะ!! แล้วทะเลไทยสวยจริง น้ำทะเลบ้านเรา ก็ไม่หนาวเย็นเหมือนแถบยุโรป!

นี่เรายังไม่เคยไปประเทศไหน ใจดีอนุญาตให้พาหมา ไปพายเรือ ว่ายน้ำเล่น ในกองฐานทัพเรือได้เลย!! แถมน้ำใสกริ๊ง คาเฟ่ในไทยก็มีเยอะ น่านั่งจนต่างชาติทึ่ง!!

จงรักประเทศไทยเรากันเถอะค่ะ ขวานทองของไทยนี้ มีดี มีเสน่ห์ มีเสรีภาพมากมาย ชนชาติที่ว่าเจริญแล้ว ครั้งหนึ่งในชีวิต ยังขอบินข้ามซีกโลกมาชื่นชมบ้านเราเลย เพราะ นอกจากมีธรรมชาติงดงาม มาละคุ้มค่าเงิน ที่พักถูก ค่าอาหารเบาๆ ที่มีรสชาติขึ้นชื่อ ไทยเรายังมีความปลอดภัยแบบสุดๆ และมีเสน่ห์จากรอยยิ้ม และมิตรภาพของผู้คนอีกด้วย

เราเอง เคยคิดอยากย้ายประเทศ แต่กะจะขอเที่ยวทุกจังหวัดก่อน สุดท้ายโดนตก ไม่ไปไหนละ 😁

อ่านแล้ว ขอให้รัก และภาคภูมิใจในแผ่นดินเกิดของพวกเรา และมองให้เห็นเสรีภาพ ที่เราอาจคุ้นชิน จนลืมให้ค่า และลองหันมาเห็นค่าให้มากๆ ขึ้นนะคะ

บอกเลย!! คุณโชคดีที่สุดแล้ว ที่ได้เกิดเป็นคนไทย 🥰💕🇹🇭

ทั้งนี้ หลังเปิ้ล ไอริณโพสต์ข้อความดังกล่าวออกไป ได้มีผู้เข้ามาแสดงความเห็นชื่นชมและให้กำลังใจเปิ้ล ไอริณเป็นจำนวนมาก โดยหลายคนระบุว่า “รักเมืองไทยที่สุด”

6 สิงหาคม พ.ศ. 2488 สหรัฐฯ ทิ้งระเบิดปรมาณู ‘เมืองฮิโรชิมา’ คร่าชีวิตชาวญี่ปุ่นทันที 80,000 คน

วันนี้เมื่อ 78 ปีที่แล้ว นับเป็นอีกหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ที่ชาวญี่ปุ่นและชาวโลกยากจะลืมเลือน เมื่อสหรัฐอเมริกา ทิ้งระเบิดปรมาณู เหนือเมืองฮิโรชิมา ส่งผลให้มีคนตายทันที 80,000 คน

วันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2488 เป็นอีกหนึ่งวันที่คนญี่ปุ่นไม่มีวันลืม เมื่อระเบิดปรมาณู ‘ลิตเติลบอย (Little Boy)’ ถูกทิ้งเหนือเมืองฮิโรชิมา เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตทันทีประมาณ 80,000 คน และมีผู้เสียชีวิตจากการได้รับกัมมันตภาพรังสีอีก 60,000 คน

‘ลิตเติลบอย (Little Boy)’ เป็นชื่อระเบิดปรมาณู ที่ถูกนำไปทิ้งเหนือเมืองฮิโรชิมา ประเทศญี่ปุ่น โดยเครื่องบิน B-29 Superfortress (เครื่องบินลำนี้มีชื่อ Enola Gay) และระเบิดลูกนี้ ยังนับเป็นระเบิดปรมาณูลูกแรกที่ใช้ในการสงครามอีกด้วย

อาวุธนี้พัฒนาขึ้น ในระหว่างจัดตั้ง ‘โครงการแมนฮัตตัน’ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดย ‘จูเลียส โรเบิร์ต ออปเพนไฮเมอร์’ ผู้ที่ได้ฉายาว่า ‘บิดาแห่งระเบิดปรมาณู’

สำหรับ ‘ลิตเติลบอย’ มีความยาว 3 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง 71 เซนติเมตร และน้ำหนัก 4,000 กิโลกรัม บรรจุธาตุยูเรเนียมประมาณ 64 กิโลกรัม และจากเหตุการณ์นี้ เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตทันทีประมาณ 80,000 คน และมีผู้เสียชีวิตจากการได้รับกัมมันตภาพรังสีอีก 60,000 คน

เปิดชีวิตแต่งงาน ‘แองจี้ เฮสติ้ง’ กับสามีเศรษฐีบ่อน้ำมันชาวคูเวต หลังอำลาวงการบันเทิงไปสวมบทบาทใหม่เป็นคุณแม่ลูก 2

(5 ก.ค. 66) อดีตนักแสดงสาว แองจี้ เฮสติ้ง ที่วันนี้จะมาเปิดชีวิตหลังอำลาวงการไปแต่งงานกับนักธุรกิจเศรษฐีบ่อน้ำมัน ชาวคูเวตกว่า 8 ปี พร้อมบทบาทใหม่เป็นคุณแม่ลูก 2 แถมเล่านาทีชีวิต รกพันคอลูก ต้องคลอดก่อนกำหนด ผ่านทางรายการคุยแซ่บ show ทางช่องวัน 31 ที่มี พีเค ปิยะวัฒน์ และบูม สุภาพร เป็นพิธีกรดำเนินรายการ

ตั้งแต่แต่งงานจนถึงตอนนี้กี่ปีแล้ว?
แองจี้ : ประมาณ 8 ปีแล้ว คือเราแต่งงานไป เราตั้งใจแล้วว่าเราลาวงการ แล้วยังไม่มีโอกาสได้กลับมาออกรายการด้วย ไปอยู่ที่นู่นด้วย โควิดด้วย คือไม่พร้อม

ก่อนแต่งคบมานานเท่าไหร่?
แองจี้ : กว่าจะได้แต่ง กว่าจะให้เขารู้ตัวว่าเราเป็นโซลเมทใช้เวลานานมาก 10 ปี บวกอีก 8 ปี เป็น 18 ปี

ย้อนไปตอนนั้นพี่ทำยังไง ให้เขารู้ว่ายูคือโซลเมทของฉันนะ ขอฉันแต่งงานได้แล้ว?
แองจี้ : ตอนนั้นคบได้ 9 ปีแล้ว ก็บอกเขาถึงเวลาแล้วนะ ยูควรจะตัดสินใจเพราะว่าในตอนนั้น เรา 35 แล้ว เราต้องตัดสินใจว่าจะไปทางไหน จะเป็นนักแสดงเต็มตัวเลย หรือว่าเป็นเวิร์คกิ้งวูแมนไปเลยไม่ต้องแต่งงานก็ได้ เลยบอกสามีว่าฉันให้เวลาอีกปีหนึ่งนะ ถ้าไม่ขอฉันแต่ง ฉันจะตัดขาด ตั้งใจที่จะทำงานต่อ แล้วเขาก็ไม่ได้พูดอะไร แต่เราก็มั่นใจว่าเขาต้องขอเราแน่ๆ

แล้วทำยังไงอยู่ๆ เขามาขอเรา?
แองจี้ : ตอนเขามาขอเรา เราคิดเลยว่าเขาต้องจัดฉากโรแมนติกนู่น นี่ นั่น แต่ตอนเขาขอแต่งงานเขาไม่ได้จัดฉากอะไรเลย เราก็ไม่รู้ตัวด้วยว่าเขามาขอ เหมือนเขาจะหลอกเราไปถ่ายรูป เขาเป็นคนชอบถ่ายรูป เขาพาไปถ่ายที่แบบเหม็นๆ ที่คูเวต เขาบอกยูมาถ่ายรูปหน่อย รอนานแล้ว ยูจะผูกรองเท้าอะไรนักหนา แล้วเขาก็ดึงแหวนออกมาจากรองเท้า แล้วหน้าเราก็แบบ โอ้โห…

