Monday, 7 July 2025
ECONBIZ

“มาคาเลียส” (Makalius) สตาร์ทอัพธุรกิจท่องเที่ยวออนไลน์ชั้นนำของประเทศไทย แนะนโยบายภาครัฐ เตรียมเปิดประเทศไทยรับนักท่องเที่ยวภายใน 120 วัน ทำได้แต่ควรทำอย่างรอบครอบ และมีมาตรการที่เข้มงวดในการตรวจสอบดูแล

นางสาวณีรนุช ไตรจักร์วนิช ประธานกรรมการบริหาร บริษัท มาคาเลียส ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า “จากการที่รัฐบาลได้แถลงการณ์ถึงการตั้งเป้าเอาไว้ว่าประเทศไทยจะต้องเปิดประเทศทั้งประเทศให้ได้ภายใน 120 วัน นับจากวันนี้ (16 มิถุนายน) ส่วนเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญๆ หากพร้อมได้เร็วกว่าก็ควรทยอยเปิดให้ได้เร็วกว่านั้น นักท่องเที่ยวที่ฉีดวัคซีนครบโดสเรียบร้อยแล้ว ควรเดินทางเข้าประเทศไทยได้โดยไม่ต้องกักตัว และไม่ต้องมีเงื่อนไขข้อห้ามที่สร้างความยากลำบาก รวมทั้งคนไทยที่เดินทางไปต่างประเทศ หากเป็นคนที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว ก็ควรที่จะสามารถเดินทางกลับเข้าประเทศของตัวเองได้โดยไม่ต้องกักตัวเช่นเดียวกัน

โดยบริษัทฯ เข้าใจเป็นอย่างดีว่าธุรกิจท่องเที่ยว ถือเป็นอุตสาหกรรมที่สร้างรายได้หลักให้กับประเทศไทย แต่ทั้งนี้การเปิดประเทศเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวต้องทำอย่างรอบครอบ และพิจารณาให้รอบด้าน เพราะหากเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ขึ้นอีกจะกลายเป็นสึนามิการท่องเที่ยวลูกที่ 4 ของประเทศไทย กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวจะเป็นคนกลุ่มแรกที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง และจะเกิดอาฟเตอร์ช็อคตามมาต่อกลุ่มธุรกิจอื่นๆ 

ดังนั้น สิ่งที่รัฐบาลต้องคำนึงคือ “การดูแลคนในก่อนรับคนนอก” ด้วยการจัดสรรวัคซีนให้เพียงพอและเร่งการฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมร้อยละ 70% ของจำนวนประชากรประเทศไทยเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ ลดการแพร่ระบาดและการเสียชีวิต และควรมีระบบการตรวจคัดกรองโรคอย่างมีประสิทธิภาพ รองรับการตรวจได้จำนวนมาก เพื่อนำมาใช้ตรวจคัดกรองนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย รวมถึงนโยบายการปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำให้กับผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว เพื่อนำไปฟื้นฟูธุรกิจให้พร้อมรับมือกับการเปิดประเทศ พร้อมทั้งจัดทำแผนบูรณาการด้านการท่องเที่ยวด้วยการร่วมมือและผนึกกำลังจากทุกภาคส่วนเข้าด้วยกัน ทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน รวมไปถึงกลุ่มชุมชน เพื่อร่วมกันสร้างแผนแม่บทด้านการท่องเที่ยว การกำหนดแนวทางการแก้ไข ดูแล และป้องกัน หากเกิดวิกฤตขึ้นอีกครั้ง 

นางสาวณีรนุช กล่าวต่อว่า “ทางด้านผู้ประกอบการก็ต้องเตรียมธุรกิจให้พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลง ด้วยการสนับสนุนและช่วยเหลือให้บุคลากรในองค์กรเข้ารับวัคซีนอย่างครบถ้วน พร้อมทั้งควบคุมมาตรฐานด้านสุขอนามัยอย่างในการให้บริการอย่างเข้มงวด ทั้งการทำความสะอาด การรักษาระยะห่าง การจัดเตรียมที่นั่งแบบส่วนตัว รวมถึงการเร่งนำเทคโนโลยีเข้ามาปรับใช้ในการเช็คอิน การสั่งอาหาร การเรียกพนักงาน ใช้เพื่อลดการสัมผัสและเพิ่มมูลค่าให้กับบริการ เป็นต้น  

ทางด้านนักท่องเที่ยวเองก็ยังคงต้องให้ความร่วมมือรักษาสุขอนามัยกับส่วนรวมตามกฎของแต่ละสถานที่ที่ไปท่องเที่ยว ถึงแม้ว่าจะได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ครบตามจำนวน แต่ก็ยังคงต้องสวมหน้ากากอนามัย พร้อมทั้งฉีดพ้นสเปร์แอลกอฮอล์หลังสัมผัสหรือจับสิ่งของสาธารณะต่างๆ 

เคาะมาตรฐาน “เห็ดหอมแห้ง-ปาล์ม-ข้าว” เตรียมประกาศเป็นมาตรฐานทั่วไป

นายประภัตร โพธสุธน รมช.เกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการมาตรฐานสินค้าเกษตร ว่า ที่ประชุมได้พิจารณาเห็นชอบร่างมาตรฐานสินค้าเกษตร เพื่อดำเนินการประกาศ เป็นมาตรฐานทั่วไปของประเทศต่อไป จำนวน 5 เรื่อง ได้แก่

1.เห็ดหอมแห้ง

2.การปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับปาล์มน้ำมัน

3.การปฏิบัติที่ดีสำหรับโรงสีข้าวและโรงปรับปรุงสภาพข้าว

4.หลักการทั่วไปด้านสุขลักษณะอาหาร การปฏิบัติทางสุขลักษณะที่ดี และ

5.ระบบการวิเคราะห์อันตรายและจุดวิกฤตที่ต้องควบคุมและแนวทางการนำไปใช้ 

“ขณะนี้อยู่ในช่วงวิกฤตโรคระบาด ทั้งการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) และการระบาดของโรคลัมปี สกิน จากเชื้อไวรัสในโค-กระบือ ซึ่งเมื่อผ่านช่วงเวลานี้ไป มาตรฐานสินค้าเกษตรจะมีความสำคัญมากขึ้น จึงได้กำชับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันดำเนินการกำหนดมาตรฐานให้มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น เพื่อมุ่งยกระดับคุณภาพสินค้าเกษตร พร้อมสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค”

นอกจากนี้ที่ประชุมยังเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมสำหรับการประกอบกิจการเกี่ยวกับสินค้าเกษตร โดยมีสาระสำคัญ คือ  

1. ยกเลิกกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมสำหรับการประกอบกิจการเกี่ยวกับสินค้าเกษตร พ.ศ. 2552  เพื่อให้ประชาชนหรือผู้ประกอบการสามารถเข้าใจได้ง่าย และไม่เกิดความสับสน 

2. กำหนดค่าธรรมเนียม ดังนี้ ใบอนุญาตตามมาตรา 20 ได้แก่ บุคคลธรรมดา ฉบับละ 100 บาท นิติบุคคล ฉบับละ 1,000 บาท ใบอนุญาตตามมาตรา 33 ฉบับละ 5,000 บาท และการต่ออายุใบอนุญาตตามมาตรา 20 กรณีนิติบุคคล (500 บาท) หรือใบอนุญาตตามมาตรา 33 (2,500 บาท) ครั้งละกึ่งหนึ่ง ของคาธรรมเนียมใบอนุญาตนั้น 

3. ยกเว้นค่าธรรมเนียม ได้แก่ ใบแทนใบอนุญาตตามมาตรา 20 (ฉบับเดิม 50 บาท) ใบแทนใบอนุญาตตามมาตรา 33 (ฉบับเดิม 50 บาท) และการต่ออายุใบอนุญาตตามมาตรา 20 กรณีบุคคลธรรมดา (ฉบับเดิม 50 บาท)

