Sunday, 11 May 2025
NEWS FEED

“บิ๊กตู่” อวยพรสื่อมวลชนเนื่องในโอกาสปีใหม่ ในฐานะสื่อกลางที่มีคุณภาพ และรักษาไว้ซึ่งจรรยาบรรณของสื่อมวลชน เพื่อความรักสามัคคีของคนไทย” 

ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม อวยพรเนื่องในโอกาสเทศกาลวันขึ้นปีใหม่แทนการให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า “ ในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ 2565 ที่จะมาถึงนี้ ผมขออาราธนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์และพระบารมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินี และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ได้อำนวยพรให้สื่อมวลชนทุกท่าน ทุกแขนง มีสุขภาพกาย สุขภาพใจที่แข็งแรง ประสบความสำเร็จดังที่ตั้งไว้ และเป็นส่วนสำคัญในการนำพาประเทศชาติ และประชาชน เดินไปข้างหน้า อย่างมั่นคง และยั่งยืน ในฐานะสื่อกลางที่มีคุณภาพ และรักษาไว้ซึ่งจรรยาบรรณของสื่อมวลชน เพื่อความรักสามัคคีของคนไทย” 

‘โอมิครอน’ ไทย พบติดเชื้อพุ่ง 514 คน สธ.เตือนภัย! ระดับ 3 จ่อปิดสถานบริการ - WFH 

‘โอมิครอน’ เริ่มลามไม่หยุด ติดเชื้อพุ่ง 514 คน สธ.สั่ง รพ.ทั่วประเทศ สำรองเตียง-ยา ประเมินสถานการณ์หลังปีใหม่ ถ้าการ์ดตกอาจป่วยวันละ 3-4 หมื่น คลัสเตอร์กาฬสินธุ์กระจายวงกว้าง ติดเชื้อรายวัน 2.4 พันเสียชีวิต 18 ศพ

ไทยติดโควิดรายวัน 2.4 พันราย ตาย 18 ศพ คลัสเตอร์ใหม่โผล่หลายจังหวัด ศบค. ห่วงร้านอาหาร-สถานบันเทิงลอบขายเหล้า โดยเฉพาะเชียงใหม่ ยกระดับคุมเข้มสกัดเชื้อลาม ตรวจเจอสายพันธุ์โอมิครอนในประเทศแล้ว 514 คน เป็นการติดเชื้อแบบก้าวกระโดด คลัสเตอร์กาฬสินธุ์พุ่ง 125 คน รอยืนยันผลอีก 97 คน ลามไปอีกหลายจังหวัด จี้เร่งฉีดเข็ม 3 ให้ครอบคลุมมากที่สุด แต่ไม่ห้ามจัดปีใหม่ ให้พื้นที่เคร่งครัดมาตรการ

ด้าน สธ. เตือนภัยโควิด-19 ระดับ 3 คาดการณ์สถานการณ์หลังปีใหม่ หากไร้มาตรการ-ไร้ความร่วมมือติดเชื้ออาจพุ่งวันละ 3 หมื่น ตาย 170 ถ้าตั้งการ์ดสูง ฉีดวัคซีนครบ อาจแตะหลักหมื่น ตาย 60-70 ราย

เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2564 ที่ทำเนียบรัฐบาล พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือศบค. แถลงภาพรวมสถานการณ์ผู้ติดเชื้อ รวมถึงความคืบหน้าการระบาดโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน

>> ไทยติดโควิด 2,437 ตาย 18 คน
ไทยพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 2,437 คน เป็นการติดเชื้อในประเทศ 2,327 ราย มาจากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการ 2,307 ราย มาจากการค้นหาเชิงรุก 20 ราย มาจากเรือนจำ 18 ราย เป็นผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ 92 ราย ทำให้มียอดผู้ติดเชื้อสะสมยืนยันตั้งแต่ปี 2563 จำนวน 2,212,407 ราย หายป่วยเพิ่มขึ้น 3,845 ราย ทำให้มียอดหายป่วยสะสมตั้งแต่ปี 2563 จำนวน 2,156,374 ราย อยู่ระหว่างรักษา 34,436 ราย อาการหนัก 752 ราย ใส่ท่อช่วยหายใจ 179 ราย ส่วนผู้เสียชีวิตเพิ่ม 18 ราย เป็นชาย 8 ราย หญิง 10 ราย เป็นผู้เสียชีวิตอายุ 60 ปีขึ้นไป 14 ราย มีโรคเรื้อรัง 3 ราย พบผู้เสียชีวิตมากสุดอยู่ที่จ.เชียงใหม่ 3 ราย ทำให้มียอดผู้เสียชีวิตสะสมตั้งแต่ปี 2563 จำนวน 21,598 ราย

>> ฉีดวัคซีนสะสมกว่า 102 ล้านโดส
ส่วนยอดผู้ได้รับวัคซีนของประเทศไทยเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม ฉีดวัคซีนเพิ่ม 120,612 โดส รวมยอดฉีดวัคซีนสะสมตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ทั้งสิ้น 102,681,943 โดส ขณะที่สถานการณ์โลก มียอดผู้ติดเชื้อสะสม 280,332,969 ราย เสียชีวิตสะสม 5,416,370 ราย

>> ชลบุรีมาแรง ติดเชื้อแซงขึ้นที่ 2 ของประเทศ 
พญ.อภิสมัย กล่าวต่อว่า สำหรับ 10 จังหวัดที่มีผู้ติดเชื้อสูงสุดวันที่ 27 ธันวาคม ได้แก่ กรุงเทพมหานคร (กทม.) 427 ราย นครศรีธรรมราช 450 ราย ชลบุรี 138 ราย ขอนแก่น 96 ราย สมุทรปราการ 88 ราย เชียงใหม่ 57 ราย ตรัง 56 ราย ฉะเชิงเทรา 54 ราย สงขลา 53 ราย และสุราษฎร์ธานี 52 ราย สำหรับประเทศไทยยังพบคลัสเตอร์ในหลายพื้นที่ ทั้งคลัสเตอร์โรงงาน ตลาด พิธีกรรมทางศาสนา เช่น มีผู้เดินทางจาก จ.ขอนแก่น ไปร่วมงานศพที่ จ.เลย คลัสเตอร์สถานศึกษา โรงเรียน ที่ จ.แม่ฮ่องสอน ศรีสะเกษ นนทบุรี ลำปาง