ถ้าย้อนไป 8 ปีที่แล้ว MTV และละครบูมมาก อะไรที่ทำให้พี่ยุติวงการบันเทิง?
แองจี้ : ตอนที่แต่งงานกับเขาจี้ยังไม่ได้ย้ายนะ ยังถ่ายละครอยู่ ยังรับงานอยู่ประมาณปีกว่าเกือบ 2 ปี เขาบอกว่ายูแต่งงานนะ ยูเป็นภรรยาของฉันนะ ทำไมยูยังไม่ย้าย ทำไมยังถ่ายละครอยู่ เราก็ลืมไป ไม่ได้คิดว่าแต่งงานเสร็จเราต้องย้าย เราคิดว่าแต่งงานก็คือแต่งงาน

มันเป็นกฎของครอบครัวคนคูเวตหรือเปล่าต้องย้าย?
แองจี้ : คือเราแต่งงาน เราต้องอยู่ด้วยกันใช่ไหม จี้ลืมไป ไม่ได้คิดว่าเราแต่งงาน เราต้องย้าย เพราะเราอยู่แบบนี้มา10 ปี ลืมไปเลย

พอละครปิดกล้องก็ไป?
แองจี้ : ก็กลับไปเลย เขาแต่งงานกับเราเนี่ย เขาขอร้องให้เราย้ายไปอยู่กับเขา มันก็ต้องตัดสินใจย้ายไปอยู่ ก็ทำใจเราชอบการแสดงมาก พอตัดสินใจเราต้องเด็ดขาด

บางคนก็บอกว่าเราโชคดีจังเลย สามีมีฐานะ หนูตกถังข้าวสาร ตอนนั้นตัวเราเองที่รักกันมา 10 ปีกว่าจะได้แต่งงาน เรารู้สึกยังไง?
แองจี้ : ตอนที่ย้ายไปอยู่ที่คูเวต คิดเหมือนกันว่านี่คือชีวิตเราเหรอ อยู่บ้านใหญ่โต ตื่นมาสามีก็ไปทำงาน แล้วเราก็เดินแบบทำตัวไม่ถูกจริงๆ มันไม่ใช่เราไง เราเป็นคนทำงานตั้งแต่เด็ก มันชินกับลูทีนที่เราต้องตื่นไปถ่ายละครแต่เช้าแล้วกลับบ้าน ล้างหน้าแล้วกลับไปนอน เช้ามาก็ไปทำงานเหมือนเดิม คือมันเปลี่ยนไปเยอะเลย เราไม่รู้จะทำอะไรกับตัวเองพอไปอยู่ประเทศที่ไม่เหมือนบ้านเรา ไปอยู่ประเทศที่มีแต่ทะเลทราย ไม่มีเพื่อน ไม่มีญาติ ไม่มีพ่อ แม่

จริงไหมที่สามีคุณคือเศรษฐีบ่อน้ำมัน?
แองจี้ : ทำงานน้ำมัน แต่ไม่ได้เป็นเจ้าของบ่อน้ำมัน

ไปอยู่วันแรกเจ้าหญิงเลย?
แองจี้ : ลงมาก็มีคนดูแล ที่บ้านเขาจะเรียกเรามาดาม จี้มีพนักงานประมาณ 14-15 คน ที่บ้านอยู่กันมีแองจี้ สามี พ่อสามี ทั้งหมด 3 คน

แล้วมีพนักงาน 14 คน?
แองจี้ : ก็มีกุ๊ก มีคนละชั้นกัน บ้าน 4 ชั้นครึ่ง

อาทิตย์หนึ่งหรือเป็นเดือนกว่าจะปรับตัวได้?
แองจี้ : ก็นาน เดินไปเดินมา ตายแล้วสามีจะให้เราทำผมทุกวันเลยเหรอ ทำเล็บทุกวันเลยเหรอ มันไม่ใช่เราแล้ว เราต้องหาอะไรทำ แต่เราก็ไม่รู้ไง ภาษาเราก็ไม่ได้ อะไรที่ถนัดก็คือความสวยความงาม ก็เลยหาธุรกิจที่ไม่เหมือนคนอื่นแล้วทำ นั่นคือนำเข้าแบรนด์จากเกาหลีมาขายที่คูเวต และเป็นเจ้าแรก ตอนนั้นไม่มีตลาด มันยังใหม่ เมื่อ 5 ปีที่แล้วเขายังไม่รู้เลยว่าเกาหลีคืออะไร

ตอนแรกยากไหม?
แองจี้ : ยาก แต่ก็ไม่เท่าไหร่ เพราะจี้มีพาสเนอร์เป็นอินฟูที่ดังมากอยู่แล้ว เขาช่วยสื่อสารภาษาให้กับฟอลโลเวอร์ว่ามันเป็นของเกาหลี ราคาก็ได้ ราคาก็ดีเทียบกับลัคชูรีแบรนด์

แล้วสามีที่เขาคาดหวังให้เราทำเล็บทุกวัน ทำผมทุกวัน?
แองจี้ : ก็อธิบาย สามีบอกเธอไม่อยากเป็นมาดามเหรอ เธอแปลกมากเลยนะคนอื่นเขาอยากเป็นมาดาม ไม่ต้องทำอะไร แต่เราเป็นคนทำงานตั้งแต่เด็ก

แล้วอย่างนี้ขัดใจสามีไหม?
แองจี้ : เขาคงงงๆ จริงๆ ที่นู่นเขาไม่อยากให้ผู้หญิงทำงาน เราก็อธิบายแล้วเขาก็เข้าใจแหละว่าเราอยู่อย่างนั้นไม่ได้เราต้องทำงาน เพราะถ้าอยู่อย่างนั้นเราเครียดนะ ไม่มีเพื่อน ไม่มีใครเลย ไม่มีสังคม จะอยู่บ้านกับสามี เราก็อยากออกไปทำงาน มีรายได้นิดๆ หน่อยๆ ก็ยังดี แต่ตอนนั้นยังไม่มีลูก

แล้วอะไรที่ตัดสินใจว่าคุณสามีเราต้องมีลูก?
แองจี้ : เราก็นอนกระดิกเท้ากัน นี่พ่อ แม่ ฉันมาพูดแล้วนะว่าเมื่อไหร่จะมีลูกสักที อยู่ด้วยกันมา 2-3 ปีแล้วนะแล้ว ทำไมยังไม่มีทายาทสักคน ยูก็แฮปปี้ ไอก็แฮปปี้ ทำไมต้องมีลูกด้วย เขาพูดมาว่าเนี่ย เขาขอร้อง

ฝั่งครอบครัวเขาอยากได้ เราก็เปลี่ยนใจตามเขา แต่การขอร้องไม่ธรรมดา เขามาเป็นแพ็คเกจโรงพยาบาล?
แองจี้ : ใช่ เขานัดหมอให้เรียบร้อยเลย แล้วเขาก็พาแองจี้ไปด้วย ให้ไปตรวจร่างกาย ไปตรวจเลือดทุกอย่าง

ฝากไข่มีไหม?
แองจี้ : ใช่ เขาเร่งไง เขาบอกว่าไม่ต้องธรรมชาติแล้ว จี้ทำ IVF 9 รอบ ใน 2 ปี ถามว่าเจ็บไหม ไม่นะ แต่มันเป็นการเดินทางที่เหงา โดดเดี่ยว ฮอร์โมนเราปรับขึ้นๆ ลงๆ บางวันเราร้องไห้ไม่อยากทำ มันทำให้เราปั่นป่วน คือหมอที่เราทำ ทำให้เรารู้สึกว่าเป็นผู้หญิงคุณต้องมีลูกแล้ว หมดหนทางแล้ว มันทำให้เราคิดว่าตายแล้ว เราแก่เหรอ มันทำให้เราเศร้านะ หมอจะพูดเลยว่าสุดทางแล้วนะ แก่แล้วนะ รีบๆ แล้วจี้ก็กลับมาทำหมอที่เมืองไทยด้วย

