Thursday, 12 December 2024
NEWS FEED

รอยเตอร์/เอเจนซีส์ – ลอนดอนแถลงวันนี้ (30 ธ.ค) ว่า วัคซีนแอสตราเซเนกา-ออกซฟอร์ดได้รับการอนุมัติให้ สร้างความเชื่อมั่นกับสาธารณะด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัย เตรียมใช้วัคซีนแอสตาเซเนกาคุ้มกันประชาชนวันที่ 4 ม.ค นี้

รอยเตอร์รายงานว่า อังกฤษกลายเป็นชาติแรกของโลกอนุมัติวัคซีนแอสตราเซเนกา-ออกซฟอร์ด โดยกระทรวงสาธารณสุขอังกฤษกล่าวผ่านแถลงการณ์ว่า รัฐบาลอังกฤษได้ยอมรับคำแนะนำจากสำนักงานกำกับผลิตภัณฑ์ยาและการดูแลสุขภาพอังกฤษ MHRA (Medicines and Healthcare products Regulatory Agency) ให้อนุมัติวัคซีนโควิด-19ของมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด/แอสตราเซเนกาในการใช้งาน

ขณะที่รัฐมนตรีสาธารณสุขอังกฤษ แมท แฮนด์ค็อก (Matt Hancock) กล่าวว่า การอนุมัติวัคซีนแอสตราเซเนกาของรัฐบาลลอนดอน จะนำไปสู่การนำอังกฤษออกจากวิกฤตโรคระบาดได้ทันภายในฤดูใบไม้ผลิที่จะถึง ซึ่งจะทำให้ประชาชนจำนวนหลายล้านคนที่อยู่ในความเสี่ยงได้รับการปกป้อง

เขายังกล่าวอีกว่า มีคำแนะนำให้การแจกวัคซีนโดสแรกและโดสที่ 2ห่างกัน 12 สัปดาห์ ซึ่งจะช่วยได้มาก เพราะมันจะทำให้มีคนเพิ่มมากขึ้นได้รับภูมิคุ้มกันจากเข็มแรกที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันระดับสูงในตัวของมันเอง

เอเอฟพีรายงานเพิ่มเติมว่า ทางรัฐบาลอังกฤษมีกำหนดที่จะเริ่มแจกวัคซีนแอสตราเซเนกาให้กับสาธารณะในวันที่ 4 ม.ค 2021โดย แฮนด์ค็อก กล่าวผ่านทางทวิตเตอร์ว่า “เป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมในการสิ้นสุดปี 2020 ด้วยช่วงเวลาแห่งความหวังเช่นนี้”

ทั้งนี้ ทางกระทรวงสาธารณสุขอังกฤษ ได้กล่าวผ่านแถลงการณ์ถึงการอนุมัติวัคซีนโควิด-19ตัวที่ 2 อีกว่า “หลังจากผ่านการทดสอบด้านคลินิกวิทยาอย่างเคร่งขัดและการวิเคราะห์ข้อมูลโดยละเอียดจากผู้เชี่ยวชาญประจำ MHRA ซึ่งสรุปว่า วัคซีนผ่านมาตรฐานที่เข้มงวดด้านความปลอดภัย คุณภาพ และความมีประสิทธิภาพ”

ด้าน ปาสคาล โซเรียต (Pascal Soriot) ประธานบริษัทแอสตราเซเนกา ได้ออกมาสร้างความมั่นใจต่อประชาคมโลกด้วยว่า “วัคซีนของเขาสามารถให้ภูมิคุ้มกัน 100% ต่อโรคโควิด-19 ร้ายแรงที่ต้องการรักษาพยาบาล” พร้อมทั้งคาดการณ์ถึงการทดสอบจะแสดงให้เห็นว่าบริษัทของเขาประสบความสำเร็จในการได้ประสิทธิภาพวัคซีนเทียบเท่าของไฟเซอร์-ไบโอเอ็นเทคที่ 95% และของไบโอนาที่ 94.5%