>> ห่วงร้านแอบขายเหล้า - เชียงใหม่สั่งคุมเข้ม
นอกจากนี้ ยังมีคลัสเตอร์ร้านอาหารและสถานบันเทิง มีหลายพื้นที่ยังพบลักลอบขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะที่จ.เชียงใหม่ จึงมีการเข้มงวดกวดขันที่ไม่ใช่การขอความร่วมมือ แต่จะกำหนดบทลงโทษผู้ที่ไม่ปฏิบัติตาม โดยผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่เน้นย้ำว่า หากสถานประกอบการไม่ปฏิบัติตามมาตรการแล้วเกิดพบการติดเชื้อ จะเสนอให้ปิดล็อกได้บางจุด บางถนน หากบางร้านมีความเข้มงวดแต่ร้านอื่นไม่ทำตาม อาจเกิดผลกระทบเป็นวงกว้าง จึงให้สมาคมผู้ประกอบการเหล่านี้ติดตามเฝ้าระวังกันเอง

>> ‘โอมิครอน’ ก้าวกระโดด ติดพุ่ง 514 คน
พญ.อภิสมัย ยังแถลงความคืบหน้าการรายงานผู้ติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอน จากตัวเลขเมื่อวันศุกร์ที่ 17 ธันวาคมที่ผ่านมาอยู่ที่ 205 ราย ล่าสุดวันนี้ตัวเลขเพิ่มเป็น 514 ราย ถือว่าสัปดาห์นี้ตัวเลขก้าวกระโดด ต้องเน้นย้ำว่าการพบสายพันธุ์โอมิครอนของประเทศยังเป็น 2 ใน 3 คือ ผู้ที่เดินทางเข้าประเทศและมี 1 ใน 3 ที่เป็นการสัมผัสติดเชื้อจากผู้เดินทางเข้ามาในประเทศ

>> คลัสเตอร์กาฬสินธุ์ ลามไม่หยุด!! 
สำหรับคลัสเตอร์ที่มีรายงานจากกรมควบคุมโรค กลุ่มใหญ่จะเป็นคลัสเตอร์กาฬสินธุ์ สามี-ภรรยา เดินทางจากเบลเยียมถึงไทยเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม และจากประวัติไปรับประทานอาหารในผับ ตลาดโรงสี เขตเทศบาลเมือง จ.กาฬสินธุ์ นอกจากผู้ติดเชื้อ 2 รายแรกที่เป็นสามี-ภรรยาแล้ว ยังพบนักดนตรี พนักงานร้าน และพนักงานเสิร์ฟ ลูกค้าผู้ใช้บริการร้านเดียวกันอีก 21 ราย และจากการตรวจสอบผู้สัมผัสเสี่ยงสูง มีการติดเชื้อผลยืนยันผลเป็นสายพันธุ์โอมิครอนสำหรับคลัสเตอร์กาฬสินธุ์ ขณะนี้เพิ่มเป็น 125 ราย ส่วนอีก 97 ราย รอผลยืนยันว่าเป็นสายพันธุ์โอมิครอนหรือไม่ ขณะเดียวกัน คลัสเตอร์กาฬสินธุ์ยังเกี่ยวโยงการติดเชื้อที่ จ.อุดรธานี เพราะจากรายแรกที่เป็นครอบครัวของคลัสเตอร์กาฬสินธุ์ที่มีบ้านอยู่ จ.อุดรธานี และตอนนี้ผู้ติดเชื้อ 1 รายของจ.อุดรธานี ทำให้เกิดติดเชื้อไปยังผู้สัมผัสใกล้ชิดของเคสแรก โดยมีรายงานผู้ติดเชื้อ 6 ราย และจ.ลำพูน อีก 4 ราย เป็นการสัมผัสเคสยืนยันจากคลัสเตอร์กาฬสินธุ์

>> คลัสเตอร์แสวงบุญกระจายหลายจังหวัด
นอกจากนี้ ยังมีคลัสเตอร์ของจ.ปัตตานี รายงานผู้ติดเชื้อ 7 ราย สัมผัสผู้ติดเชื้อที่กลับจากการแสวงบุญที่ประเทศแถบตะวันออกกลาง โดยคลัสเตอร์กลุ่มผู้แสวงบุญ มีรายงานที่จ.นนทบุรี จ.อยุธยา จ.ปทุมธานี และกทม. โดยทั้งหมดอยู่ระหว่างรอยืนยันสายพันธุ์ว่าเป็นโอมิครอนหรือไม่ แต่ที่ยืนยันแน่นอนคือ ที่กทม. 2 ราย ซึ่งเป็นผู้ติดเชื้อที่ติดจากสามีที่เป็นนักบินชาวไนจีเรีย จ.ภูเก็ต และจ.กระบี่ 2 ราย มีประวัติเป็นแม่บ้านทำงานในโรงแรมที่ผู้ติดเชื้อพักอาศัย ส่วนคลัสเตอร์กาฬสินธุ์ จะรายงานไปที่จ.ขอนแก่นและจ.มหาสารคาม และอีกคลัสเตอร์คือผู้ติดเชื้อที่รายงานจากจ.สุรินทร์ เป็นผู้สัมผัสที่ผู้ติดเชื้อรายแรกเดินทางมาจากเดนมาร์ก