พอติดก็พาน้องไปคลอดที่อังกฤษ?
แองจี้ : จี้รู้สึกว่ามันปลอดภัยกว่า แล้วเราเป็นลูกครึ่งอังกฤษ อยากไปคลอดโรงพยาบาลที่เราคุ้นเคย แล้วอยากพาครอบครัวเราไปอยู่กับเราด้วย จี้ไม่อยากให้พ่อ แม่จี้มาอยู่ที่คูเวต

แล้วฝั่งสามีไปอังกฤษไหม?
แองจี้ : เขาไม่ได้ไปค่ะ เพราะว่าเขาทำงานหนัก เขามีงานที่ต้องทำไปไม่ได้ ดีแล้วสำหรับจี้ จี้อยากอยู่กับคุณพ่อ คุณแม่

จริงไหมที่ท้องได้ 7 เดือน คนนี้ต้องรีบออก?
แองจี้ : ใช่ ถ้าเราเดินทาง มันจะมีระยะเวลาที่เราเดินทางบนเครื่องบินได้ ถ้าเลย 7 เดือนเขาจะไม่ให้ขึ้นเครื่อง แต่จี้ก็เลยมาแล้ว เลยบอกเขาว่าท้อง 5 เดือน

พอไปน้องคลอดตอน 7 เดือนมันมีภาวะยังไง?
แองจี้ : มันจะมีกำหนดผ่า เพราะถ้าเราเลย 40 แล้วเขาจะไม่ให้เราคลอดธรรมชาติ เขาให้เรากำหนดวันเลยว่าจะผ่าวันไหน ประมาณ 35 วีค ตกเลือด ตกใจเหมือนกัน เลยบอกแม่เลือดออกมาเยอะมากเลย ทำยังไงดี เราตกใจ ช็อก คุณแม่บอกว่าเราต้องรีบไปหาหมอ เขาบอกว่าลูกไปโดนสายสะดือ แล้วมันทับสะดือแล้วมันก็ขาด เลยรีบผ่าด่วน

ตอนนั้นหมอได้บอกไหม มีภาวะอันตรายอะไร?
แองจี้ : เราเสียเลือดเยอะ เราอาจจะช็อก ตัวเด็กเนี่ยก็ขาดออกซิเจน เพราะหัวใจเขาก็เริ่มช้าลง เขาเลยรีบผ่าออก

พอทราบข่าวเราจะคลอด คุณสามีว่ายังไงบ้าง?
แองจี้ : ตอนนั้นจี้ไม่ได้พูด เพราะจี้อยู่ในห้อง ให้คุณแม่กับน้องสาวคุยกับสามี เขาก็คงตกใจและตื่นเต้นแหละ แต่พูดไม่ออก

บินตามมาเลยไหม?
แองจี้ : เขาก็บินตามมาภายใน 2 วัน เพราะที่คูเวตถ้าเราจะบิน เราต้องทำวีซ่าก่อน ไม่ใช่ว่าจะไปขอแล้วได้เลย ต้องทำออนไลน์

พอมีน้องแล้วอยู่ที่อังกฤษแป๊บนึงแล้วค่อยบินกลับไปที่คูเวต คุณพ่อสามีว่ายังไงบ้าง?
แองจี้ : หลานคนแรกที่เป็นผู้ชาย แล้วเป็นทายาทของทางครอบครัวคนแรกด้วย

คนนี้มาด้วยวิทยาศาสตร์ แต่คนที่ 2 ธรรมชาติล้วนๆ?
แองจี้ : ใช่ ช่วงโควิดมั้ง เขามาเอง เพราะว่าผู้หญิงไม่ควรจะเครียด อารมณ์ดี นอนหลับเพียงพอ กินดีอยู่ดี ร่างกายมันจะสมบูรณ์

แต่พอมีลูกแล้วอาการซึมเศร้าหนักกว่า?
แองจี้ : เพราะว่าเรากลัวไปหมด กลัวว่าลูกจะเป็นอะไรหรือเปล่า เราเลี้ยงดีหรือเปล่า เราให้นมได้หรือเปล่า มีนมหรือเปล่า มันหลายๆ อย่าง มันก็เครียด หนักก็คือทั้งบ้านเป็นโควิดหมดเลย 14 คน รวมสามีด้วย ช่วงสามีเป็น เป็นโควิดสายพันธุ์แรกที่แรง เขาโดนไปอยู่โรงพยาบาลเลยเป็นหลายอาทิตย์

ตอนนั้นก็หนักเหมือนกัน มีภาวะยังไงบ้าง?
แองจี้ : มันชา ไม่มีความรู้สึก เหมือนเรารักเขานะ แต่เหมือนเราไม่เต็มที่ เรานอนน้อยด้วย แล้วอะไรหลายๆ อย่างทำให้เราชาไปหมดเลย ไม่มีความรู้สึก

6 เดือน เอาครูมาสอนลูกแล้ว?
แองจี้ : ใช่ สอนการสื่อสาร การดูรูปภาพ การฟัง แล้วก็ให้ไปเรียนว่ายน้ำด้วย จี้ยอมรับว่าตัวเองไม่ได้เป็นซุปเปอร์มัมและไม่คิดที่จะเป็นซุปเปอร์มัม และไม่คิดว่าแม่บ้านหรือแด๊ดดี๊ต้องมาสอนลูก ก็เลยเอาครูมาสอน เพราะเรารู้สึกว่าเราเป็นแม่ที่ไม่ดีพอ แล้วการเรียนตั้งแต่ 6 เดือนช่วยนะ เขาพูดเก่งมาก

ทำไมถึงกลัวลูกคนที่ 2 เป็นผู้หญิง?
แองจี้ : จี้รู้สึกว่าที่คูเวตยังไม่พร้อมสำหรับเพศหญิง คือจะไม่เท่าเทียมกัน จี้รู้สึกว่าผู้หญิงน่าจะเลี้ยงยากกว่าผู้ชาย

คำว่าไม่เท่าเทียมคืออะไร หมายถึงสิทธิเหรอ?
แองจี้ : ถูกต้องค่ะ ผู้ชายจะได้มากกว่าผู้หญิง มันยังไม่เท่าเทียมกัน ซึ่งพอหมอบอกว่าเป็นผู้ชายก็โล่งอก อย่าลืมนะที่คูเวตผู้ชายสามารถมีเมียได้ 4 คน แต่สามีมีคนเดียว แต่เขาก็จะขู่เหมือนกัน มีได้นะ 4 คน เราก็ขู่กลับ ขออนุญาตก่อนไหม

อยากมีลูกต่ออีกคนไหม?
แองจี้ : ไม่ค่ะ พอแล้ว แต่จี้ฝากไข่ สามารถที่จะมีเมื่อไหร่ก็ได้ แต่สามีบอกว่า 2 คนโอเคแล้ว พอแล้ว

แฟนคลับฟิน!! ‘ณเดชน์-ญาญ่า’ อวดรูปคู่หวานฉ่ำ พร้อมอวดโมเมนต์คลั่งรัก อิงแอบจนแก้มแนบแก้ม

เมื่อวันที่ 4 ก.ค. 66 เรียกว่าความหวานไม่มีแผ่วเลยจริงๆ  สำหรับสองนักแสดงซุปตาร์อย่าง ‘ณเดชน์ - ญาญ่า’ นับวันก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะเพิ่งจะครบรอบ 2 เดือนที่ ณเดชน์ คุกเข่าของแฟนสาวแต่งงาน

ล่าสุด ‘ณเดชน์’ ได้ควง ‘ญาญ่า’ แต่งตัวในธีมเดียวกัน โพสต์ภาพ อวดความหวานคลั่งรัก ผ่านอินสตราแกรม ด้วยคุมโทนชุดคู่ พร้อมแก้มแนบแก้มอิงแอบซบกัน พร้อมแคปชั่นว่า “กรุบกริบ นุ่มหนับ อุ๊งอุ๊ง”

