Monday, 9 June 2025
ECONBIZ

‘รองนายกฯ พีระพันธุ์’ เล็งยกร่างกฎหมายปาล์มน้ำมัน ช่วยเกษตรกร หลังหยุดหนุนน้ำมันเชื้อเพลิงชีวภาพ ปี 69 หวังสร้างความเป็นธรรมทุกฝ่าย

เหลือเวลาอีกหนึ่งปีนิด ๆ โดยปี 2569 จะเป็นปีสุดท้ายที่กองทุนน้ำมันฯ จะชดเชยราคา เชื้อเพลิงชีวภาพ ซึ่งได้แก่ ไบโอดีเซล และเอทานอล แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่า ประเทศไทยจะยกเลิกการผสมเชื้อเพลิงชีวภาพในน้ำมันเชื้อเพลิง เพราะเมื่อถึงตอนนั้นแล้ว ราคาขายปลีกน้ำมันน่าจะยิ่งสูงขึ้น แต่เนื่องจากในปัจจุบันราคาเชื้อเพลิงชีวภาพอยู่ในระดับสูงกว่าน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นเท่าตัว ทำให้เมื่อผสมแล้วแทนที่จะทำให้น้ำมันเชื้อเพลิงถูกลงแต่กลับกลายเป็นยิ่งทำให้ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงแพงขึ้น ซึ่งทำให้ผิดไปจากเดิมวัตถุประสงค์ในการนำเชื้อเพลิงชีวภาพมาผสมในน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อลดราคาน้ำมันเชื้อเพลิงลง

ปัจจุบันไทยมีน้ำมันเชื้อเพลิงผสมน้ำมันเชื้อเพลิงชีวภาพ 2 ชนิดได้แก่ (1) ไบโอดีเซล (Biodiesel) หรือ Fatty acid methyl ester (FAME) คือ น้ำมันที่ผลิตมาจากพืช ซึ่งถือเป็น 'เชื้อเพลิงทางเลือก' ที่ผลิตได้จากชีวภาพ เช่น ปาล์ม ทานตะวัน ถั่วเหลือง สบู่ดำ มะพร้าว หรือ ผลิตมากจากไขมันสัตว์หรือน้ำมันที่ผ่านการใช้งานแล้วซึ่งเป็นสารจำพวกไตรกลีเซอไรด์ ก็สามารถนำมาผลิตไบโอดีเซลได้โดยนำมาผ่านกระบวนการทางเคมี โดยไทยใช้น้ำมันปาล์มเป็นน้ำมันชีวภาพหลักสำหรับไบโอดีเซล และ (2) แก๊สโซฮอล คือ การเอาน้ำมันเบนซินพื้นฐาน มาผสมกับแอลกอฮอล ซึ่งจะกลายเป็นน้ำมันสูตรใหม่ที่เรียกว่า 'น้ำมันแก๊สโซฮอล'

- น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 ได้จากการนำน้ำมันเบนซินพื้นฐานชนิดที่ 1 ผสมกับ เอทานอล หรือเอทิลแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ 99.5% ในอัตราส่วน 10 % 
- น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 ส่วนผสมเช่นเดียวกับน้ำมันแก๊สโซฮอล 91 แต่ผสมจากการนำน้ำมันเบนซินพื้นฐานชนิดที่ 2 
- น้ำมันแก๊สโซฮอล Gasohol (E20) ส่วนผสมเช่นเดียวกับน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 แต่ผสมในอัตราส่วน 20% 
- น้ำมันแก๊สโซฮอล Gasohol E85 น้ำมันแก๊สโซฮอลที่ผสมเอทานอลบริสุทธิ์สูงถึง 85% กับน้ำมันเบนซิน 15% เป็นเชื้อเพลิงที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Environmentally Friendly Fuel) เนื่องจากมลพิษที่ปล่อยจากไอเสียน้อยมากเมื่อเทียบกับเบนซิน

แต่จุดประสงค์ของการนำไบโอดีเซลมาผสมในดีเซล เอทานอลผสมในเบนซิน ในความเป็นจริงแล้วไม่ได้ทำเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร แต่ต้องการนำมาผสมเพื่อได้ปริมาณน้ำมันเพิ่มขึ้นเป็นการช่วยลดต้นทุนราคาน้ำมัน ลดรายจ่ายจากการนำเข้าน้ำมันให้ประเทศ เนื่องจากกระบวนการอุดหนุนเกิดขึ้นต่อเนื่องยาวนานจนทำให้กลายเป็นความเข้าใจทั่วไปว่า กระบวนการดังกล่าวเกิดขึ้นเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร แต่ความจริงแล้วความช่วยเหลือต่อเกษตรกรเป็นเพียงผลพลอยได้ ทั้งนี้ต้องเข้าใจด้วยว่า อันที่จริงแล้วภารกิจของกระทรวงพลังงานไม่ได้มีบทบาทหลักในการช่วยเหลือเกษตรกรเลย แต่ต้องรับผิดชอบดูแลสืบเนื่องมาจากนโยบายเชื้อเพลิงชีวภาพได้ถูกดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องและยาวนานมาแล้ว ทั้งยังไม่มีหน่วยงานอื่นใดร่วมช่วยคิดเพื่อแก้ปัญหา กระทรวงพลังงานจึงต้องรับหน้าที่ดังกล่าวเพื่อช่วยหาทางออกให้กับเกษตรกรไปก่อน แล้วหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องทั้งกระทรวงเกษตรฯและกระทรวงพาณิชย์จะต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลในส่วนที่เกี่ยวข้องกับภารกิจหลักของทั้ง 2 กระทรวงนี้ต่อไป

โดย 7 พฤศจิกายน 2567 รองพีร์ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เพื่อพิจารณาแนวทางการกำหนดสัดส่วนของน้ำมันไบโอดีเซล B100 ในช่วงที่ราคาน้ำมันปาล์มดิบ (CPO : Crude Palm Oil) สูงขึ้นมาก ซึ่งได้ข้อสรุปว่า ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันราคา CPO ที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้ราคาไบโอดีเซลอยู่ที่ประมาณ 48 บาทต่อลิตร หรือราว 2 เท่าของราคาเนื้อน้ำมัน ทำให้ต้นทุนน้ำมันดีเซลสูงขึ้นตามไปด้วย และจะส่งผลให้ราคาน้ำมันดีเซลที่ขายให้พี่น้องประชาชนมีราคาสูงขึ้นด้วย ดังนั้น เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชน และเพื่อให้การจัดการราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ที่ประชุม กบง. จึงมีมติเห็นชอบการกำหนดสัดส่วนการผสมไบโอดีเซลเป็นดังนี้ 
- น้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา ไม่ต่ำกว่า 5% และไม่สูงกว่า 7% โดยปริมาตร (ส่วนผสมไบโอดีเซลลงถูกปรับจาก B7 เป็น B5)
- น้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 20 ไม่ต่ำกว่า 19% และไม่สูงกว่า 20% โดยปริมาตร
ซึ่งไม่ส่งผลกระทบต่อเครื่องยนต์แต่อย่างใดโดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 21 พฤศจิกายน 2567เป็นต้นไป

ทั้งนี้ รองพีร์มีแนวคิดที่จะนำรูปแบบการแก้ปัญหาเรื่องอ้อยกับน้ำตาล ตามพ.ร.บ.อ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2527 มาปรับใช้เพื่อเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาเรื่องอ้อยและน้ำตาลซึ่งหากปล่อยไว้โดยเฉพาะปาล์มน้ำมันจะได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก จึงได้มีการเตรียมพร้อมเพื่อยกร่างกฎหมายที่คล้ายกันกับพ.ร.บ. อ้อยและน้ำตาลฯ ให้เป็นกฎหมายสำหรับปาล์มน้ำมันต่อไป โดยที่อุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มอยู่ในความรับผิดชอบกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรองพีร์ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีด้วย จะมีการทำงานร่วมกันระหว่างสองกระทรวงเพื่อรองรับเมื่อเชื้อเพลิงชีวภาพต้องถูกยกเลิกการชดเชยจากกองทุนน้ำมัน ฯ ในปี 2569 

โดยกฎหมายอ้อยและน้ำตาลภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงอุตสาหกรรมจะมีส่วนช่วยทำให้การผลิตและจำหน่ายอ้อยและน้ำตาลทรายสอดคล้องกันกับชาวไร่อ้อยและโรงงานน้ำตาลทรายในการร่วมมือกับทางการ ตั้งแต่ผลิตอ้อยไปจนถึงการจัดสรรเงินรายได้จากการขายน้ำตาลทรายทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งทุกวันนี้กลายเป็นระบบที่ดีเกษตรกรพอใจที่ได้ผลประโยชน์เพิ่มมากขึ้นนอกจากนี้แล้ว รองพีร์ยังได้มองถึงการผลิตเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel) หรือ SAF เพื่อเป็นอีกแนวทางหนึ่งในการพัฒนาเชื้อเพลิงชีวภาพในอนาคต หากมีความต้องการสูงขึ้นจะสามารถดูดซับวัตถุดิบอย่างปาล์มน้ำมันไปใช้เพิ่มได้ แต่ต้องมีการวางแนวทางพัฒนาเชื้อเพลิงชีวภาพเพื่อให้รากฐานเข้มแข็ง เป็นการสร้างความมั่นใจในการลงทุนของผู้ประกอบการทั้งในและต่างประเทศต่อไป