>> ไอ - เจ็บคอ - มีไข้ สังเกตอาการยาก
พญ.อภิสมัย กล่าวต่อว่า จากข้อมูลเบื้องต้นอาการผู้ติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอน 41 ราย พบว่ามีอาการไอมากที่สุดถึงร้อยละ 54 ราย รองลงมาคือ เจ็บคอ และเป็นไข้ ส่วนอาการที่พบน้อยที่สุดคือ การรับรู้กลิ่นน้อยลงมีเพียง 1 ราย โดยโอมิครอนเป็นการติดเชื้อทางเดินหายใจในส่วนบน ไม่ลงปอด จึงยากที่จะสังเกตอาการคนใกล้ชิด สาธารณสุขจึงแนะนำให้สวมหน้ากากอนามัยสองชั้นเพื่อป้องกัน

>> ตีปี๊บบูสเตอร์เข็ม 3 ด่วน
อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์โอมิครอนในประเทศไทยทำให้ทั้งไทยและหลายประเทศมีมาตรการตอบโต้ โดยแนะนำให้ประชาชนฉีดบูสเตอร์เข็มสาม เป็นอาวุธที่มีประสิทธิภาพและหลายประเทศเห็นพ้องแนวทางนี้ ในส่วนไทยนั้นอัตราการบูสเตอร์เข็มสามยังน้อยมาก มีผู้ฉีดเข็มสามเพียง 6,226,249 รายเท่านั้น คิดเป็น 8.6% ของประชากร จึงขอให้เร่งรณรงค์เรื่องนี้ สำหรับผู้ฉีดเข็มที่หนึ่งและสองเป็นซิโนแวค หรือซิโนฟาร์ม ให้ฉีดบูสเตอร์เข็มสามหลังจากฉีดเข็มที่สองแล้ว 4 สัปดาห์ ส่วนผู้ที่ฉีดแอสตร้าเซนเนก้าเข็มที่สองแล้ว ให้รอ 3 เดือน จึงไปกระตุ้นเข็มที่สาม เช่นเดียวกับผู้ที่ติดเชื้อแล้ว ให้รอหลังจากหายแล้ว 3 เดือน และ ศบค.ชุดเล็ก ยังมีความห่วงบุคลากรทางการแพทย์ ผู้สูงอายุ และ 7 กลุ่มโรค จึงขอให้ไปฉีดเข็มที่สี่

>> 26 วันเข้าไทย 2.4 แสน - เยอรมันมากสุด
สำหรับตัวเลขผู้เดินทางเข้าประเทศไทยทางอากาศตั้งแต่วันที่ 1 - 26 ธันวาคมมีทั้งสิ้น 240,277 ราย 5 ชาติอันดับแรก ได้แก่ เยอรมนี 20,620 ราย พบผู้ติดเชื้อ 35 ราย สหราชอาณาจักร 16,470 ราย ติดเชื้อ 131 ราย รัสเซีย 12,297 ราย ติดเชื้อ 43 ราย สิงคโปร์ 9,528 ราย ติดเชื้อ 3 ราย และสหรัฐอเมริกา 9,357 ราย ติดเชื้อ 101 ราย

>> ไม่ห้ามจัดปีใหม่ย้ำจังหวัดเข้มมาตรการ
ผู้สื่อข่าวถามถึงการปรับมาตรการเฉลิมฉลองช่วงเทศกาลปีใหม่ หลังพบสายพันธุ์โอมิครอนที่ระบาดเร็วและเริ่มพบเชื้อในประเทศมากขึ้น พญ.อภิสมัยกล่าวว่า ตอนนี้มีหลายจังหวัดที่เข้มงวดกวดขันการจัดเทศกาลปีใหม่ โดยที่ประชุมศบค. เน้นย้ำให้คำนึงถึงประชาชนที่ต้องการดำเนินชีวิตตามปกติ ในช่วงเทศกาลปีใหม่ ไม่ใช่แค่การฉลอง แต่มีหลายครอบครัวต้องการเดินทางกลับไปดูแลผู้สูงอายุ ที่ไม่ได้เจอกันมานาน ดังนั้น เบื้องต้นยังไม่มีมาตรการห้ามจัดเทศกาลปีใหม่ แต่ขอให้แต่ละจังหวัด โดยเฉพาะคณะกรรมการโรคติดต่อกทม.คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด เข้มงวดมาตรการ

เครือข่ายบุหรี่ไฟฟ้า ชี้! นายกนิวซีแลนด์ หนุนมาตรการ ให้ทางเลือกผู้สูบบุหรี่ ยันไม่ปิดกั้นเข้าถึงบุหรี่ไฟฟ้า

นายอาสา ศาลิคุปต ตัวแทนเครือข่ายผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้า “ลาขาดควันยาสูบ” หรือ ECST และแอดมินเพจ “บุหรี่ไฟฟ้าคืออะไร” ซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 100,000 คน เผยหลังมีข่าวรัฐบาลนิวซีแลนด์เคาะมาตรการเด็ดขาดเพื่อหยุดการสูบบุหรี่ในคนรุ่นใหม่ โดยห้ามเด็กเกิดหลังปี 2551 ซื้อบุหรี่หรือผลิตภัณฑ์ยาสูบไปจนตลอดชีวิตว่า “วัตถุประสงค์ของการทำให้นิวซีแลนด์เป็นประเทศปลอดควันมี 2 ส่วนสำคัญคือ 

1.) การควบคุมผลิตภัณฑ์ไร้ควันและสร้างความแตกต่างจากบุหรี่แบบเผาไหม้เพื่อสนับสนุนให้ผู้สูบบุหรี่เลิกบุหรี่หรือเปลี่ยนไปใช้ทางเลือกที่เป็นอันตรายน้อยกว่า

