Saturday, 17 May 2025
NEWSFEED

ชักศึกเข้าบ้าน!! เรื่องป่วนสยามสมัยรัชกาลที่ 5 ปฐมเหตุแห่งการยกเลิกวังหน้า

ในช่วงที่ประเทศไทยกำลังเป็นเจ้าภาพการประชุม APEC 2022 ที่ดีงาม และพร้อมที่จะต่อยอดในทุกๆ ด้าน เพื่อให้ประเทศไทยเดินหน้าต่อในเรื่องเศรษฐกิจ แต่ก็ยังมีกลุ่มคนอีกหลายกลุ่ม กำลัง ‘ชักศึกเข้าบ้าน’ ด้วยการ จะประท้วงในการจัดประชุมครั้งนี้ จะชุมนุมเพื่อให้สะท้อนปัญหาของพวกตัวเอง (ปัญหาที่ใครต่อใครเขาก็ไม่เดือดร้อนนะยกเว้นไอ้พวกกลุ่มนี้) 

โดยมีผู้สนับสนุนเป็นทุนจากต่างชาติ และ / หรือ อาจจะเป็นคนในชาติที่เป็นทาสตะวันตก ตั้งใจสร้างสถานการณ์ต่างๆ พร้อมด้วย ‘การข่าวปลอม’ และ ‘การข่าวป่วน’ ของพวกเขา ที่วางแผนไว้เพื่อให้การประท้วงของพวกเขาไปอยู่ในสายตาของสื่อต่างชาติที่มาทำข่าว APEC 2022 ทั้งยังพร้อมทำทุกอย่างเพื่อด้อยค่าประเทศตัวเอง ให้เกิดขึ้นในสายตาของชาติอื่นๆ 

พูดถึงเหตุการณ์ที่ไปดึงเอาต่างชาติเข้ามายุ่มย่ามในบ้านเมืองเรา มีอยู่เหตุการณ์ป่วนหนึ่งในสมัยอดีต ซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่ที่ทำให้ในกาลต่อมามีการยกเลิกตำแหน่งเรียกว่า ‘วังหน้า’ หรือ ‘กรมพระราชวังบวรสถานมงคล’ กันเลยทีเดียว 

เรื่องป่วนที่จะเล่าในครั้งนี้ เป็นเรื่องใหญ่ของแผ่นดินที่เกิดขึ้นในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ซึ่งขณะนั้นลัทธิจักรวรรดินิยมตะวันตก อังกฤษและฝรั่งเศส กำลังคุกคามประเทศรอบข้างสยาม และกำลังจ้องมองสยามอย่างตาเป็นมัน

เหตุการณ์ในครั้งนั้นมีตัวละครสำคัญเป็นทหารอังกฤษตกงาน เพราะพนันม้าจนหมดตัวจากอินเดีย ชื่อ ร้อยเอก ‘โทมัส ยอร์ช น็อกซ์’ เขาเดินทางมาสยามเพื่อหางาน โดยตามเพื่อนชาติเดียวกันมาก็คือ ‘ร้อยเอกอิมเปย์’ ซึ่งเข้ามาสอนทหารวังหลวงในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4  ส่วนตัว ‘ร้อยเอก น๊อกซ์’ นั้นเขาได้เข้าไปสมัครเป็นคนฝึกทหารของวังหน้าในรัชกาลที่ 4 คือพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว แล้วเผอิญพอพูดภาษาไทยได้ประมาณนึง ก็เลยเถิดได้ไปเป็นล่ามให้สถานทูตอังกฤษ จนได้เลื่อนขึ้นเป็นถึงทูต (คุณพระ !!!! ) 

นอกจากนี้ ยังมีอาชีพเสริมเป็นสื่อมวลชนสายเสี้ยมกึ่งปลุกปั่น (อันนี้ผมตั้งเอง) เขียนคอลัมน์ของตัวเองไปลงหนังสือพิมพ์ในยุโรป โดยเขียนเชียร์วังหน้าอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู (ก็นายจ้างเก่าเขาน่ะนะ) ว่าเก่งกว่าวังหลวงมาก เวลาวังหลวงออกว่าราชการก็ต้องให้วังหน้าชักใยอยู่เบื้องหลัง (จินตนาการตามข้อนี้ นี่มันเมืองจีนหรือไง? มีซูสีไทเฮาผู้ชายว่าการอยู่หลังม่านยังงี้ บ้าบอที่สุด !!!!) 

พอเข้าสู่รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ซึ่งขึ้นครองราชย์ เมื่อ วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2411 โดยในขณะนั้น พระองค์มีพระชนมายุเพียง 15 พรรษา จึงได้แต่งตั้ง ‘สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค)’ เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และกลุ่มผู้สำเร็จราชการได้ตั้ง พระองค์เจ้ายอดยิ่งยศฯ โอรสของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ ขึ้นเป็น ‘กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ’ ซึ่งในตอนนั้นวังหน้ายังมีความสัมพันธ์สนิทสนมกับ ‘ร้อยเอก น็อกซ์’ กงสุลอังกฤษลูกจ้างเก่าเป็นอย่างดี 

มาถึงจุดหลักของเรื่องราวนี้ ในกาลที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงบรรลุนิติภาวะสามารถว่าราชการด้วยพระองค์เองได้แล้วประมาณ 2 ปี ก็มีมือดีทิ้ง ‘บัตรสนเท่ห์’ (จดหมายไร้ชื่อคนส่ง) เตือนให้วังหน้าระวังตัว เพราะว่ากำลังจะถูกลอบปลงพระชนม์ !!!! บรรดาขุนนางวังหน้าก็บ้าจี้ เชื่อตามจดหมายเปิดผนึกฉบับนั้น ก็เลยเร่งเกณฑ์ผู้คน ทั้งข้าทาสบริวาร ทั้งทหารและพลเรือนจากทั่วสารทิศเข้ามาเตรียมพร้อม 