อย่างไรก็ตามในผลการทดสอบก่อนหน้าที่ทางแอสตราเซเนกาได้เปิดเผยต่อสาธารณะแสดงผลประสิทธิภาพวัคซีนที่แตกต่างกัน โดยผลประสิทธิภาพโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 70% แต่ทว่าประสิทธิภาพสามารถเพิ่มไปที่ 90% ขึ้นอยู่กับขนาดโดสที่ใช้ และก่อนหน้านี้รัฐบาลไทยก็ได้มีมติอนุมัติงบกว่า 6 พันล้านบาท สั่งจองซื้อวัคซีนโควิด-19 จากแอสตราเซเนกา จำนวน 26 ล้านโดส ซึ่งสามารถครอบคลุมการรักษาคนไทยร้อยละ 20 ของประชากรหรือ 13 ล้านคน

สำหรับบริษัทแอสตาเซเนกาได้ทำการทดสอบกับมนุษย์ซึ่งเป็นอาสาสมัครจำนวนมากใน ‘อังกฤษ’ และ ‘บราซิล’ พบว่าวัคซีนมีประสิทธิภาพ 62% สำหรับกลุ่มผู้ที่ได้รับ 2 โดส ขณะที่อาสาสมัครผู้ได้รับครึ่งโดสในครั้งแรกและอีก 1 โดสเต็มอีก 1 เดือนหลังจากนั้นพบว่าประสิทธิภาพของวัคซีนเพิ่มมาถึง 90%

รอยเตอร์รายงานว่า นายกรัฐมนตรีอังกฤษ บอริส จอห์นสัน แสดงความยินดีเป็นอย่างมากต่อการที่วัคซีนแอสตราเซเนกาได้รับการอนุมัติให้ใช้นั้นถือเป็นความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ของวิทยาศาสตร์อังกฤษ

“มันเป็นข่าวดีอย่างแท้จริง และชัยชนะต่อวิทยาศาสตร์อังกฤษที่@วัคซีนมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด-แอสตราเซเนกาได้รับการอนุมัติให้ใช้” รายงานจากทวิตเตอร์ของจอห์นสัน

สถานการณ์ COVID-19 ประเทศไทยและอาเซียน (30 ธันวาคม พ.ศ. 2563)

ศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประจำวัน โดยประเทศไทยพบจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 250 ราย ทำให้ยอดผู้ป่วยยืนยันสะสมอยู่ที่ 6,690 ราย ไม่พบผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมยอดผู้เสียชีวิต 61 ราย รักษาหายเพิ่ม 28 ราย รวมผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว 4,212 ราย ยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 2,417 ราย

ทั้งนี้ ผู้ป่วยรายใหม่ 250 ราย เป็น ผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศและเข้าสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ จากสหรัฐอเมริกา 3 ราย ,เคนย่า 2 ราย,คูเวต 1 ราย,รัสเซีย 1 ราย,ออสเตรเลีย 1 ราย

ผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ ไม่เข้าสถานกักกันที่รัฐจัดให้ สัญชาติเมียนมา 1 ราย

ผู้ติดเชื้อในประเทศ จำนวน 239 ราย

ผู้ติดเชื้อในแรงงานต่างด้าว (คัดกรองเชิงรุกในชุมชน) 2 ราย

ขณะเดียวกันสถานการณ์ COVID-19 ของประเทศในกลุ่มอาเซียนมีการอัพเดทดังนี้

ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 152 ราย รักษาหายแล้ว 149 ราย เสียชีวิต 3 ราย

ประเทศกัมพูชา ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 364 ราย รักษาหายแล้ว 361 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศอินโดนีเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 7.27 แสน ราย รักษาหายแล้ว 5.97 แสน เสียชีวิต 21,703 ราย

ประเทศลาว ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 41 ราย รักษาหายแล้ว 40 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศมาเลเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.09 แสน ราย รักษาหายแล้ว 86,715 ราย เสียชีวิต 457 ราย

ประเทศพม่า ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.23 แสน ราย รักษาหายแล้ว 1.05 แสน ราย เสียชีวิต 2,637 ราย