“บิ๊กตู่” ยกคณะเช็กความพร้อมเปิด “ภูเก็ตแซนด์บ๊อก” 25 มิ.ย.นี้ 

นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน เปิดเผยว่า รัฐบาลยืนยันความพร้อมเปิดภูเก็ตแซนด์บีอก ในวันที่ 1 ก.ค.นี้ โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม และคณะจะเดินทางลงพื้นที่จังหวัดภูเก็ต วันที่ 25 มิ.ย.นี้ เพื่อไปตรวจสอบความพร้อมในขั้นสุดท้ายก่อนเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่ฉีดวัคซีนครบแล้ว สามารถเดินทางเข้ามาในพื้นที่ได้ ซึ่งในรายละเอียดและเงื่อนไขของการดำเนินการด้านต่างๆ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จะนำเสนอให้ที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) พิจารณาวันที่ 18 มิ.ย.นี้

นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า การเปิดภูเก็ตแซนด์บ๊อก ถือว่าเป็นการซ้อมก่อนจะเข้าสู่ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว (ไฮซีซั่น) ซึ่งจะเริ่มต้นตั้งแต่เดือนต.ค.นี้ เป็นต้นไป และนอกเหนือการเปิดรับนักท่องเที่ยวแล้ว ในเมื่อจังหวัดภูเก็ตกลายเป็นทางเข้าใหม่ของประเทศไทย ก็ทำให้มีนักธุรกิจไทยจะสามารถใช้ภูเก็ตแซนด์บ๊อก เป็นสถานที่นัดพบนักธุรกิจ หรือพันธมิตรทางการค้าและการลงทุนจากต่างประเทศได้อีกด้วย ทำให้การเปิดภูเก็ตครั้งนี้ไม่ใช่การเปิดเพื่อการท่องเที่ยวอย่างเดียวแต่จะเป็นการเปิดประเทศต้อนรับธุรกิจด้วย ซึ่งตอนนี้พบว่า มีหลายบริษัทได้เตรียมตัวในเรื่องนี้เอาไว้แล้ว 

“การประชุม ศบค. จะหารือถึงเรื่องการเตรียมความพร้อมและเงื่อนไขต่างๆ เพื่อให้เกิดความชัดเจนกับผู้ปฏิบัติในจังหวัดภูเก็ต และเมื่อเริ่มจากจังหวัดภูเก็ตแล้วก็จะค่อยขยายไปจังหวัดอื่นๆ ที่มีความพร้อมตามลำดับ ซึ่งนายกรัฐมนตรี ก็อยากจะเห็นว่า 120 วันนี้ หลังจาก 1 ก.ค.เป็นต้นไป ก็เปิดประเทศไทย ถ้าไม่ได้มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น ก็พยายามทำเต็มที่ โดยต้องร่วมมือกันดูแลนักท่องเที่ยวที่จะเขามาเพราะถือเป็นแขกของประเทศไทย และนับว่าเป็นการเปิดศักราชที่ดี เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้น

ชาร์จ แมเนจเม้นท์ สร้างปรากฎการณ์ใหม่ ผนึกกำลัง บางจาก คอร์ปอเรชั่น ร่วมถือหุ้นขับเคลื่อนธุรกิจให้บริการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าครบวงจร พร้อมให้บริการลูกค้าผู้ขับรถยนต์ไฟฟ้าที่ต้องการชาร์จรถระหว่างการเดินทาง นำร่องแห่งแรกด้วย ‘Quick SHARGE’

ชาร์จ แมเนจเม้นท์ สร้างปรากฎการณ์ใหม่ ผนึกกำลัง บางจาก คอร์ปอเรชั่น ร่วมถือหุ้นขับเคลื่อนธุรกิจให้บริการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าครบวงจร พร้อมให้บริการลูกค้าผู้ขับรถยนต์ไฟฟ้าที่ต้องการชาร์จรถระหว่างการเดินทาง นำร่องแห่งแรกด้วย ‘Quick SHARGE’ ภายในสถานีบริการน้ำมันบางจากที่สุขุมวิท 62

ระบุการร่วมทุนครั้งนี้เป็นดีลแห่งอนาคต รองรับเทรนด์รถยนต์ไฟฟ้ามีโอกาสเติบโตสูง หลังรัฐบาลมีนโยบายผลักดันการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเป็น 30% ภายในปี 2573 ขณะที่ค่ายรถยนต์จากจีนเริ่มปักหมุดฐานการผลิตในไทย เชื่อส่งผลให้ราคา EV ในอนาคตจับต้องได้ง่ายขึ้น พร้อมเชื่อมั่นการจับมือครั้งนี้จะสร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง และขับเคลื่อนอนาคตด้วยพลังงานสะอาดไปด้วยกัน

บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ร่วมลงทุนถือหุ้นใน บริษัท ชาร์จ แมเนจเม้นท์ จำกัด (SHARGE) โดยมีนายวิบูลย์ วงสกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มงานวางแผนยุทธศาสตร์และพัฒนาธุรกิจองค์กร (SBBU) บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นตัวแทนร่วมแสดงความยินดีกับ นายพีระภัทร ศิริจันทโรภาส กรรมการผู้จัดการ SHARGE ในจุดเริ่มต้นแห่งความสำเร็จ และการเติบโตในอนาคตด้วยพลังงานสะอาดผ่านธุรกิจให้บริการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าครบวงจร

นายพีระภัทร ศิริจันทโรภาส กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชาร์จ แมเนจเม้นท์ จำกัด (SHARGE) ผู้นำด้านการสร้าง EV Charging Ecosystem เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตอย่าง เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่ SHARGE ได้เปิดให้บริการ EV Charging แบบครบวงจรและได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle: EV) ล่าสุด บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัทพลังงานไทยที่เป็นที่ยอมรับในฐานะผู้นำการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน มุ่งเน้นการนำนวัตกรรมสีเขียวมาดำเนินธุรกิจเพื่อความยั่งยืน ได้เล็งเห็นศักยภาพในการเติบโตของ SHARGE จึงได้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรในรูปแบบของผู้ถือหุ้นเพื่อเติบโตพร้อมกับ SHARGE โดยมองว่า SHARGE มีจุดแข็งจากการเป็นผู้ให้บริการที่ครอบคลุมลูกค้า 3 กลุ่ม ประกอบด้วย…

1.) กลุ่มชาร์จตามที่อยู่อาศัย

2.) กลุ่มชาร์จตามแหล่งไลฟ์สไตล์

และ 3.) กลุ่มชาร์จระหว่างเดินทาง เช่น การชาร์จตามสถานีต่างๆ

โดยทุกกลุ่มลูกค้าจะได้รับบริการด้วยเครื่องชาร์จมาตรฐานจากยุโรป รองรับรถ EV ที่หลากหลาย ให้บริการชาร์จแบบ Quick Charge อีกทั้งยังมีนวัตกรรมรองรับไลฟ์สไตล์ผู้ใช้งานด้วยแอปพลิเคชัน ที่เชื่อมต่อข้อมูลการชาร์จมาไว้บนสมาร์ทโฟนตอบโจทย์ผู้ขับขี่รุ่นใหม่ที่ผู้ใช้งานสามารถจองแท่นชาร์จ จ่ายค่าไฟฟ้า และติดตามข้อมูลการชาร์จได้แบบเรียลไทม์ จะส่งผลให้การร่วมมือกันในครั้งนี้ จะมีส่วนช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของไทย ให้เกิด EV ecosystem ที่เกิดการใช้-แลกเปลี่ยน ทรัพยากรจากภาคส่วนต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดูแลสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน ตามแผนโรดแมปของรัฐบาลที่ตั้งเป้าหมายการผลิต EV ภายในปี พ.ศ.2573 ไว้ที่ 30% ของการผลิตรถยนต์ในไทย