'รัฐมนตรีเฉลิมชัย' เดินหน้าป่าชุมชนยั่งยืนลดโลกร้อนมอบ 'อลงกรณ์-ปรพล' ถอดรหัส สระบุรี แซนด์บ็อกซ์ เมืองคาร์บอนต่ำสร้างโมเดลป่าชุมชน-ป่าคาร์บอนต้นแบบก่อนขยายผลทั่วประเทศ

นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานสถาบันเอฟเคไอไอ. ประธานมูลนิธิเวิลด์วิว ไครเมทและรองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ พรรคประชาธิปัตย์ในฐานะคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติเเละสิ่งเเวดล้อม กล่าวในงานสัมมนาเวิร์คช็อป พลเมืองเคลื่อนรัฐครั้งที่ 3 หัวข้อ 'ป่าชุมชนสระบุรีเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน' ว่า ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมีนโยบายให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์ การฟื้นฟู การใช้ประโยชน์ทรัพยากรป่าไม้อย่างยั่งยืนเพื่อชุมชนและนโยบายลดโลกร้อนโดยเพิ่มพื้นที่สีเขียวเพื่อบรรลุเป้าหมายสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี2050และคาร์บอนเป็นศูนย์ในปี2565ถือเป็นนโยบายเรือธงเพื่อแก้ปัญหาโลกร้อน

การประชุมผนึกความร่วมมือระหว่างภาคเอกชน ภาครัฐ ภาควิชาการ ผู้นำท้องถิ่นและภาคประชาชนในจังหวัดสระบุรี ซึ่งมีเจตนารมย์ร่วมกันให้จังหวัดสระบุรีเป็นต้นแบบ 'เมืองคาร์บอนต่ำ' หรือ 'SARABURI LOW CARBON CITY' โดยเน้นใน 5 ภาคส่วน คือ ภาคอุตสาหกรรม ภาคพลังงาน ภาคการกำจัดขยะของเสีย ภาคเกษตรกรรม และภาคการเพิ่มพื้นที่สีเขียวถือเป็นตัวอย่างต้นแบบการบูรณาการทุกภาคส่วนที่น่าชื่นชมโดยเฉพาะการขับเคลื่อนโครงการพัฒนาป่าชุมชนเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน (Forests for the Sustainable Future)จำนวน 45 แห่งในจังหวัดสระบุรี 

ภายใต้เครือข่ายคณะกรรมการจัดการป่าชุมชนแห่งละ 15 คน รวมทั้งสิ้นประมาณ 675 คนและขยายความร่วมมือกับอาสาสมัครของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเช่นเครือข่ายอาสาสมัครพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหมู่บ้าน (ทสม.) อีกราว 2,000 คน เครือข่ายที่ปรึกษาอุทยานแห่งชาติ และที่ปรึกษาเขตห้ามล่าสัตว์ป่า จำนวน 100 คนจะเป็นการขับเคลื่อนที่มีพลังสู่ความสำเร็จด้วยการบูรณาการของภาคีภาคส่วนต่างๆรวมทั้งหน่วยงานสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในจังหวัดสระบุรี ได้แก่ สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดสระบุรี สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 5 สระบุรี  สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 1 สระบุรี  สำนักสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 7  สำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 2 สระบุรี  สำนักงานทรัพยากรน้ำบาดาลเขต 3 สระบุรี 

ป่าชุมชนนอกจากมีอรรถประโยชน์ใช้สอยเพื่อชุมชนแล้วยังมีความหลากหลายทางชีวภาพ(Biodiversity)เพื่อเดินหน้าสู่ไบโอเครดิต(Bio Credit)ทั้งยังเป็นแหล่งอาหารของชุมชน(Community Food Bank)และสามารถพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติสร้างเศรษฐกิจฐานรากให้เข้มแข็ง รวมทั้งสามารถดำเนินการเรื่องคาร์บอนเครดิตเพื่อเศรษฐกิจสีเขียวอีกด้วย

”จากผลการประชุมในวันนี้จะถอดรหัส สระบุรี แซนด์  บ็อกซ์(Saraburi Sandbox) เมืองคาร์บอนต่ำเพื่อสร้างโมเดลป่าชุมชน-ป่าคาร์บอนต้นแบบโดยจะนำเสนอต่อดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.ทส. พิจารณาขยายผลไปยังจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศต่อไป” นายอลงกรณ์กล่าวในที่สุด

ในการสัมมนาเวิร์คช็อปครั้งนี้ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้วยมอบหมายนายอลงกรณ์ พลบุตร คณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายปรพล อดิเรกสาร ที่ปรึกษาสมาคมการท่องเที่ยวสระบุรีเเละหน่วยงานสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในสระบุรีเข้าประชุมงานสัมมนาเวิร์คช็อป 'พลเมืองเคลื่อนรัฐครั้งที่ 3' หัวข้อ 'ป่าชุมชนสระบุรีเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน' 

จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ(กพร.)และมูลนิธิคอนราด อเดนาวร์เมื่อวันที่11 พ.ย.ที่ผ่านมาที่ลีลาวดีรีสอร์ต อ.เมือง จ.สระบุรีร่วมกับนายบัญชา เชาวรินทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรี นางอารีย์พันธ์ เจริญสุข รองเลขาธิการ กพร. ดร.บัณฑูร เศรษฐศิโรตม์ ประธานอนุกรรมการพัฒนาระบบราชการ นายบุญมี สรรพคุณ หนึ่งในผู้ริเริ่มสระบุรีแซนด์บ็อกซ์ นายเสกสรร กวยะปาณิก รักษาการผู้อำนวยการสำนักจัดการป่าชุมชน กรมป่าไม้และภาคีภาคส่วนต่างๆเช่นจังหวัดสระบุรี สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ. )องค์การบริหารก๊าซเรือนกระจก กองทุนสิ่งแวดล้อม สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ(สพภ.BEDOThailand) องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน(อพท.) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง โรงงานและบริษัทต่างๆในพื้นที่เช่น เอสซีจี. เคมีแมน สยามฟูรูกาว่า ซีพีเมจิ ทีพีไอโพลีน เบทาโก เป็นต้นและเครือข่ายป่าชุมชนเพื่อร่วมกันขับเคลื่อนสระบุรีให้เป็นเมืองคาร์บอนต่ำ ( SARABURI LOW CARBON CITY )ภายใต้แนวทางOpen Gov. for SRI สระบุรี เเซนด์บ็อกซ์ (Saraburi Sandbox)ด้วยโครงการ 'ป่าชุมชนสระบุรีเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน'

ข้อมูลประกอบ:
ประเทศไทยมีการจัดตั้งป่าชุมชนในพื้นที่กรมป่าไม้ 12,231 แห่ง เนื้อที่ 6,308,712 ไร่ นอกจากนั้น ยังมีป่าชุมชนในพื้นที่กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ชุมชนที่ดูแลรักษาป่าชุมชนจะถูกโน้มน้าวให้เข้าร่วมโครงการ โดยมีเงินทุนสนับสนุน และมีการแบ่งปันผลประโยชน์จากการค้าคาร์บอนเครดิตจำนวนหนึ่ง

ข้อมูล ณ เดือนกันยายน 2566 พบว่า ป่าชุมชน 211 แห่ง ในพื้นที่ 18 จังหวัด กำลังกลายเป็นป่าคาร์บอน โดยเป็นป่าชุมชน (ป่าบก) 129 แห่ง ป่าชุมชนชายเลน 82 แห่ง รวมปริมาณการดูดกลับก๊าซคาร์บอน ประมาณ 1,904,463 ตันของคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

ข้อมูลในปี 2564 ป่าธรรมชาติและป่าเศรษฐกิจในประเทศไทยมีการดูดกลับก๊าซเรือนกระจกรวมกัน 100 ล้านตันของคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ดังนั้น ยังเหลือตามเป้าหมายอีก 20 ล้านตันของคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ซึ่งต้องเพิ่มพื้นที่สีเขียวทุกประเภท ร้อยละ 55 ของพื้นที่ประเทศ รวมเนื้อที่ 177.94 ล้านไร่ ภายใน พ.ศ. 2580 เพื่อเป็นแหล่งกักเก็บก๊าซคาร์บอน และก๊าซเรือนกระจกอื่นๆ ในขณะที่ปัจจุบันมีพื้นที่สีเขียว ร้อยละ 39.60 รวมเนื้อที่ 128.12 ล้านไร่ ดังนั้น ต้องเพิ่มพื้นที่สีเขียว ประมาณ 49.82 ล้านไร่

OR ปฏิรูปสู่องค์กรดิจิทัล สร้าง Business Intelligence ทุกมิติ ยกระดับธุรกิจน้ำมันและค้าปลีก