และ 2.) การเข้มงวดกับบุหรี่ซิกาแรตที่มีการเผาไหม้เพื่อค่อย ๆ ให้หมดไป เพราะนิวซีแลนด์ตั้งเป้าหมาย 'Smokefree 2025' เพื่อลดอัตราการสูบบุหรี่ในประเทศให้เหลือต่ำกว่า 5% ภายใน ค.ศ. 2025 ซึ่งมาตรการทั้งหมดมาจากการยอมรับแนวทางการลดอันตรายจากยาสูบ (tobacco harm reduction) และชัดเจนว่ามาตรการดังกล่าวไม่ได้จำกัดการใช้บุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งนิวซีแลนด์มองว่าเป็นเครื่องมือสำคัญในการช่วยเลิกบุหรี่”

นายกรัฐมนตรี จาซินดา อาร์เดิน กล่าวเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า “เรากำลังเห็นการใช้ผลิตภัณฑ์ไร้ควัน (การเวป) เป็นเครื่องมือในการเลิกสูบบุหรี่ของคนจำนวนมาก และนี่ทำให้เราสามารถผลักดันมาตรการต่าง ๆ เพิ่มเติมเพื่อลดการสูบบุหรี่เพราะมีทางเลือกที่ผู้สูบบุหรี่สามารถใช้เลิกสูบบุหรี่ได้อย่างประสบความสำเร็จ เรารู้ว่าการเวปได้สร้างความแตกต่างให้กับคนเหล่านั้นเพื่อเลิกสูบบุหรี่และเป็นเครื่องมือที่สำคัญ”

ป.ป.ช. เปิดเซฟ 3 อดีต ผบ.เหล่าทัพ “บิ๊กแอร์บูล” อู้ฟู่ 108 ล้าน ไร้หนี้สิน ภรรยารวยที่ดิน ด้าน “บิ๊กอุ้ย-บิ๊กณัฐ” รวยเท่ากัน 29 ล้าน  

สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้เปิดเผยบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของอดีตผู้บัญชาการเหล่าทัพ จำนวน 3 ราย ประกอบด้วย 1.พล.อ.อ.แอร์บูล  สุทธิวรรณ กรณีพ้นจากตำแหน่งผู้บัญชาการทหารอากาศ และสมาชิกวุฒิสภา 2. พล.ร.อ.ชาติชาย ศรีวรขาน กรณีพ้นจากตำแหน่งผู้บัญชาการทหารเรือและสมาชิกวุฒิสภา 3.พล.อ.ณัฐ  อินทรเจริญ กรณีพ้นจากตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหมและสมาชิกวุฒิสภา

 โดย พล.อ.อ.แอร์บูล แจ้งว่า ตนเอง และนางพรรณระพี สุทธิวรรณ คู่สมรส มีทรัพย์สินทั้งสิ้น 108,960,960 บาท ไม่มีหนี้สิน โดยเป็นทรัพย์สินของ พล.อ.อ.แอร์บูล 20,590,105 บาท เป็นของนางพรรณระพี 88,370,854 บาท ทรัพย์สินส่วนใหญ่เป็นเงินฝากของทั้งคู่ มูลค่ารวมกัน 16,647,858 บาท เงินลงทุนของทั้งคู่ มูลค่ารวมกัน 10,579,568 บาท ที่ดินในชื่อของนางพรรณระพี 34,732,500 บาท โดยเป็นที่ดินในเขตพญาไท กทม. อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างในชื่อของนางพรรณระพี 29,700,000 บาท ส่วนรายการทรัพย์สินอื่นของทั้งคู่ แจ้งว่า มี 88 รายการ มูลค่ารวมกัน 10,472,200 บาท โดยมีทรัพย์สินที่น่าสนใจ อาทิ ทองคำแท่ง น้ำหนัก 40 บาท สร้อยคอทองคำ แหวนทองประดับเพชร แหวนทองฝังเพชร พระเลี่ยมทอง เครื่องประดับสตรี

 ผู้ยื่นยังแจ้งว่า มีรายได้ต่อปี 2,072,000 บาท แบ่งเป็นเงินเดือน 1,400,000 บาท เบี้ยประชุม 672,000 บาท และมีรายจ่ายต่อปี 980,000 บาท ส่วนคู่สมรส แจ้งว่า มีรายได้ต่อปี 2,018,200 บาท โดยเป็นเงินเดือนและเบี้ยประชุม และมีรายจ่ายต่อปี 960,000 บาท โดยเป็นค่าอุปโภคบริโภค ประกันชีวิต อุปการะมารดา ท่องเที่ยว บริจาค

 ด้าน พล.ร.อ.ชาติชาย แจ้งว่า ตนเอง และนางจุฬารัตน์ ศรีวรขาน คู่สมรส มีทรัพย์สินทั้งสิ้น 29,270,306 บาท มีหนี้สิน 2,661,557 บาท โดยเป็นหนี้สินของ พล.ร.อ.ชาติชาย ซึ่งเป็นเงินกู้จากธนาคารและสถาบันการเงินอื่น โดยทรัพย์สินแบ่งเป็นของ พล.ร.อ.ชาติชาย 25,398,206 บาท เป็นของนางจุฬารัตน์ 3,872,099 บาท ทรัพย์สินส่วนใหญ่เป็นเงินฝากของทั้งคู่ มูลค่ารวมกัน 3,592,045 บาท ที่ดินของ พล.ร.อ.ชาติชาย 9,894,000 บาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างของ พล.ร.อ.ชาติชาย 3,840,000 บาท เงินลงทุนของ พล.ร.อ.ชาติชาย 2,165,670 บาท ส่วนรายการทรัพย์สินอื่นของคู่ แจ้งว่า มี 11 รายการ มูลค่ารวมกัน 5,758,500 บาท โดยมีรายการที่น่าสนใจ อาทิ นาฬิกา ROLEX 2 เรือน สร้อยคอทองคำ พระเลี่ยมทอง สร้อยคอมือ เข็มขัดนาค แหวน 