ทั้งนี้การได้บางจากฯ เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นนั้น จะช่วยสนับสนุนการบริการของ SHARGE ให้ครอบคลุมลูกค้าในกลุ่มที่ต้องการชาร์จระหว่างการเดินทาง (ON THE GO) นำร่องแห่งแรกภายในสถานีบริการน้ำมันบางจากที่สุขุมวิท 62 ซึ่งจะเปิดให้บริการราวไตรมาสที่ 3 โดยความพิเศษของสถานีนี้คือให้บริการด้วยเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าได้มาตรฐานจากยุโรป รองรับรถ EV ที่หลากหลาย ให้บริการชาร์จแบบ Quick SHARGE กำลังไฟฟ้าสูงถึง 120 กิโลวัตต์ สามารถชาร์จรถ EV ได้เร็วขึ้นกว่าแท่นชาร์จทั่วไป ส่วนสถานีในลำดับถัดมาจะตั้งอยู่ในสถานีบริการน้ำมันบางจาก ย่านธุรกิจ แหล่งไลฟ์สไตล์ ครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพฯ

“ถือเป็นการพิสูจน์ถึงความไว้วางใจจากองค์กรขนาดใหญ่ที่เล็งเห็นศักยภาพการเติบโตในอนาคตของ SHARGE โดยเฉพาะการที่ SHARGE สร้างเครือข่ายทางธุรกิจด้วยการมีพันธมิตรจากหลากหลายกลุ่มธุรกิจ ครอบคลุมทั้งธุรกิจพลังงาน ยานยนต์ อสังหาริมทรัพย์ และศูนย์การค้าขนาดใหญ่ จึงเป็นสัญญาณการเติบโตที่ดีและจะช่วยเติมเต็มธุรกิจของบางจากฯ ให้ครอบคลุมผู้ใช้บริการได้อย่างครบถ้วน” นายพีระภัทร กล่าว


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“สุพัฒนพงษ์” เผยคิ๊กออฟเปิดประเทศ 1 ก.ค.รัฐบาลเริ่มนับ 120 วัน 1 ก.ค.นี้ ภูเก็ตเปิดก่อน รับนักท่องเที่ยว และนักธุรกิจต่างชาติ เป็นโมเดลนำร่องให้จังหวัดอื่น

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการเปิดประเทศ ว่า 120 วันที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีพูดถึงนั้นจะเริ่มในวันที่ 1 กรกฎาคมนี้ โดยในวันที่ 25 มิถุนายนนี้ ก็จะเป็นการเตรียมความพร้อมในการเปิดภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์ (Phuket Sandbox) ซึ่งต้องดูว่านายกรัฐมนตรีจะเดินทางลงไปเองหรือมอบหมายให้ใครลงไป เพื่อไปดูว่าวันที่ 1 กรกฎาคม จะเริ่มต้นกันอย่างไร ทั้งนี้ในการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจโควิด-19 (ศบศ.) 

วันที่ 18 มิถุนายนนี้ จะมีความชัดเจน ทั้งผู้ว่าการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จะได้มีการนำเสนอ ความพร้อมและเงื่อนไขต่างๆ ต่อที่ประชุม ศบค.พิจารณา จะได้เกิดความชัดเจนกับฝ่ายปฏิบัติในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตจะได้เริ่มเดินหน้ากันต่อไป ทั้งนี้ เมื่อสามารถเริ่มโครงการที่ภูเก็ตได้ต่อไปก็จะพิจารณาจังหวัดอื่นที่มีความพร้อมต่อไป 

“เรื่องดังกล่าวถือเป็นความตั้งใจของนายกรัฐมนตรีที่อยากจะเห็น 120 วันหลังจากนี้ โดยเริ่มจากวันที่ 1 กรกฎาคม ที่จะเปิดประเทศได้ ทุกฝ่ายต้องช่วยกันอย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม ผมได้ย้ำมาตลอดว่าเรื่องนี้จะสำเร็จได้ก็ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกคน อย่างพื้นที่จังหวัดภูเก็ตได้แสดงให้เห็นถึงความร่วมมือจากทุกฝ่ายแล้วและในวันที่ 25 มิถุนายนก็จะได้เห็นความพร้อม และหลังจากได้รับรายงานมาโดยตลอด ผมก็มีความเชื่อมั่นว่าทุกฝ่ายร่วมมือกันอย่างจริงจังมีความทุ่มเท เพราะต้องดูแลทั้งนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้ามาซึ่งถือเป็นแขกของประเทศไทย ขณะเดียวกันก็ต้องดูแลในเรื่องของความปลอดภัยของชุมชนที่อยู่ในพื้นที่ด้วย ตรงนี้ถือเป็นการเปิดศักราชที่ดีและแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวต่างประเทศในประเทศไทย” นายสุพัฒนพงษ์กล่าว

เมื่อถามว่าการเปิดภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์ในวันที่ 1 กรกฎาคม สำหรับมาตรการต่างๆ จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรใช่หรือไม่ นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า ทุกอย่างต้องดูไปตามความเหมาะสมและสถานการณ์ต้องเข้าใจว่าแซนด์บ็อกซ์ ก็คือ การทดลองทำ ส่วนจะมีข้อปรับปรุงอะไรก็สามารถเพิ่มเติมได้ และเราเริ่มทำก่อนไฮซีซั่นของฤดูกาลท่องเที่ยว ซึ่งอยู่ประมาณปลายไตรมาสที่สาม ซึ่งเมื่อเราได้ซ้อมกันก่อนก็จะทำให้เรามีความสมบูรณ์และมีนักท่องเที่ยวเข้ามาในระดับหนึ่ง อีกทั้งก็จะได้เห็นว่าต้องมีการปรับปรุงอะไรบ้าง ในทางกลับกันก็จะสามารถส่งเสริมภูเก็ตได้อีกทาง โดยเมื่อภูเก็ต เปิดเป็นทางเข้าประเทศไทยก็จะมีนักธุรกิจไทยสามารถนัดพบกับนักธุรกิจต่างประเทศโดยอาศัยพื้นที่ภูเก็ตในช่วงเวลานี้ เป็นที่เจรจาพูดคุยทางธุรกิจกัน ดังนั้นจึงไม่ใช่การท่องเที่ยวเชิงท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียวแต่ จะเป็นการเปิดทางทางธุรกิจไปด้วย ซึ่งปัจจุบันมีการเตรียมการของหลายบริษัทไว้แล้วที่เตรียมจะนัดพันธมิตรทางธุรกิจมาพูดคุยกัน จึงเป็นเหตุผลหนึ่งในการทยอยเปิดประเทศ

เมื่อถามถึงรูปแบบการ เปิดโครงการภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์ เป็นอย่างไร นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า เบื้องต้นก็จะไปดูความพร้อมทั้งหมดขั้นสุดท้าย ซึ่งก่อนหน้านี้มีการรายงานเข้ามาเป็นระยะ 

เมื่อถามว่าจะมีมาตรการด้านสินเชื่อเข้าไปช่วยเหลือผู้ประกอบการในพื้นที่ภูเก็ตบ้างหรือไม่ นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า ส่วนนี้เป็นเรื่องของธนาคารซึ่ง พ.ร.บ. ซอฟต์โลนก็มีการเดินหน้าไปแล้ว ซึ่งสามารถเข้าไปพูดคุยกันได้ อีกทั้งขณะนี้เป็นไปในลักษณะของการทยอยเปิด ขอให้ได้เริ่มก่อนจะเป็นเรื่องที่ดีสำหรับประเทศจะเป็นเรื่องที่ดีสำหรับประเทศไทย อยากให้ทุกคนได้เห็นถึงความตั้งใจดีของคนในจังหวัดหนึ่ง อย่างน้อยก็มีจังหวัดแรก แล้วก็จะมี 2-3-4 ตามมา เชื่อว่าจังหวัดอื่นก็จะมีความพร้อมเพราะฉะนั้นขอช่วยกันให้กำลังใจ