‘เอม วิทวัส’ เปิดใจหลัง ‘ตั๊กแตน’ โทรขอโทษ เผย ยังเสียใจอยู่ เพราะถูกด่าในสิ่งที่ไม่ได้ทำ

(5 ก.ค. 66) จากกรณีความขัดเคืองใจจนกลายมาเป็นปมระหว่าง ‘ตั๊กแตน ชลดา’ กับ ‘จ๊ะ อาร์สยาม’ และ ‘เอม วิทวัส’ ที่สาเหตุนั้นดูเหมือนจะมีจุดเริ่มต้นจาก ‘เวลาในการขึ้นแสดงคอนเสิร์ต’ ที่ทั้งคู่ไปร่วมงานเดียวกัน แล้วเวลาโชว์ไม่เป็นไปตามที่ตกลงไว้ ก่อนเรื่องจะลุกลาม

โดยสาเหตุของการทะเลาะกันครั้งนี้ ชาวเน็ตได้สรุปว่า มาจากคิวที่ขึ้นงานแสดงระหว่าง 3 คน คือ ‘ลำไย ไหทองคำ’, ‘จ๊ะ นงผณี’ และ ‘ตั๊กแตน ชลดา’

แม้ล่าสุดทางตั๊กแตนได้โทรไปขอโทษเอมแล้วนั้น และล่าสุดทาง ลำไย ได้ออกมาชี้แจงเรื่องในมุมของตนเองแล้วนั้น

ล่าสุด เอม วิทวัส ได้เปิดเผยถึงเรื่องนี้กับ 'วันบันเทิง' ว่า ตั๊กแตนได้ติดต่อผ่านมาทางผู้จัดการและได้ขอโทษตนเองและคุณย่าของตนกับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว

เอม ขอบคุณที่ตั๊กแตน ขอโทษและสำนึกผิด ส่วนตัวให้อภัย แต่ก็ยังเสียใจอยู่ที่ต้องมาถูกด่าเยอะมากในสิ่งที่ไม่ได้ทำ

ทั้งนี้ เอมเน้นย้ำว่า ขอจบปัญหา ไม่อยากต่อความยาว และไม่อยากมีเรื่องกับใครแล้ว

ภรรยา ‘เอส กันตพงศ์’ อัปเดตอาการสามี หลังเข้าผ่าตัดใส่เครื่องกระตุกไฟฟ้าหัวใจ

(5 ก.ค. 66) หลังจากที่ ‘คิตตี้ คริสติน่า’ ภรรยาของพระเอกหนุ่ม ‘เอส กันตพงศ์’ ออกมาโพสต์ขอกำลังใจจากแฟนคลับ ให้สามีเข้ารับการผ่าตัดใส่เครื่องกระตุกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติอย่างราบรื่น ล่าสุดคิตตี้ก็ได้ออกมาอัปเดตอาการของเอส โดยได้โพสต์ภาพถ่ายครอบครัวพร้อมเขียนข้อความว่า…

“I would like to update that the operation of my husband @s_kantapong went well.
S is still in quite some pain but is recovering well so far without any complications.
This picture was taken before the operation and Valentina took the part of supporting her Papa very serious and also tried to cheer him up afterwards.
Thank you everyone for the overwhelming support. We are truly thankful 🙏🙏🙏

ฉันขออัพเดทเรื่องการผ่าตัดของสามีของฉัน @s_kantapong ผ่านไปได้ด้วยดี
S ยังคงมีอาการเจ็บแผลอยู่บ้าง แต่ขณะนี้มีอาการฟื้นตัวได้ดี โดยไม่มีอาการแทรกซ้อนใดๆ 
ภาพนี้ถ่ายก่อนการผ่าตัดและวาเลนตินาเข้ามามีส่วนร่วมในการสนับสนุนอย่างจริงจังและให้กำลังใจพ่อของเธอจนถึงตอนนี้
ขอบคุณทุกคนที่สนับสนุนอย่างล้นหลาม พวกเราขอบคุณจริงๆครับ 🙏🙏🙏

#bumrungrakfamily #เอสกันตพงศ์ #เอส #s_kantapong #valentinaerikab #prayforus #happyfamily #familygoals #thankfulgratefulblessed”

คิกออฟ 'เทศกาลเที่ยวเมืองไทย 66' กิน-ช้อป-เที่ยวแบบอันซีนที่ศูนย์สิริกิติ์ ใต้อัตลักษณ์ 5 ภูมิภาคสุดคูล ที่สายเที่ยวไม่ควรพลาด

งานเทศกาลเที่ยวเมืองไทย 2566 จัดขึ้นปีนี้ ซึ่งเป็นครั้งที่ 41 ภายใต้แนวคิดนวัฒนธรรม นำนวัตกรรมเทคโนโลยีสมัยใหม่ร่วมถ่ายทอดอัตลักษณ์ของ 5 ภูมิภาคในมุมมองสุดอันซีน โดยมีความพิเศษก็คือมีการย้ายสถานที่จัดงานจากสวนลุมพินี มาจัดที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ตั้งแต่วันที่ 2-6 สิงหาคม 2566 ข้อดีของการย้ายมาจัดที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ก็คือมีสถานกว้างขวางพร้อมที่จอดรถรองรับอย่างเพียงพอ และสามารถป้องกันปัญหาฝนตกในช่วงนี้ได้ จึงทำให้เราสามารถมาเที่ยวได้แบบชิลๆ โดยไม่ต้องกลัวฝน แถมยังมาพร้อมกับคอนเทนต์น่าสนุกและของกินของขายมากมายภายในงาน 

งานนี้จัดขึ้นที่ชั้น LG ในศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยจะมีการแบ่งโซนในงานออกเป็น 5 ภาค ได้แก่ ภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคใต้ กระจายอยู่ทั่วพื้นที่

โดยแต่ละภาคก็จะขนเอาของดีของเด่นของแต่ละภาคมาจัดแสดงโชว์กัน ทั้งสถานที่ท่องเที่ยวดังๆ ขึ้นชื่อ ก็จะมีการจำลองรูปแบบมาให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายรูป เช็กอินกันแบบเก๋ๆ เรียกได้ว่ามางานเดียวเหมือนได้ไปเที่ยวทั่วเมืองไทยเลย

ในส่วนของกินภายในงานก็ต้องบอกเลยว่าจัดเต็มอลังการมาก อาหารถิ่นของแต่ละภาคถูกนำมาวางขายตามภาคของตัวเอง อยากกินอาหารเหนือ อาหารอีสาน อาหารภาคกลาง อาหารภาคใต้ หรืออาหารภาคตะวันออก ก็สามารถไปเดินเลือกซื้อหากันภายในงานได้อย่างจุใจ แถมราคาไม่แพงด้วย มาฝากท้องกันได้ทุกวัน

นอกจากนี้ภายในงาน ก็ยังมีเวทีคอนเสิร์ตกระจายอยู่ตามภาคต่างๆ พร้อมกับศิลปินนักร้องที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาสร้างความสนุกให้กับผู้ร่วมงานในทุกวันด้วย ถือเป็นอีกหนึ่งงานที่ไม่ควรพลาด ต้องไปเดินเที่ยว เดินช้อป และหาของกินอร่อยๆ ว่าแล้วก็รีบไปที่ ศูนย์สิริกิติ์กันเลย

ข้อมูลเพิ่มเติม
สถานที่จัดงาน : ฮอลล์ 5-8 ชั้น LG ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ 60 ถ. รัชดาภิเษก แขวงคลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร
พิกัด : https://goo.gl/maps/Xd8vsqJpcUvuHPHD6
ระยะเวลาจัดงาน : 2-6 สิงหาคม 2566 เวลา 10.00 – 21.00 น

5 สิงหาคม พ.ศ. 2430 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาโรงเรียนนายร้อย

วันนี้ในอดีต 5 สิงหาคม พ.ศ. 2430 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงพระราชทานกำเนิด ‘โรงเรียนทหารสราญรมย์’ ต่อมาคือ โรงเรียนนายร้อย จปร.

โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า กำเนิดขึ้นพร้อม ๆ กับ(กรมทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์) โดยเริ่มจากการจัดตั้งทหารมหาดเล็กเด็กที่เรียกว่า ‘ทหารมหาดเล็กไล่กา’ จำนวน 12 คน ในช่วงต้นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ต่อมาได้ขยายกำลังขึ้นโดยฝึกข้าหลวงเดิมให้เป็นทหารมหาดเล็กสมทบกับพวกมหาดเล็กไล่การวม 24 คน จึงเรียกทหารในชุดนี้ว่า ‘ทหาร 2 โหล’ และต่อมาได้เพิ่มจำนวนทหารมหาดเล็กเป็น 72 คน แต่งตั้งเป็นกองทหารมหาดเล็กสำหรับรักษาพระองค์อย่างใกล้ชิด

พ.ศ. 2414 โปรดเกล้าฯ ให้ขยายกองทหารมหาดเล็กออกเป็นกองร้อย เรียกว่า ‘กอมปานี’ (Company) ถึง 6 กองร้อย จัดตั้งเป็น ‘กรมทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์’

พ.ศ. 2415 โปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งสถานที่สอนวิชาการและระเบียบการขึ้นในกรมทหารมหาดเล็ก รวมทั้งให้มีการสอนวิชาภาษาอังกฤษและภาษาไทยด้วย เรียกสถานศึกษาว่า ‘คะเด็ตทหารมหาดเล็ก’ ส่วนนักเรียนเรียกว่า ‘คะเด็ต’ (Cadet)

พ.ศ. 2423 โปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งกรมทหารหน้าขึ้น (ซึ่งต่อมาได้วิวัฒนาการเป็นกรมยุทธนาธิการ) จึงกำเนิด ‘คะเด็ตทหารหน้า’ ขึ้นอีกแห่งหนึ่ง ได้เร่งปรับปรุงกิจการทหารโดยลำดับ เมื่อเจริญกว้างขวางและเป็นแบบแผนขึ้นบ้างแล้ว จึงโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช จัดตั้งโรงเรียนสอนวิชาทหารสำหรับทหารบกทั่วไปขึ้น โดยให้ใช้พื้นที่บริเวณหลังพระราชวังสราญรมย์เป็นสถานที่ตั้ง (ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของกรมแผนที่ทหาร) โดยรวมคะเด็ตทหารมหาดเล็ก คะเด็ตทหารหน้า นักเรียนแผนที่ และส่วนที่เป็นทหารสก๊อตเข้าด้วยกัน ใช้ชื่อรวมว่า ‘คะเด็ตสกูล’ สำหรับนักเรียนเรียกว่า ‘คะเด็ต’ มีนายพันเอกนิคาล วอลเกอร์ (Nical Walger) เป็นผู้บังคับการคนแรก

5 สิงหาคม พ.ศ. 2430 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จมาทรงกระทำพิธีเปิดโรงเรียนคะเด็ตสกูล

14 มกราคม พ.ศ. 2431 ได้ตราข้อบังคับขนานนามโรงเรียนคะเด็ตสกูลเสียใหม่ว่า ‘โรงเรียนทหารสราญรมย์’

6 ตุลาคม พ.ศ. 2440 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กองโรงเรียนนายสิบมาสมทบด้วย เปลี่ยนชื่อโรงเรียนเป็น ‘โรงเรียนสอนวิชาทหารบก’

25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2441 ได้เปลี่ยนชื่อโรงเรียนเป็น ‘โรงเรียนทหารบก’ เปิดโอกาสให้รับบุคคลสามัญที่มีคุณสมบัติตามข้อกำหนดเข้าเป็นนักเรียนนายร้อยได้ต่อมามีผู้สนใจเข้ารับการศึกษาเพิ่มมากขึ้น จึงโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายนักเรียนนายสิบไปสังกัดกองพลทหารบกตามเดิม และ เมื่อ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2446 ได้เปลี่ยนชื่อโรงเรียนเป็น ‘โรงเรียนนายร้อยทหารบก’ เปิดการสอนใน 2 แผนก คือ โรงเรียนนายร้อยชั้นปฐม และโรงเรียนนายร้อยชั้นมัธยม

5 ปีถัดมา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นว่าสถานที่โรงเรียนนายร้อยทหารบกคับแคบไปแล้วไม่เพียงพอแก่การที่จะผลิตนักเรียนเพิ่มขึ้นทันกับความต้องการของสถานการณ์ในเวลานั้น ซึ่งขาดแคลนนายทหาร จึงโปรดเกล้าฯ ให้ซื้อที่ดินติดถนนราชดำเนินนอก เป็นเนื้อที่ประมาณ 30 ไร่เศษ ดำเนินการก่อสร้างโรงเรียนนายร้อยชั้นมัธยม (ส่วนโรงเรียนนายร้อยชั้นปฐมยังคงอยู่ ณ โรงเรียนทหารสราญรมย์เดิม) เสร็จแล้วพระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินมาทรงกระทำพิธีเปิดโรงเรียนเมื่อ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2452

โรงเรียนนายร้อยชั้นปฐม และโรงเรียนนายร้อยชั้นมัธยมได้ดำเนินการมาด้วยดี ต่อมาเศรษฐกิจของชาติตกต่ำ กระทรวงกลาโหมจึงให้รวมโรงเรียนนายร้อยทั้งสองนี้เข้าด้วยกันเรียกชื่อว่า ‘โรงเรียนนายร้อยทหารบก’ อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกรมยุทธศึกษาทหารบก

26 มีนาคม พ.ศ. 2471 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จมาพระราชทานกระบี่แก่นักเรียนนายร้อยทหารบกที่จบการศึกษาชั้นสูงสุดเป็นครั้งแรก และจากนั้นเป็นต้นมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานกระบี่แก่นักเรียนนายร้อยที่จบการศึกษาขั้นสูงสุดทุกปี

พ.ศ. 2477 ได้มีการจัดตั้งโรงเรียนเทคนิคทหารบกขึ้นในกรมยุทธศึกษาทหารบก เพื่อผลิตนายทหารบางเหล่าที่เป็นเหล่าสายเทคนิค

2 ธันวาคม พ.ศ. 2485 - 14 มกราคม พ.ศ. 2487 ได้มีการผลิตนักเรียนนายร้อยหญิงขึ้น 1 รุ่นจำนวน 28 คนและมีรุ่นเดียว

14 เมษายน พ.ศ. 2485 - พ.ศ. 2487 ได้มีการผลิตนักเรียนนายร้อยสำรองขึ้น 3 รุ่น และได้เปิดหลักสูตรอีกครั้งหนึ่งตั้งแต่ 30 เมษายน พ.ศ. 2499 อีก 6 รุ่น รวม 9 รุ่น

ในห้วงสงครามมหาเอเชียบูรพา ประเทศไทยได้ทำสัญญาเป็นพันธมิตรไมตรีกับฝ่ายญี่ปุ่น เมื่อ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2484 ในปี พ.ศ. 2486 ฝ่ายพันธมิตรได้ทำการโจมตีทางอากาศต่อที่หมายในกรุงเทพมหานครอย่างหนัก ทางราชการจึงคิดแผนการย้ายเมืองหลวงไปอยู่ ณ สถานที่แห่งใหม่ในเขต จ.เพชรบูรณ์ ในวันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2487 นักเรียนนายร้อยทุกหลักสูตรและทุกคน จึงได้ออกเดินทางจากกรุงเทพมหานครไปขึ้นรถไฟที่สถานีรถไฟสามเสน ไปลงที่สถานีรถไฟตะพานหิน จ.พิจิตร จากนั้นเดินเท้าต่อไปอีก 112 ก.ม. เข้าสู่หมู่บ้านป่าแดง อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ เปิดทำการสอนนักเรียนนายร้อยอยู่ไม่นาน พอต้นปี พ.ศ. 2488 ได้เคลื่อนย้ายมาอยู่ใน จ.พระนครศรีอยุธยา จนกระทั่งสงครามสงบในเดือน กันยายน พ.ศ. 2488 โรงเรียนนายร้อยจึงได้กลับมาอยู่ ณ สถานที่ตั้งเดิม