 ผู้ยื่นยังแจ้งว่า มีรายได้ต่อปี 2,148,000 บาท แบ่งเป็นเงินเดือน 970,000 บาท เงินประจำตำแหน่ง เงินค่าตอบแทน 500,000 บาท เบี้ยประชุม เบี้ยเลี้ยงเดินทาง 650,000 บาท เงินปันผลสหกรณ์ 28,000 บาท ทั้งนี้ ผู้ยื่นและคู่สมรสแจ้งว่า มีรายจ่ายต่อปีรวมกัน 1,751,600 บาท โดยเป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัว ค่าผ่อนบ้าน ค่าเล่าเรียนบุตร 

ทบ. ร่วมหน่วยงานมั่นคง ควบคุมพื้นที่ ดูแลปชช. ชายแดนตาก พร้อมช่วยเหลือผู้หนีภัยความไม่สงบชาวเมียนมาตามหลักมนุษยธรรม พร้อมสั่งเข้มปีใหม่มาตรการป้องกันโควิดทั้งในหน่วยทหารและบ้านพัก

ที่กองบัญชาการกองทัพบก(บก.ทบ.) พ.อ.หญิงศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า  พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ประชุมสรุปสถานการณ์ประจำวันด้วยระบบออนไลน์ ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก ได้รายงานสถานการณ์ชายแดนไทย-เมียนมา ด้าน จ.ตาก ซึ่งปัจจุบันมีการสู้รบในเขตประเทศเพื่อนบ้านระหว่างทหารเมียนมากับชนกลุ่มน้อยอยู่เป็นระยะ  หน่วยงานด้านความมั่นคงทั้งระดับพื้นที่และระดับนโยบาย ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจตระเวนชายแดน ฝ่ายปกครอง อาสาสมัครกู้ภัย ผู้นำชุมชน ได้ร่วมกันติดตามสถานการณ์ในทุกด้าน

รวมทั้งการส่งกำลังพลและยุทโธปกรณ์ลาดตระเวนและเฝ้าตรวจตลอดแนวชายแดนที่ติดกับพื้นที่สู้รบ และพร้อมจะใช้กลไกที่มีอยู่ดูแลอธิปไตยตามหลักสากล  ควบคู่กับการใช้กระบวนการแจ้งเตือนโดยทันทีเมื่อตรวจพบสถานการณ์ที่มีผลกระทบต่ออำนาจอธิปไตย ผลประโยชน์ของชาติและความปลอดภัยของประชาชน เช่น เมื่อมีกระสุนข้ามมาตกยังฝั่งไทย ฝ่ายไทยได้ทำการประท้วงไปยังรัฐบาลเมียนมา ผ่านช่องทางคณะกรรมการชายแดนระดับท้องถิ่นไทย-เมียนมา (TBC) ให้ระมัดระวังเรื่องการใช้อาวุธ และปฏิบัติการทางอากาศ ซึ่งที่ผ่านมาการคลี่คลายผลกระทบดังกล่าวได้ดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย 

โดยผู้บัญชาการทหารบก ได้ย้ำให้ทุกหน่วยดำเนินตามนโยบายของรัฐบาล และ กระทรวงกลาโหม  ในการติดตามสถานการณ์และการปฏิบัติตามแผนป้องกันประเทศของกองกำลังป้องกันชายแดน เพื่อสร้างความปลอดภัยและความมั่นใจให้กับประชาชนในพื้นที่ พร้อมสั่งการให้กองกำลังนเรศวรเข้าดูแลราษฎรไทยที่บ้านเรือนได้รับความเสียหาย จากกระสุนที่พลัดตกเข้ามาในฝั่งไทย ช่วยซ่อมแซมให้คืนสภาพโดยเร็ว รวมถึงการปรับภูมิทัศน์ ที่พักอาศัยของประชาชนชายแดนให้มีความปลอดภัยจากสถานการณ์  

ทั้งนี้ การสร้างความมั่นใจและดูแลความปลอดภัยให้กับราษฎรไทยเป็นเรื่องที่กองกำลังป้องกันชายแดนและหน่วยงานด้านความมั่นคงให้ความสำคัญสูงสุด  สำหรับการช่วยเหลือผู้หนีภัยความไม่สงบชาวเมียนมาให้ยึดตามหลักมนุษยธรรมภายใต้ขีดความสามารถของหน่วยงาน และเมื่อเหตุการณ์สงบลงให้ช่วยอำนวยความสะดวกในการส่งกลับข้ามแดนด้วยความสมัครใจ  ซึ่งส่วนใหญ่ประสงค์จะเดินทางกลับประเทศทันทีอยู่แล้วเมื่อการสู้รบในแต่ละห้วงยุติลง 

ตำรวจสอบสวนกลาง จัดกิจกรรมจิตอาสา “ชีวิตวิถีใหม่ ขับขี่ปลอดภัย ไร้อุบัติเหตุ” เตรียมความพร้อมรองรับประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนาในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2565

บนถนนทางหลวงมอเตอร์เวย์สาย 6 พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก., พล.ต.ต.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา รอง ผบช.ก., พล.ต.ต.ชัช สุกแก้วณรงค์ รอง ผบช.ก. พร้อมด้วย พล.ต.ต.เอกราช ลิ้มสังกาศ ผบก.ทล.พร้อมกำลังจิตอาสา จัดกิจกรรมจิตอาสา “ชีวิตวิถีใหม่ ขับขี่ปลอดภัย ไร้อุบัติเหตุ” เตรียมความพร้อมรองรับประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนาในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2565 โดยมุ่งเน้น “เปิดจุดอับ ขยายจุดสว่าง จุดพักรับรองเพื่อความสุขของประชาชน” ระหว่างวันที่ 29 ธ.ค.64 - 4 ม.ค.65