ประเทศฟิลิปปินส์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 4.72 แสน ราย รักษาหายแล้ว 4.39 แสน ราย เสียชีวิต 9,162 ราย

ประเทศสิงคโปร์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 58,542 ราย รักษาหายแล้ว 58,400 ราย เสียชีวิต 29 ราย

ประเทศเวียดนาม ยอดรวมติดเชื้อ 1,454 ราย รักษาหายแล้ว1,319 ราย เสียชีวิต 35 ราย

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ระบายผ่านเฟซบุ๊ก ระบุ สาธารณสุขทำงานยาก หลังพบบางคนปกปิดข้อมูล วอนประชาชนร่วมมือภาครัฐ สกัดโควิด-19 ระบาด หากไม่อยากถูกเปิดไทม์ไลน์ส่วนตัว

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข โพสต์เฟซบุ๊ก "อนุทิน ชาญวีรกูล" หลังร่วมประชุมกับผู้บริหารศูนย์ปฏิบัติการสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสาธารณสุข ระบุว่า ทุกคนหนักใจกับจำนวนผู้ติดเชื้อจากสถานที่ผิดกฎหมาย และสถานที่แออัด ที่เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว

สาธารณสุขทำงานยากมากเพราะคนเหล่านี้ปกปิดข้อมูล และไม่พูดความจริง กว่าจะสอบสวนโรคได้ การแพร่เชื้อก็ไปถึงผู้อื่นอีกหลายทอดแล้ว

เมื่อวานนี้ ระยอง ล็อกดาวน์ไปแล้ว ความสูญเสียทางธุรกิจ ผลกระทบเกิดขึ้นกับประชาชนส่วนใหญ่ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ไม่อยากให้จังหวัดของท่าน ต้องถูกล็อกดาวน์ จนประชาชน คนทำมาค้าขายสุจริต เดือดร้อนกันทั้งหมด ต้องช่วยกันเฝ้าระวังชุมชนของท่าน และช่วยกันให้ข้อมูลกับทีมสาธารณสุข เพื่อป้องกันการระบาด และเข้าควบคุมโรค ได้อย่างรวดเร็ว เพื่อความปลอดภัยของท่านและครอบครัว

สำหรับท่านที่ไม่อยากถูกเปิดไทม์ไลน์ เรื่องราวส่วนตัว ก็ขอให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของกรมควบคุมโรค ตามนี้ ใส่หน้ากาก เว้นระยะห่าง หมั่นล้างมือ


ที่มา : https://www.facebook.com/2091153520919518/posts/4000178336683684/

ส.ส.พรรคก้าวไกล ‘วรภพ วิริยะโรจน์’ ระบุรัฐบางควรตัดงบประมาณที่ไม่จำเป็น พร้อมโยกงบจัดซื้อวัคซีนให้คนไทยครบทั้ง 69 ล้านคนแทน หลังพบงบที่จัดสรรซื้อวัคซีนช่วยคนไทยได้แค่ 13 ล้านคนเท่านั้น

นายวรภพ วิริยะโรจน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ระบุว่า แผนการด้านวัคซีนโควิด 19 ที่รัฐบาลจัดงบประมาณเพื่อสั่งซื้อขณะนี้ พบว่ามีเพียงพอสำหรับ 13 ล้านคนเท่านั้น ถ้ารัฐบาลตัดงบประมาณที่ไม่จำเป็นออกจะสามารถทำให้ประเทศไทยจะมีวัคซีนเพียงพอสำหรับทุกคน

ทั้งนี้ หากรัฐบาลสามารถตัดงบประมาณเหล่านี้ จะทำให้ไทยมีงบประมาณเพื่อจัดซื้อวัคซีนได้เพียงพอสำหรับทุกคน ได้แก่ โครงการรถไฟเชื่อมต่อสามสนามบิน ประมาณ 119,000 ล้านบาท , เรือดำน้ำสองลำประมาณ 22,000 ล้านบาท ,รถยานเกราะสไตรค์เกอร์ 130 คัน 9,100 ล้านบาท ,งบยานอวกาศไปดวงจันทร์ 3,000 ล้านบาท, เงินเดือน ส.ว. 681 ล้านบาท ,งบซุ้มเฉลิมพระเกียรติ 2563 ประมาณ 381 ล้านบาท และสุดท้ายคืองบประมาณเพื่อสู้คดีเหมืองทองอัครา 309 ล้านบาท