พ.ศ. 2489 กระทรวงกลาโหมได้ดำเนินการปรับปรุงหลักสูตรของโรงเรียนนายร้อย เป็นหลักสูตรการศึกษา 5 ปีตามแบบอย่างโรงเรียนนายร้อยทหารบกของสหรัฐอเมริกา

1 มกราคม พ.ศ. 2491 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามโรงเรียนนายร้อยแทนชื่อเดิมว่า ‘โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า’

ต่อมาโรงเรียนนายร้อย พระจุลจอมเกล้า ณ ถนนราชดำเนินนอกอยู่ในสภาพแออัด ด้วยมีจำนวนนักเรียนนายร้อยเพิ่มขึ้น สถานที่ฝึกศึกษา เล่นกีฬา และสถานที่พักผ่อนไม่เพียงพอ ขาดสภาพสิ่งแวดล้อมสำหรับการเป็นโรงเรียนนายร้อยหลักของประเทศ ความทราบถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงมีพระราชดำริให้โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า มีสถานที่ตั้งแห่งใหม่ ณ บริเวณเขาชะโงก อำเภอเมือง จังหวัดนครนายก โรงเรียนนายร้อยแห่งนี้ได้กระทำพิธีวางศิลาฤกษ์ เมื่อ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2524 โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพลเอกหญิงสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (ขณะดำรงพระยศพันเอก) ได้เสด็จฯ มากระทำพิธี

5 สิงหาคม พ.ศ. 2529 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า จังหวัดนครนายก ถือเป็นการเปิดโรงเรียนนายร้อยแห่งใหม่อย่างเป็นทางการ และได้ดำเนินการสอนมาจนถึงปัจจุบัน

ครั้งหนึ่งในชีวิต!! 'จี้เพ็ก' ยูทูปเบอร์อาหารภูเก็ต รุ่นคุณย่าวัย 78 เข้ารับพระราชทานโล่ประกาศเกียรติคุณในงานวันสตรีไทยดีเด่นประจำปี 66

(4 ส.ค.66) เพจ 'Phuket OK' ได้โพสต์ข้อความแสดงความยินดีกับ นางปราณี มานะจิตต์ 'จี้เพ็ก' อายุ 78 ปี ยูทูปเบอร์อาหารภูเก็ต รุ่นคุณย่า ซึ่งแจ้งเกิดจากเมนู 'หมูฮ้อง' และเข้ารับพระราชทานโล่ประกาศเกียรติคุณในงานวันสตรีไทยดีเด่นประจำปี 2566 ว่า...

คนภูเก็ต เข้ารับพระราชทานโล่ประกาศเกียรติคุณในงานวันสตรีไทยดีเด่นประจำปี 2566 ของสภาสมาคมสตรีแห่งชาติในพระบรมราชินูปถัมภ์ 

คนชอบเข้าครัว ต้องรู้จักจี้เพ็ก เจ้าของช่องยูทูปชื่อดัง 'จี้เพ็ก สองแม่ลูกเข้าครัว' ยูทูปเบอร์รุ่นคุณย่า ที่มีผู้ติดตามกว่า 4 แสนคน ยอดวิวมากกว่า 50 ล้านวิว คอยบอกเล่าวิธีทำเมนูอาหารภูเก็ต ส่งต่อความสุขด้วยสูตรเด็ดเคล็ดลับความอร่อย เป็นแรงบันดาลใจให้คนเข้าครัวทำกับข้าวตามสูตรที่จี้เพ็กสอน

เมนูแรกที่ทำให้ผู้ติดตามรู้จักจี้เพ็ก คือ หมูฮ้อง อาหารคนภูเก็ต จากนั้นก็มีเมนูอื่นๆ มาให้ติดตามเรื่อยๆ จนมีแฟนคลับเหนียวแน่น นอกจากเป็นยูทูปเปอร์แล้ว จี้เพ็กยังทำงานจิตอาสาสอนทำอาหารและขนมในโรงเรียน ชุมชน ช่วยเหลือสังคม Phuket OK จึงไม่แปลกใจเลยที่จี้เพ็กได้รับการเสนอชื่อ และ ได้รับคัดเลือกเข้ารับรางวัลฯ

จี้เพ็ก คือ คนภูเก็ต ที่เราภูมิใจ

‘อิม เฟี้ยว์ฟ้าว’ อัปเดตคดี ‘อดีตผู้จัดการยักยอกทรัพย์’ เผย ให้อภัยไม่เอาความ หลังอีกฝ่ายยอมรับผิด-คืนเงิน

หลังจากก่อนหน้านี้ นักแสดงสาว เฟี้ยว์ฟ้าว สุดสวิงริงโก้ ได้มีเรื่องขึ้นโรงขึ้นศาล เดินหน้าฟ้องร้องกับอดีตผู้จัดการส่วนตัว ในข้อหาคดียักยอกทรัพย์ หลังร่วมทำธุรกิจทัวร์ท่องเที่ยวพม่าด้วยกัน

ล่าสุด (4 ส.ค.66) เฟี้ยว์ฟ้าว ได้ออกมาอัปเดตคดีเกี่ยวกับผู้จัดการผ่านทางอินสตาแกรม โดยระบุว่า…

“คดีเกี่ยวกับ..#อดีตผู้จัดการเฟี้ยว์ฟ้าว ที่มีการ.. #ยักยอกทรัพย์ และอีก #ยักยอกทัวร์พม่า ที่ผ่านมานั้น

อิมขอแจ้งความคืบหน้าเกี่ยวกับคดีในครั้งนี้

#อดีตผู้จัดการส่วนตัวได้ให้การยอมรับสารภาพผิดต่อศาล และ ได้ชดใช้คืนเงินให้อิม #ในสิ่งที่อดีตผู้จัดการได้ยักยอกไป ต่อหน้าศาลในวันที่ 3 สิงหาคม 2566

ซึ่งคดีนี้...อดีตผู้จัดการส่วนตัวได้ยักยอกไป เป็นการกระทำที่ผิด และ เป็นสิ่งที่ไม่ดี เราได้ทำการแจ้งความฟ้องร้องดำเนินคดีมาเป็นระยะเวลานานพอสมควร เพราะเกิดในช่วงสถานการณ์โควิดช่วงรุนแรง ทำให้คดีเกิดความล่าช้าไปบ้าง (โดยที่อิมได้เคย..ชี้แจงต่อสื่อมวลชน และทุกคนไปบ้างแล้วนั้น)

**ในครั้งนี้***

เห็นว่ามีการยอมรับสารภาพผิด อิมก็พร้อมจะให้อภัยและไม่เอาความในคดีนี้ ถือว่าคดีนี้ได้สิ้นสุดต่อกัน แต่หากยังไม่กลับตัวกลับใจอีก อิมก็จะดำเนินการตามกฎหมายต่อไปเน้อ

อิมขอขอบคุณศาลในความยุติธรรม ตลอดถึง #ทนายวิน ที่เคียงข้างสู้คดีความด้วยคุณธรรมและความถูกต้อง #และที่สำคัญ #อิมขอบคุณทุกๆคน ที่คอยเมตตาให้กำลังใจเสมอมาเน้อ ขอบคุณมากๆนะคะ”