ฝ่ายวังหลวงพอเห็นแบบนั้น ก็ไม่ไว้ใจสถานการณ์เหมือนกัน เลยเตรียมกำลังไว้เงียบๆ เหมือนกัน (คุณพร้อมผมก็พร้อมว่างั้นเถอะ) แต่จะเงียบยังไง ฝ่ายวังหน้าก็รู้จนได้ และแล้วการเผชิญหน้าของทั้งสองฝ่ายก็เกิดขึ้นกันอย่างเปิดเผย จากบัตรสนเท่ห์แผ่นเดียวกำลังจะทำให้บ้านเมืองลุกเป็นไฟซะแล้ว 

ในช่วงที่สถานการณ์ไม่น่าไว้วางใจ ก็ได้เกิดเหตุการณ์ที่เหมือนเป็นฟางเส้นสุดท้ายตามความเชื่อของคนเสี้ยมและคนโดนเสี้ยม คือในคืนหนึ่งได้เกิดเพลิงไหม้ขึ้นในพระบรมมหาราชวัง ใกล้กับตึกเก็บดินระเบิดและอาวุธต่างๆ เคราะห์ดีมากที่มีผู้พบเห็นเสียก่อนและดับไฟได้ทัน หากลุกลามลุกไหม้ไปนอกจากจะสร้างความเสียหายจากการระเบิดเพราะดินดำ ก็อาจจะลามขึ้นไปห้องเก็บพระมหาพิชัยมงกุฎและสมบัติล้ำค่าของแผ่นดินอื่นๆ ทั้งยังอาจจะก่อให้เกิดอันตรายต่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวด้วย

เมื่อเหตุการณ์รุนแรงถึงขั้นนี้ กรมพระราชวังบวรฯ ก็ร้อนตัว (ซึ่งจริงๆ ยังไม่รู้เลยว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นเพราะอะไร? จะร้อนตัวเพื่อ?) ก็เกรงจะเกิดภัยกับพระองค์ (ขุนนางของพระองค์นั่นแหละเสี้ยมจนเรื่องไม่จริงจะกลายเป็นเรื่องจริงอยู่แล้ว) จึงเสด็จลี้ภัยไปที่บ้านกงสุลอังกฤษทันที ตรงนี้แหละเป็นจุดสำคัญ เพราะนี่คือโอกาสที่เปิดช่องให้ 2 กงสุล คืออังกฤษและฝรั่งเศสถือโอกาสสอดแทรกเข้ามาเพื่อหยิบยื่นความหวังดีประสงค์ร้ายแทบจะในทันที โดยเฉพาะอังกฤษ 

โดยชาติตะวันตกเสนอให้แบ่งประเทศสยามออกเป็นส่วนๆ จะได้ไม่ต้องทะเลาะกัน (ตูจะทะเลาะกันเอง พวกเอ็งยุ่งอะไรด้วยฟะ?) คนที่ถูกใจเรื่องนี้ ก็คงจะเป็นไอ้คนทิ้งบัตรสนเท่ห์และไอ้พวกนักเสี้ยมนั่นแหละ (คล้ายๆ กับปัจจุบันไหมคุณว่า) และไม่เพียงแค่นำเสนอความคิด แต่อังกฤษยังทะลึ่งมีใบบอกไปถึงผู้สำเร็จราชการเมืองสิงคโปร์ให้เข้ามาช่วยเจรจา (มาเจรจาอะไร?) โดย ‘เซอร์แอนดรูว์ คลาร์ก’ ผู้สำเร็จราชการสิงคโปร์ ได้เดินทางเข้ามาแทบจะทันที 

แต่ตรงนี้ผมคงต้องกราบแทบฝ่าละอองธุลีพระบาทองค์ในหลวงรัชกาลที่ 5 ไว้หนึ่งคำรบ เพราะพระองค์ไม่ปล่อยให้ เซอร์แอนดรูว์ คลาร์ก ได้ไปยุ่งเหยิงอะไรกับเรื่องการแบ่งเค้กเมืองสยาม พระองค์ชิงจัดการต้อนรับผู้สำเร็จราชการอย่างสมเกียรติและได้พูดคุยอย่างเปิดเผยเป็นกันเอง ก่อนปิดท้ายด้วยการรับสั่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า “กรณีนี้เป็นเพียงความขัดแย้งในราชตระกูล พระองค์สามารถจัดการเองได้” (ชาติอื่นไม่น่าจะต้องมายุ่งว่างั้น) 

พอจัดการเรื่องของ ‘เซอร์แอนดรูว์ คลาร์ก’ เรียบร้อยแล้ว ทรงวิตกว่าเรื่องจะลามต่อไปอีก จึงส่งเรือเร็วไปรับ ‘สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค)’ ผู้ใหญ่ของแผ่นดิน ซึ่งเกษียณจากตำแหน่งผู้สำเร็จราชการไปพักอยู่ที่บ้านสวนราชบุรี ให้เข้ามาปรึกษาเพื่อช่วยกันแก้ไขสถานการณ์ โดยสมเด็จเจ้าพระยาฯ ก็ไม่รอช้า ไปเข้าเฝ้าฯ กรมพระราชวังบวรฯ พร้อมด้วยพระราชหัตถเลขาของในหลวงรัชกาลที่ 5 ซึ่งมีข้อแสดงความจริงใจในพระราชหฤทัยถึง ‘กรมพระราชวังบวรสถานมงคล’ ความว่า... 