"ประเทศไทยจองวัคซีนโควิค-19 จากบริษัทแอสตราเซนเนกา (AstraZeneca) จำนวน 60 ล้านโดส วงเงิน 6,049,723,117 บาท คลอบคลุมคนไทยร้อยละ 18.57 ของประชากร หรือ 13 ล้านคน โดยใช้อัตรา 2 โดส ต่อ 1 คน

ซึ่งยังไม่เพียงพอต่อคนทั้งประเทศ และยังไม่รู้ว่าวัคซีนจะมาเมื่อไหร่ โดยวัคซีนของบริษัทแอสตราเซนเนกา (AstraZeneca) มีประสิทธิภาพ 62 - 90% ขณะที่วัคซีนของบริษัทไฟเซอร์ไบโอเทค (Pfizer) ของอเมริกา ร่วมกับบริษัทของเยอรมัน มีประสิทธิภาพ 95% วัคซีนของบริษัทโมเดอร์นา (Moderna) มีประสิทธภาพ 94% แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไทยได้จองวัคซีนที่มีประสิทธิภาพน้อยที่สุดให้แก่คนไทย"

นายวรภพ ยังชี้ให้เห็นความแตกต่างของการวางแผนด้านวัคซีนว่า สิงคโปร์เป็นชาติแรกในอาเซียน ที่นำเข้าวัคซีนจาก ไฟเซอร์ (Pfizer) มาใช้ ด้วยงบประมาณ 1 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ หรือคิดเป็นงบประมาณ 2.2 หมื่นล้านบาท

ซึ่งวัคซีนจะมาถึงสิ้นเดือน ธ.ค.นี้ ขณะที่ปัจจุบันมีหลายบริษัทในประเทศไทย กำลังทำการวิจัยเพื่อที่จะผลิตวัคซีน ซึ่งเป็นการสร้างความมั่นคงในด้านสาธารณะสุขให้แก่ประเทศไทย แต่ก็ยังขาดการสนับสนุนที่ไม่มากพอจากภาครัฐทำให้มีการออกมาระดมทุนจากภาคประชาชนปรากฎให้เห็นอย่างเช่น การระดมทุนของ CU Enterprise

ศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน แถลงผลสรุป 7 วัน อันตราช่วงปีใหม่วันแรก พบมีผู้เสียชีวิต 43 ราย ผู้บาดเจ็บ 438 คน ย้ำบังคับใช้กฎหมายเข้ม หลังพบเมาแล้วขับสาเหตุหลักทำเกิดอุบัติเหตุเหมือนเดิม

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รองผบ.ตร.ในฐานะประธาน ศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน (ศปถ.) แถลงสรุปผลการดำเนินงานป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ.2564 ว่า ศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2564 ได้รวบรวมสถิติอุบัติเหตุทางถนนประจำวันที่ 29 ธ.ค.ซึ่งเป็นวันแรกของการรณรงค์ “ชีวิตวิถีใหม่ ขับขี่ปลอดภัย ไร้อุบัติเหตุ” เกิดอุบัติเหตุ 414 ครั้ง ผู้เสียชีวิต 43 ราย ผู้บาดเจ็บ 438 คน สาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ ขับรถเร็ว ร้อยละ 32.85 ดื่มแล้วขับ ร้อยละ 24.88

ยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ รถจักรยานยนต์ ร้อยละ 81.11 ส่วนใหญ่เกิดบนเส้นทางตรง 66.43 ถนนกรมทางหลวง ร้อยละ 38.89 ถนนใน อบต./หมู่บ้าน ร้อยละ 32.13 ช่วงเวลาที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ ช่วงเวลา 16.01 – 20.00 น. ร้อยละ 29.47 ผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตสูงสุดอยู่ในช่วงอายุ 50 ปีขึ้นไป ร้อยละ 29.94 ทั้งนี้ ได้จัดตั้งจุดตรวจหลัก 1,933 จุด เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน 61,575 คน เรียกตรวจยานพาหนะ 288,881 คัน มีผู้ถูกดำเนินคดี รวม 44,657 ราย มีความผิดฐานไม่สวมหมวกนิรภัย 12,648 ราย ไม่มีใบขับขี่ 12,154 ราย โดยจังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ มหาสารคาม 15 ครั้ง จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสูงสุด ได้แก่ ชลบุรี บุรีรัมย์ พิษณุโลก เพชรบูรณ์ และอุดรธานี จังหวัดละ 3 ราย จังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสูงสุด ได้แก่ เชียงใหม่ 17 คน

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กล่าวต่อว่า วันนี้คาดว่าประชาชนเริ่มเดินทางออกจากกรุงเทพฯ เพื่อเดินทางกลับภูมิลำเนาและท่องเที่ยว โดยถนนสายหลักที่มุ่งสู่ภูมิภาคต่าง ๆ จะมีปริมาณรถหนาแน่น ศปถ.ได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบังคับใช้กฎหมายจราจรอย่างเคร่งครัด เข้มข้นการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ประจำจุดตรวจหลัก เน้นหนักกวดขันปัจจัยเสี่ยงอุบัติเหตุ

โดยเฉพาะการขับรถเร็วและดื่มแล้วขับ เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงหลักของการเกิดอุบัติเหตุทางถนน พร้อมเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่ในการดูแลเส้นทางหลัก สายรอง และเส้นทางเลี่ยงที่เชื่อมต่อระหว่างจังหวัด บริหารจัดการจราจรและอำนวยความสะดวกในการเดินทางแก่ประชาชนตลอดเส้นทาง โดยเฉพาะจังหวัดที่มีเส้นทางหลักมุ่งสู่ภูมิภาคต่าง ๆ และมีการจราจรหนาแน่น ให้เร่งระบายรถ เปิดช่องทางพิเศษ ปิดจุดกลับรถ ปรับสัญญาณไฟจราจรให้สอดคล้องกับช่วงเวลาในการเดินทางของประชาชน รวมถึงปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขในการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างเคร่งครัด

นายชัยณรงค์ วาสนะสมสิทธิ์ รองอธิบดี กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กล่าวว่า ศปถ.ได้ประสานศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนจังหวัด บูรณาการตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง อาสาสมัคร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ สนธิกำลังสนับสนุนการปฏิบัติงานในจุดตรวจ จุดบริการ และด่านชุมชน โดยเฉพาะเส้นทางสายรองและเส้นทางเลี่ยง ทางลัด ที่เชื่อมต่อระหว่างจังหวัด เพื่อเสริมประสิทธิภาพในการสร้างความปลอดภัยในการเดินทาง

อย่างไรก็ตาม จากการติดตามสภาพอากาศจากกรมอุตุนิยมวิทยา พบว่าในระยะนี้บางจังหวัดในพื้นที่ภาคใต้อาจมีฝนตก ทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุจากสภาพถนนเปียกลื่นและทัศนวิสัยไม่ดี ศปถ.จึงประสานจังหวัดดูแลความปลอดภัยในการเดินทางของประชาชน โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีฝนตกให้กวดขันการใช้ความเร็วเป็นพิเศษ

ผู้ให้บริการรถไฟฟ้า MRT หนุนคนไทยฉลองปีใหม่อยู่บ้าน ลดการเดินทางสังสรรค์ ประกาศไม่ขยายเวลาให้บริการช่วงคืนวันที่ 31 ธ.ค. เหมือนทุกปีที่ผ่านมา ยืนยันเปิดบริการเดินรถถึงแค่เที่ยงคืนเท่านั้น

บมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ (BEM) และการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) แจ้งว่า ตามที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ระลอกใหม่ในหลายพื้นที่ ส่งผลให้ทั้งภาครัฐ และเอกชนงดการจัดกิจกรรมส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ในคืนวันที่ 31 ธันวาคม 2563 เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 นั้น