ผู้สื่อข่าวถามว่าในส่วนของนายกรัฐมนตรีจะสร้างความเชื่อมั่นโดยลงไปพักค้างคืนที่ภูเก็ตบ้างหรือไม่ นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า เรื่องนี้คงมีอยู่แล้วไม่น่าจะมีประเด็นปัญหาอะไร 

ผู้สื่อข่าวถามว่ามีการประมาณประเมินตัวเลขนักท่องเที่ยวหรือไม่ว่าจะต้องมี จำนวนกี่% จึงจะเหมาะสมในการที่เปิดประเทศ นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า เรื่องนี้คงต้องขอดู ที่จังหวัดภูเก็ตก่อน อีกทั้งขณะนี้พบว่ามีสายการบินหลายบริษัทเริ่มเปิดเที่ยวบินที่จะมาลงที่จังหวัดภูเก็ตโดยตรง แม้จำนวนเที่ยวบินอาจจะไม่มากแต่เริ่มมีหลายแหล่งหลายประเทศที่จะเข้ามา ถือว่ามีจำนวนไม่น้อย เรื่องนี้ก็คงต้องทยอยดูวันต่อวัน เพราะถือเป็นการเปิดช่องทางเข้าประเทศไทยครั้งแรก 

เมื่อถามว่ามีการประเมินด้านเศรษฐกิจในปลายปีนี้หรือยัง ว่าจะเป็นอย่างไรหลังที่เริ่มมีการเปิดประเทศ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจกล่าวว่า “ ผมก็ทำดีที่สุดตอนนี้ก็ต้องดูวันต่อวัน เดือนต่อเดือน มีการปรับไปตลอด เราต้องเอาความขยันและความเพียรเป็นที่ตั้ง และทำให้ดีที่สุดผมคิดว่าทุกประเทศก็ทำเช่นนี้ วิธีการที่ดีที่สุดในการต่อสู้กับความไม่แน่นอนที่จะเกิดขึ้นคือ การใช้ความเพียรเป็นที่ตั้ง และหมั่นติดตามพร้อมปรับปรุงตัวเองไปเรื่อยๆ คิดว่าวันนี้รัฐบาลก็มีความพร้อมในทุกๆด้านที่จะทำเรื่องดังกล่าว 

ผู้สื่อข่าวถามว่าหลังจากโครงการคนละครึ่งเฟส 3 แล้วยังมีโครงการอื่นอีกหรือไม่ นายสุพัฒน์พงษ์ กล่าวสั้นๆ ว่า “เอานะ เขากำหนดไว้หมดแล้ว”

ลุ้นรัฐออกมาตรการฟื้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม

นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า สศช.อยู่ระหว่างการติดตามข้อมูลเศรษฐกิจหลายๆ ตัวชี้วัด เพื่อประเมินภาวะของเศรษฐกิจว่าจำเป็นที่จะต้องออกมาตรการเศรษฐกิจเพิ่มเติมให้กับรัฐบาลพิจารณาอีกหรือไม่ หลังจากรัฐบาลได้ออกมาตรการบรรเทาและกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปีนี้ ซึ่งใช้วงเงินประมาณ 1.4 แสนล้านบาทแล้ว เพื่อทำให้มีเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปีนี้  

“มาตรการทางเศรษฐกิจจะมีเพิ่มหรือไม่ คงต้องประเมินหลายๆ ปัจจัย ทั้งเรื่องของการควบคุมการระบาด การส่งออกที่เป็นเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจ การเริ่มเปิดรับนักท่องเที่ยวที่หากทำได้ควบคู่กับการควบคุมการระบาด จะส่งผลต่อเนื่องไปถึงการออกมาตรการสนับสนุนการท่องเที่ยวในประเทศ ซึ่งอาจเป็นช่วงปลายปี ส่วนเรื่องการลงทุน หากมีบริษัทรายใหญ่ 2-3 ราย เข้ามาลงทุนก็ช่วยให้เกิดแรงขับเคลื่อนได้พอสมควร โดยทั้งหมดนี้ สศช. จำเป็นต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด" 

นายดนุชา กล่าวว่า ปัจจัยเศรษฐกิจที่ติดตาม คือ การควบคุมการแพร่ระบาด หากสามารถที่จะควบคุมได้ภายในเดือน ก.ค.นี้ จะทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจช่วงที่เหลือสามารถเดินหน้าไปได้ ซึ่งมาตรการทางเศรษฐกิจที่ออกมาถือว่าเพียงพอที่จะประคองเศรษฐกิจในปีนี้ให้เติบโตในกรอบ 1.5-2.5% เช่นเดียวกับตัวเลขการส่งออกเดือน พ.ค.นี้ ที่กำลังจะประกาศออกมาในวันที่ 23 มิ.ย.นี้ หากยังมีแนวโน้มที่ดี ก็จะเป็นปัจจัยบวกที่ส่งผลต่อเรื่องของการจ้างงาน และการลงทุนของภาคเอกชนที่ต้องการใช้กำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น 

ยังมีเวลา! คนละครึ่ง เฟส 3 ลงทะเบียนรับสิทธ์แล้วกว่า 24 ล้านคน

นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยความคืบหน้าของการลงทะเบียนรับสิทธิโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 ของประชาชน ว่า จากการเปิดลงทะเบียน 2 วันแรก มีประชาชนลงทะเบียนแล้วจำนวน 24.14 ล้านคน โดยประชาชนยังสามารถลงทะเบียนได้อย่างต่อเนื่องทุกวันตั้งแต่เวลา 06.00-22.00 น. จนกว่าจะครบ 31 ล้านคน โดยผู้ที่เคยรับสิทธิโครงการของรัฐสามารถลงทะเบียนได้ 2 ช่องทาง ได้แก่ ผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง หรือจะลงทะเบียนผ่าน www.คนละครึ่ง.com และสำหรับผู้ที่ยังไม่เคยเข้าร่วมโครงการของรัฐเลยสามารถลงทะเบียนผ่าน www.คนละครึ่ง .com

สำหรับการลงทะเบียนร้านค้าคนละครึ่ง ระยะที่ 3 มีผู้ประกอบการร้านค้าใหม่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการแล้วจำนวน 51,221 ราย และร้านค้าเดิมที่เคยเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 1 และ 2 ที่คาดว่าจะยืนยันเข้าร่วมโครงการครั้งนี้จำนวน 1.2 ล้านราย 

ทั้งนี้รัฐบาลได้เปิดให้ร้านค้าที่คุณสมบัติเป็นไปตามที่โครงการกำหนด ได้แก่ ร้านค้าทั่วไป ผู้ประกอบการบริการนวด สปา ทำผม ทำเล็บ ผู้ให้บริการขนส่งสาธารณะ ที่มีสัญชาติไทยไม่เป็นนิติบุคคลและไม่เป็นธุรกิจแฟรนไชส์ ผู้ประกอบการของกองทุนหมู่บ้านหรือชุมชนเมืองหรือวิสาหกิจชุมชน ร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น และผู้ให้บริการขนส่งมวลชนสาธารณะ สนใจเข้าร่วมลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ ตั้งแต่วันที่ 14 มิถุนายน 2564 เป็นต้นไป เวลา 06.00 น.-22.00 น. โดยผู้ที่เคยเข้าร่วมมาตรการ/โครงการอื่นของรัฐที่มีแอปพลิเคชัน ถุงเงินแล้ว สามารถกดปุ่มเข้าร่วมโครงการได้ผ่านแอปฯ ถุงเงิน ส่วนผู้ที่ไม่เคยเข้าร่วมมาตรการ/โครงการอื่นให้ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.คนละครึ่ง.com หรือลงทะเบียนผ่านทางสาขา หรือจุดรับลงทะเบียนของธนาคารกรุงไทย 

“วรวุฒิ” ชูไอเดีย พลิกวิกฤตโควิด เป็นโอกาส เปิดศูนย์เทคโนโลยีชุมชน ช่วยเอสเอ็มอีและเกษตรกร ค้าขายออนไลน์ กระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก เติบโตก้าวกระโดด