‘LISA’ พาเพลง ‘LALISA’ คว้า ‘Best K-Pop’ จากงาน ‘2022 MTV Europe Music Awards’

ต้องบอกว่างานประกาศรางวัล MTV Europe Music Awards หรือ MTV EMA ปีนี้ที่เมืองดุสเซลดอร์ฟ ประเทศเยอรมนี จัดขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ตามเวลาท้องถิ่นซึ่งช้ากว่าไทยเรา 6 ชั่วโมง ศิลปินเคป็อปจากเกาหลีใต้ผงาดกวาดกันไปหลายรางวัลกันเลย

เริ่มจาก 4 สาว ‘แบล็กพิงก์’ (BLACKPINK) พวกเธอผ่านเข้าชิง 4 สาขาซึ่งมากที่สุดในบรรดาศิลปินกลุ่มปีนี้ และสมหวังคว้าไปได้ 2 รางวัลนั่นคือรางวัล Best K-Pop แก่ ‘ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล’ (Lisa) สมาชิกชาวไทยและน้องเล็กของวง ที่สร้างประวัติศาสตร์กวาดรางวัลนี้ทั้งเวที MTV EMA และ MTV VMA ที่สหรัฐฯ เมื่อเดือนสิงหาคม และเป็นศิลปินเดี่ยวเคป็อปในรอบ 10 ปี ที่คว้ารางวัลเวทีนี้ถัดจาก ‘ไซ’ (Psy) เจ้าของเพลง Gangnam Style

นอกจากนี้ BLACKPINK ยังคว้ารางวัล Best Metaverse Performance จากผลงาน BLACKPINK X (PUBG) 2022 In-Game Concert: [The Virtual] ซึ่งพวกเธอคว้ารางวัลเดียวกันนี้ได้ที่งาน MTV VMA ที่สหรัฐก่อนหน้านี้ด้วย

BZ4X รถ EV คันแรกจากค่ายโตโยต้า พร้อมบุกตลาดไทย ในราคาเปิดตัว 1,836,000 บาท

โตโยต้า ไม่ยอมน้อยหน้าค่ายอื่น เปิดศึกชิงพื้นที่รถอีวี ด้วยการเปิดตัว Toyota bZ4X รถที่ใช้พลังงานไฟฟ้าล้วน 100 % คันแรกของค่าย 

BZ4X เป็นรถแนว SUV ขับเคลื่อน 4 ล้อ 4WD กับขุมกำลัง 218 แรงม้า แรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 337 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ของรถ เร่งแรงได้ดั่งใจ เหยียบ 0-100 กม. ได้ภายใน 6.9 วินาที วิ่งได้ระยะทางสูงสุด 411 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง กับแบตเตอรี่ Lithium-ion ความจุ 71.4 kWh รองรับการชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสสลับ AC สูงสุด 6.6 kW และการชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสตรง DC สูงสุด 150 kW นั่นทำให้การใช้ Fast Charge อัดประจุจาก 0 – 80% ได้ภายในเวลา 30 นาที  

แบตเตอรี่ลูกนี้ ทางค่ายโตโยต้า ก็ได้เคลมไว้ว่า สามารถเก็บประจุไฟได้มากถึง 90% แม้จะใช้งานไปแล้วมากกว่า 10 ปีก็ตาม นอกจากนี้แบตเตอรี่ก็ยังมีฉนวนหุ้มระบบไฟฟ้าแรงดันสูงกันน้ำถึง 3 ชั้น และระบบล็อคที่ข้อต่อสายไฟ 2 ชั้น ทำให้ผู้ขับขี่สามารถขับลุยไปได้อย่างปลอดภัย

พวงมาลัยเป็นพาวเวอร์ไฟฟ้าหุ้มหนัง EPS (Electric Power Steering) รัศมีวงเลี้ยวแคบสุดที่ 5.7 ม. ปรับระดับได้ 4 ทิศทาง สูง-ต่ำ และใกล้-ไกล รวมทั้งเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ผู้ขับขี่ด้วย ปุ่มควบคุมเครื่องเสียงที่พวงมาลัย

ส่อง BMW i7 xDrive60 M Sport รถคันหรูคู่ควรผู้นำระดับโลก เตรียมรับ-ส่ง ผู้นำประเทศที่เข้าร่วมประชุมเอเปค 2022

BMW ส่งมอบรถยนต์ซีดานพรีเมียมไฟฟ้ารุ่นล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวในประเทศไทย บีเอ็มดับเบิลยู i7 xDrive60 M Sport (First Edition) จำนวน 21 คัน ในฐานะโมบิลิตี้ พาร์ตเนอร์สำหรับการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค 2022 อย่างเป็นทางการ เพื่อใช้ต้อนรับและอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคในช่วงระหว่างการประชุมการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค (APEC Economic Leaders' Meeting 2022: AELM 2022) ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 18-19 พฤศจิกายน 2565 นี้ 

เราลองมาดูรถคันนี้กันดีกว่า ว่า BMW รุ่นนี้มีอะไรเด็ด ถึงขั้นถูกใช้เป็นพาหนะหลักในการต้อนรับผู้นำเอเปค 

BMW i7 สะท้อนวิสัยทัศน์การเป็นผู้นำ ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ 2 ตัว พละกำลังสูงสุด 552 แรงม้า ที่ 5,000 – 12,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 745 นิวตันเมตร ที่ 0-5,000 รอบ/นาที ทำงานร่วมกันขับเคลื่อน 4 ล้อ xDrive แบตเตอรี่ Lithium-ion ขนาด 101.7 kWh มอเตอร์ไฟฟ้าด้านหน้า มีกำลัง 262 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 365 นิวตันเมตร มอเตอร์ด้านหลัง มีกำลัง 317 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 380 นิวตันเมตร ชาร์จไฟจนเต็ม วิ่งไกล 625 กิโลเมตร