(12 พ.ย.67) OR เปิดตัวแผนปฏิรูปดิจิทัล หรือ Digital Transformation Journey ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในยุคดิจิทัล มุ่งยกระดับธุรกิจน้ำมันและค้าปลีกสู่อนาคต พร้อมสร้างโอกาสใหม่และเสริมความแข็งแกร่งให้กับพอร์ตโฟลิโอธุรกิจ และการพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืนในทุกมิติ

นายดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เปิดเผยว่า OR ในฐานะผู้นำธุรกิจน้ำมันและค้าปลีกชั้นนำของประเทศประกาศความพร้อมเพื่อก้าวสู่การเปลี่ยนผ่านองค์กรครั้งสำคัญ ผ่านเส้นทางการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล หรือ 'Digital Transformation Journey' ที่จะครอบคลุมในทุกมิติของการดำเนินธุรกิจ โดยมีเป้าหมายที่การเพิ่มประสิทธิภาพขององค์กรและการส่งเสริมเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว 

โดยมุ่งเน้นการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารต้นทุนตลอดห่วงโซ่อุปทาน ทั้งกลุ่มธุรกิจ Mobility และ Lifestyle เพื่อส่งเสริมการตัดสินใจได้อย่างแม่นยำ ตลอดจนเพิ่มโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ 

สร้างประสบการณ์ที่ดีสำหรับผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การบริหารสินค้าคงคลังแบบเรียลไทม์ (Real Time) การวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง (Advanced Data Analytics) เพื่อการตัดสินใจ ไปจนถึงการพัฒนาบริการใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค 

นายภากร สุริยาภิวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านธุรกิจดิจิทัลและโซลูชัน OR เปิดเผยว่า การปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ครั้งนี้จะเป็นมากกว่าการนำเทคโนโลยีมาใช้ โดยเป็นการปรับวัฒนธรรมองค์กรให้พร้อมรับมือกับอนาคต ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยธุรกิจต่าง ๆ และเพิ่มความสามารถในการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาด 

ทั้งยังเสริมสร้างพอร์ตโฟลิโอธุรกิจด้วยนวัตกรรมดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็นการกระจายสินค้าและการสร้างประสบการณ์เชิงดิจิทัลให้แก่ลูกค้า รวมถึงการเปิดโอกาสธุรกิจใหม่ ๆ ผ่านการร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับผู้พัฒนานวัตกรรม เช่น ธุรกิจ Virtual Bank และธุรกิจกาแฟ เป็นต้น

OR ยังมุ่งมั่นในการพัฒนาบุคลากร และปลูกฝังวัฒนธรรมดิจิทัลให้เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมองค์กร หรือ OR DNA ตลอดจนสร้างสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม เพื่อให้การปฏิรูประบบดิจิทัลในครั้งนี้จะเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมน้ำมันและธุรกิจค้าปลีกของไทย และช่วยสร้างอนาคตที่ยั่งยืนของอุตสาหกรรมต่อไป

KTC จัดโปรใหญ่ส่งท้ายปี 2024 จับมือพาร์ทเนอร์ 40 ราย เอาใจสายเที่ยวไทย-เที่ยวนอก

(11 พ.ย.67) เคทีซี หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ร่วมมือกับพันธมิตรท่องเที่ยวชั้นนำกว่า 40 ราย เปิดตัวแคมเปญ 'KTC Super Travel Deal ส่งท้ายปี 2024' พร้อมสิทธิพิเศษที่คุ้มค่า 3 ต่อ ตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2567 - 31 ธันวาคม 2567 ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่ชื่นชอบการวางแผนการเดินทางด้วยตนเองและมองหาสิทธิพิเศษผ่านช่องทางออนไลน์

นางสาววริษฐา พัฒนรัชต์ ผู้บริหารสูงสุดฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต 'เคทีซี' หรือ บริษัท บัตร กรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในหมวดท่องเที่ยวเติบโตอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันคาดการณ์ว่าช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีที่ถือเป็นช่วงไฮซีซั่น สมาชิกจะเริ่มมองหาจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศเพื่อพักผ่อนเคทีซีจึงได้ออกแคมเปญ 'KTC Travel Super Deal ส่งท้ายปี 2024 รับคุ้ม 3 ต่อ เอาใจนักเดินทาง'

คุ้มที่ 1: รับส่วนลดสูงสุด 50 % และโปรโมชั่นสุดพิเศษ (Exclusive promotion) จากพันธมิตรที่ร่วมรายการกว่า 40 ราย สมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีจองผลิตภัณฑ์ท่องเที่ยวกับพันธมิตรที่ร่วมรายการ เช่น เว็บไซต์จองท่องเที่ยวออนไลน์ยอดนิยม เช่น อโกด้า (Agoda) / ทริปดอทคอม (Trip.com) / ทราเวลโลก้า(Traveloka) / แอร์เอเชีย มูฟ (AirAsia Move) / สกายฟัน ทราเวล (Skyfun Travel)

จองโดยตรงกับโรงแรม เช่น วาลา หัวหิน - นู แชปเตอร์ โฮเทลส์  (VALA Hua Hin - Nu Chapter Hotels) / อนันตรา หัวหิน รีสอร์ท (Anantara Hua Hin Resort) / อินเตอร์คอนติเนนตัล พัทยา รีสอร์ท (InterContinental Pattaya Resort) จองตั๋วโดยสารสายการบิน เช่น ไทยเวียตเจ็ท แอร์ (Thai Vietjet Air) / อีวีเอ แอร์ (EVA Air) / กาตาร์ แอร์เวย์ส (Qatar Airways)

ผู้ให้บริการด้านการท่องเที่ยว เช่น เคทีซี เวิลด์ ทราเวล เซอร์วิส (KTC World Travel Service) / มัลดีฟส์ เอ็กซ์เพิร์ทส (Maldives Experts) รถเช่า บัดเจ็ท คาร์ เรนทัล (Budget Car Rental) / ชิค คาร์ เรนทัล (Chic Car Rental) สถานที่เที่ยว สยามอะเมซิ่งพาร์ค (Siam Amazing Park) จองสถานที่เที่ยวอื่น เคเคเดย์ (KKday)  

คุ้มที่ 2: แลกคะแนนสะสมรับเครดิตเงินคืนสูงสุด 15% เมื่อใช้คะแนนสะสมตามกำหนด จำกัดการแลกคะแนนไม่เกินยอดชำระเงินต่อเซลส์สลิป และลงทะเบียนทุกครั้งภายในวันที่ทำรายการใช้จ่าย ผ่านบัตรฯ เมื่อต้องการใช้คะแนนแลกรับเครดิตเงินคืน

คุ้มที่ 3: ฟรี บัตรกำนัลห้องพักจากโรงแรมชั้นนำ เช่น แพ็กเกจรีสอร์ท Hurawalhi Maldives จาก มัลดีฟส์ เอ็กซ์เพิร์ทส / แพ็กเกจท่องเที่ยวดานัง เวียดนาม จาก สกายฟัน ทราเวล / โรงแรมวาลา หัวหิน / โรงแรมเดอะสแตนดาร์ด /บัตรกำนัลล่องเรือยอร์ช ที่ Oce Yachting / บัตรกำนัลรับประทานอาหารแหลมเจริญซีฟู้ด / บัตรชมภาพยนตร์เฟิร์สคลาส ที่ เอส เอฟ ซีเนม่า รวมมูลค่ากว่า 350,000 บาท สำหรับสมาชิกที่มียอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตสูงสุด 50 ราย ณ พันธมิตรที่ร่วมรายการ และลงทะเบียนเข้าร่วมแคมเปญ ตามรอบระยะเวลาที่กำหนด

‘ภาวะเศรษฐกิจไทย’ เร่งไม่ขึ้น รอลุ้นโค้งสุดท้ายปลายปี หลังพายุหมุนทางเศรษฐกิจยังไม่ก่อตัว แม้อัดฉีดแล้ว 1.4 แสนล้าน

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการค้าปลีก (RSI) เดือนตุลาคม ปรับดีขึ้นจากเดือนก่อน และอยู่สูงกว่าระดับ 50 ทั้งความเชื่อมั่นต่อยอดขายสาขาเดิม (SSSG) การใช้จ่ายต่อใบเสร็จ (Spending per bill) และความถี่ของผู้ใช้บริการ (Frequency) รวมทั้งความเชื่อมั่นฯ ปรับดีขึ้นในทุกประเภทร้านค้าและทุกภูมิภาค โดยส่วนหนึ่งจากผลงานของโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ (ปี 2567) 10,000 บาท สำหรับความเชื่อมั่นฯ ในอีก 3 เดือนข้างหน้า มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเป็นสำคัญ 

ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้สำรวจ โดยมีผู้ตอบแบบสำรวจผลของโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ (ปี 2567) 10,000 บาท ราว 60% ของธุรกิจค้าปลีก ประเมินว่า โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ นี้ ส่งผลให้ยอดขายปรับเพิ่มขึ้น โดยส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นไม่เกิน 5% เมื่อเทียบกับช่วงปกติที่ไม่มีมาตรการ และมีถึง 41% ที่ตอบแบบสำรวจว่า ยอดขายใกล้เคียงเดิม

ยอดสะสมของการโอนเงินให้แก่กลุ่มเป้าหมาย ตั้งแต่วันที่ 25-30 กันยายน 2567 สั่งจ่ายเงิน 14.44 ล้านคน โอนสำเร็จแล้วรวมทั้งสิ้น 14.05 ล้านคน และการโอนเงินไม่สำเร็จจำนวน 381,287 คน โดยจะมีรอบการโอนเงินซ้ำให้กลุ่มที่โอนไม่สำเร็จ 22 ตุลาคม , 22 พฤศจิกายน และ 22 ธันวาคม 2567

หากเทียบเม็ดเงินที่ใช้กระตุ้นเศรษฐกิจตามโครงการนี้ เบิกจ่ายไปแล้วไม่ต่ำกว่า 140,500 ล้านบาท แต่ผลสำรวจร้านค้าปลีก ยอดขายปรับเพิ่มขึ้นไม่เกิน 5% !!!!