นายวรวุฒิ อุ่นใจ รองหัวหน้าพรรคกล้า กล่าวในคลับเฮาส์ในหัวข้อ “คลินิกเอสเอ็มอี” ว่า หลายครั้งที่เรามักได้ยินว่า ใครที่เกิดมาจนไม่มีวันจะรวยได้ คนรวยทุกวันนี้ก็เพราะมีพื้นฐานพ่อแม่ที่ร่ำรวย ซึ่งไม่เป็นความจริง โดยส่วนตัวก่อนที่จะมีธุรกิจหมื่นล้าน ผมก็เริ่มมาจากคนยากจนธุรกิจเครื่องเขียนห้องแถวเล็กๆ กำลังจะเจ๊ง เราโดนดูถูกทั้งด้วยคำพูดและสายตา มันจึงเป็นแรงผลักให้เราฮึดสู้และตั้งใจว่าสักวันจะต้องมีบริษัทเครื่องเขียนที่ที่ได้มาตรฐานสูงและดีกว่าบริษัทใหญ่ที่เคยดูแคลนธุรกิจครอบครัวของเรา 

“คนไทยชอบมองว่าประเทศนี้ขาดแคลนโอกาส แต่ในสายตาของต่างชาติเขากลับมองว่าเป็นดินแดนแห่งโอกาส เพราะบ้านเรายังขาดแคลนอะไรอีกเยอะมาก มันมองคนละมุม ยกตัวอย่างที่เกาะแห่งหนึ่งไม่มีใครใส่รองเท้าแตะเลยสักคน จึงไม่มีใครขายรองเท้าแตะเลยสักร้าน เพราะกลัวจะขายไม่ได้ แต่อีกคนกลับมองว่านั่นเป็นโอกาสที่จะไปเปิดร้านขายรองเท้าแตะเพราะไม่มีคู่แข่ง ผมเองก่อนที่จะทำบริษัทออฟฟิศเมท ตอนนั้นมีร้านเครื่องเขียนอยู่แล้ว 5,000 กว่าร้าน คนมักมองว่า ร้านเครื่องเขียนอุปกรณ์ออฟฟิศก็แค่ซื้อมาขายไป กำไรไม่ได้มากมายอะไร แต่ความจริงแล้วผมมองว่า เวลานั้นร้านเครื่องเขียนมาตรฐานสูงยังมีน้อย และที่สำคัญในตลาดโมเดิร์นเทรดยังไม่มีใครทำ ถ้ามีใครมาจัดมาตรฐานธุรกิจนี้ให้สูง คนนั้นชนะ ผมเลยตัดสินใจทำออฟฟิศเมทจนประสบความสำเร็จ ประเทศไทยมีอะไรที่ต้องสร้างอีกเยอะ เพราะมีปัญหาเยอะมาก หากแก้ปัญหาได้ถูกจุด คนนั้นก็จะรวยได้” นายวรวุฒิ กล่าว  

นายวรวุฒิ กล่าวด้วยว่า พรรคกล้า ได้จัดคลับเฮาส์เพื่อระดมสมองกัน โดยมีผู้ประกอบการร้านอาหารตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่มาสะท้อนปัญหาต่างๆ จนนำไปสู่การหารือกันในทั้งภาครัฐ เอกชน นักธุรกิจ เจ้าสัวใหญ่อย่าง ห้างเดอะมอลล์ และเซ็นทรัลที่มองว่า ธนาคารต้องปล่อยสินเชื่อให้กับร้านอาหารที่เป็นธุรกิจหลักที่มีเป็นจำนวนมากในประเทศไทย และในที่สุดก็เกิดโครงการ จับคู่กู้เงิน เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการร้านอาหาร และหากท่านใดที่เคยไปติดต่อธนาคารแล้วไม่ได้รับอนุมัติ อยากให้ท่านลองไปติดต่ออีกครั้งและเตรียมเอกสารให้พร้อม หากมีปัญหาอะไรติดต่อมายังพรรคกล้าเราพร้อมที่จะประสานงานให้ เราพร้อมที่จะช่วยเหลืออย่างเต็มกำลัง 

รองหัวหน้าพรรคกล้า กล่าวถึงโครงการ แซนด์บ๊อกซ์ ของรัฐบาลว่า เป็นเรื่องที่ควรทำมาตั้งแต่ช่วงต้นมีเพื่อล้อไปกับการฉีดวัคซีนของกลุ่มประเทศตะวันตก และในช่วงเวลาดังกล่าวบ้านเราการแพร่ระบาดก็ยังต่ำมาก เราพยายามส่งเสียงไปแต่ไม่ได้รับความสนใจ เช่นเดียวกับการสนับสนุนให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจจากฐานรากด้วยการค้าขายผ่านระบบออนไลน์ เพราะประเทศไทยมีทั้งกลุ่ม เอสเอ็มอี เกษตรกร ผู้ประกอบการรายย่อยในต่างจังหวัดอีกมาที่ยังขายออนไลน์ไม่เป็น รัฐบาลน่าจะใช้วิกฤตให้เป็นโอกาสกระตุ้นตลาดอีคอมเมิร์ส เพราะนอกจากจะเพิ่มรายได้ให้กับเอสเอ็มอีแล้วยังสามารถหยุดเชื้อได้เพราะคนไม่ต้องออกไปจับจ่ายสินค้าข้างนอก ซึ่งรัฐควรออกมาตรการช่วยเหลือหากใครค้าขายออนไลน์จะออกค่าขนส่งสินค้าให้ และควรส่งคนลงไปอบรมให้กับชาวบ้าน เชื่อว่าถ้าทำได้ภายใน 1 ปี การค้าขายจะเติบโตอย่างก้าวกระโดด 

“ในอนาคต รัฐควรจัดให้มีศูนย์เทคโนโลยีชุมชน โดยมีนักศึกษามาช่วยแนะนำเกษตรกร ซึ่งอาจจะเป็นคนเฒ่าคนแก่รู้จักการขาย รู้จักการใช้เทคโนโลยี และใช้มือถือเป็นเครื่องมือในการสร้างรายได้ คนดีไซน์โครงการจะต้องเข้าใจระบบ เพราะหากไม่เข้าใจการออกนโยบายก็จะไม่ครบหลูบและเดินหน้าต่อไม่ได้ สินค้าเกษตรนอกจากขายตามฤดูกาลแล้ว ยังควรทำสินค้าแปรรูป ซึ่งรัฐต้องมีโครงสร้างมารองรับ โดยเฉพาะตลาดทั้งในและต่างประเทศ ถ้าทำครบวงจร ผลิตของเกษตรกรจะสร้างรายได้จำนวนมหาศาล และจะพ้นกับดักความยากจนอย่างแท้จริง” รองหัวหน้าพรรคกล้า กล่าว 

นอกจากนี้ นายวรวุฒิ ยังกล่าวถึงเพจ “กล้าหางาน” ที่พรรคกล้าได้จัดทำขึ้น เพื่อช่วยคนหางานและงานหาคน ได้มาเจอกัน จนปัจจุบันสามารถช่วยคนหาได้งานทำเป็นจำนวนมากและ ผู้ประกอบการที่หาคนทำงาน ก็ได้บุคลากรที่มีคุณภาพสูงไปทำงานด้วย จึงขอเชิญชวนผู้สนใจเข้าร่วมแชร์ตวามต้องการในเพจกล้าหางาน เป็นพื้นที่ของทุกคนที่ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น

โลตัส เตรียมแจก ‘วัคซีนพาสปอร์ต’ ให้กับประชาชนที่ได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 สนับสนุนให้คนไทยเข้ารับการฉีดวัคซีน ด้วยคูปองแลกสินค้าฟรีและส่วนลดรวมมูลค่ากว่า 400 ล้านบาท เริ่มแจก 1 กรกฎาคมนี้

