Friday, 10 May 2024
NEWSFEED

'BLACKPINK' ปล่อยคลิปซ้อมเต้น 'Pink Venom' ยอดวิวพุ่งกระฉูด 11 ชั่วโมง 11 ล้านวิว

ปังอย่างต่อเนื่องจริง ๆ สำหรับ 4 สาว BLACKPINK ที่เพิ่งปล่อยมิวสิกวิดีโอเพลง 'Pink Venom' ไปเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2565 ที่ผ่านมา ซึ่งสามารถเรียกเสียงฮือฮาจากแฟนคลับและผู้คนที่ติดตามผลงานของสาว ๆ ได้มากมายเลยทีเดียว หลังจากผ่านไปไม่กี่วัน เพลง 'Pink Venom' ก็มียอดวิวพุ่งสูงถึง 183 ล้านวิวแล้วบน YouTube ปังปุริเย่จริง ๆ

ล่าสุด เมื่อวันที่ 24 ส.ค. 65 เวลา 22.00 น. (ตามเวลาไทย) 4 สาว BLACKPINK ก็ได้ปล่อยคลิปวิดีโอซ้อมเต้น เพลง 'Pink Venom' ออกมาให้แฟนๆ ได้ดูและเต้นตามกัน เรียกได้ว่ากระแสตอบรับดีมากๆ โดยเมื่อปล่อยคลิปวิดีโอออกมาแล้ว ภายใน 18 นาทีมียอดวิวพุ่งถึง 1 ล้านวิว และเมื่อผ่านไป 11 ชั่วโมง วิวก็พุ่งขึ้นไปที่ 11 ล้านวิว เรียกได้ว่า ชั่วโมงละ 1 ล้านวิว

สำหรับคลิปวิดีโอซ้อมเต้นที่ปล่อยออกมานี้ แฟนคลับของ BLACKPINK หรือเรียกกันว่า 'BLINK' ก็ได้แสดงความคิดเห็นโดยติด #BLACKPINK บนทวิตเตอร์ ชื่นชมทักษะการเต้นและการแสดงของเมมเบอร์วง BLACKPINK ไปต่างๆ นานา เช่น

- "ละสายตาจากลิซ่าไม่ได้จริงๆ อ่ะ พยายามโฟกัสคนอื่นนะ แต่หางตาจะต้องมีแวบนึงที่มองลิซ่าตลอดเลย คือเป็นผญ.ที่จัดระเบียบร่างกายได้ดีมาก เรื่องอินเนอร์ก็เหมือนกัน อะไรจะขนาดนั้นวะผญ.คนนี้"

- "ลิซ่า ชื่อนี้เค้ามาเพื่อสร้างตำนานเท่านั้น!!!"

- "เจนนี่คือคนที่น่ามองมากๆ ยืนยันว่าเป็นคนที่มี sex appeal สูงมาก ขนาดนี่เป็นผู้หญิงยังมองว่าเจนนี่ดึงดูดอ่ะ ไม่ได้เต้นสุดแบบลิซ่า แต่มันสมูทไปหมด"

'นันยาง' ประกาศพรีฯ 'ช้างดาวชมพูดำ' สิ้นเดือนนี้ หลังเพลง 'Pink Venom' ทะลุ 80 ล้านวิวใน 24 ชม.

หลังจากที่ 'นันยาง' ได้ประกาศผ่านโซเชียลมีเดียว่า “ถ้าเพลงใหม่ #BLACKPINK ยอดวิวถึง 80 ล้านใน 24 ชม. จะผลิตช้างดาวสีชมพูดำ”

ล่าสุด 'นันยาง' ก็ได้ประกาศผ่านโซเชียลมีเดียอีกครั้งว่า “ยืนยันแล้ว!! ช้างดาวชมพูดำ พรีออเดอร์ พร้อมกันทั่วประเทศสิ้นเดือนนี้”

'อ้ายมนต์แคน' ครองยอดวิวยูทูบมากที่สุด 2 ปีซ้อน สร้างสถิติใหม่ ยอดวิวเพลงทะลุร้อยล้าน 11 เพลง