พายุหมุนทางเศรษฐกิจ จะเริ่มเมื่อไหร่? คงรอกิจกรรมส่งเสริมการขายช่วงท้ายปี จากผู้ค้าปลีก เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

ยอดขายอสังหาริมทรัพย์ก็ยังคงหดตัวลงอย่างต่อเนื่อง การจำหน่ายวัสดุก่อสร้างก็ลดลงเป็นเงาตามตัว ซึ่งส่วนสำคัญคือ สินเชื่อบ้านในทุกระดับราคา ยังคงถูกสถาบันการเงินปฏิเสธการให้สินเชื่อ 

ภาวะเศรษฐกิจไทย คงยังเร่งไม่ขึ้น ได้กระแสข่าวทางหน้าสื่อส่วนใหญ่ ไปกับข่าวทนายตั้ม กลบประเด็นทางเศรษฐกิจไปหมด ทั้งข่าวโรงงานผลิตรถยนต์ทยอยลดเวลางาน เพื่อลดต้นทุนค่าจ้าง ลามไปถึงโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ที่กำลังเป็นกระแส ผู้คนสนใจรถประหยัดพลังงาน ยังเร่งยอดขายไม่ขึ้น เลิกจ้างพนักงานไปอีก 600 คน ที่ จังหวัดฉะเชิงเทรา 

มารอดูกันว่า ปลายปีนี้ รัฐบาลจะงัดใช้มาตรการอะไร มาส่งท้ายในการใช้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แต่คงไม่กระเตื้องมากขึ้นนัก กับเวลาที่เหลือไม่ถึง 2 เดือน ลุ้นกันดีกว่า ว่า ภาคเอกชน จะมีโปรโมชั่นอะไรมาจูงใจให้ประชาชนจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ส่งท้าย...ปี มังกรทอง

Reference : ธนาคารแห่งประเทศไทย :
https://www.facebook.com/share/p/1DGYmhUHxK/

‘วิรไท’ ย้ำ อย่าให้การเมืองครอบงำแบงก์ชาติ หวั่นส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจไทย

'ดร.วิรไท' อดีตผู้ว่าการ ธปท. เตือนอย่าให้การเมืองแทรกแซง ครอบงำแบงก์ชาติ หวั่นเป็นอันตรายต่อเศรษฐกิจไทย ทำลายความน่าเชื่อถือธนาคารกลาง และทำลายหน่วยงานหลักทางเศรษฐกิจของประเทศให้อ่อนแอ ชี้ไม่ใช่แค่แบงก์ชาติ แต่เป็นเรื่องอนาคตของชาติ

(11 พ.ย.67) จะมีการประชุมคัดเลือกประธานกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คนใหม่ หลังจากที่เลื่อนมาจากเมื่อวันที่ 4 พ.ย. โดยมีนายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ อดีตปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธานคณะกรรมการสรรหาฯ เพื่อคัดเลือก 1 ใน 3 รายที่เป็นแคนดิเดต

สำหรับรายชื่อแคนดิเดตประธานกรรมการแบงก์ชาติมี 3 ราย ประกอบด้วย ‘นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง’ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เสนอโดยกระทรวงการคลัง ‘นายกุลิศ สมบัติศิริ’ อดีตปลัดกระทรวงพลังงาน เสนอโดยแบงก์ชาติ และ ‘นายสุรพล นิติไกรพจน์’ ศาสตราจารย์ประจำสาขากฎหมายมหาชน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เสนอโดยแบงก์ชาติ

ด้านดร.วิรไท สันติประภพ อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ได้โพสต์เฟซบุ๊ก Veerathai Santiprabhob ระบุว่า ขอย้ำอีกครั้งนะครับ ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของแบงก์ชาติ แต่เป็นเรื่องอนาคตของชาติ

candidate ชื่ออะไรไม่สำคัญ แต่ถ้ามีประวัติเป็นคนการเมืองแบบแนบแน่น มีทัศนคติและวิธีคิดที่อยากแทรกแซงการทำงานของธนาคารกลางเพื่อตอบโจทย์การเมือง ก็ไม่สมควรครับ

ถ้าเรายอมให้ฝ่ายการเมืองส่งคนการเมืองเข้ามาครอบงำแบงก์ชาติได้โดยง่าย จะเป็นอันตรายยิ่งต่อการรักษาเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจไทย ทำลายความน่าเชื่อถือของธนาคารกลาง และทำลายหน่วยงานหลักทางเศรษฐกิจของประเทศให้อ่อนแอจนไม่เหลือสักหน่วยงานเดียวที่จะทัดทานนโยบายเศรษฐกิจที่ไม่ถูกไม่ควรได้

ต่อไปเราคงเห็นนโยบายประชานิยมแบบปลายเปิดเต็มไปหมด ไม่มีใครสนใจวินัยการเงินการคลัง มีแต่นโยบายที่หวังผลประโยชน์ระยะสั้นเพื่อตอบโจทย์การเมืองเป็นหลัก ในอนาคตนโยบายการเงิน และนโยบายสถาบันการเงินก็อาจจะถูกทำให้กลายพันธุ์เป็นนโยบายประชานิยมไปด้วยก็ได้ครับ

“11.11 ร่วมด้วยช่วยกันป้องกันอย่าให้การเมืองเข้ามาครอบงำแบงก์ชาติได้โดยง่ายครับ”

‘ลอรี่ พงศ์พล’ เปิดงานสุราชุมชน จ.แพร่ เน้น!! ส่งเสริมผลิตภัณฑ์ สานต่อภูมิปัญญา

(10 พ.ย. 67) นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและโฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ร่วมเป็นเกียรติในพิธีเปิดกิจกรรมผลิตภัณฑ์ Soft Power แพร่ ‘แพร่ แข็ง จ๊ด ครั้งที่ 3’ พร้อมกล่าวมอบนโยบายการส่งเสริมผลิตภัณฑ์ชุมชน ณ ลานเพลินอีซูซุแพร่ บริษัท อีซูซุแพร่ จำกัด อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ 

เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมฯ กล่าวว่า ปัจจุบันการส่งเสริมผลิตภัณฑ์ชุมชนมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการแปรรูปเกษตรกรรมให้มีมูลค่าสูง เพื่อการเซฟ SME ไทย ตามแนวทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์) โดยเฉพาะสินค้าเกษตรในท้องถิ่นจังหวัดแพร่อย่างข้าวเหนียว ข้าวโพด สับปะรด เมื่อนำไปแปรรูปเป็นสุรากลั่นชุมชนอย่างถูกต้องตามประกาศและระเบียบที่ใช้บังคับ มีมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.) สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มจากสินค้าเกษตรกรรมเดิมให้กับผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชนมากขึ้นกว่า 10 เท่า  และยังเป็นการสร้างมูลค่าเชิงอัตลักษณ์ ที่โดดเด่นไม่มีใครเหมือน สานต่อภูมิปัญญาดั้งเดิมของจังหวัดแพร่ที่มาอย่างยาวนาน