ระบบชาร์จพลังงานไฟฟ้า รองรับการชาร์จด้วยหัวชาร์จแบบ Type 2 / CCS Combo กระแสสลับ AC สูงสุด 11 kW / กระแสตรง DC Fast Charging 195 kW หรือ จาก 10-80% ใช้เวลา 34 นาที หรือ ชาร์จ 10 นาที วิ่งได้ไกล 170 กิโลเมตร อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใน 4.7 วินาที ความเร็วสูงสุด 240 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

‘รุสลัน เจ๊ะมะ’ จากมหาบัณฑิต สู่ ‘เกษตรกร’ สายผสมผสาน แสวงสุขที่แท้จริง ตามรอยหลัก ‘เศรษฐกิจพอเพียง’ 

อย่างที่เราทราบกันดี ‘เศรษฐกิจพอเพียง’ เป็นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชดำรัสชี้แนะแนวทางการดำเนินชีวิตแก่พสกนิกรชาวไทย 

ซึ่งแนวคิดนี้ตั้งอยู่บนรากฐานของวัฒนธรรมไทย เป็นทางสายกลางที่เหมาะสมกับการยึดถือในการดำเนินชีวิต โดยมีหลักความไม่ประมาท คำนึงถึงความพอประมาณ ความมีเหตุผล การสร้างภูมิคุ้มกันในตัวเอง ตลอดจนใช้ความรู้และคุณธรรม เป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิต ที่สำคัญจะต้องมี ‘สติ ปัญญา และความเพียร’ ซึ่งจะนำไปสู่ ‘ความสุข’ ในการดำเนินชีวิตอย่างแท้จริง

แน่นอนว่า พระองค์ไม่ได้พระราชทานปรัชญานี้สำหรับคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคนชนชั้นใด ก็สามารถประยุกต์เอาหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ในชีวิตได้

เช่นเดียวกันกับ ‘รุสลัน เจ๊ะมะ’ อดีตเยาวชนสานใจไทยสู่ใจใต้ รุ่นที่ 1 ชาว อ.บันนังสตา จ.ยะลา ผู้มีความเชื่อมั่นต่อปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 แม้ว่าเขาจะจบการศึกษา มหาบัณฑิตด้านนิติศาสตร์อิสลาม จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติมาเลเซีย แต่เขาก็กลับมาที่ประเทศไทย ซึ่งเป็น ‘บ้านเกิด’ เพื่อทำเกษตรผสมผสานตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง

“เคยมีคนถามเยอะเลยครับว่าเรียนจบสูง ทำไมไม่ทำในด้านที่จบมา ผมก็เลยบอกว่า บางคนถนัดไปเรียนด้านนี้ แต่กลับมาทำด้านอื่นได้ เพราะว่า ความรู้ที่ได้มา ก็เอามาทำในส่วนนี้ก็ได้เหมือนกัน”

หาก ‘รุสลัน’ เลือกที่จะทำงานตามสายที่จบมา เขาอาจจะได้มีโต๊ะนั่งทำงานที่สบายกว่านี้ แต่เขากลับเลือกที่จะเดินตามพระประสงค์ของพระเจ้าที่เขาศรัทธาและเดินเข้าสวนเกษตรที่เป็นมรดกตกทอดจากพ่อของเขา 

“ผมจบนิติศาสตร์อิสลามที่ประเทศมาเลเซียครับ เมื่อประมาณ 4-5 ปีที่แล้ว ส่วนตอนนี้ก็ทำสวน เป็นเกษตรกร ใช้เศรษฐกิจพอเพียง มีปลูกข้าวโพด ข่า ขมิ้น สัปปะรด และอีกหลายๆ อย่าง เป็นเกษตรผสมผสาน ทำมาประมาณ 2 ปีแล้วครับ”

รอยยิ้มใต้ทะเล คอนโดปะการังระบบนิเวศแห่งใหม่ใต้แท่นขุดน้ำมัน ที่พี่ไทยคิดไว้แล้ว ผ่านแนวคิด 'ทะเลเพื่อชีวิต'

ระบบนิเวศแห่งใหม่ด้วยแท่นขุดน้ำมันที่ปลดประจำการแล้ว เปลี่ยนแท่นขุดน้ำมันสู่บ้านหลังใหม่ของสิ่งมีชีวิตทางทะเล

'บ้านหลังใหม่ของเหล่าสัตว์ทะเล' สร้างระบบนิเวศแห่งใหม่ด้วยการเปลี่ยนแท่นขุดน้ำมันเป็นปะการังเทียมให้เหล่าน้อง ๆ 

ส่วนใหญ่คนมักจะคิดว่าแท่นขุดเจาะน้ำมันเป็นเหมือนกับปราสาทของเหล่าตัวร้ายจากในการ์ตูนหรือหนัง เพราะคนยังติดภาพจำที่ว่าแท่นขุดเจาะน้ำมันเหล่านี้อาจจะไปสร้างทับบ้านของเหล่าน้อง ๆ สัตว์ทะเลหรือไม่ก็ทำให้ระบบนิเวศในบริเวณนั้นเกิดความเสียหาย

แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ถ้าจะบอกว่าแท่นขุดน้ำมันเหล่านี้มันถูก ‘คิดค้น’ มาเพื่อเป็นบ้านของสิ่งมีชีวิตทางทะเลด้วยนะ

เรื่องมันเป็นอย่างนี้ เมื่อประมาณ 2 อาทิตย์ก่อนผมได้ไปเจอเข้ากับวิดีโอตัวหนึ่งในยูทูป เขาเล่าเกี่ยวกับเรื่องของโครงการ 'Rigs-to-Reef' หรือการเปลี่ยนแท่นขุดเจาะที่ปลดประจำการแล้วให้กลายเป็นปะการังเทียมเพื่อให้สิ่งมีชีวิตทางทะเลได้เข้ามาตั้งรกรากใต้แท่นขุดเจาะ

แล้วมันมีข้อดีอะไรหลาย ๆ คนอาจจะสงสัย เพราะถ้าพูดถึงของเทียมมันก็ต้องดีไม่เท่าของแท้อยู่แล้ว แต่ผมบอกเลยว่าไม่ใช่แบบนั้นถึงจะขึ้นชื่อว่าปะการังเทียมแต่จริง ๆ แล้วมันมีข้อดีมากกว่าปะการังแท้ ๆ อีกนะ ก็อย่างเช่น ...