นายสมพงษ์ รุ่งนิรัติศัย ประธานคณะผู้บริหารธุรกิจโลตัส ประเทศไทย กล่าวว่า ‘โลตัส สนับสนุนการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้กับประชาชนอย่างทั่วถึงและเร่งด่วน โดยเราได้ร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สนับสนุนพื้นที่ภายในสาขาและสำนักงานใหญ่เพื่อเป็นจุดฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้กับประชาชน โดยในกรุงเทพมหานคร โลตัส มีจุดฉีดวัคซีนทั้งหมด 3 จุด คือ โลตัส พระราม 4, โลตัส มีนบุรี และโลตัส สำนักงานใหญ่ ถนนนวมินทร์ นอกจากนั้น ยังมีสาขาในต่างจังหวัดที่เริ่มเป็นจุดฉีดวัคซีนโควิด-19 แล้วเช่นกัน เพื่อเป็นการรณรงค์ให้ลูกค้าและประชาชนฉีดวัคซีนโควิด-19 เราได้จัดทำวัคซีนพาสปอร์ตจำนวน 100,000 เล่ม มอบคูปองแลกสินค้าฟรีและส่วนลดมูลค่ากว่า 4,000 บาทต่อเล่ม เพื่อเป็นการขอบคุณประชาชนที่ร่วมใจกันฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ โลตัส ขอบคุณคู่ค้าของเราที่ให้การสนับสนุนสินค้าและส่วนลดต่างๆ มากมาย’

วัคซีนพาสปอร์ต จะถูกกระจายไปยังไฮเปอร์มาร์เก็ตทั่วประเทศ โดยประชาชนที่ได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว (เข็มแรกหรือเข็มที่ 2 ก็ได้) จากจุดฉีดวัคซีนใดก็ได้ ไม่จำกัดว่าต้องเป็นจุดฉีดในสาขาของโลตัส สามารถนำหลักฐานมาแสดงที่จุดบริการลูกค้าเพื่อรับวัคซีนพาสปอร์ต และสามารถใช้คูปองต่างๆ ภายในวัคซีนพาสปอร์ต ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ.2564 จนถึง 30 กันยายน พ.ศ.2564 หรือตามเงื่อนไขที่กำหนด

คูปองแจกสินค้าฟรีและส่วนลดในวัคซีนพาสปอร์ต อาทิ รับฟรี ขนมปลาเส้นแน็คซ์แน็คซ์, เจลล้างมืออนามัยเดทตอล, หน้ากากผ้าแม็คยีนส์, สติ๊กเกอร์เติมลมไนโตรเจนที่ค็อกพิท และคูปองส่วนลด ลดทันที 100 บาท เมื่อซื้อสินค้าครบ 400 บาท ที่โลตัส, ซื้อบัตรฟู้ดคอร์ท 120 บาท ในราคา 100 บาท, ส่วนลด 50 บาท เมื่อซื้อสินค้าภายใต้แบรนด์ 3M, ส่วนลด 100 บาท เมื่อซื้อสินค้าครบ 500 บาท ที่โอเรียนทอล พริ้นเซส และคูปองส่วนลดสินค้าอื่นๆ อีกมากมายทั้งในซูเปอร์มาร์เก็ต และศูนย์การค้า

“โลตัส หวังว่าวัคซีนพาสปอร์ตจะเป็นอีกหนึ่งแรงในการช่วยให้ประเทศไทยสามารถเอาชนะวิกฤติครั้งนี้ไปได้ด้วยกัน ด้วยการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับประชาชน ลดความเสี่ยงในการติดและแพร่เชื้อโควิด-19 และลดความเสี่ยงจากการป่วยหรือเสียชีวิตจากโรคโควิด-19” นายสมพงษ์ กล่าว

 

ที่มา : https://www.naewna.com/lady/580465


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

‘ดร.พิสิฐ’ ชี้ การจัดสรรงบประมาณลงธนาคารรัฐต่างๆ ไม่คำนึงถึงการฟื้นฟูเศรษฐกิจจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยในยุคโควิด วอนสำนักงบฯ นำไปพิจารณาโอกาต่อไป

ในการประชุมของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 ของสภาผู้แทนราษฎร วันที่ 15 มิถุนายน 2564 ภายหลังจากการประชุมร่วมกับธนาคารของรัฐทั้ง 6 แห่ง ดร. พิสิฐ ลี้อาธรรม ในฐานะรองประธานกรรมาธิการได้ชี้ให้เห็นว่า การจัดสรรงบประมาณ 2565 ท่ามกลางวิกฤติเศรษฐกิจโควิด ยังไม่ได้คำนึงถึงผลสัมฤทธิ์ในการก่อให้เกิดการกระตุ้นธุรกรรมเศรษฐกิจจากธนาคารต่างๆ ของรัฐ จากตัวเลขที่สรุปในตาราง พบว่าธนาคารที่มีกำลังมาก คือทุนและสินทรัพย์มากซึ่งน่าจะมีความสามารถในการกระตุ้นเศรษฐกิจได้มาก กลับได้งบประมาณน้อย แต่ธนาคารของรัฐที่มีทุนน้อยและงบดุลน้อยกลับได้รับงบประมาณมากกว่า อย่างเช่น ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ที่สามารถจะช่วยภาคอสังหาริมทรัพย์ อีกทั้งมีความเชื่อมโยงกับการผลิตและการจ้างงานมาก กลับได้งบประมาณน้อย เป็นต้น ยกเว้น ธนาคารเพื่อการเกษตรฯ (ธกส.) ซึ่งเป็นธนาคารที่มีนโยบายช่วยเกษตรกรโดยตรง ดังนั้น ดร.พิสิฐ จึงขอฝากเป็นประเด็นให้สำนักงบประมาณได้นำไปประกอบการพิจารณาการจัดสรรงบประมาณในโอกาสต่อไป

“จุรินทร์” สั่งรื้อค่าบริการฟู้ด เดลิเวอรี่ ตั้งอนุฯ ทำราคาเหมาะสม

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้า (กกร.) ว่า ที่ประชุมเห็นชอบให้ตั้งคณะอนุกรรมการขึ้น 1 ชุด โดยมีอธิบดีกรมการค้าภายใน เป็นประธาน เพื่อพิจารณาโครงสร้างการจัดเก็บค่าส่วนแบ่งการขาย (จีพี) ใหม่ เพื่อให้ได้อัตราการจัดเก็บเหมาะสม หลังปัจจุบันแพลตฟอร์มสั่งอาหารออนไลน์ (ฟู้ด เดลิเวอรี่) ได้เรียกเก็บจากร้านอาหารในอัตรา 30-35% ของยอดขาย 

“คณะอนุกรรมการที่ตั้งขึ้น จะไปพิจารณาเรื่อง แพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี่หรือแพลตฟอร์มให้บริการจำหน่ายอาหารผ่านระบบเดลิเวอรี่ ให้พิจารณาเรื่องค่าจีพี ค่าขนส่งหรือค่าใช้จ่ายอื่น เพื่อให้แพลตฟอร์มอยู่ได้และร้านอาหารและผู้บริโภคได้รับความเป็นธรรมยิ่งขึ้น พร้อมให้ไปหาจุดสมดุลของทั้ง 3 ฝ่าย คือ แพลตฟอร์มต้องทำธุรกิจต่อไปได้ ขณะที่ร้านอาหาร และผู้บริโภคที่สั่งอาหารผ่านแพลตฟอร์ม ต้องได้รับความเป็นธรรมต่อไป”  