โดยทางกระทรวงอุตสาหกรรมนั้น ได้ขานรับนโยบายดังกล่าว ผ่านโครงการ ‘ส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์’ โครงการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 เพื่อผลักดันให้สามารถส่งเสริมและพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์ใน 2 สาขา ได้แก่ แฟชั่น และอาหาร ซึ่งการจัดงานในวันนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมภายใต้การดำเนินงานโครงการฯ ที่กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ร่วมกับหน่วยงานเครือข่ายในพื้นที่ จัดขึ้นเพื่อสร้างโอกาสทางการตลาดให้กับอาหารพื้นถิ่น และผลิตภัณฑ์อาหารชุมชน และที่เกี่ยวข้องของจังหวัดแพร่ให้เป็นที่รู้จักและเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเพิ่มมากขึ้น ตลอดจนเพื่อยกระดับคุณภาพมาตรฐานและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับอาหารพื้นถิ่น และผลิตภัณฑ์อาหารชุมชนของจังหวัดแพร่ สู่การเป็น Soft Power ไทย รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่เป็นภูมิปัญญาที่สืบทอดกันมา อาทิ เฟอร์นิเจอร์และผลิตภัณฑ์ไม้สัก ผลิตภัณฑ์ผ้าหม้อห้อม ผลิตภัณฑ์จากการตีเหล็ก และสุรากลั่นพื้นบ้านจากพืชผลทางการเกษตร ที่มีการพัฒนาจากรุ่นสู่รุ่น มีอัตลักษณ์โดดเด่น ดังนั้นจึงควรมีการฟื้นฟู สืบสาน และสร้างสรรค์พัฒนาสู่การผลิตสินค้า และบริการที่มีมูลค่า มีศักยภาพในการพัฒนาเชิงเทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อให้จังหวัดแพร่ เป็นฐานการผลิตหัตถอุตสาหกรรมเชิงสร้างสรรค์โดยใช้ฐานความรู้ เทคโนโลยี ศิลปวัฒนธรรม และการออกแบบร่วมสมัย เพื่อตอบสนองต่อกระแสความต้องการของตลาด ต่อยอดสู่การเป็น Soft Power ของประเทศไทยในอนาคต

รองโฆษกรัฐบาล เผย!! ต้องดูแล นทท. ให้ดี หลัง ‘Agoda’ ยกให้เป็นที่หนึ่ง ด้าน ‘ททท.’ เดินหน้าจัด ‘อีเว้นท์กระตุ้นการท่องเที่ยว’ รับไฮซีซั่นปลายปี

(9 พ.ย. 67) นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นิตยสารด้านการท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมในสหรัฐอเมริกาอย่าง Travel + Leisure ได้จัดอันดับให้ประเทศไทยให้เป็นจุดหมายแห่งการท่องเที่ยวแห่งปี 2568 จากเสน่ห์ Soft power ที่โดดเด่นของไทยทั้งด้านวัฒนธรรม อาหาร การผสานความเป็นไทยเข้ากับความทันสมัยได้อย่างลงตัว ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นจุดหมายที่ต้องห้ามพลาดสำหรับนักท่องเที่ยวในปีหน้า ขณะที่แต่ละภูมิภาคของไทยมีอัตลักษณ์ที่งดงาม น่าหลงใหลและน่าค้นหา โดยเฉพาะเมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯ ที่มีความโดดเด่นในฐานะเมืองแห่งวัฒนธรรม มีร้านอาหารชั้นเลิศ และชุมชน LGBTQ+  
(2025 Destination of the Year) (https://www.travelandleisure.com/thailand-destination-of-the-year-2025-8726182

ขณะที่แพลตฟอร์มดิจิทัลด้านการท่องเที่ยวระดับโลก ‘อโกด้า’ (Agoda) ได้จัดอันดับให้ กรุงเทพฯ เป็นอันดับที่ 1 ของ 10 จุดหมายปลายทางที่ได้รับการจองเที่ยวบินมากที่สุด และเป็นอันดับ 2 ของ 10 จุดหมายปลายทางที่ได้รับความนิยมสูงสุด และประเทศไทย เป็นประเทศที่ได้รับการจองมากที่สุดอันดับ 2 ของโลก แสดงถึงศักยภาพและจุดแข็งของแหล่งท่องเที่ยวไทย ที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวมาสัมผัสกับประสบการณ์กิจกรรมการท่องเที่ยวที่น่าสนใจ รวมถึงการตะลุยชิมอาหารรสเลิศในกรุงเทพฯ  และสามารถเที่ยว ชิล ริมหาด บนเกาะกว่า 1,430 แห่งซึ่งการท่องเที่ยวไทยตอบโจทย์ในทุกรูปแบบ 

นางสาวศศิกานต์ กล่าวต่อไปว่า รัฐบาลได้กำชับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ให้มีความพร้อมในการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศไว้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปี 2567 (พฤศจิกายน-ธันวาคม) ที่ถือเป็นช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว (High season) รวมถึงมาตรการต่างๆ ของรัฐบาลที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการเดินทางสู่ไทย ทั้งมาตรการ Ease of traveling การยกเว้นบัตร ตม.6 รวมถึงการกระตุ้นและส่งเสริมให้สายการบินเพิ่มจำนวนเที่ยวบินมากยิ่งขึ้น

การจัดอันดับ เป็นเครื่องยืนยันถึงศักยภาพและความสำเร็จของไทยในการเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวที่หลากหลาย ทั้งในด้านธรรมชาติ กิจกรรม และวัฒนธรรม นายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ได้มีนโยบายส่งเสริมภาคการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเปิดงาน Thailand Winter Festivals ชวนคนไทยและชาวต่างชาติ เที่ยวเมืองไทยเพื่อสร้างรายได้ กระตุ้นเม็ดเงินทางเศรษฐกิจให้กลับคืนสู่ประชาชนต่อไป รองโฆษกรัฐบาล กล่าวทิ้งท้าย

‘อัครเดช’ ชู!! ‘เอกนัฏ’ มีวิสัยทัศน์ สนับสนุน ผู้ผลิตชิ้นส่วนในประเทศ ผลักดัน!! ให้ไทย เป็นฐาน ‘อุตสาหกรรมรถ EV’ มีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง

(9 พ.ย. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี เขต 4 พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า 

เมื่อเร็ว ๆ นี้ ทาง GAC AION ได้จัดงาน AION Sourcing Day มีผู้ผลิตชิ้นส่วนในประเทศได้รับคัดเลือกให้เจรจาธุรกิจเป็นรายบริษัทกับ GAC AION จำนวน 74 บริษัท คาดจะก่อให้เกิดมูลค่าซื้อขายชิ้นส่วนในประเทศ 2,250 ล้านบาท

ทั้งนี้ ความสำเร็จดังกล่าว เกิดขึ้นจาก GAC AION ได้ตัดสินใจสร้างฐานการผลิตแห่งแรกนอกประเทศจีนที่ประเทศไทย ด้วยมูลค่าเงินลงทุนกว่า 5,600 ล้านบาท เพื่อผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (BEV) กำลังการผลิต 20,000 คันต่อปี และยังมีแผนจะขยายการลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่อง

นายอัครเดช กล่าวต่อว่า การลงทุนของ GAC AION ในครั้งนี้ยังได้มีการใช้ชิ้นส่วนรถยนต์จากผู้ผลิตในประเทศไทยมากกว่าที่ BOI กำหนดไว้ที่ 40% จึงเป็นความสำเร็จอย่างยิ่งของการเติบโตแบบยั่งยืนในอุตสาหกรรมรถยนต์ EV ของประเทศ

ความสำเร็จในครั้งนี้เกิดขึ้นจากวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนของนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม โดยก่อนหน้านี้คณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรมได้เชิญนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ซึ่งในขณะนั้นดำรงตำแหน่ง เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ  ร่วมพบปะและหารือกับผู้บริหารระดับสูงของ GAC AION 

ในคราวนั้นนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ได้ขอให้ทาง GAC AION สนับสนุนการใช้ชิ้นส่วนยานยนต์จากผู้ผลิตในประเทศให้มากกว่าที่ทาง BOI กำหนดที่ 40% เพื่อส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(SME) รวมถึงผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ในประเทศไทย อีกทั้งพิจารณาให้ผู้ผลิตของไทยเป็นคู่ค้าที่สำคัญของทาง GAC AION และเพิ่มศักยภาพในการผลิตผ่านการถ่ายโอนองค์ความรู้และเทคโนโลยีในการผลิต จนนำมาสู่ความร่วมมือตามที่ได้มีการจัดงานAion Sourcing Day ไปเมื่อเร็ว ๆ นี้

เมื่อนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้มีการนัดหารือกับผู้บริหารของบริษัท GAC AION พร้อมด้วย นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ ประธานคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม และนายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อผลักดันโครงการดังกล่าว ส่งเสริมให้โครงการดังกล่าวเป็นโครงการต้นแบบสำหรับนักลงทุนหรือผู้ผลิตรถยนต์ EV ที่จะใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตในการส่งเสริมการใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศจากผู้ประกอบการของคนไทยหรือผู้ประกอบการ SME ไทย

สำหรับแนวทางดังกล่าวจะเห็นว่า เป็นเรื่องที่นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ก่อนรับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และเมื่อได้รับตำแหน่งดังกล่าวแล้ว จึงได้ส่งเสริมแนวนโยบายดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง 

นายอัครเดช กล่าวต่ออีกว่า ในเดือนธันวาคมที่จะถึง ทาง GAC AION ได้เชิญนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมไปเยือนมณฑลกวางตุ้ง สาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อพบผู้นำระดับสูงของมณฑลเพื่อสานต่อความร่วมมือทั้งในด้านการค้าและการลงทุนในอุตสาหกรรมอื่น ๆ อีกด้วย

‘แพทองธาร’ เตรียมทะยานฟ้า บินไปร่วมประชุม ‘เอเปค’ เผย!! มีเป้าหมายดึงนักลงทุนมาไทย เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