โดยมีจิตอาสาเข้าร่วมกว่า 200 นาย ประกอบด้วยจิตอาสาตำรวจสอบสวนกลาง  เจ้าหน้าที่แขวงทางหลวงนครราชสีมา , เจ้าหน้าที่ อบต.หนองสาหร่าย , อาสาจราจรตำรวจทางหลวง , จิตอาสาอำเภอปากช่อง ,  ชมรมฮักเขาใหญ่ , วิทยาลัยอาชีวศึกษากุสุมภ์เทคโนโลยี , นักเรียนโรงเรียนบ้านนา (ประสิทธิ์วิทยาคาร), นักเรียนโรงเรียนไตรรัตน์วิทยาคารในพื้นที่ อ.ปากช่อง และประชาชนจิตอาสา ร่วมทำกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาด้านการจราจร พร้อมรับเทศกาลปีใหม่ 2565 ณ บริเวณมอเตอร์เวย์ (M6) สายบางปะอิน – นครราชสีมา ต.หนองสาหร่าย  อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา โดยปรับปรุงภูมิทัศน์ สภาพแวดล้อมเพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุทางถนน เช่น ทาสีเครื่องหมายจราจรให้ชัดเจน ตัดแต่งกิ่งไม้ ตัดหญ้าที่บดบังภูมิทัศน์ เก็บเศษขยะที่อาจทำให้เกิดการกีดขวางการจราจร  และล้างถนน

นอกจากนี้ยังมีการทำกิจกรรมพร้อมกันทั้ง 41 สถานีตำรวจทางหลวงทั่วประเทศ  ถ่ายทอดสดผ่านระบบออนไลน์ เป็นการเตรียมความพร้อมและอำนวยความสะดวก ให้แก่ประชาชนผู้ใช้เส้นทาง สามารถเดินทางได้อย่างปลอดภัย พร้อมกันนี้ ยังได้ร่วมกันรณรงค์ป้องกันอุบัติเหตุจากรถจักรยานยนต์ ตามโครงการแจกหมวกนิรภัยแก่เด็กนักเรียน มอบหมวกนิรภัยให้กับเด็กนักเรียน โรงเรียนในพื้นที่ อ.ปากช่อง

สำหรับการดูแลอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยให้แก่พี่น้องประชาชนในการเดินทางกลับภูมิลำเนา ในเทศกาลปีใหม่ 2565 นั้น ตำรวจทางหลวง ได้ประสาน กรมทางหลวง ในการคืนพื้นผิวการจราจรในจุดซ่อมสร้างต่าง ๆ ขอความร่วมมือผู้ประกอบการรถบรรทุกในการงดเดินรถบรรทุกในบางเส้นทาง พร้อมเตรียมเปิดช่องทางพิเศษและเส้นทางเลี่ยง เพื่อให้ประชาชนสามารถเดินทางได้สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง และอาสาจราจรตำรวจทางหลวง ที่ได้ผ่านการฝึกอบรมแล้ว มาช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงดูแลและอำนวยความสะดวกให้กับพี่น้องประชาชน 

สำหรับประชาชนที่ต้องเดินทางไกล ขับรถเป็นระยะเวลานาน อาจทำให้เกิดความเหนื่อย เมื่อยล้า  ตำรวจสอบสวนกลาง โดย กองบังคับการตำรวจทางหลวง ได้จัดห้องพักฟรีทั่วไทย จากใจตำรวจทางหลวง ไว้รองรับประชาชน สามารถจอดรถแวะพักได้ หรือจะพักค้างคืนได้เช่นกัน โดยได้จัดห้องพัก อาหาร ห้องน้ำ wifi และเจลแอลกอฮอล์ไว้บริการ ซึ่งทุกหน่วยบริการฯ จะมีการตรวจคัดกรองตามมาตรการป้องกันโควิด-19 อย่างเข้มงวด และภายในที่พักยังมีโครงการเศรษฐกิจพอเพียง ประชาชนสามารถเข้าไปศึกษาหาความรู้  ขอคำแนะนำจากตำรวจทางหลวงได้ และสามารถนำผลิตผลทางการเกษตรกลับไปได้อีกด้วย ทั้งนี้ ประชาชน ที่สนใจสามารถจองที่พักได้ที่ www.booking.hwpdth.com หรือ สแกนผ่าน QR Code  

 

พิธีปล่อยแถวสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยด้านการท่องเที่ยววิถีใหม่ (New Year New Normal 2022)

กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ได้จัดพิธีปล่อยแถวสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยด้านการท่องเที่ยววิถีใหม่ (New Year New Normal 2022) ณ ลานหน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ถ.พระราม 1 แขวงปทุมวัน เขตปทุมวัน กทม. และการตรวจเยี่ยมมาตรการดูแลคัดกรองประชาชนที่มาใช้บริการห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิร์ล พร้อมตรวจเยี่ยมข้าราชการตำรวจ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ปฏิบัติหน้าที่ ดูแลนักท่องเที่ยวและประชาชนในห้วงการระบาดของโรคโควิด 19 ทุกสายพันธ์ โดยมีนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา ให้เกียรติเป็นประธานในพิธี

กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว โดย พล.ต.ท.สุคุณ พรหมายน ผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ได้จัดให้มีการปล่อยแถวสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยด้านการท่องเที่ยววิถีใหม่ (New Year New Normal 2022) ในการอำนวยความสะดวก ปกป้องคุ้มครอง และรักษาไว้ซึ่งชีวิตและทรัพย์สินของนักท่องเที่ยวและประชาชน ตามนโยบายของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติแต่จากสถานการณ์ในปัจจุบันทุกภาคส่วนได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิดซึ่งทุกคนต้องอยู่ในมาตรการการป้องกันไวรัส โควิดทุกสายพันธ์อย่างเข้มแข็ง และในส่วนของการท่องเที่ยวไทยนั้นเน้นการปรับตัวให้เป็นการท่องเที่ยว ที่มีความรับผิดชอบ (Responsible Tourism)