นอกจากนี้ ยังมีมติให้ต่ออายุรายการสินค้าและบริการควบคุมปี 63 รวม 51 รายการ แบ่งเป็นสินค้า 46 รายการ และบริการอีก 5 รายการ อีก 1 ปี หรือตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.64-30 มิ.ย.65 เพื่อให้กระทรวงพาณิชย์ ใช้มาตรการทางกฎหมายกำกับดูแลได้อย่างเหมาะสม และได้ปรับมาตรการดำเนินการสำหรับสินค้าและบริการควบคุมบางรายการให้เหมาะสมมากขึ้น โดยในสินค้า 4 รายการ คือ กากดีดีจีเอส (กากที่เหลือจากการผลิตเอทานอล) ข้าวสาลี ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และมันสำปะหลัง ที่กำหนดให้ต้องแจ้งขออนุญาตต่อ กกร.ก่อนการขนย้ายนั้น สามารถแจ้งขนย้ายผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ได้แล้ว   

ส่วนเหล็กเส้น กำหนดมาตรการเพิ่มเติมให้ผู้นำเข้าต้องแจ้งข้อมูลการนำเข้า ทั้งปริมาณการนำเข้า-จำหน่าย ปริมาณคงเหลือ เป็นประจำทุกเดือน เพราะขณะนี้ ราคาเหล็กในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นมาก ขณะที่เหล็กเคลือบดีบุกและเหล็กโครเมียม ที่ทำกระป๋องบรรจุอาหาร ผู้ผลิตต้องปรับมาตรฐานการผลิตให้สอดคล้องกับมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) ใหม่ สำหรับบริการให้สิทธิในการเผยแพร่งานลิขสิทธิ์เพลงเพื่อการค้า กำหนดเพิ่มเติมให้เจ้าของลิขสิทธิ์ต้องแสดงรายละเอียดเพิ่มเติม 8 รายการ เช่น ชื่อผู้แต่งเนื้อร้องและทำนอง วันสิ้นสุดสัญญาอนุญาตให้จัดเก็บค่าตอบแทน เป็นต้น  

ศาลล้มละลายเห็นชอบเเผนฟื้นฟูการบินไทยฉบับเเก้ไข ตามมติของที่ประชุมเจ้าหนี้

ที่ศาลล้มละลายกลาง ถนนเเจ้งวัฒนะ ศาลนัดฟังคำสั่งชั้นพิจารณาให้ความเห็นชอบแผนฟื้นฟูกิจการในคดีฟื้นฟูกิจการของ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) คดีหมายเลขแดงที่ฟฟ 20/2563  คดีนี้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รายงานว่าเมื่อวันที่19 พ.ค.64 ที่ประชุมเจ้าหนี้มีมติพิเศษยอมรับแผนฟื้นฟูกิจการและแผนที่มีการแก้ไข ศาลกำหนดนัดพิจารณาแผนแล้วมีเจ้าหนี้ยื่นคำคัดค้านประกอบด้วยเจ้าหนี้รายที่ 11627,10320 และรายที่ 10341ยื่นคำคัดค้านว่าแผนฟื้นฟูกิจการไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ศาลพิจารณาแผนคำคัดค้านรายงานผลประชุมเจ้าหนี้คำชี้แจงของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และผู้ทำแผนแล้วข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ดำเนินการจัดประชุมเจ้าหนี้โดยชอบด้วยกฎหมายซึ่งที่ประชุมเจ้าหนี้มีมติพิเศษยอมรับแผนฟื้นฟูกิจการโดยถูกต้องตามมาตรา 90/46โดยแผนฟื้นฟูกิจการมีรายการครบถ้วนตามมาตรา 90/42 ทั้งลำดับและข้อเสนอการชำระหนี้ตามแผนฟื้นฟูกิจการได้กำหนดวิธีการชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ที่มีลักษณะเหมือนกันอย่างเท่าเทียมตามกฎหมายแม้การชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้บางกลุ่มจะแตกต่างกันอยู่บ้าง แต่ก็สืบเนื่องจากเจ้าหนี้แต่ละกลุ่มมีลักษณะสิทธิเรียกร้องที่ต่างกันและข้อกำหนดการชำระหนี้ดังกล่าวเป็นไปตามความจำเป็นในการประกอบธุรกิจของลูกหนี้ซึ่งไม่ขัดต่อมาตรา 90/42ตรี

ลำดับและข้อเสนอการชำระหนี้ตามแผนฟื้นฟูกิจการเป็นไปตามลำดับที่กฎหมายบัญญัติไว้ว่าด้วยการแบ่งทรัพย์สินในคดีล้มละลายตามมาตรา 90/48(2) หากลูกหนี้สามารถดำเนินธุรกิจตามแผนลูกหนี้ย่อมมีรายได้จากการดำเนินกิจการสามารถชำระหนี้ได้แผนฟื้นฟูกิจการจึงแสดงให้เห็นโอกาสและแนวโน้มที่จะสำเร็จ

ประกอบกับเมื่อพิจารณาเปรียบเทียบหนี้ที่อาจขอรับชำระได้ในการฟื้นฟูกิจการแล้วเจ้าหนี้จะได้รับชำระหนี้ไม่น้อยกว่ากรณีที่ศาลมีคำพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลายตามหลักการในมาตรา 90/58(3) นอกจากนั้นเมื่อที่ประชุมเจ้าหนี้ได้ลงมติยอมรับแผนฟื้นฟูกิจการแสดงว่าบรรดาเจ้าหนี้ได้พิจารณาถึงคุณสมบัติความสามารถและความน่าเชื่อถือของผู้บริหารแผนแล้วว่ามีความเหมาะสมและการทำแผนเป็นไปโดยสุจริตไม่ต้องห้ามตามกฎหมาย ศาลจึงมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนฟื้นฟูกิจการและแผนที่มีการแก้ไขตามมติของที่ประชุมเจ้าหนี้

สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ร่วมกับ PPP Plastics และ Alliance to End Plastic Waste (AEPW) จัดพิธีเปิดตัว “โครงการ ALL_Thailand เพื่อการจัดการพลาสติกอย่างยั่งยืน”

สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ร่วมกับ PPP Plastics และ Alliance to End Plastic Waste (AEPW) จัดพิธีเปิดตัว “โครงการ ALL_Thailand เพื่อการจัดการพลาสติกอย่างยั่งยืน” โดยมีนายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ดร.วิจารย์ สิมาฉายา ประธาน PPP Plastics และ มิสเตอร์เจค็อบ ดูเออร์ (Mr. Jacob Duer) ประธานบริหาร Alliance to End Plastic Waste (AEPW) ร่วมเป็นประธานในพิธี พร้อมผู้แทนจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และผู้บริหารจากหน่วยงานผู้สนับสนุนหลัก PPP Plastics ได้แก่ กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย, ธุรกิจเคมิคอลส์ เอสซีจี, บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน), บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด และบริษัท สุเอซ เซอร์วิสเซส (ประเทศไทย) จำกัด

โครงการ ALL_Thailand มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาต้นแบบและนวัตกรรมในการนำพลาสติกที่ใช้งานแล้วกลับมาใช้ประโยชน์และป้องกันพลาสติกเหล่านั้นหลุดรอดไปสู่สิ่งแวดล้อม โดยเน้นการสร้างต้นแบบการจัดการตั้งแต่ต้นทางทั้งในระดับชุมชน ท้องถิ่น จนถึงระดับจังหวัด ในทุกไลฟ์สไตล์ ไปจนถึงระบบและนวัตกรรมที่จะช่วยนำพลาสติกเหล่านั้นกลับมาใช้ประโยชน์ตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเมื่อโครงการแล้วเสร็จภาครัฐสามารถนำไปขยายผลให้ครอบคลุมทั่วประเทศต่อไป สอดคล้องกับนโยบาย BCG ของทางภาครัฐและ Roadmap การจัดการขยะพลาสติกของประเทศไทย โดย ALL_Thailand ได้รับทุนสนับสนุนจาก AEPW เพื่อดำเนินงาน 3 โครงการย่อยในประเทศไทย ได้แก่ โครงการ Eco Digiclean Klongtoei (อีโคดิจิคลีนคลองเตย) โครงการ Rayong Less-Waste (ระยองลดขยะ) และโครงการ Paving Green Roads (เพฟวิ่งกรีนโรด) โดยมีระยะเวลาดำเนินงานรวมทั้งสิ้น 2 ปี