มาแรงเกินต้าน ไม่มีแผ่วจริงๆ สำหรับ นักร้องลูกทุ่งรุ่นใหญ่เบอร์ต้นของวงการเพลงลูกทุ่งไทย อย่าง 'มนต์แคน แก่นคูน' ศิลปินจากค่าย 'แกรมมี่ โกลด์' ที่ตอนนี้มียอดรับชมผ่านช่องทาง YouTube สูงสุดในประเทศไทย 2 ปีซ้อน คือในปี 2020 และ 2021

ล่าสุด นักร้องลูกทุ่งรุ่นใหญ่เบอร์ต้นของวงการเพลงลูกทุ่งไทย อย่าง "มนต์แคน แก่นคูน" ก็มีรายชื่อติดโผ เข้าชิงรางวัลงานประกาศรางวัล 'คมชัดลึก ลูกทุ่ง อวอร์ด 2565' ในประเภท 'รางวัลมหาชน' หรือ 'Popular Vote' เข้าชิงสาขา KA6. ลูกทุ่งชาย ขวัญใจมหาชน ที่จะประกาศผลรางวัลในวันที่ 29 กันยายน 2565 นี้ ณ โรงละครเคแบงก์สยามพิฆเนศ สยามสแควร์วันด้วย

นอกจากนี้ยังได้สร้างสถิติใหม่อีกครั้ง กับจำนวนเพลงที่มียอดรับชมเกิน 100 ล้านวิว มากถึง 11 เพลง เรียกว่าน่าจะเป็นสถิติมากที่สุดในประเทศไทย โดยมีการเรียงลำดับจำนวนยอดวิว (ข้อมูลวันที่ 20 สิงหาคม 2565) ที่ผ่านมาดังนี้

1. คำว่าฮักกัน มันเหี่ยถิ่มไส 445 ล้านวิว
2. วอนหลวงพ่อรวย 359 ล้านวิว
3. ยังฮักไผอีกได้บ่ 279 ล้านวิว
4. สัญญาน้ำตาแม่ 255 ล้านวิว
5. ให้เขารักเธอ เหมือนเธอรักเขา 217 ล้านวิว
6. คอยน้องที่ช่องเม็ก 204 ล้านวิว
7. งานแต่งคนจน 201 ล้านวิว
8. เจ้าตั๋วว่าฮักอ้าย 161 ล้านวิว
9. อ้ายฮักเขา ตอนเจ้าบ่ฮัก MV 160 ล้านวิว
10. อ้ายฮักเขา ตอนเจ้าบ่ฮัก Lyric 124 ล้านวิว
11. อ้ายมาส่งทาง 100 ล้านวิว

5 ประเทศสุดอันตรายต่อกลุ่มนักท่องเที่ยว LGBTQ+ ฟาก 'แคนาดา' ยืนหนึ่ง สวรรค์ของกลุ่มหลากเพศ

การวัดว่าประเทศไหนเป็นมิตร หรือไม่เป็นมิตรกับกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศนั้น มีการใช้หลาย ๆ ปัจจัยมาเป็นเกณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายคู่ชีวิต หรือกฎหมายอื่น ๆ สำหรับผู้มีความหลากหลายทางเพศ ความเป็นมิตรของผู้คนในประเทศนั้นต่อ LGBTQ+ รวมไปถึงการให้ความสำคัญกับกิจกรรมหรืออีเวนต์ Pride ต่าง ๆ ในประเทศนั้น

สำหรับประเทศที่เป็นมิตรกับผู้มีความหลากหลายทางเพศเป็นอันดับหนึ่ง ก็คือ 'แคนาดา' เป็นสิ่งที่แทบไม่ต้องคิดเลย ด้วยภาพลักษณ์ต่าง ๆ ของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายอนุญาตให้คนเพศเดียวกันแต่งงานได้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2005 รวมไปถึงผู้นำที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่าสนับสนุนความหลากหลายทางเพศ รวมไปถึงงานอีเวนต์ Pride ที่มีกว่า 25 งาน ก็เป็นสิ่งที่ยืนยันว่าทำไมแคนาดาถึงเป็นประเทศในฝันของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ

แต่ในมุมที่สวยงาม ก็ยังมีมุมที่โหดร้ายดำรงอยู่เช่นเดียวกัน แม้ว่าปัจจุบันจะมีการยอมรับความหลากหลายทางเพศมากขึ้น เพราะว่าถือเป็นสิทธิมนุษยชน รวมไปถึงทุกคนล้วนเป็นมนุษย์เหมือนกัน แต่ยังมีอีกหลาย ๆ ประเทศที่ไม่ได้เห็นพ้องเช่นนั้น ยังมีกฎหมายที่ไม่เอื้อต่อการดำรงชีวิตของผู้มีความหลากหลายทางเพศ รวมไปถึงการไม่ยอมรับ 

สำหรับประเทศที่อันตรายที่สุดสำหรับกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีความหลากหลายทางเพศ 5 อันดับมีดังนี้

เริ่มต้นที่ประเทศ 'ไนจีเรีย' ที่ตั้งอยู่ศูนย์กลางของแอฟริกา เป็นประเทศที่อันตรายเป็นอันดับหนึ่ง เพราะว่าหากใครเป็น LGBT ในประเทศนี้มีบทลงโทษโดยการจำคุกถึง 14 ปี เพราะเป็นประเทศที่ใช้กฎหมายชารีอะห์ที่ไม่สนับสนุนสิทธิในการมีความหลากหลายทางเพศ แม้แต่การอภิปรายหรือแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องของความหลากหลายทางเพศ ก็เป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย การแต่งงานของเพศเดียวกันก็เป็นความผิด โดยมีการร่างเป็น พรบ. ขึ้นในปี ค.ศ. 2013 รวมไปถึงยังมีการใช้ความรุนแรงกับบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศด้วย

ตามมาด้วย 'กาตาร์' ซึ่งเป็นประเทศที่ผลิตน้ำมันได้เป็นอันดับที่ 11 ของโลก สำหรับกาตาร์ก็มีการใช้กฎหมายชารีอะห์เช่นเดียวกัน นอกจากการเป็น LGBTQ+ ในประเทศนี้จะมีโทษจำคุกแล้ว ยังถูกลงโทษด้วยการใช้ความรุนแรงอีกด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้ถูกตราเป็นกฎหมายที่ใช้กับคนรักเพศเดียวกัน เคยมีนักท่องเที่ยวที่ต้องการเดินทางไปยังประเทศกาตาร์ แต่ถูกสงสัยว่าเป็นกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ เมื่อถูกตรวจสอบก็ถูกส่งกลับทันทีโดยรัฐบาล

สำหรับอีกหนึ่งประเทศที่ถือว่าเป็นประเทศมุสลิมที่ค่อนข้างหัวโบราณ ความหลากหลายทางเพศจึงไม่เป็นที่ยอมรับเช่นเดียวกัน ก็คือ 'เยเมน' บทลงโทษของเกย์ไม่ว่าจะเป็นชายรักชาย หรือหญิงรักหญิง ก็จะมีตั้งแต่จำคุก ไปจนถึงใช้ความรุนแรง หรือการประหารชีวิตโดยการปาหิน คนรักเพศเดียวกันในประเทศนี้จะถูกปฏิเสธทั้งในแค่ของหน้าที่การงาน และการปฏิบัติจากสังคมด้วย

‘เอ็ม’ แจงสายบูลลี่!! ทำไมหม่ำทำศัลยกรรม เหตุหนังตาตก บดบังทัศนียภาพจนมองไม่ชัด

หลังจากที่ ‘หม่ำ จ๊กมก’ ยอมขึ้นเขียงทำศัลยกรรมตาครั้งแรกในชีวิตแล้ว พร้อมเปิดภาพให้สาธารณชนได้เห็น ล่าสุด ลูกสาว ‘น้องเอ็ม’ บุษราคัม ก็โพสต์ข้อความผ่านอินสตาแกรมส่วนตัว @emmeemm ระบุว่า...