ซึ่งถือว่าจะเป็นการท่องเที่ยววิถีใหม่ยุคหลังโควิดที่จะทำให้การท่องเที่ยวของไทยนั้นยั่งยืน ซึ่งสอดรับกับนโยบายของรัฐบาล และในส่วนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัทร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้มอบนโยบายให้ กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ดำเนินงานการบูรณาการและทำงานเชิงรุกร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงสาธารณสุข หน่วยงานในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และหน่วยงานภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจท่องเที่ยวไทย ทั้งนี้ เพื่อป้องกันเหตุร้าย สร้างความปลอดภัยด้านการท่องเที่ยววิถีใหม่ให้กับนักท่องเที่ยว  โดยตระหนักถึงความสำคัญในการดูแลรักษา ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้กับประชาชน ควบคู่กับการดูแลสุขภาพของประชาชนในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ทุกสายพันธ์ เป็นสำคัญ

“มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เสริมสร้าง อนาคตเด็กไทย” มอบทุนการศึกษาทุกระดับปีสุดท้าย และทุนการศึกษาต่อเนื่องทุกระดับชั้น ประจำปี 2564

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง โดย นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการมูลนิธิฯ  เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยนายสัก กอแสงเรือง รองประธานกรรมการ นางศิริกุล โอภาสวงศ์ กรรมการและเลขาธิการ และคณะกรรมการมูลนิธิฯ ร่วมในพิธีมอบเงินทุนต่อเนื่องในทุกระดับชั้น และทุนทุกระดับปีสุดท้ายแก่เยาวชนที่ประพฤติดีแต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ในระดับชั้นมัธยมศึกษา อาชีวศึกษา และอุดมศึกษา รวม 119 สถาบัน จำนวน 836 ทุน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 11,675,000 บาท (สิบเอ็ดล้านหกแสนเจ็ดหมื่นห้าพันบาทถ้วน)  เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) มูลนิธิฯ ได้จัดให้มีมาตรการการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสภายในพื้นที่อย่างเข้มข้น รวมทั้งมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการมอบทุนฯ โดยประสานผู้แทนจากสถาบันการศึกษาแต่ละแห่ง เป็นตัวแทนรับมอบทุนการศึกษา ระหว่างวันที่ 27-29 ธันวาคม 64 ณ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พลับพลาไชย กรุงเทพฯ


การมอบทุนการศึกษาแก่เยาวชน นักเรียน นิสิต และนักศึกษา ผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ เป็นหนึ่งในนโยบายหลักของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งในด้านงานสังคมสงเคราะห์ เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระครอบครัวและช่วยเหลือเยาวชนของชาติไม่ให้ขาดโอกาสทางการศึกษา ต้องละทิ้งหรือยุติการศึกษา เพราะขาดแคลนทุนทรัพย์ ให้มีโอกาสศึกษาจนจบหลักสูตรในแต่ละระดับชั้น ช่วยสร้างอนาคตให้เยาวชนตามที่มุ่งหวัง เป็นคนดี มีความรู้ เป็นทรัพยากรมีคุณภาพของสังคมและประเทศชาติ โดยเมื่อเดือนกันยายน 2564 ที่ผ่านมา มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้มอบทุนการศึกษาระดับชั้นประถมแก่เยาวชนที่ประพฤติดี แต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ ประจำปี 2564 จำนวน 1,500 ทุน รวมทั้งยังได้มอบทุนการศึกษาในส่วนภูมิภาค ซึ่งในปีพ.ศ. 2564 นี้  ได้มอบให้กับนักเรียน นิสิต นักศึกษาในภาคใต้ ประกอบด้วย จังหวัดตรัง สงขลา นครศรีธรรมราช  สุราษฎร์ธานี พัทลุง และ กระบี่ รวมทั้งสิ้น 6 จังหวัด จำนวน 53 สถาบัน 265 ทุน 
รวมงบประมาณการมอบทุนการศึกษา ประจำปี 2564 เป็นเงินทั้งสิ้น 16,930,000 บาท (สิบหกล้านเก้าแสนสามหมื่นบาทถ้วน) 

สำรวจความสนใจคนไทย ผ่าน FB และ IG จากรายงาน ‘ที่สุดของปี 2564’ ของ Meta

ในขณะที่ผู้คนต่างตั้งตารอปี 2565 ที่กำลังจะมาถึง Meta ได้เผยรายงาน “ที่สุดของปี 2564” (2021 Year in Review) เพื่อแบ่งปันเรื่องราว เหตุการณ์ และช่วงเวลาที่ส่งผลต่อคนไทย และทำให้ปีที่ผ่านมานี้สร้างการเชื่อมต่อถึงกันมากขึ้น และยังมีความหมายมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

เรื่องราวต่าง ๆ ครอบคลุมการพูดคุยและโพสต์บน Facebook และ Instagram ทั้งจากวัคซีนป้องกันโควิด-19 ไปจนถึงการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่กรุงโตเกียวปี 2563 และแม้แต่การทำสวนและอาหาร

Meta กล่าวไว้ว่า “ทุก ๆ ปี รายงานที่สุดของปีสะท้อนแนวคิดที่กำหนดด้วยคำสำคัญยอดนิยมของปีนั้น ๆ สำหรับปี 2564 ได้แก่ โควิด สุขภาพ กีฬา และหลากหลายหัวข้อไลฟ์สไตล์ที่โดนใจคนไทยทั้งใน Facebook และ Instagram”