เศษซากคณะราษฏร มายาคติแห่งความก้าวหน้า ที่ใช้สถาบันมา ‘ย่ำยี’ สืบทอด ‘ร่างทรง’ จนประเทศชาติยากจะไปต่อ

จริง ๆ เรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องที่เอามาเล่าในช่วงประมาณเดือนมิถุนายนหรือในช่วงใกล้วันรัฐธรรมนูญ แต่เอาเข้าจริง ๆ หยิบมาเล่าทวนความสักหน่อยก็น่าจะดี เรื่องของ ‘คณะราษฎร’ ที่มีหลายกลุ่มหัวก้าวหน้ายึดถือเป็นไอดอล และทำทุกอย่างเพื่อจะสานต่อปณิธานของคนกลุ่มนี้ โดยเฉพาะเรื่องของการล้มล้างระบอบพระมหากษัตริย์และยึดทรัพย์สินของพระองค์มาเป็นของพวกพ้องตัวเองโดยวิธีสร้างเรื่องปลอม ๆ ตลอดเวลา ช่างก้าวหน้าจริง ๆ 

คณะราษฎรเริ่มต้นด้วยกลุ่มนักเรียนหัวนอกรุ่นก่อตั้ง 7 คน ที่กรุงปารีส นำโดยนายปรีดี พนมยงค์ อันนี้หลาย ๆ ท่านคงทราบแล้ว ผสมกับทหารหัวนอกจากเยอรมันนำโดยเชษฐบุรุษ พระยาพหลพลพยุหเสนา และ พระยาทรงสุรเดช ผู้เป็นมันสมองหลักในการจัดการกำลังพล

เขาบอกกันว่าหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ที่เขาว่ามันคือประชาธิปไตย เอาเข้าจริงๆ แล้วมันคือการปกครองแบบคณาธิปไตยที่ใช้การเลือกตั้งแบบปลอม ๆ จัดตั้งขึ้นมา ส่วนอำนาจจริง ๆ อยู่ในกลุ่มบุคคลเพียงไม่กี่คนผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันขึ้นมาใช้

ซึ่งหากไม่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี 2475 ไม่นานสยามก็จะต้องมีรัฐธรรมนูญ และมีการเลือกตั้งเช่นกัน เพราะโลกเปลี่ยนไป ทัศนคติของคนเปลี่ยนไป ซึ่งตามประวัติศาสตร์ที่บันทึกไว้ ก็ชี้ชัดว่าสยามใกล้จะมีรัฐธรรมนูญแล้ว โดยไม่ต้องมีการใช้กำลัง เพียงแต่พวกที่กลัวจะตกขบวนรถไฟ ชิงกระทำการก่อนเพื่อให้พวกตนได้กุมอำนาจ พอได้อำนาจแล้วทำอะไรต่อมาติดตามกัน 

ถ้าไม่มีคณะราษฎร...ประเทศไทยคงไม่ต้องสูญเสียกษัตริย์ ถึง 2 พระองค์... รัชกาลที่ 7 คงไม่ต้องเสด็จฯ ต่างประเทศและสวรรคตที่นั้น และ รัชกาลที่ 8 คงไม่ต้องสวรรคต เพราะการลอบปลงพระชนม์ ที่เกิดจากการแก่งแย่งชิงดีในทางการเมืองของคณะราษฎรและการที่กลุ่มบุคคลที่ไม่แน่ใจว่าจะเรียกอะไรดี เพราะชื่อมันเยอะเหลือเกิน แต่ที่รู้ ๆ บูชาคณาจารย์ที่เรียกกลุ่มว่ากลุ่มนิติราษฎร พยายามใส่ร้าย ร.9 ในกรณีการลอบปลงพระชนม์นั้นก็เพราะต้องการทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์และคืนชีพ ‘คณะราษฎร’ จึงดำเนินการเสี้ยมในทุก ๆ ทาง โดยเฉพาะกรณีการเรียกร้องให้ยกเลิก ม.112 อย่างข้าง ๆ คู ๆ แล้วเรียกหรู ๆ ใหม่ว่า ‘การปฏิรูป’

กลับมาที่หลัง 24 มิถุนายน 2475  ที่คณะราษฎร ยึดอำนาจ (การปกครอง) จากรัชกาลที่ 7 เสร็จแล้วก็พยายามจะตามมายึดพระราชทรัพย์ เพราะเพิ่งรู้ว่ารัฐไทยขณะนั้นยากจน เพราะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก บีบคั้นพระองค์ท่านจนสละราชสมบัติ ในพ.ศ.2477สละราชสมบัติได้เดี๋ยวเดียว รัฐบาลก็รีบหาทางจัดการทรัพย์สินของพระมหากษัตริย์ โดยมุ่งจะยึดเอา ‘พระคลังข้างที่’ 

โดยออกเป็นกฎหมายชื่อว่า ‘พระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พุทธศักราช 2479’ และเริ่มใช้บังคับตั้งแต่ 15 มิถุนายน 2479 เป็นต้นมา พ.ร.บ.ฉบับนี้ ได้แยกทรัพย์สินหรือสิทธิ ออกเป็นสองส่วนคือ ‘ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์’ .. ‘ทรัพย์สินส่วนพระองค์’ และ ‘ทรัพย์สินส่วนสาธารณะสมบัติของแผ่นดิน’ เอาจริง ๆ ก็ก่อนหน้าปฏิวัติ ในหลวงรัชกาลที่ 5 ท่านแยกไว้แล้วว่าอันไหนทรัพย์ส่วนพระองค์ อันไหนทรัพย์ของแผ่นดิน แต่คณะราษฎรเขาไม่แคร์