เห็นข่าวประโคมกันเยอะมาก ว่าพ่อไปเสริมหล่อ …

หลายคนก็ต่างคอมเม้นกันสนุกปาก สนุกใจ สนุกอุรา ลามไปถึง bully, mocking, bragging ต่าง ๆ นานา

เอาจริง ๆ แอบสงสารพ่อนะคะ!!!

ที่พ่อยอมไปทำศัลยกรรมผ่าตัดครั้งใหญ่ในชีวิตมันเป็นเพราะตัวของพ่อเองทนไม่ไหว ใช้ชีวิตลำบากแล้วนั่นเอง เอ็มและแม่เคยรบเร้าให้พ่อไปทำ เพราะสงสารพ่อมาก ๆ

วันนี้เลยอยากจะพิมพ์ยาว ๆ ให้เข้าใจหัวอก ผู้ชายที่ขึ้นชื่อว่าเป็น ตลกซุปตาร์ ตาตก หน้าเหลี่ยม ดั้งแหมบ ว่า….พ่อไม่ได้ไปเสริมหล่อค่ะ!! ถ้าพ่อคิดจะทำจริง ๆ ทำไปนานตั้งแต่สมัยพ่อเป็นตลกดาวรุ่งแล้ววววว ไม่รอมาทำเอาปูนนี้หรอก ปัญหาเรื่องหนังตาตก ขนตาทิ่ม เกิดขึ้นมาในชีวิตตาหม่ำได้ 4-5 ปีแล้ว ใครพูดอะไรไม่ฟัง ไม่ไปทำหรอกไอ้ศัลยกรรมเนี่ย เดี๋ยวคนจะหาว่า พ่อติดหล่อซะแล้ว… ไม่อยากลบโลโก้ความเป็นหม่ำ…

แล้วพ่อก็ทนมาได้ตั้งนานหลายปี จนกระทั่งวันนี้พ่อทนไม่ไหว มันรบกวนการใช้ชีวิต หนังตาบดบังทัศนียภาพจนพ่อมองอะไรไม่ชัดเจน ขนตาทิ่มจนเคืองตาน้ำตาไหลตาอักเสบ...ปัญหามันกวนใจจนพ่อเป็นคนตัดสินใจแก้ไขปัญหานี้ด้วยการไปผ่าตัดยกหนังตา

แล้วสิ่งที่ได้รับกลับมา ตอนที่ยังพักฟื้น สภาพหนังตายังไม่คงที่ ว่า…หน้าเก่าดีกว่า!!! น่าจะทำอย่างนู้นอย่างนี้มากกว่า!!

ประเพณี ‘คุกเข่า’ ขอสาวแต่งงาน สัญญามั่น ‘รัก-ภักดี’ ชั่วนิจนิรันดร์

ช่วงนี้ซีนคุกเข่าขอแต่งงานปรากฏขึ้นบ่อยตามหน้าสื่อ แต่เคยสงสัยกันไหมว่า ทำไมถึงต้อง ‘คุกเข่า’ แล้วการคุกเข่าขอแต่งงาน มีจุดเริ่มมาจากอะไร?

สำหรับคุณสาว ๆ (อาจจะรวมถึงคุณหนุ่มๆ) แล้ว ช่วงเวลาสุดพิเศษที่มีใครสักคนมาคุกเข่า เพื่อแต่งงานนั้น คงเป็นอีกหนึ่งความฝันที่เฝ้าใฝ่หากันไม่มากก็น้อย เพียงแค่เขาคนนั้นค่อย ๆ หย่อนเข่าข้างหนึ่งลง หัวใจของคุณสาว ๆ ก็คงเต้นไม่เป็นจังหวะ ยิ่งอยู่ในสภาวะที่คนรอบข้างรายล้อมด้วยแล้ว คนโดน คือ ยิ้มแรง ส่วนคนรอบข้างแม้จะยินดี แต่ก็น่าจะแอบมองแรงด้วยแรงอิจพร้อม ๆ กัน 

ว่าแต่การคุกเข่าขอแต่งงาน มีความหมายอะไรงั้นหรือ?