การบริการรถไฟฟ้า MRT จึงต้องปรับการให้บริการสอดคล้องกับมาตรการดังกล่าว โดยรถไฟฟ้า MRT สายเฉลิมรัชมงคล (สายสีน้ำเงิน) และรถไฟฟ้า MRT สายฉลองรัชธรรม (สายสีม่วง) จะเปิดและปิดให้บริการตามเวลาปกติ (ไม่ขยายเวลาปิดให้บริการ) โดยรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงินให้บริการเวลา 06.00 – 24.00 น. และสายสีม่วงให้บริการเวลา 05.30-24.00 น.

พร้อมกันนี้ รฟม.และ BEM ยังได้เตรียมความพร้อมอำนวยความสะดวกและคุมเข้มมาตรการป้องกัน COVID-19 ให้แก่ประชาชนผู้ใช้บริการในช่วงวันหยุดยาว โดยจัดเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เจ้าหน้าที่ประจำสถานี เจ้าหน้าที่หน่วยซ่อมบำรุงพร้อมอำนวยความสะดวกทั้งกรณีปกติและเหตุฉุกเฉิน

เตรียมพร้อมขบวนรถเสริมกรณีผู้ใช้บริการหนาแน่น เพิ่มความถี่การตรวจตรารักษาความปลอดภัย และติดตามเฝ้าระวังผ่านกล้องวงจรปิด ทั้งในสถานีและรถไฟฟ้า คุมเข้มมาตรการป้องกัน COVID-19 โดยการเพิ่มความถี่การทำความสะอาดในทุกพื้นที่ทั้งภายในสถานีและในขบวนรถไฟฟ้าตลอดเวลาให้บริการ

และผู้โดยสารสามารถตรวจสอบเวลารถไฟฟ้าขบวนแรกและขบวนสุดท้ายได้ที่ทุกสถานี หรือ MRT Application พร้อมทั้งขยายเวลาให้บริการของศูนย์บริการข้อมูลในคืนวันที่ 31 ธันวาคม ถึงเวลา 24.00 น. พร้อมให้ข้อมูลอำนวยความสะดวกในการเดินทางให้กับประชาชน

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลฯ ‘พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ ’ เล็งบังคับใช้กฎหมายจริงจังกับผู้ใช้โซเชียลหน้าเก่าโพสต์ ผิดพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ หลังยื่นคำสั่งศาลไปกว่า 8,000 URLs แต่ยังลบข้อความหมิ่นไม่หมด

นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส) เปิดเผยว่า กระทรวงฯ ดำเนินการส่งคำสั่งศาลการแจ้งแพลตฟอร์มต่าง ๆ ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ ที่เข้าข่ายละเมิดสถาบันหลักของชาติ ตั้งแต่เดือนสิงหาคม - ธันวาคม 2563 รวมทั้งสิ้น 7 ครั้ง จำนวน 8,443 URLs โดยแบ่งเป็น

• เฟซบุ๊ก 5,494 URLs ปิดกั้นแล้ว 3,107 URLs เหลืออีก 2,387 URLs

• ยูทูบ 1,755 URLs ปิดกั้นแล้ว 1,722 URLs เหลือ 33 URLs

• ทวิตเตอร์ 674 URLs ปิดกั้นแล้ว 63 URLs เหลือ 611 URLs

• และอื่น ๆ 520 URLs ปิดกั้นแล้ว 133 URLs คงเหลือ 387 URLs

ซึ่งมีบัญชีผู้ใช้งานรายเดิม แต่พบว่ายังมีการกระทำผิดซ้ำอย่างต่อเนื่อง เช่น ชื่อบัญชีของนายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ Pavin Chachavalpongpun มีจำนวนคำสั่งศาล 194 คำสั่ง บัญชีของ นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล Somsak Jeamteerasakul มี 51 คำสั่งศาล นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ (เพนกวิน) มี 2 คำสั่งศาล เป็นต้น