(9 พ.ย. 67) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีกำหนดการเดินทางเยือนนครลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา และร่วมการประชุมผู้นำประเทศเขตความร่วมมือทางเศรษฐกิจ เอเซีย-แปซิฟิก (เอเปค) ครั้งที่ 31 ณ กรุงลิมา สาธารณรัฐเปรู ในระหว่างวันที่ 10-18 พฤศจิกายน 2567นี้ โดยภารกิจแรกนายกรัฐมนตรีจะออกเดินทางเยือนนครลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา และจะพบกับทีมไทยแลนด์เป็นครั้งแรกเพื่อมอบนโยบายแก่เอกอัครราชทูต กงสุลใหญ่ และหัวหน้าสำนักงานทีมประเทศไทยในภูมิภาคอเมริกา เพื่อขับเคลื่อนความร่วมมือกับประเทศในภูมิภาคอเมริกา ให้เป็นไปตามเป้าหมายตามนโยบายของรัฐบาลที่เน้นประชาชนเป็นศูนย์กลาง เน้นส่งเสริมความร่วมมือด้านความมั่นคงและ ความมั่นคงของมนุษย์ การส่งเสริมการค้าการลงทุนเพิ่มเติมในอุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่เป็นเป้าหมายของไทย

นายจิรายุ กล่าวว่า นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังเน้นนโยบายส่งเสริมความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม พลังงานสะอาดและเศรษฐกิจสีเขียวและการส่งเสริม soft power อีกด้วย โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้พบปะ แลกเปลี่ยนและรับฟังความคิดเห็นกับพี่น้องคนไทยที่อาศัยอยู่ในสหรัฐฯ ซึ่งปัจจุบันมีกว่า 4แสนคน และที่แอลเอยังเป็นชุมชนไทยในต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดในโลกมีคนไทยอาศัยอยู่ประมาณ 107,000 คน ส่วนใหญ่ประกอบธุรกิจส่วนตัว และทำงาน ร้านอาหารไทย และนักศึกษาในทุกระดับ

นายจิรายุกล่าวต่อไปว่า ส่วนกำหนดการเข้าร่วมการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเซียแปซิฟิก หรือ เอเปค ครั้งที่ 31 ณ กรุงลิมา สาธารณรัฐเปรู ซึ่งประกอบไปด้วยประเทศสมาชิก 21 ประเทศ อาทิ ไทย สหรัฐอเมริกา เปรู ชิลี แม็กซิโก รัสเซีย ออสเตรเลีย แคนาดา ญี่ปุ่น จีน ฮ่องกง นิวซีแลนด์ ฯลฯ โดยนายกรัฐมนตรีจะหารือกับผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคและแขกพิเศษของประธานเอเปค นอกจากนี้ ยังจะหารือระหว่างผู้นำเอเปคกับสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปคในช่วงระหว่างการเลี้ยงรับรองอาหารกลางวัน ในการประชุมสุดยอดผู้นำภาคเอกชนของเอเปค ประจำปี 2567 และการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคในรูปแบบ Retreat อีกด้วย

“นายกรัฐมนตรีจะใช้การเข้าร่วมเวทีระดับโลกนี้ เพื่อแสดงความมุ่งมั่นของไทยในการมีส่วนร่วมในเวทีพหุภาคี สร้างความเชื่อมั่น และยืนยันความต่อเนื่องของนโยบายต่างๆ ที่ รัฐบาลไทยพร้อมจะมีส่วนร่วมสำคัญในการขับเคลื่อนเป้าหมายกรุงเทพฯ ว่าด้วยเศรษฐกิจ BCG ในที่ประชุม เอเปค พร้อมใช้โอกาสนี้ หารือทวิภาคีกับผู้นำเขตเศรษฐกิจที่เข้าร่วมการประชุมฯ อาทิ นางดินา เอร์ซิเลีย โบลัวร์เต เซการ์รา (H.E. Ms. Dina Ercilia Boluarte Zegarra) ประธานาธิบดีสาธารณรัฐเปรู โดยมีเป้าหมายที่จะเชิญชวนนักลงทุนให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากยิ่งขึ้น“ นายจิรายุ กล่าว

นายจิรายุ ยังกล่าวว่า สำหรับความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิก หรือ เอเปค (Asia-Pacific Economic Cooperation : APEC) คือเวทีความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2532 โดยมีเป้าหมายหลักคือการส่งเสริมการเปิดเสรีการค้าการลงทุน รวมถึงความร่วมมือในด้านมิติสังคมและการพัฒนาเพื่อนำไปสู่การสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ครอบคลุม ยั่งยืน และความมั่งคั่งของประชาชนในภูมิภาค ปัจจุบันเอเปคมีสมาชิก 21 เขตเศรษฐกิจประกอบด้วย ประเทศไทย ออสเตรเลีย แคนาดา ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สาธารณรัฐประชาชนจีน ฮ่องกง นิวซีแลนด์ สหรัฐอเมริกา บรูไน อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน ชิลี เม็กซิโก ปาปัวนิวกินี เปรู รัสเซีย และเวียดนาม

นายจิรายุ กล่าวอีกด้วยว่า เอเปคดำเนินงานโดยยึดหลักฉันทามติ ความเท่าเทียมกัน และผลประโยชน์ร่วมกัน ของประเทศสมาชิก ทั้งนี้ ที่ประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคปี 2564 ได้รับรองวิสัยทัศน์ปุตราจายา ค.ศ. 2040 (Putrajaya Vision 2040) เพื่อกำหนดทิศทางการดำเนินงานของเอเปคในระยะข้างหน้า โดยมุ่งเน้นประเด็นสำคัญ 3 ด้าน ได้แก่ (1) การค้าและการลงทุนเสรี (2) นวัตกรรมและการใช้ประโยชน์จากดิจิทัล และ (3) การเติบโตทางเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง สมดุล มั่นคง ยั่งยืน และครอบคลุม

‘GDSI’ ปักหมุด!! ลงทุนประเทศไทย เตรียมทุ่มงบ 1 พันล้านดอลลาร์ สร้าง!! ‘ศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ไฮเปอร์สเกล’ ภายในนิคมฯ อมตะซิตี้ ชลบุรี

(9 พ.ย. 67) บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) ประกาศการลงนามข้อตกลงซื้อขายที่ดินกับบริษัท GDS International ผู้พัฒนาศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ชั้นนำจากแปซิฟิก เพื่อสร้างศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ไฮเปอร์สเกลในประเทศไทย บนพื้นภายในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี เพื่อตอบสนองความต้องการที่เติบโตอย่างรวดเร็วของธุรกิจระบบคลาวด์และการจัดเก็บข้อมูลที่มีความปลอดภัยสูง ซึ่งจะสนับสนุนการพัฒนากลยุทธ์ด้านเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน โดยคาดว่าใช้งบประมาณลงทุนถึง 1 พันล้านดอลลาร์ในช่วง 5 ปี ข้างหน้า

นายวิกรม กรมดิษฐ์ ประธานกรรมการ บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การที่ GDS International เลือกนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี เป็นที่ตั้งศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ไฮเปอร์สเกลแห่งแรกในประเทศไทย สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพของอมตะ และรู้สึกยินดีกับโอกาสในการร่วมมือกับหนึ่งในผู้นำสำคัญของธุรกิจศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ระดับโลก ความร่วมมือครั้งนี้จะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ทั้งสองฝ่าย และเป็นโอกาสสำคัญในการเติบโตเคียงข้างกัน ในฐานะผู้นำด้านการพัฒนานิคมอุตสาหกรรม เรามุ่งมั่นสนับสนุนความต้องการที่หลากหลายของภาคอุตสาหกรรมอย่างครบวงจร โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจดิจิทัลกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โครงการนี้ยังมีส่วนสำคัญในการส่งเสริมการใช้ระบบดิจิทัลและคลาวด์เพื่อผลักดันเศรษฐกิจในพื้นที่จังหวัดชลบุรี ให้เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจที่สำคัญในภูมิภาค และมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการลงนามในครั้งนี้ครอบคลุมการเข้าซื้อที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี และการบริการด้านพลังงานหมุนเวียน อาทิ พลังงานแสงอาทิตย์บนผิวน้ำ (floating solar power)

นายวิลเลียม หวง ประธานของ GDS International กล่าวว่า การเข้ามาลงทุนในประเทศไทยครั้งนี้เรามีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจดิจิทัลในเอเชียและตอบสนองความต้องการโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์และ AI ของประเทศไทย พร้อมกับการสร้างระบบนิเวศดิจิทัลที่เติบโตต่อเนื่อง การสนับสนุนจากภาครัฐบาลไทย สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (IEAT) ทำให้เราเชื่อมั่นในการเลือกประเทศไทยเป็นฐานสำคัญของเราในอาเซียน โดย GDS International มุ่งมั่นที่จะช่วยเสริมสร้างประเทศไทยให้เป็นผู้นำด้านดิจิทัลในภูมิภาคนี้