หลังจากออก พรบ. นายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งเป็นรัฐมนตรีคลังในขณะก็ตั้งกรรมการขึ้นมาตรวจสอบบัญชีพระคลังข้างที่แล้วพบว่าเงินหายไปหลายรายการ เอาจริง ๆ นะครับ ‘พระคลังข้างที่’ นั่นมันเป็นเงินของพระองค์ พระองค์จะเอาไปใช้ทำอะไรมันก็เรื่องของพระองค์ ซึ่งก็ปรากฏว่า เป็นการไปซื้อประกันภัย และเป็นเงินฝากในต่างประเทศตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5

รัฐบาลของฝ่ายผู้ก่อการได้ยื่นฟ้อง พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นจำเลยที่ 1 และสมเด็จพระนางเจ้า รำไพพรรณี เป็นจำเลยที่ 2 ให้ชดใช้เงินแก่กระทรวงการคลัง เป็นจำนวนทั้งสิ้น 6,272,712 บาท 92 สตางค์และขอให้ศาลยึดทรัพย์ของจำเลยไว้ (วังศุโขทัย) ศาลไม่อนุมัติ รัฐมนตรี ก็สั่งย้ายอธิบดีศาลแพ่งไปเสีย แล้วให้หลวงกาจสงคราม (นายพลตุ่มแดง) นำหมายศาลไปปิดและยึดทรัพย์ในวังศุโขทัย ในที่สุดศาลก็มีคำสั่งให้รัชกาลที่ 7 เป็นฝ่ายแพ้คดี (พิพากษาหลังสวรรคต) รัฐบาลสั่งยึดทรัพย์และขายทอดตลาดวังศุโขทัย แต่ขายไม่ได้ สุดท้าย กระทรวงสาธารณสุขมาเช่าใช้ จน พ.ศ. 2493 แต่สุดท้ายทางการก็ได้ถวายวังศุโขทัยคืนแด่สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีเพื่อเป็นที่ประทับต่อไป

ยังไม่รวมกรณีหลังจากที่นายปรีดีเป็นผู้สำเร็จราชการอีกหลายกรณี จนกระทั่งอำนาจเปลี่ยนมือมาสู่คณะราษฎรสายทหาร จอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งท่านผู้นี้คือไอดอลของเด็กอ้วน 3 นิ้ว อันมีวีรกรรมที่แจกแจงได้อย่างสนุก อย่างแรกคงต้องพุ่งเป้าไปที่การสร้างสัญลักษณ์ของตนเทียมอย่างเจ้า มีคฑาตราไก่ของตนเอง นำรูปของตนและภรรยาขึ้นเป็นรูปเคารพแทนพระมหากษัตริย์ พยายามสร้างตำแหน่งใหม่อย่าง สมเด็จเจ้าพญาชาย สมเด็จเจ้าพญาหญิง ซึ่งเป็นระบบฐานันดรที่คณะพวกเขาบอกว่าไม่ดี แต่ก็ทำซะเอง !!!! 

ข้อควรรู้ ‘ขับขี่มือใหม่’ สายพลังงานสะอาด ‘ชาร์จ’ รถ EV ต้องทำแบบนี้ ‘ปลอดภัย-ไฟแรง’

ปัจจุบันระบบนิเวศของยานยนต์ไฟฟ้า EV ได้เริ่มไหลเวียนเข้ามาสู่ชีวิตประจำวันของผู้คนอย่างเรา ๆ ได้ใช้งานมากขึ้นเรื่อย ๆ

แต่อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องตระหนักไม่น้อยไปกว่าเฟสของ ‘การใช้งาน’ ในผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ในตลาด เช่น ตัวรถยนต์ มอเตอร์ แบตเตอรี่ หรือแม้แต่ที่ชาร์จ ก็คือ เรื่องของมาตรฐานของห่วงโซ่ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับ EV

ไม่นานมานี้ ท่านสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ก็สั่งเดินหน้าขับเคลื่อนนโยบาย EV อย่างต่อเนื่อง โดยเร่งรัดให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) นำมาตรฐานแบตเตอรี่ไฟฟ้า ทั้งมอเตอร์ไซค์ และรถยนต์ รวมทั้งสถานีชาร์จ เสนอบอร์ดเพื่อขอความเห็นชอบในการบังคับใช้มาตรฐาน โดยกำหนดให้เป็นสินค้าควบคุมเพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค

สาระสำคัญที่น่าสนใจในเฟสนี้ คงอยู่ที่เรื่องของพลังงานเสียมาก โดยเฉพาะในส่วนของสถานีชาร์จ หรือแม้แต่ที่ชาร์จตามบ้าน ซึ่งหากใช้อย่างไม่รู้เท่าทัน แทนที่รถยนต์ไฟฟ้าจะช่วยปันเงินส่วนต่างที่แพงหูฉี่จากน้ำมันมาเข้ากระเป๋า อาจทำให้เราต้องควักเงินเพิ่มเพื่อไปดูแล อุปกรณ์เกี่ยวเนื่องต่อการใช้งานอีวีนั้น ๆ ก็เป็นได้

วันนี้ ผมเลยถือโอกาสแนะแนวทางการชาร์จแบตฯ รถยนต์ไฟฟ้าที่ควรรู้สำหรับทุกท่านที่เริ่มเข้าสู่สังคมพลังงานสะอาด 100% กันสักเล็กน้อยครับ 

สำหรับการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้านั้น หลัก ๆ ก็จะมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 3 แบบ คือ…