‘ปอย ตรีชฎา’ อัปเดตทริปปีนเขาช่วงฮันนีมูน ได้แผลถลอกทั้งตัว แต่สามีดูแลไม่ห่าง

เรียกว่าชีวิตหลังวิวาห์แฮปปี้มีความสุขสุด ๆ สำหรับคู่สามีภรรยา ‘ปอย ตรีชฎา หงษ์หยก’ และ ‘โอ๊ค บรรลุ’ ซึ่งทั้งสองออกทริปฮันนีมูนที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และได้มีการไปทำกิจกรรมปีนเขาที่ยอดเขามัทเทอร์ฮอร์นด้วยกัน

โดยล่าสุดสาวปอย ได้ปล่อยโมเมนต์พิเศษอัปเดตความหวานกันแบบข้ามทวีป ซึ่งในทริปนี้ทั้งสอง เลือกที่จะไปผจญภัยในสไตล์ที่ชอบ นั่นก็คือการปีนขึ้นยอดเขา Matterhorn พร้อมกับเก็บภาพบรรยากาศความสวยและความประทับใจมาฝากแฟน ๆ ผ่านโซเชียล

แม้ว่างานนี้สาวปอยจะได้รับบาดเจ็บจนมีแผลถลอกทั่วร่างกาย ทั้งมือ ทั้งหัวเข่า แต่คุณสามี ‘โอ๊ค บรรลุ’ ก็คอยดูแลไม่ห่าง เรียกได้ว่าทริปนี้แม้จะเหนื่อยบ้างเจ็บบ้าง แต่ความหวานนั้นอยู่ในระดับสิบเกินต้านเลยจ้า

‘เมย์ พิชญ์นาฏ’ เล่าโมเมนต์ตอนถูกขอแต่งงาน พร้อมเผยแผนงานวิวาห์และอนาคตครอบครัว

(4 ส.ค. 66) หลังจากร่วมงานบวงสรวงละครเรื่อง ‘บุหงาส่าหรี’ ของช่องวัน 31 ที่อาคารจีเอ็มเอ็มแกรมมี่ วันนี้ (4 ส.ค. 66) แล้วทุกคนก็บอก ‘เมย์ พิชญ์นาฏ สาขากร’ เป็นเสียงเดียวว่า “ดูมีออร่ามาก” ซึ่งพอได้ยินเจ้าตัวก็ย้อนถาม “จริงหรอคะ?” พร้อมกล่าวว่า “ก็คงเป็นแบบนั้น มีความสุขค่ะ” บอกพลางยิ้มกว้าง

ทั้งนี้ สาวเมย์ พิชญ์นาฏ ยังได้เล่าอีกว่า ตอนที่ถูกขอแต่งงาน เธอไม่รู้จะบอกกับทุกคนอย่างไรดี เพราะคู่ของเธอไม่ได้มีโมเมนต์แบบฝ่ายชายคุกเข่าขอ พร้อมสวมแหวนเพชร

“เขาพาเราไปทานข้าวย้อนหลังวันเกิด แล้วอยู่ดีๆ ก็ถามคำถามมากมาย ว่าชอบของขวัญชิ้นไหน ตอนคบกันชอบไปเที่ยวไหน ถามเยอะมาก เราก็ว่าวันนี้ทำไมถามเยอะ แล้วคำถามสุดท้ายพร้อมแต่งงานหรือยัง อยากแต่งหรือยัง เขาพร้อมแล้ว อะไรแบบนี้ แล้วเขาก็บอกว่ายังไม่มีแหวนนะ จะถามว่าอยากไปเลือกด้วยกันไหม หรืออยากให้เขาเลือกมาเลย เพราะเขากลัวไม่ถูกใจ เราก็งงนิดนึง ว่านี่คือขอแต่งงานหรืออะไร เลยบอกว่าให้เขาไปเลือกเลยละกัน แหวนอะไรก็ได้ แล้วเดี๋ยวเรากลับไปถามที่บ้านก่อน ว่าโอเคกับเธอไหม แล้วเธอกลับไปถามพ่อแม่เธอก่อน ว่าโอเคกับเราไหม แล้วเอาพ่อแม่มาเจอกัน ก็ผ่านไปแบบเร็วมาก เรียบง่ายมาก” เมย์ เล่า

พร้อมเล่าอีกว่า หลังเวลาผ่านไปสักระยะ จึงตัดสินใจบอกผ่านอินสตาแกรมโดยใช้รูปที่ถ่ายด้วยกันตอนวันวาเลนไทน์มาลง

ส่วนเรื่องการคุกเข่าขอแต่งนั้น เมย์ เล่าว่า “ตอนนั้นอยากมีนะ คือแบบ เฮ้ย!! นี่ขอแล้วเหรอ แล้วจะมีเซอร์ไพรส์อีกไหม ก็เอ๊ะ… หรือเราจะเก็บเป็นความลับก่อน เดี๋ยวเขามีเซอร์ไพรส์ แต่ก็ได้ฤกษ์มาแล้ว ก็รู้สึกว่าเราต้องรีบเตรียมงาน มานั่งรอแล้วแหวนยังไม่มี กลัวทำอะไรไม่ทัน ก็ไม่รู้ว่าจะมีอีกไหม หรือไม่มีแล้ว ก็ไม่เป็นอะไร ก็จะแต่งแล้วแหละ” เมย์ กล่าวพร้อมยิ้ม

สำหรับฤกษ์แต่ง เมย์บอก ว่าเป็นช่วงเดือนธันวาคมนี้

ด้านเรื่องความรักของตัวเอง เมย์ตอบว่า “เมย์รู้สึกว่าเมย์อยู่ในวงการนี้มานาน แล้วก็เป็นข่าวเรื่องความรักเยอะ ทุกครั้งที่เมย์อกหักหรือโสดก็จะมีคนให้กำลังใจ ทุกคนดูแบบเอาใจช่วยเรามาตลอด ขอบคุณมากๆ นะคะ ขอบคุณทุกข้อความ เมย์ได้อ่านหมดเลย ซาบซึ้งจริงๆ แล้วก็อยากให้ทุกคนหายห่วง ว่าวันนี้เมย์ได้เจอคนที่เขาพร้อมที่จะจับมือกับเราไปในทุกช่วง” พร้อมเล่าอีกว่าเพื่อนๆ ก็ดีใจกับข่าวดีข่าวนี้ของเธอ

“ทุกคนดีใจมากๆ เป้ยนี่คือเสียงสั่นเลย เหมือนจะร้องไห้ เพื่อนสนิทบางคนที่เราแอบบอกก่อนจะโพสต์ข้อความ ก็กรี๊ดแล้วบอกว่าดีใจมาก ดีใจกว่าตอนที่เขากำลังจะแต่งงานเองอีก เขาอยากให้เรามีความสุข พี่อั้ม พี่หนิง กระแต ทุกคนคือดีใจ” เมย์ กล่าว

ในส่วนงานแต่ง เมย์บอกว่าเพิ่งเตรียมไปได้ราว 30% เพราะติดถ่ายละคร โดยงานตั้งใจจะให้ออกแนวอบอุ่น เป็นกันเอง ไม่ได้หรูหราอะไรมาก ทุกคนมาแบบสบายๆ แล้วก็มีความสุข

สำหรับเพื่อนเจ้าสาว เมย์บอกปนอาการหัวเราะๆ ว่า “คัดแล้วคัดอีก 22 คน คือเรามีเพื่อนดารา 12 คนที่มีสตอรี่ว่าผ่านอะไรกันมาบ้าง อีก 10 คนเป็นเพื่อนตอนเด็กๆ ที่อยู่ในทุกช่วงเวลา ก็อยากให้เขาได้อยู่กับเราด้วย เพื่อนเจ้าบ่าวมี 18 คน ก็เป็นวันเกิดเขา เขาเกิด 18 เมย์ เกิด 22 ก็เลยเป็นแบบนี้”