ทั้งนี้ กองป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิด ทางเทคโนโลยีและสารสนเทศ (ปท.) กระทรวงดิจิทัลฯ ได้รวบรวมหลักฐานส่งฟ้องต่อ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี(บก.ปอท.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดำเนินคดีกับแพลตฟอร์ม ตามมาตรา 27 และดำเนินคดีกับบัญชีผู้ใช้งานที่กระทำผิดแล้ว และอยู่ระหว่างสืบสวนหาตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ

"ฝากเตือนให้ประชาชนตระหนักในการใช้โซเชียลมีเดียอย่างมีความรับผิดชอบ ระมัดระวังไม่ละเมิดกฎหมาย ไม่ละเมิดสิทธิส่วนบุคคลตามรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะไม่ละเมิดสถาบันหลักของชาติ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจยืนยันว่าจะบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น" นายพุทธิพงษ์ กล่าว

หลังจากโควิดกลับมาระบาดหนัก ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ประกาศมติ ศปค.สธ.ขอให้คนไทยงดเดินทางนอกจังหวัด ห่วงคุมเชื้อ COVID-19 ยาก ย้ำชัดหากจัดกิจกรรมปีใหม่เกิน 100 คน ต้องขออนุญาต

นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ในฐานะหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุขกรณีโรคติดเชื้อโควิด-19 (ศปก.สธ.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมศูนย์ฯ ได้วางแผนควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศที่ปัจจุบันแพร่กระจายไป 45 จังหวัดแล้ว เพื่อให้กลับมาปลอดเชื้อภายใน 4 สัปดาห์ แต่ขณะนี้เป็นช่วงจังหวะเทศกาลปีใหม่ ทำให้มีการเดินทางไปจังหวัดต่าง ๆ และการจัดกิจกรรมเฉลิมฉลอง ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการควบคุมโรคให้เป็นไปตามแผน

ทั้งนี้ ศปก.สธ.ได้ประสานไปยังคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดให้จัดทำแผนเตรียมความพร้อมรับมือที่เหมาะสมกับสถานการณ์ และมาตรการของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) โดยในพื้นที่ควบคุมสูงสุดให้งดจัดกิจกรรมสาธารณะ ส่วนพื้นที่เฝ้าระวังให้ลดการจัดกิจกรรมสาธารณะมากที่สุด พร้อมรณรงค์ให้ประชาชนกวดขันดูแลตัวเองให้เป็นไปตามหลักอนามัย

สำหรับการการจัดกิจกรรมช่วงปีใหม่ ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดให้งดการจัด ส่วนในพื้นที่เฝ้าระวังให้ลดการจัดกิจกรรมมากที่สุด อยู่เฉพาะในครอบครัว หากจะจัดจะต้องได้รับอนุญาต รวมทั้งคงมาตรการป้องกันโรค และลดความแออัดของผู้ร่วมกิจกรรม ไม่น้อยกว่า 1 ตารางเมตรต่อคน หากจัดมากกว่า 100 คนต้องขออนุญาต

“คงต้องขอความร่วมมือให้เดินทางเท่าที่จำเป็น และงดกิจกรรมเสี่ยง เพื่อลดการแพร่เชื้อและรับเชื้อ หากเราสามารถควบคุมสถานการณ์ให้ดีขึ้นได้ก็จะสามารถผ่อนคลายมาตรการลง”

ขาเที่ยวเตรียมวางแผนปีหน้าไว้เลย เมื่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี มีมติเคาะ 'วันหยุดกรณีพิเศษ' และ 'วันหยุดประจำภาค' รวมถึงเลื่อนวันหยุดราชการในปีหน้าเพิ่มเข้ามาอีกถึง 8 วัน รวมแล้วในปี 2564 จะมีวันหยุดรวม 24 วัน เพื่อเพิ่มการหมุนเวียนเงินเศรษฐกิจภายในประเทศ

ในส่วนของวันหยุดราชการเพิ่มเติมเป็นกรณีพิเศษ มีเซอร์ไพรซ์ คือ

- วันศุกร์ที่ 12 ก.พ.2564 วันตรุษจีน ซึ่งเป็นครั้งแรกที่รัฐบาลไทยประกาศให้วันตรุษจีนเป็นวันหยุดราชการ