>>การชาร์จแบบธรรมดา (Normal Charge)
เป็นการชาร์จไฟฟ้าจากตัวเต้ารับโดยตรง และเต้ารับต้องติดตั้งใหม่เฉพาะการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น โดยเป็นการใช้ไฟบ้านที่เป็นกระแสสลับ (AC) ใช้ระยะเวลาในการชาร์จประมาณ 12 ถึง 16 ชั่วโมง

Swap & Go เปลี่ยนแบตฯ ‘ทันใจ-ไม่ต้องชาร์จ’ ตอบโจทย์ไรเดอร์สายพันธุ์ใหม่ หัวใจอีวี

แม้ทุกวันนี้กระแสรถยนต์พลังงานไฟฟ้าอีวีจะมาแรงแค่ไหน แต่ก็อย่าลืมว่ารูปแบบพาหนะในเมืองไทยที่หลายคนใช้กันในชีวิตประจำวัน ก็ไม่ได้มีเพียงแค่รถยนต์ 4 ล้อ เท่านั้น หากแต่ยังมีสายไรเดอร์ 2 ล้อ ที่หวังอยากจะมีโอกาสสัมผัสอีวีสองล้อที่ตอบสนองต่อไลฟ์สไตล์การขับขี่แบบไม่สะดุดรวมอยู่ด้วย

อย่างไรก็ตาม ปัญหาเล็ก ๆ ที่อาจจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ในบางเวลาของไรเดอร์ที่หันมาซบสองล้ออีวี คือ ความเร่งรีบที่สวนทางกับความไม่ทันใจในการเติมพลังงานสะอาด 100% นี้ เพราะทุกนาทีในการรอชาร์จ อาจทำให้พวกเขาผิดพลาดหรือหลุดโอกาสจากภารกิจต่างๆ ที่รัดตัวเอาได้ง่ายๆ

ทว่า ปัญหานี้ถูกคลี่คลาย หลังจากไม่นานมานี้ Swap & Go โดย บริษัท สวอพ แอนด์ โก จำกัด บริษัทย่อยของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการเครือข่าย Battery Swapping หรือ การสลับแบตเตอรี่ที่ได้มาตรฐานสากลแก่ผู้ใช้งานรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าแบบไม่ต้องรอชาร์จ ได้กลายคำตอบที่จะช่วยไรเดอร์อีวีได้อย่างชัดเจนขึ้น หลังจาก Swap & Go ได้เปิดให้บริการเหล่าไรเดอร์เปลี่ยนแบตฯ ได้ตลอดวัน 

ส่วนวิธีการใช้งานนั้น ก็ง่ายมากๆ แค่เพียงดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Swap & Go และเชื่อมต่อกับ รถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า เพื่อตรวจสอบปริมาณแบตเตอรี่ จากนั้นก็ค้นหาตำแหน่งของสถานี (ปตท.) โดยในแอปฯ จะมีระบบนำทางเราไปยังสถานีที่อยู่ใกล้ตัวเรามากที่สุด 

โรงรับชำเราบุรุษและนครโสเภณีสมัยอยุธยา อาชีพเสรี ที่ถูกต้องห้ามในโลกปัจจุบัน

จากละครเรื่อง ‘ลายกินรี’ ที่กำลังออกอากาศทางช่องน้อยสีอยู่ในขณะนี้ ละครอิงอยู่ในช่วงรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ที่มีฝรั่งมั่งค่าและชาวต่างชาติมาเผ่นผ่านอยู่เต็มพระนครไปหมด มีสถานที่หนึ่งที่ปรากฏและปรากฏอยู่ในละครอิงประวัติศาสตร์แบบนี้อยู่อย่างเนือง ๆ นั่นก็คือ ‘โรงรับชำเราบุรุษ’ และนครโสเภณี...

‘พระไอยการลักษณะผัวเมีย’ ซึ่งตราขึ้นใน พ.ศ.1904 สมัยพระเจ้าอู่ทอง ปฐมกษัตริย์ของกรุงศรีอยุธยา มีกล่าวถึงหญิงนครโสเภณี ซึ่งแสดงว่ามีการค้าประเวณีเกิดขึ้นก่อนหน้านั้นแล้ว ว่ากันว่า คำว่า ‘นครโสเภณี’ นี่เองที่เป็นที่มาของคำว่า ‘หญิงงามเมือง’ เพราะโดยรากศัพท์แล้ว ‘โสเภณี’ แปลว่า ‘หญิงงาม’ ส่วน ‘นคร’ แปลว่า ‘เมือง’ รวมความว่าเป็นหญิงงามเมือง โดยอ้างกันว่ามีที่มาจากอินเดีย แต่หญิงงามเมืองในอยุธยาอาจจะไม่ได้โชคดี มีฐานะสูงส่งอย่างหญิงงามเมืองของอินเดียในอดีต ในสมัยอยุธยานั้นยังไม่มีการใช้คำว่า ‘ซ่อง’ แต่เรียกว่า ‘โรงรับชำเราแก่บุรุษ’

ในช่วงกว่าหนึ่งศตวรรษท้ายของอยุธยา ที่การค้ากับต่างชาติเฟื่องฟู ทั้งกับตะวันออก จีน, ญี่ปุ่น, ฟิลิปปินส์, ตังเกี๋ย และกับตะวันตก ฮอลันดา, อังกฤษ, ฝรั่งเศส, แขกมัวร์ และกับรัฐใหญ่น้อยโดยรอบทั้งลาว, กัมพูชา, ล้านนา, มอญ, พะโค, อังวะ, มลายู การค้าและความมั่งคั่งเฟื่องฟูนี้ตรงกับในช่วงรัชสมัยของพระเจ้าทรงธรรม พระเจ้าปราสาททอง และพระนารายณ์ เงินทองที่สะพัด ผู้คนที่มากหน้าหลายตา ธุรกิจเพื่อความสำราญใจก็ขยายตัว อันนี้มีบันทึกไว้ในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับ ‘คำให้การชาวกรุงเก่า’ / ‘คำให้การขุนหลวงหาวัด’ ซึ่งพระเจ้าอังวะได้ให้พระเจ้าอุทุมพรและข้าราชการผู้ใหญ่ของไทยที่ถูกจับเป็นเชลยไปเมื่อคราวเสียกรุงใน พ.ศ.2310 ได้ลำดับเรื่องราวของกรุงศรีอยุธยา จดบันทึกไว้ว่า…