เรื่องทายาท เมย์บอกได้ฝากไข่ไว้ 5-6 ปีแล้ว และคิดว่าจะรีบใช้หลังจากแต่ง

“เพราะเราเกิดปีไก่ และแฟนเกิดปีมังกร เขาอยากจะให้ลูกเกิดปีมังกร ก็คือปีหน้า ตอนนี้ก็รีบเตรียมสุขภาพไว้ก่อน พอหลังแต่งก็รีบทำให้ทัน คงไม่ไปมู ไปหาหมอน่าจะดีกว่า ใช้วิทยาศาสตร์ช่วยเลย เพราะว่าเราก็แก่แล้ว” เมย์ที่ปัจจุบันอายุ 42 ปีบอก

ทั้งยังบอกทิ้งท้ายว่า “ถ้าจะมีจริงๆ จะเป็นชาย หรือหญิง หรือฝาแฝดก็ได้หมด และถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะมีสัก 2 คน”

‘ปั้นจั่น ปรมะ’ ประกาศล้างมือในอ่างทองคำ พร้อมถอดเขี้ยวเล็บ เพื่อดูแลรักครั้งใหม่ให้ดีที่สุด

(4 ส.ค. 66) หลังจากเป็นโสดมาพักใหญ่ ล่าสุด ‘ปั้นจั่น ปรมะ อิ่มอโนทัย’ นักแสดง นักร้อง นายแบบ พิธีกรชาวไทย ประกาศพร้อมรอยยิ้มว่า “ไม่โสดแล้วครับ”

นักแสดงหนุ่มซึ่งไปร่วมงานบวงสรวงละครเรื่อง ‘บุหงาส่าหรี’ ที่ช่องวัน 31 จัดขึ้นในวันนี้ (4 ส.ค. 66) ที่อาคารจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ บอกด้วยว่า “กับรักครั้งนี้ก็เหมือนก่อนๆ ที่อยากให้ออกมาดี และครั้งนี้ดูจะดีที่สุดแล้ว เพราะเราพร้อม หมดสภาพแล้ว (หัวเราะ) ถ้าหลุดคนดีๆ ไปอีกก็คงไม่มีแล้วแหละ”

“ที่จริงตอนนี้ชีวิตมันเป็นปกติแล้ว ซ้อมกีฬา ถ่ายละคร กลับบ้าน อยู่กับครอบครัว มีแค่นี้ ไม่ได้หวือหวาอะไรแล้ว มีไปเจอเพื่อนนิดหน่อย”

เรียกว่าครั้งนี้ล้างมือในอ่างทองคำเลยไหม? คำถามนี้เจ้าตัวบอก “ล้างมือในอ่างทองคำแล้ว แต่ถ้าใครไปเจอนั่นไม่ใช่ตัวจริง” พูดแล้วก็ยิ้ม

เมื่อถามถึงเขี้ยวเล็บต่างๆ ปั้นจั่นตอบ “ถอดแล้วแหละ แต่มนุษย์เนอะ อาจจะมีพลาดบ้างก็ได้ แต่ไม่พลาดดีที่สุด”

เมื่อถามถึงความรักครั้งนี้ ปั้นจั่นเล่าว่าเจอกับ ‘โจมิ’ ที่สนามกอล์ฟ “ตอนแรกก็เห็นผ่านๆ รู้จักกัน แต่ไม่ได้คุย” ปั้นจั่น กล่าว พร้อมเล่าว่าที่ผ่าน ๆ มา เขาจะเป็นประเภทเริ่มต้นด้วยการชอบมาก ๆ จาก 100 แล้วก็ค่อยๆ ลด ด้วยความไม่เข้ากัน ด้วยองค์ประกอบหลาย ๆ อย่าง

เมื่อถามว่า หากครั้งนี้แตกต่าง?

“ครั้งนี้เริ่มจากคนที่เคยเห็นกันมาก่อน และรู้จักกันจากคนรอบ ๆ และก็เริ่มคุย แต่เขาเป็นคนน่ารักอยู่แล้ว เจอครั้งแรกเขาก็ดูน่ารัก ดูดี สวย พอรู้จักไปเรื่อย ๆ มันก็ค่อย ๆ เติม และเขามีน้ำใจกับผมมาก คอยดูแล ใส่ใจความรู้สึกมากๆ เราก็พยายามปรับตัวเข้าหากัน เพราะเราก็มาจากความไม่เพอร์เฟ็คต์ทั้งคู่ในเรื่องของความรู้สึก ทุกคนมีเรื่องราวที่ผ่านมา ผมเองก็อยากจะเป็นคนที่ดีขึ้นอยู่แล้ว ก็มาคุยกันแบบเปิดอก แบบผู้ใหญ่ มีข้อเสียแบบนี้นะ ถ้าอะไรผิดพลาดไปก็ค่อย ๆ เรียนรู้กันไปนะ แต่เราจะไม่ปล่อยมือกันนะ” ปั้นจั่น กล่าว

“ผมว่าเราถามหาความเพอร์เฟกต์จากความรักไม่ได้หรอก แต่มันคือการเรียนรู้กันไปทุก ๆ วัน และทำให้ดีที่สุด แต่ถ้าวันนึงความรักมันลดลง พอมันไม่เท่ากัน ปล่อยมือกัน ก็ต้องตามนั้น”

ปั้นจั่นยังบอกด้วยว่า สิ่งหนึ่งที่เขารู้สึกว่าโจมิน่ารักมาก คือการไม่ตัดสินเขาจากข่าว

“เขาไม่ได้ตัดสินผม จากเรื่องราวที่ผ่านมา และผมก็รู้สึกว่ามันค่อนข้างแฟร์ และเป็นการให้ผมพิสูจน์ตัวเอง จริง ๆ เราไม่ได้พิสูจน์ฝ่ายเดียว มันต้องพิสูจน์กันและกัน”

ความสัมพันธ์ครั้งนี้ ปั้นจั่นบอกว่า คบเกือบจะ 1 ปีแล้ว อย่างไรก็ดีรู้จักกันมาก่อนหน้านั้น

ปั้นจั่นยังบอกอีกว่า ตอนนี้เขาอายุ 30 กว่าแล้ว ขณะที่ฝ่ายหญิงอ่อนกว่าเขา 5-6 ปี โดยส่วนตัวเขาจึงมองเรื่องอนาคตไว้เหมือนกัน พร้อมกล่าว่า เรื่องผู้หญิงนั้น หลัง ๆ เขาตั้งใจจะไม่ระบุสเปกที่ชอบ

“ก็พยายามไม่มีแนวนะ แต่สุดท้ายก็มาตายสาวหมวย ก็น่ารัก คนอื่นผมไม่รู้นะ แต่สำหรับผมคิดว่าสวย” ปั้นจั่น กล่าว

ขณะที่ฝั่งโจมิถูกใจเขาตรงไหน ปั้นจั่นก็ว่า “ส่วนใหญ่คนที่เคยคุยมาจะบอกว่าคบคนในวงการมันยาก ไม่อยากคบคนในวงการหรอก แต่ของแบบนี้พอมันเดินเข้ามา ก็ห้ามไม่ได้ พอเจอกัน แล้วถูกใจ คุยกันรู้เรื่องก็ห้ามไม่ได้ แต่ผมว่าผมก็พยายามเป็นพี่ที่จะดีขึ้น นิ่งขึ้น เพราะเราอายุเยอะกว่าเขา” ความรักครั้งนี้ในความรู้สึกเขาจึงเป็นเรื่งราวดีๆ

“มันทำให้ผมรู้สึกว่าการที่เราอยากจะดีจากตัวเอง แต่การมีคนข้างๆ คอยปรึกษา เทคแคร์ ดูแลกัน คอยไว้ให้ระบาย บ่น ส่วนใหญ่ก็เรื่องง่าย ๆ รถติด ฝนตก อากาศร้อน เม้าท์กัน คุยเรื่องชีวิตประจำวัน แค่นี้ก็สนุกแล้ว” ปั้นจั่น กล่าวทิ้งท้าย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top