นายเจมี่ คู ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ GDS International กล่าวเสริมว่า การเติบโตของเทคโนโลยี AI ทำให้เกิดความต้องการบริการ Colocation เพิ่มขึ้นอย่างมาก เนื่องจากธุรกิจต่าง ๆ ใช้ประโยชน์จาก AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและกระบวนการทำงานที่ดีขึ้น การลงทุนในประเทศไทยครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล แต่ยังเปิดโอกาสในการจ้างงานและพัฒนาทักษะใหม่ ๆ ให้กับแรงงานไทย เราตั้งใจที่จะร่วมมือกับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมและสถาบันการศึกษาในท้องถิ่นเพื่อพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลสำหรับอนาคต

นอกจากการขยายพื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์แล้ว GDS International ยังวางแผนที่จะผสานโซลูชันพลังงานหมุนเวียน เช่น การใช้พลังงานแสงอาทิตย์แบบลอยน้ำและเทคโนโลยีการระบายความร้อนด้วยของเหลว เพื่อลดการใช้พลังงานและตอบโจทย์เป้าหมายความยั่งยืนและความเป็นกลางทางคาร์บอนของประเทศไทย ซึ่งจะช่วยให้การดำเนินงานของศูนย์ไฮเปอร์สเกลนี้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน

นบข.ไฟเขียวมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือก ปี 67/68 ดันราคาสินเชื่อข้าวหอมมะลิ

นบข.ไฟเขียว 3 มาตรการช่วยเหลือชาวนา ที่ได้จากการหารือร่วมกับเกษตรกร โรงสี และผู้ส่งออก เชื่อราคาข้าวปีนี้ไม่ลดลง และทบทวนโครงการปุ๋ยคนละครึ่งให้เกิดการยกระดับกระบวนการผลิตและสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าเกษตร

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) เมื่อวันที่ 8 พ.ย.2567 ว่า ที่ประขุมนบข.ไฟเขียวมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือกปีการผลิต 2567/68 รวม 3 มาตรการ  ประกอบด้วย (1) สินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี เป้าหมาย 3 ล้านตัน วงเงิน 8,362.76 ล้านบาท โดยช่วยค่าฝาก 1,500 บาท/ตัน 

ในกรณีเข้าร่วมกับสหกรณ์ สหกรณ์รับ 1,000 บาท/ตัน เกษตรกรรับ 500 บาท/ตัน เก็บข้าวไว้ในยุ้งฉาง 1–5 เดือน เริ่มตั้งแต่ ครม. มีมติ - 28 ก.พ.2568 และเกษตรกรสามารถนำข้าวไปขอสินเชื่อจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) โดยข้าวหอมมะลิตันละ 12,500 บาท ปรับเพิ่มจากปีก่อนที่ตันละ 12,000 บาท (+500 บาท/ตัน) ข้าวหอมมะลินอกพื้นที่ ตันละ 11,000 ล้านบาท ปรับเพิ่มจากปีก่อนที่ตันละ 10,500 บาท (+500 บาท/ตัน) ข้าวหอมปทุมธานี ตันละ 10,000 บาท ข้าวเจ้า ตันละ 9,000 บาท และข้าวเหนียว ตันละ 10,000 บาท หากข้าวราคาขึ้น เกษตรกรสามารถไปไถ่ถอนออกมา 

เพื่อนำมาจำหน่ายได้ (2) สินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร เป้าหมาย 1.5 ล้านตัน ปรับเพิ่มจากปีก่อนที่เป้าหมาย 1 ล้านตัน  (+0.5 ล้านตัน) วงเงิน 656.25 ล้านบาท โดยสหกรณ์จ่ายดอกเบี้ย 1% รัฐช่วยดอกเบี้ย 3.5% ระยะเวลา 15 เดือน ระยะเวลาการจ่ายสินเชื่อตั้งแต่ ครม. มีมติ -30 ก.ย.2568 และ (3) ชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการเก็บสต๊อก เป้าหมาย 4 ล้านตัน วงเงิน 585 ล้านบาท โดยรัฐช่วยดอกเบี้ย 3% เก็บสต๊อก 2–6 เดือน ระยะเวลารับซื้อตั้งแต่ ครม. มีมติ - 31 มี.ค.2568 

นายพิชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ที่ประชุมยังได้มีการพิจารณาทบทวนโครงการปุ๋ยคนละครึ่ง เนื่องจากการดำเนินการที่ผ่านมา พบว่า ยังมีข้อจำกัดและข้อพิจารณาเกี่ยวกับขั้นตอนและแนวทางการปฏิบัติ จึงได้มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นำกลับไปทบทวนหลักเกณฑ์และวิธีการให้มีความเหมาะสม รัดกุม และสอดคล้องกับหลักการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21 พ.ย.66 โดยให้คงมาตรการหรือโครงการในลักษณะที่เป็นการสนับสนุนการเพิ่มระดับผลิตภาพ (Productivity) ของภาคการเกษตร ผ่านการพัฒนาปรับปรุงคุณภาพดิน การพัฒนาแหล่งน้ำ และสนับสนุนปัจจัยการผลิต เพื่อยกระดับกระบวนการผลิตและคุณภาพผลผลิตทางการเกษตร และให้นำเสนอ นบข. อีกครั้ง

นอกจากนั้น ในการพัฒนาการผลิตข้าวให้มีความยั่งยืนในระยะยาว ได้มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง บริหารจัดการข้าวให้มีความสมดุลกันระหว่างอุปสงค์และอุปทาน คำนึงถึงความเพียงพอในการบริโภคภายในประเทศ และที่สำคัญต้องทำให้ชาวนามีความแข้มแข็งสามารถพึ่งพาตนเองได้ มีรายได้และความเป็นอยู่ที่ดี โดยรัฐบาลจะเดินหน้าส่งเสริมและสนับสนุนด้านตลาดและการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้มากยิ่งขึ้น เพื่อเพิ่มมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าการเกษตร

‘มาคาเลียส’ ชี้!! ปีใหม่นี้ ‘ภาคเหนือ-อีสาน’ สุดปัง นักท่องเที่ยวเตรียมแห่!! รับลมหนาว ยาวไปถึงปีหน้า

(9 พ.ย. 67) นางสาวณีรนุช ไตรจักร์วนิช ประธานกรรมการบริหาร บริษัท มาคาเลียส (MAKALIUS) ประเทศไทย จำกัด ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มท่องเที่ยวออนไลน์ แหล่งรวม อี-วอเชอร์ ที่พัก ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว กล่าวว่า จากการสำรวจกลุ่มผู้บริโภคในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี พบว่า ลูกค้ากว่า 80% ได้ทำการสั่งซื้อและสั่งจองที่พักในพื้นที่ภาคเหนือและภาคอีสาน ได้แก่จังหวัด เชียงใหม่ เชียงราย น่าน ขอนแก่น อุดรธานี  ตั้งแต่เดือนธันวาคมไปจนถึงเดือนมกราคม 2568 เพิ่มขึ้นเป็นพิเศษ โดยมีปัจจัยหลักมาจากสภาพภูมิอากาศที่กำลังเข้าสู่ฤดูหนาว รวมถึงนโยบายการสนับสนุนการท่องเที่ยวจากภาครัฐ นอกจากนี้ในส่วนพื้นที่ภาคตะวันออก อย่าง พัทยา ตราด จันทบุรี และระยอง ก็ยังคงได้รับความสนใจจากกลุ่มลูกค้าไม่แพ้กัน

ดังนั้น ผู้ประกอบการทั้งโรงแรมที่พัก ร้านอาหาร และสถานที่ท่องเที่ยว ต้องเตรียมรับมือเพื่อสร้างความประทับใจให้แก่นักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมาใช้บริการในช่วงเวลาดังกล่าว ทั้งนี้ ในส่วนของ มาคาเลียส ซึ่งถือเป็นผู้ให้บริการแพลตฟอร์มท่องเที่ยวออนไลน์ที่มีจำนวนสมาชิกรวมกว่า 800,000 คน ได้เตรียมดึงกลยุทธ์ที่ Live Streaming มาปรับใช้ เพื่อเพิ่มโอกาสการเข้าถึงลูกค้าและช่วยแก้เพนพ้อยความวิตกกังวลให้แก่ลูกค้าในเรื่องสถานที่พักไม่ตรงปก ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการในยุคปัจจุบัน รองจากความกังวลเรื่องการโดนหลอกและการโกงเงิน

สำหรับแนวทางการสื่อสารโดยรูปแบบ Live Streaming ของมาคาเลียส จะเป็นการผสมผสานระหว่างการไลฟ์สดและการรีวิวซึ่งถือเป็นความเชี่ยวชาญเฉพาะของมาคาเลียส โดยจะทำการไลฟ์จากสถานที่จริง ทั้ง สถานที่ท่องเที่ยว หรือโรงแรมที่พัก ด้วยการพาชมแบบเรียลไทม์ ให้ลูกค้าได้เห็นของจริงก่อนการตัดสินใจทำการจองหรือการซื้อเวาเชอร์ ซึ่งวิธีการดังกล่าวนี้จะทำให้ลูกค้าเชื่อมั่นว่าจะได้รับคุณภาพจากบริการตามที่ได้เห็น และจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและความมีตัวตนของแบรนด์ นอกจากนี้การไลฟ์สดยังทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ การซักถามข้อสงสัยที่สามารถตอบให้กับลูกค้าได้อย่างทันที เช่น ราคาดังกล่าวนี้ รวมบริการอะไรบ้าง เด็กอายุ 12 ปี มีค่าใช้จ่ายเพิ่มหรือไม่ ถ้าต้องการเตียงเสริมต้องชำระเพิ่มเท่าไหร่ เป็นต้น 