โควิดและสุขภาพ: คำว่า ‘วัคซีน’, ‘อาการ’ และ ‘การตรวจ’ เป็นหัวข้อที่ได้รับความนิยมสูงสุดในแนวคิดนี้ ขณะที่ประเทศไทยกำลังต่อสู้กับการระบาดของเวฟ 2 และ 3 ของโควิด-19 ที่ตามกันมาอย่างต่อเนื่อง และผู้คนก็ได้หันมาใช้ Facebook และ Instagram เพื่อขอความช่วยเหลือและเชื่อมต่อกัน และทำให้เกิดการค้นหาคำว่า ‘วัคซีน’ และหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับการฉีดวัคซีน เนื่องจากคนไทยรู้จักที่จะอยู่อย่างปลอดภัยและมองหาการสร้างภูมิคุ้มกันให้ตนเองจากไวรัส

เรื่องจริงที่น่าสนใจเกี่ยวกับสยามที่ต่างชาติพยายามหยิบยกมาถก 

ไม่นานมานี้ Post Today ได้รวบรวมการพูดคุยของชาวเน็ตต่างชาติ ที่ได้ตั้งกระทู้พูดคุยกันบนเว็บไซต์ Quora ในหัวข้อ ‘อะไรคือเรื่องจริงที่น่าสนใจที่สุดเกี่ยวกับประเทศไทย’ (What are the most interesting facts about Thailand?) ซึ่งมีผู้แสดงความคิดเห็นราว 56 รายการ แต่มีการคัดเรื่องที่น่าสนใจมาไว้ดังนี้...

>> ผู้ใช้ชื่อ Unmesh Kulkarni กล่าวว่าเรื่องที่น่าสนใจสำหรับเขาคือร้านสะดวกซื้อในไทยมักมีหมาข้างถนนนอนตากแอร์อยู่หน้าประตู

>> Ava Bhatt หญิงชาวรัสเซีย อดีตที่ปรึกษาสายการบินกาตาร์ แอร์เวย์ส ตื่นเต้นกับการใช้พุทธศักราชของไทย โดยกล่าวว่า "มันเหมือนกับว่าเรามีไทม์ไลน์ที่ต่างกัน อย่างตอนนี้เรามาถึงค.ศ. 2019 แต่ที่ไทย 2562 แล้ว ก็บอกได้เลยว่าเราไปท่องอนาคต"

“คนไทยไม่รีบไปไหนเลย” Ava Bhatt กล่าวว่าจากประสบการณ์ของเขา เขาพบว่าคนไทยชอบที่จะนอนเล่นและทำตัวสบายๆ นอกจากนี้ยังพบว่าคนไทยชอบทานอาหารนอกบ้านมากกว่าทำกับข้าวเองที่บ้าน และการนั่งบนขั้นบันไดหรือทางเท้าเป็นเรื่องปกติ

อีกสิ่งหนึ่งที่เธอพบคือการใช้ถนนหนทางในประเทศไทยนั้นลำบากมาก ประการแรกคือหลายคนไม่ปฏิบัติตามกฎจราจร และเธอไม่คุ้นชินกับการจราจรซ้ายมือ แท็กซี่ก็มีราคาแพง สิ่งที่เธอทำได้คือการเช่ารถจักรยานในราคา 600 รูเบิลรัสเซีย

>> Vishwas Virani จากอินเดียกล่าวว่าเรื่องที่ได้เรียนรู้จากการมากรุงเทพมหานครคือการถอดเสื้อขับรถเป็นเรื่องผิดกฎหมาย รวมถึงการออกจากบ้านโดยไม่สวมกางเกงในด้วย ซึ่งมีหลายคอมเมนต์ที่พูดถึงประเด็นนี้เช่นกัน

เขายังทิ้งท้ายแบบติดตลกว่าหากเขาเกิดที่ประเทศไทยคงต้องใช้เวลาครึ่งชีวิตในคุก

>> ผู้ใช้ชื่อ Alexander Dow กล่าวว่าเรื่องจริงที่น่าสนใจคือผัดไทยเป็นอาหารไทยที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก แต่สำหรับคนไทยแล้วมันไม่ใช่อาหารยอดนิยมขนาดนั้น

นอกจากนี้เขายังกล่าวว่ากรุงเทพมหานครกำลังได้รับอิทธิพลจากนักท่องเที่ยวและชาวต่างชาติมากขึ้นอย่างมาก สังเกตได้จากร้านอาหารเกาหลี ญี่ปุ่น ที่เพิ่มจำนวนขึ้นเต็มไปหมด ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเคยเห็นร้านอาหารเกาหลีเหนือ ที่เสิร์ฟอาหารต้นตำรับเกาหลีเหนือจริงๆ ด้วย

อีกสิ่งที่น่าสนใจคือประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ไม่เคยตกเป็นอาณานิคมของมหาอำนาจยุโรปอย่างฝรั่งเศสและอังกฤษ นอกจากนี้ไทยยังเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศทั่วโลกที่ขับรถพวงมาลัยขวา

>> Tarun Madan กล่าวว่าเขาไม่เคยพบประเทศไหนที่มีที่นั่งสำหรับพระสงฆ์บนรถสาธารณะอย่างเช่นรถไฟฟ้าเหมือนกับประเทศไทย

>> Andy Cruise ชาวต่างชาติซึ่งอาศัยในประเทศไทยกล่าวว่าคนไทยจะต้องถอดรองเท้าเมื่อเข้าบ้านแม้ว่าพื้นบ้านจะสกปรกกว่ารองเท้าก็ตาม โดยกล่าวว่าเขาที่มาจากวัฒนธรรมที่ต่างกันอาจรู้สึกไม่สุภาพนิดหน่อยที่เจ้าของบ้านบอกให้แขกถอดรองเท้า แต่บ้านของคุณรกมาก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top