- วันจันทร์ที่ 12 เม.ย. 2564 เพื่อจะได้หยุดยาวเทศกาลสงกรานต์ (เสาร์ที่ 10 อาทิตย์ที่ 11 จันทร์ที่ 12 อังคารที่ 13 พุธที่ 14 และพฤหัสฯที่ 15)

- วันอังคารที่ 27 ก.ค. 2564 ชดเชยวันเข้าพรรษา เพื่อจะได้หยุดยาว (เสาร์ที่ 24 วันอาสาฬหบูชา อาทิตย์ที่ 25 วันเข้าพรรษา จันทร์ที่ 26 ชดเชยวันอาสาฬหบูชา อังคารที่ 27 ชดเชยวันเข้าพรรษา และพุธที่ 28 วันเฉลิมพระชนมพรรษาฯ)

- วันศุกร์ที่ 24 ก.ย. 2564 วันหยุดราชการกรณีพิเศษ วันมหิดล

นอกจากนี้ ครม.ยังมีมติกำหนดวันหยุดประจำภาคต่างๆ ทุกภาคจะมีวันหยุดเทศกาลประจำปี ได้แก่...

- วันหยุดราชการภาคเหนือ: ประเพณีไหว้พระธาตุ วันศุกร์ที่ 26 มี.ค. 2564

- วันหยุดราชการภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: งานเทศกาลบุญบั้งไฟ วันจันทร์ที่ 10 พ.ค.2564

- วันหยุดราชการภาคใต้: พิธีสารทเดือน 10 วันพุธที่ 6 ต.ค. 2564

สำหรับกรณีเลื่อนวันหยุดชดเชย เช่น วันปิยมหาราช 23 ต.ค. 2564 ตรงกับวันเสาร์ เพื่อเติมให้เป็นวันหยุดยาว 4 วัน หรือ 5 วัน ขึ้นอยู่กับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19

ทั้งนี้ สถาบันการเงิน ภาคเอกชน จะไม่หยุดตามนี้ก็ได้

ลุยเจลีกต่อ! สโมสรโยโกฮาม่า เอฟ มารินอส ประกาศต่อสัญญา ‘เจ้าอุ้ม ธีราทร’ แบ็คซ้ายดีกรีดาราเอเชียเป็นที่เรียบร้อย

เป็นปีแห่งความสำเร็จ สำหรับนักเตะแบ็คซ้ายทีมชาติไทย ‘ธีราทร บุญมาทัน’ หลังจากที่ทำผลงานกับต้นสังกัดในเจลีก สโมสรโยโกฮาม่า เอฟ มารินอส ได้ดีตลอดทั้งฤดูกาล จนทำให้มีชื่อติดเป็นหนึ่งในนักเตะยอดเยี่ยมแห่งเอเชีย ประจำปี 2020 โดยเป็นการจัดทีมของสหพันธ์สถิติและประวัติศาสตร์ฟุตบอลนานาชาติ (IFFHS) ของประเทศเยอรมัน 

และล่าสุด ทางต้นสังกัด โยโกฮาม่า เอฟ มารินอส ก็ประกาศต่อสัญญาเจ้าอุ้ม ให้เป็นหนึ่งในขุนพลนักเตะสู้ศึกเจลีกในฤดูกาลหน้าต่อไป ทั้งนี้ ธีราทรถือเป็นนักเตะโควต้าต่างชาติในจำนวน 3 คนที่ได้รับการต่อสัญญาออกไป เนื่องจากทำผลงานในซีซั่นที่ผ่านมาได้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย งานนี้เจ้าตัวประกาศถึงเป้าหมายในการลุยศึกเจลีกฤดูกาลหน้าว่า จะพาทีมกลับมาคว้าแชมป์เจลีก และต่อยอดไปยังศึกฟุตบอลสโมสรเอเชียอย่าง ยูซีแอล แชมเปี้ยนส์ลีก เพื่อเอาแชมป์มาเป็นเกียรติประวัติให้กับตัวเองสักครั้ง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top