นอกจากการ Live Streaming แล้ว มาคาเลียส ยังได้ร่วมมือกับพันธมิตรจัดโปรโมชั่นพิเศษต่าง ๆ มากมายสำหรับกลุ่มลูกค้าชาวไทยที่มีแพลนการท่องเที่ยวในประเทศช่วงสิ้นปีโดยเฉพาะ อาทิ เชียงใหม่ น่าน และ โซนภาคตะวันออก (พัทยา ระยอง ศรีราชา) ที่ลูกค้าสามารถกดจองผ่านทางช่องทางเว็บไซต์และโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ของมาคาเลียสได้อีกด้วย

สำหรับนักท่องเที่ยวที่กำลังมองหาแพ็กเกจโรงแรมที่พักแบบส่วนตัว พร้อมกิจกรรมต่าง ๆ และโปรโมชันสุดพิเศษ สามารถแวะมาชมได้ที่ https://www.makalius.co.th/ หรือ ดาวน์โหลด application: makalius สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม Line Official @makalius

สมคิด - ไตรรงค์ – เจิมศักดิ์ - ศิริกัญญา ติดโผศิษย์เก่าดีเด่นเศรษฐศาสตร์ มธ. ครบรอบ 75 ปี

(8 พ.ย.67) คณะเศรษฐศาสตร์ มธ.เชิดชูเกียรติศิษย์เก่า ในวาระครบรอบ 75 ปี คนดังทั้งนักการเมือง นักวิชาการ นักธุรกิจ ได้รับเลือกเป็นศิษย์เก่าดีเด่นเพียบ

คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดย ผศ.ดร.ศุภชัย ศรีสุชาติ รักษาการแทนในตำแหน่งคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และสมาคมเศรษฐศาสตร์ธรรมศาสตร์ นางเกศรา มัญชุศรี นายกสมาคมฯ ประกาศผลการคัดเลือกศิษย์เก่าเกียรติยศฯ ศิษย์เก่าดีเด่น และผู้ทำคุณประโยชน์ เพื่อเชิดชูเกียรติในวาระครบรอบ 75 ปี คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

สำหรับ ศิษย์เก่าเกียรติยศ ในวาระครบรอบ 75 ปี คณะเศรษฐศาสตร์ 7 ท่าน ประกอบด้วย 1. ชนินท์ ว่องกุศลกิจ, 2. ประกิต อภิสารธนรักษ์, ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล, มนู เลียวไพโรจน์, สมคิด จาตุศรีพิทักษ์, อรัญ ธรรมโน และ คุณอาคม เติมพิทยาไพสิฐ

นอกจากนี้ยังมีชื่อ นักการเมือง – วิชาการ- นักธุรกิจดัง ได้รับคัดเลือกเป็นศิษย์เก่าดีเด่น นครั้งนี้อีก 75 ท่าน เช่น ไตรรงค์ สุวรรณคีรี, เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง, วิโรจน์ ณ ระนอง, วิรไท สันติประภพ, สมชัย จิตสุชน, สมภพ มานะรังสรรค์, เกรียงไกร เธียรนุกูล, ศิริกัญญา ตันสกุล, ศิริพล ยอดเมืองเจริญ และสันติสุข มะโรงศรี เป็นต้น 

‘การบินไทย’ กำไรไตรมาส 3 พุ่งกว่า 700% หนุน 9 เดือนแรก โกยกำไรแตะ 1.5 หมื่นล้าน

(8 พ.ย.67) ‘การบินไทย’ ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2567 เผยมีรายได้รวม 4.5 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.8% ดันกำไรสุทธิ 1.24 หมื่นล้านบาท เติบโตพุ่ง 707% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หนุนกำไร 9 เดือนแรกแตะ 1.5 หมื่นล้านบาท

รายงานข่าวจากบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าในไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อยมีรายได้รวม (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) ทั้งสิ้น 45,828 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8,820 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีรายได้รวม 37,008 ล้านบาท หรือ 23.8% โดยมีผู้โดยสารรวมทั้งสิ้น 3.94 ล้านคน มีอัตราการบรรทุกผู้โดยสาร (Cabin Factor) ปรับตัวลดลงจาก 77.3% ในงวดเดียวกันของปีก่อนเป็น 76.1%

บริษัทและบริษัทย่อยมีค่าใช้จ่ายรวม (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) 38,636 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อนซึ่งมีค่าใช้จ่าย 29,289 ล้านบาท ส่วนใหญ่เกิดจากค่าใช้จ่ายที่ผันแปรตามปริมาณการผลิตและปริมาณการขนส่งที่เพิ่มขึ้น เป็นค่าใช้จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง 13,550 ล้านบาท คิดเป็น 35.1% ของค่าใช้จ่ายรวม (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) โดยมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนต้นทุนทางการเงิน (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) 7,192 ล้านบาท ต่ำกว่าไตรมาส 3 ของปี 2566 ซึ่งมีกำไร 7,719 ล้านบาท

ทั้งนี้ มีต้นทุนทางการเงินซึ่งเป็นการรับรู้ตามมาตรฐานการรายงานทางการเงินฉบับที่ 9 (TFRS 9) จำนวน 4,829 ล้านบาท และมีรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียวรวม 10,119 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากกำไรอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศสุทธิ ส่งผลให้บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 12,483 ล้านบาท ในขณะที่ปีก่อนกำไร 1,546 ล้านบาท

โดยมี EBITDA หลังหักเงินสดจ่ายหนี้สินตามเงื่อนไขสัญญาเช่าเครื่องบินรวมค่าเช่าเครื่องบินจากการใช้เครื่องบินที่เกิดขึ้นจริง (Power by the Hours) 6,655 ล้านบาท

สำหรับงวด 9 เดือนแรกของปี 2567 บริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้รวม (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) ทั้งสิ้น 135,810 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีรายได้รวม 115,897 ล้านบาท คิดเป็น 17.2% ในขณะเดียวกันมีค่าใช้จ่ายรวม (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) 111,617 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อนซึ่งมีค่าใช้จ่ายรวม 86,567 ล้านบาท คิดเป็น 28.9%

และมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนต้นทุนทางการเงิน (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) 24,193 ล้านบาท ต่ำกว่างวดเดียวกันของปี 2566 ที่กำไร 29,330 ล้านบาท คิดเป็น 17.5% โดยบริษัทและบริษัทย่อยมีต้นทุนทางการเงินซึ่งเป็นการรับรู้ตามมาตรฐานการรายงานทางการเงินฉบับที่ 9 (TFRS 9) จำนวน 14,233 ล้านบาท และมีรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียวสุทธิเป็นรายได้รวม 5,273 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากปรับปรุงรายได้บัตรโดยสารที่หมดอายุ กำไรจากการปรับโครงสร้างหนี้ และกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ

อย่างไรก็ตาม พบว่ามีผลขาดทุนจากการด้อยค่าของสินทรัพย์ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการบันทึกผลขาดทุนจากการด้อยค่าเครื่องบินแบบแอร์บัส A380-800 ส่งผลให้บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 15,221 ล้านบาท ในขณะที่ปีก่อนมีกำไร 16,342 ล้านบาท มี EBITDA หลังหักเงินสดจ่ายหนี้สินตามเงื่อนไขสัญญาเช่าเครื่องบินรวมค่าเช่าเครื่องบินจากการใช้เครื่องบินที่เกิดขึ้นจริง (Power by the Hours) 25,056 ล้านบาท

อนึ่ง ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 บริษัทและบริษัทย่อยมีสินทรัพย์รวมจำนวน 263,743 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากวันที่ 31 ธันวาคม 2566 จำนวน 24,752 ล้านบาท หรือ 10.4% หนี้สินรวมจำนวน 291,684 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 จำนวน 9,551 ล้านบาท หรือ 3.4%

ส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทและบริษัทย่อยติดลบจำนวน 27,941 ล้านบาท ติดลบลดลงจากวันที่ 31 ธันวาคม 2566 จำนวน 15,201 ล้านบาท และจากผลประกอบการที่เป็นบวก บริษัทมีเงินสด ตั๋วเงินฝาก เงินฝากประจำที่มีระยะเวลาที่ครบกำหนดชำระมากกว่า 3 เดือน แต่ไม่เกิน 1 ปี และหุ้นกู้ที่ครบกำหนดภายใน 1 ปี 82,587 ล้านบาท ณ วันที่ 30 กันยายน 2567

ทั้งนี้ ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 บริษัทได้ชำระหนี้ตามแผนฟื้นฟูกิจการไปแล้วรวมทั้งสิ้น 3,531 ล้านบาท


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top