หากมองอย่างผิวเผินแล้ว อาจจะเป็นประเพณีหนึ่งที่ทั่วโลกทำกัน ขณะที่อีกมุมหนึ่ง ก็ถูกมองว่าเป็นท่าที่มุมเหมาะสมสำหรับการสวมแหวนให้กับอีกฝ่ายได้อย่างพอดีและสวยงาม

แต่จากข้อมูลของ Engagement Ring Bible ได้อธิบายถึงที่มาของการคุกเข่าขอแต่งงานไว้ โดยระบุว่าจุดเริ่มต้นดังกล่าวต้องย้อนไปในยุคของอัศวินอันทรงเกียรติ ตั้งแต่ช่วงยุคกลาง (Medieval) ซึ่งผู้คนจะพบเห็นภาพปกติที่ผู้ชายนั้นมักจะคุกเข่า ‘หนึ่งข้าง’ ให้แก่ฝ่ายหญิงที่หมายตาไว้ ประหนึ่งอัศวินที่คุกเข่าต่อเจ้านาย ขุนขาง หรือผู้สูงศักดิ์ทั้งหลาย เพื่อเป็นการแสดงความเคารพ ความภักดี และยังมีความเกี่ยวเนื่องการศาสนาในสมัยนั้นอีกด้วย

‘ตั๊กแตน ชลดา’ น้ำตาแตก กราบแทบเท้า หลัง ‘พี่เอ’ เหมาซื้อลิขสิทธิ์เพลง GMM ให้

ต้องยอมความรักพี่รักน้องของ ‘พี่เอ’ จริง ๆ หลังเหมาซื้อลิขสิทธิ์เพลงของ ‘ตั๊กแตน ชลดา’ ทั้งหมดจาก GMM ให้ตั๊กแตนได้นำมาร้องเต็มปากเต็มคำ 

หลังจากนักร้องสาว ‘ตั๊กแตน ชลดา’ ได้มาไลฟ์กับผู้จัดการดาราคนดัง ‘เอ ศุภชัย’ ในเพจ ‘เอพาแหล’ และเจ้าตัวก็ได้รับข่าวดีที่ทำเอาต้องช็อก พร้อมปล่อยโฮหนัก เมื่อเอ ศุภชัย โชว์ป๋าควักสัญญาซื้อลิขสิทธ์เพลงที่ตั๊กแตนเคยร้องไว้เมื่อครั้งอยู่ค่ายแกรมมี่มาให้นักร้องสาวได้ร้องให้แฟนเพลงฟังแบบเต็ม ๆ อีกครั้ง

โดยเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อทั้งคู่ได้มาร่วมพูดคุยกับแฟน ๆ ก่อนที่ ตั๊กแตน จะสอน พี่เอ ร้องเพลง แต่ร้องได้แค่เพลงละ 7 คำ ซึ่งตั๊กแตนก็ว่าร้องได้แค่นี้เพราะเดี๋ยวโดนสิทธิ์ นอกจากจะเป็นเพลงใหม่ที่ทำเอง ก่อนที่เอจะพานั่งคุยและบอกว่า...

“แม่ก็คือแม่ สิ่งที่แม่ให้ลูกได้ในวันนี้ที่ลูกมาบ้านแม่ แม่มีสิ่งจะมอบให้ลูกนะ” ก่อนที่ตั๊กแตนจะถามว่า “อะไร” และบอกว่า “แม่ไม่ต้องให้อะไรหนูเลยแม่” ซึ่ง เอ ก็ยืนยันว่าจะให้ พร้อมกล่าวต่อว่า...