“…มีตลาดบนบกนอกกำแพงพระนครตามชานพระนครบ้าง ตามฝั่งฟากกรุงบ้าง ติดแต่ในรอบบริเวณขนอนใหญ่ทั้ง 4 ทิศ รอบกรุงเข้ามาจนฟากฝั่งแม่น้ำตามกรุง แลชานกำแพงกรุงนั้นด้วย รวมเป็น 30 ตลาดคือ…ตลาดบ้านจีนปากคลองขุนละครไชย มีหญิงนครโสเภณีตั้งโรงอยู่ท้ายตลาด 4 โรง รับจ้างทำชำเราแก่บุรุษ ตลาดนี้เป็นตลาดใหญ่ใกล้ทางเรือแลทางบก มีตึกกว้างร้านจีนมาก ขายของจีนมากกว่าของไทย มีศาลเจ้าจีนศาลหนึ่งอยู่ท้ายตลาด 1”

สรุปคือมี ‘โรงรับชำเราบุรุษ’ ที่ตลาดบ้านจีน ปากคลองขุนละครไชย โดยตั้งอยู่ท้ายตลาด 4 โรง ส่วน ‘คลองขุนละครไชย’ ที่ว่านี้คือ ‘คลองตะเคียน’ อยู่นอกเกาะเมืองทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งถือเป็นบริเวณที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของกรุงศรีอยุธยา เพราะอยู่ใกล้ป้อมเพชร อันเป็นป้อมที่ใหญ่ และสำคัญที่สุดของกรุงศรีอยุธยา เป็นอันว่าเราพอจะรู้แหล่งทำกินของบรรดาหญิงงามเมืองว่าอยู่ในตลาด อย่างน้อยที่สุดก็หนึ่งแห่งในอยุธยา

ซิมง เดอ ลา ลูแบร์ อัครราชทูตชาวฝรั่งเศส ผู้เข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีกับราชอาณาจักรอยุธยา ในช่วงรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้บันทึกความทรงจำเกี่ยวกับราชอาณาจักรสยามไว้ใน ‘จดหมายเหตุ ลา ลูแบร์’ ซึ่งเป็นหนึ่งในจำนวนเอกสารไม่กี่ชิ้นที่ทำให้เราทราบถึงเรื่องราวเกี่ยวกับการค้าประเวณีในราชอาณาจักรอยุธยา โดยมีถ้อยคำที่เกี่ยวข้องเรื่องของหญิงนครโสเภณี ว่า...

“...บรรดาผู้ที่มีบรรดาศักดิ์สูงนั้นหาใช่เจ้าใหญ่นายโตเสมอไปไม่ เช่นเจ้ามนุษย์อัปรีย์ที่ซื้อผู้หญิง และเด็กสาวมาฝึกให้เป็นหญิงนครโสเภณีคนนั้น ก็ได้รับบรรดาศักดิ์เป็น ‘ออกญา’ เรียกกันว่า ‘ออกญามีน’ เป็นบุคคลที่ได้รับการดูถูกดูแคลนมากที่สุด มีแต่พวกหนุ่มลามกเท่านั้นที่จะไปติดต่อด้วย" 

ความอีกตอนหนึ่ง กล่าวถึงเมื่อชายผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวได้สิ้นชีวิตลงซึ่งมีความน่าสนใจ ความว่า…

“.....มรดกจะตกอยู่แก่ภรรยาหลวงทั้งสิ้น แล้วก็ถึงบุตรภรรยาหลวงเป็นผู้ได้รับมรดกจากบิดามารดาโดยเสมอภาคกัน แต่ผู้เป็นภรรยาน้อย หรือบุตรภรรยาน้อยนั้น ผู้เป็นทายาทอาจขายให้ไปเป็นทาสผู้อื่นเสียก็ได้ ส่วนบุตรีที่เกิดแต่ภรรยาน้อย ก็จะถูกขายส่งไปเป็นภรรยาน้อยเขาตามเหล่ากอต่อไป คนที่มีอำนาจวาสนามาก ก็จะเลือกซื้อแต่ที่มีรูปร่างงดงาม โดยไม่คำนึงถึงว่าหญิงสาวนั้นจะเป็นลูกเต้าเหล่าใคร" และที่มาของหญิงนครโสเภณีความว่า.…

“....ถ้าบุตรีคนใดกระทำชั่ว ขุนนางผู้บิดาก็ขายบุตรีส่งให้แก่ชายผู้หนึ่งซึ่งมีความชอบธรรมที่จะเกณฑ์ให้สตรีที่ตนซื้อมานั้นเป็นหญิงแพศยาหาเงินได้ โดยชายผู้มีชื่อนั้นต้องเสียเงินภาษี กล่าวกันว่า ชายผู้นี้มีหญิงโสเภณีอยู่ในปกครองของตนถึง 600 นาง ล้วนแต่เป็นบุตรีขุนนางที่ขึ้นหน้าขึ้นตาทั้งนั้น อนึ่งบุคคลผู้นี้ยังรับซื้อภรรยาที่สามีขายส่งลงเป็นทาสี ด้วยโทษคบชู้สู่ชายอีกด้วย” 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top