รู้จัก ‘วัดบวรสถานสุทธาวาส’ สถาปัตยกรรมอันงดงาม บนผืนแผ่นดินไทย

มาชมความงดงามแห่งพระอาราม ‘วัดบวรสถานสุทธาวาส’ หรือ ‘วัดพระแก้ววังหน้า’ ภาพจิตรกรรมอันวิจิตร มากด้วยประวัติศาสตร์แห่งกาลเวลา

หากใครเคยผ่านไปบริเวณวิทยาลัยนาฏศิลป์ เชิงสะพานปิ่นเกล้า ต้องเคยเห็นอาคาร ที่มีลักษณะคล้ายโบสถ์อย่างแน่นอน และต้องสักวาบความคิด สงสัยว่า อาคารหลังนี้คืออะไร แน่นอน สถานที่นี้ คือ โบสถ์ ส่วนที่เหลืออยู่ของวัดทั้งวัดในอดีต

‘วัดบวรสถานสุทธาวาส’ หรือ ที่เรียกกันตามภาษาปากว่า ‘วัดพระแก้ววังหน้า’ หากมีโอกาสได้เข้าไปภายในพระอุโบสถแห่งนี้ สิ่งที่น่าสนใจของสถานที่แห่งนี้ คือ ภาพจิตรกรรมฝาผนังที่มีทั้งเรื่องราวเทวดา เทพเจ้า ป่าหิมพานต์ เป็นต้น

รวมทั้งมีพระแท่นกลางพระอุโบสถ ที่มีตำนานเกี่ยวกับเรื่องราวความเชื่อทางไสยเวทวิทยาคม ของกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ ส่วนในประวัติศาสตร์จริงนั้น เป็นพระแท่นที่สร้างไว้เพื่อเตรียมการอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ พระที่นั่งพุทธไธสวรรย์ มาประดิษฐานยังพระอุโบสถ

สำหรับประวัติของวัดแห่งนี้ เริ่มต้นการเป็นวัดในครั้งแรก ในสมัยสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ทรงสร้างขึ้นเป็นครั้งแรก ชื่อว่า ‘วัดหลวงชี’ เพื่อให้ นักนางแม้น ซึ่งเป็นมารดาของนักองค์อี ธิดาในสมเด็จพระอุไทยราชา พระเจ้ากรุงกัมพูชา พระสนมเอกในพระองค์ ใช้สำหรับจำศีล

ในสมัยของสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาเสนานุรักษ์ วัดหลวงชีทรุดโทรมลง พระองค์จึงโปรดให้รื้อกุฏิออก ทำเป็นสวนกระต่าย จนมาถึงสมัยสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ ทรงสร้างวัดขึ้นแทนสวนกระต่าย เรียกว่า ‘วัดพระแก้ววังหน้า’ แต่การสร้างไม่เสร็จสิ้นเพราะพระองค์เสด็จทิวงคตก่อน มาแล้วเสร็จในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระราชทานนามว่า ‘วัดบวรสถานสุทธาวาส’

ในยุคของรัชกาลที่ 5 เมื่อพระองค์ทรงให้ยกเลิกตำแหน่งกรมพระราชวังบวรมงคล แล้วสถาปนารัชทายาทในตำแหน่งสยามมกุฏราชกุมารแทน วังหน้าที่ทรุดโทรมลง รวมถึงวัด พระองค์ให้โปรดรื้อแนวกำแพงวังหน้าและตัววัดออก เหลือเพียงพระอุโบสถ

‘ไบโอดีเซล’ เชื้อเพลิงพลังงานชีวภาพ จากพระอัจฉริยภาพของในหลวง รัชกาลที่ 9

พระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่หาที่สุดมิได้ของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ได้ทรงศึกษาวิจัยค้นคว้าพลังงานชีวภาพ แก๊สโซฮอล์ และไบโอดีเซล จากผลิตผลทางเกษตรในประเทศ และช่วยให้ประชาชนสามารถใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในราคาถูก กว่าน้ำมันเชื้อเพลิงจากปิโตรเลียม

การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับเชื้อเพลิงชีวภาพของโครงการส่วนพระองค์จิตรลดา เริ่มต้นในปี 2528 ด้วยในหลวงรัชกาลที่ 9 โดยพ่อหลวงของปวงชนชาวไทย มีพระราชดำริว่า ในอนาคตอาจเกิดการขาดแคลนน้ำมัน จึงมีพระราชประสงค์ให้นำอ้อยมาผลิตแอลกอฮอล์เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง ต่อมาโครงการได้ศึกษาวิจัยการผลิตและกลั่นแอลกอฮอล์ จากพืชผลทางเกษตรหลายอย่าง เช่น ข้าวโพด ข้าวฟ่าง มันสำปะหลัง อ้อย มีการปรับปรุงการกลั่นเรื่อยมา จนสามารถผลิตแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ 95% หรือที่เรียกว่า เอทานอล ไปกลั่นแยกน้ำ และใช้เป็นวัตถุดิบผสมน้ำมันเบนซินผลิตแก๊สโซฮอล์ โดยศึกษาทดลองสูตรการผสม และผลิตน้ำมันแก๊สโซฮอล์ใช้กับรถยนต์ทุกคันของโครงการส่วนพระองค์ฯ

ต่อมา บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้นำผลการศึกษาของโครงการส่วนพระองค์จิตรลดามาต่อยอด ผลิตน้ำมันแก๊สโซฮอล์ เริ่มจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ ตั้งแต่ปี 2545 ส่วน บริษัท บางจาก จำกัด (มหาชน) ร่วมกับสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทย ศึกษาทดลองผลิตเอทานอลบริสุทธิ 99.5% จากมันสำปะหลัง แล้วนำมาผสมกับน้ำมันเบนซินในสัดส่วน 10% ทดแทนสาร เพิ่มออกเทน MTBE ที่ใช้แทนสารตะกั่ว ซึ่งต้องนำเข้าเป็นน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 เริ่มจำหน่ายที่สถานีบริการน้ำมันบางจาก ถ.ติวานนท์

ปัจจุบันน้ำมันแก๊สโซฮอล์เป็นที่นิยมของประชาชนอย่างกว้างขวาง เพราะราคาถูกกว่าน้ำมันเบนซิน ซึ่งช่วยลดการนำเข้าน้ำมันได้ส่วนหนึ่ง และยังช่วยลดมลพิษในอากาศได้อีกด้วย เพราะแก๊สโซฮอล์ไม่ต้องเติมสารตะกั่ว และสารเพิ่มออกเทน MTBE

ไบโอดีเซลในประเทศไทย เริ่มพัฒนามาจากพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9 เมื่อปี 2526 ให้มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ สร้างโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มทดลองขนาดเล็กที่สหกรณ์นิคมอ่าวลึก จ.กระบี่ และอีกหลายแห่งในเวลาต่อมา ในปี 2543 โครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา และกองงานส่วนพระองค์ วังไกลกังวล หัวหิน เริ่มการทดลองนำน้ำมันปาล์มมาใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องยนต์ดีเซล จากการทดลองพบว่า น้ำมันปาล์ม บริสุทธิ์ 100% สามารถใช้เป็นน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลได้ โดยไม่ต้องผสมกับน้ำมันเชื้อเพลิงอื่นฯ หรืออาจใช้ผสมกับน้ำมันดีเซลได้ ตั้งแต่น้อยสุด 1 - 99% ทั้งนี้องคมนตรี (อำพล เสนาณรงค์) เป็นผู้แทนในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้จดสิทธิบัตรการประดิษฐ์ ‘การใช้น้ำมันปาล์มกลั่นบริสุทธิ์เป็นน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องยนต์ดีเซล’ แล้ว

จากโครงการพัฒนาและทดลองการผลิตการใช้น้ำมันไบโอดีเซลในโครงการส่วนพระองค์ ของในหลวงรัชกาลที่ 9 จนเทคโนโลยีการผลิตการใช้ไบโอดีเซลก้าวหน้า สามารถนำมาใช้ในเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงในทางพาณิชย์ได้ ผลการวิจัยในการนำน้ำมันพืชมาใช้ผลิตไบโอดีเซลในประเทศไทย พบว่าน้ำมันพืชที่เหมาะสมและมีศักยภาพในการผลิตไบโอดีเซล คือ น้ำมันปาล์ม

>> ไบโอดีเซลในประเทศไทยแบ่งออกได้เป็นไบโอดีเซลชุมชน และไบโอเชิงพาณิชย์
ไบโอดีเซลชุมชน คือไบโอดีเซลที่กลั่นน้ำมันปาล์มออกมาเหมือนน้ำมันพืชที่ใช้ปรุงอาหาร เหมาะกับเครื่องยนต์ดีเซลสูบเดียว รอบเครื่องยนต์คงที่ เช่น รถไถนาเดินตาม รถอีแต๋น เครื่องสูบน้ำ แต่ไม่เหมาะกับการใช้กับเครื่องยนต์ดีเซลที่มีหลายสูบ เช่นเครื่องยนต์ที่ใช้กับรถยนต์ เพราะระยะยาวจากเกิดยางเหนียวในเครื่องติดที่ลูกสูบ

สำหรับไบโอดีเซลเชิงพาณิชย์ คือ ไบโอดีเซลที่ใช้น้ำมันปาล์มผ่านกระบวนการไปผสมกับน้ำมันดีเซล โดยผู้ผลิตรถยนต์ทดสอบและให้การรับรองว่าใช้กับรถยนต์รุ่นที่ทดสอบแล้วได้

>> ไบโอดีเซลช่วยเกษตรกรชาวสวนปาล์ม
นอกจากการส่งเสริมสนับสนุนให้ใช้ไบโอดีเซล เพื่อลดการการนำเข้าน้ำมันแล้ว ในยามที่ปาล์มมีราคาตกต่ำ รัฐบาลก็สนับสนุนส่งเสริมให้มีการผลิต การจำหน่าย การใช้ไบโอดีเซลที่ผสมน้ำมันปาล์มในรถยนต์ด้วย

ที่ผ่านมาใช้น้ำมันดีเซลผสมกับน้ำมันปาล์มที่ผ่านกระบวนการในอัตรา 95 : 5 จะได้ไบโอดีเซล ที่เรียกว่า บี 5 ถ้าเป็นอัตรา 93 : 7 จะได้ไบโอดีเซลเรียกว่า บี 7 ซึ่งเป็นการเพิ่มความต้องการน้ำมันปาล์ม ที่สามารถยกระดับราคาปาล์ม ตามกลไกตลาดได้ระดับหนึ่ง

>> ปัจจุบันมีปัญหาราคาปาล์มตกต่ำอีก กระทรวงพลังงานจึงได้ร่วมกับหน่วยงานอื่นและเอกชนที่เกี่ยวข้อง ผลักดันไบโอดีเซล บี 10 เพื่อแก้วิกฤตราคาปาล์ม

บี 10 คือ น้ำมันไบโอดีเซล ที่มีอัตราผสมน้ำมันดีเซลอัตรา 90 ส่วน ต่อน้ำมันปาล์มผ่านกรรมวิธี 10 ส่วน ซึ่งจะสามารถเพิ่มความต้องการน้ำมันปาล์มได้ดีกว่า บี 5 และบี 7 นอกจากนี้ยังมีการผลิตน้ำมันไบโอดีเซล บี 20 ซึ่งมีส่วนผสมของน้ำมันปาล์มผ่านกรรมวิธี 20% ด้วย

ในการผลักดันการใช้น้ำมันไบโอดีเซล บี 10 ซึ่งมีราคาถูกกว่าน้ำมันดีเซล นอกจากช่วยผู้ใช้รถประหยัดค่าใช้จ่ายจากราคาน้ำมันแล้ว ยังเป็นการช่วยชาวสวนปาล์มด้วยทางหนึ่ง 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top