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ได้ให้ความสำคัญกับการจัดการปัญหาขยะพลาสติกในประเทศไทยอย่างยั่งยืน จึงได้ร่วมมือกับกลุ่มพันธมิตร Alliance to End Plastic Waste (AEPW) และ PPP Plastics เพื่อดำเนินโครงการในครั้งนี้ ซึ่งจะทำให้เกิด Business Model ในการจัดการขยะ และสามารถนำไปขยายผล ในวงกว้าง เป็นประโยชน์ต่อสังคม สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจของประเทศไทย ทั้งนี้ สภาอุตสาหกรรมฯ มีความพร้อมในการดำเนินโครงการเพื่อพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการขยะให้ครบวงจร และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับพลาสติกใช้แล้วในรูปแบบต่างๆ เช่น การนำไปใช้สำหรับงานสร้างถนนซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของประเทศ ให้ประเทศไทยมีแนวทางในการจัดการขยะพลาสติกตลอด Supply Chain สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy : BCG Model) และยกระดับความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมไทย สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจและเทคโนโลยีในอนาคต

ดร.วิจารย์ สิมาฉายา ประธาน PPP Plastics กล่าวว่า โครงการ ALL Thailand ประกอบด้วย 3 โครงการย่อย โดยโครงการอีโคดิจิคลีนคลองเตย Eco Digiclean Klongtoei เป็นการนำเทคโนโลยีดิจิตอล มาช่วยในการบริหารจัดการขยะพลาสติกตั้งแต่ต้นทาง เช่น การสร้าง Application เพื่อช่วยบริหารจัดการขยะ การพัฒนาถังขยะรูปแบบใหม่กึ่งอัตโนมัติ เพื่อช่วยแยกขยะประเภทพลาสติก เพื่อเพิ่มมูลค่าของขยะพลาสติก ในส่วน Rayong Less-Waste หรือ ระยองลดขยะ จะเป็นการขยายโมเดลการจัดการขยะระดับชุมชนและท้องถิ่นด้วยเศรษฐกิจหมุนเวียนไปให้ครอบคลุมทั้งจังหวัดระยอง โดยมีเป้าหมายที่จะสร้างชุมชนตัวอย่างในทั้ง 68 เทศบาลของจังหวัดระยอง เพื่อช่วยสร้างรายได้ สร้างอาชีพ สร้างคุณภาพชีวิตที่ดี และลดปริมาณขยะพลาสติกที่ไปหลุมฝังกลบในระยองที่นับวันจะมีพื้นที่ลดน้อยลง และ โครงการ Paving Green Roads (เพฟวิ่งกรีนโรด) เป็นโครงการศึกษาวิจัยเพื่อนำพลาสติกใช้แล้วมาเป็นส่วนผสมในถนนยางมะตอยอย่างมีประสิทธิภาพและไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยร่วมกับหลายประเทศ และในประเทศไทย เราได้ร่วมทำงานกับคณะอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพื่อวิจัยด้านสิ่งแวดล้อมของการทำถนนที่มีส่วนประกอบของพลาสติกใช้แล้ว ทั้งในด้านอากาศและน้ำ รวมทั้งคุณสมบัติความแข็งแรงทนทาน และศักยภาพในการนำถนนพลาสติกที่ถูกรื้อถอนกลับมารีไซเคิลเพื่อสร้างเป็นถนนใหม่ เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการสร้างถนนของประเทศไทยในอนาคตต่อไป

มิสเตอร์เจค็อบ ดูเออร์ (Mr. Jacob Duer) ประธานและซีอีโอ Alliance to End Plastic Waste กล่าวว่า “ทั้ง 3 โครงการนี้มีเป็นตัวอย่างของกิจกรรมในพื้นที่ ที่มีเอกลักษณ์พิเศษที่แตกต่างกันไป แต่เมื่อนำทั้ง 3 โครงการมารวมกันภายใต้โครงการ ALL_Thailand จะสามารถสร้างแรงกระเพื่อมที่ยิ่งใหญ่ที่จะช่วยกระจายความรู้ สร้างความเข้าใจ เพื่อขับเคลื่อนให้เกิดผลกระทบเชิงบวกในชุมชน สิ่งเหล่านี้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของ AEPW ที่ต้องการขับเคลื่อนการมีส่วนร่วมเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจหมุนเวียนและหยุดขยะพลาสติกในสิ่งแวดล้อม”

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า สายงานส่งเสริมสนับสนุนอุตสาหกรรม ภายใต้สภาอุตสาหกรรมฯ ได้ให้ความสำคัญกับการจัดการขยะพลาสติก พร้อมเป็นตัวแทนภาคธุรกิจร่วมกำหนดมาตรฐานขวด PET พลาสติก จากรูปแบบขวดสี สู่ขวดใส เพื่อส่งเสริมให้เกิดการนำขวดพลาสติกนำกลับมารีไซเคิลได้ใหม่ สร้างมูลค่าเพิ่มและส่งเสริมให้เกิดการจัดเก็บขวดพลาสติกที่ใช้แล้วเข้าสู่ระบบมากยิ่งขึ้น สอดคล้องกับทิศทางเทคโนโลยีในอนาคต ด้วยภารกิจการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy : BCG Model)

นายฉัตรชัย เลื่อนผลเจริญชัย ประธานบริหาร กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย กล่าวว่า “Dow เห็นความสำคัญของการทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนเพื่อจัดการพลาสติกใช้แล้วอย่างยั่งยืน จึงร่วมเป็นหนึ่งในสมาชิกผู้ก่อตั้ง PPP Plastics ตั้งแต่ปี 2560 และขับเคลื่อนโครงการต่างๆ ภายใต้ PPP Plastics รวมทั้งโครงการ ALL_Thailand ในครั้งนี้ เพื่อช่วยขับเคลื่อนการจัดการขยะพลาสติกตามหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียนให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม DOW ยินดีให้การสนับสนุนโครงการและทำงานร่วมกับทุกภาคีเครือข่ายเพื่อให้โครงการบรรลุตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้อันจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยอย่างยิ่ง”

นายศักดิ์ชัย ปฏิภาณปรีชาวุฒิ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจเคมิคอลส์ เอสซีจี กล่าวว่า “ธุรกิจเคมิคอลส์ เอสซีจี ดำเนินธุรกิจภายใต้กลยุทธ์ “ธุรกิจปิโตรเคมีเพื่อความยั่งยืน” ตามแนวทาง ESG (Environmental, Social and Governance) และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) โดยตระหนักถึงผลกระทบของพลาสติกใช้แล้วที่ไม่ได้รับการจัดการอย่างเหมาะสม จนส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม จึงได้นำหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เข้ามาขับเคลื่อนการทำธุรกิจ มุ่งเน้นไปที่การบริหารจัดการพลาสติกตลอดทั้งวงจรอย่างใส่ใจและรับผิดชอบ โดยมีการดำเนินการ 3 ด้านหลัก คือ

1.) การสร้างความรู้และความเข้าใจเรื่องเศรษฐกิจหมุนเวียน

2.) การประยุกต์หลักเศรษฐกิจหมุนเวียน ให้ครอบคลุมทุกมิติของการทำธุรกิจ

3.) การสร้างเครือข่ายและความร่วมมือ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ความร่วมมือระหว่างองค์กรและกับทุกภาคส่วน เพื่อดูแลและร่วมสร้างการเติบโตให้กับชุมชนและสังคมอย่างยั่งยืนไปด้วยกัน”

ดร.ชญาน์ จันทวสุ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานบริหารความยั่งยืนและภาพลักษณ์องค์กร บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “GC หนึ่งในบริษัทผู้ก่อตั้ง PPP Plastics มีความยินดีที่ PPP Plastics สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ได้ร่วมมือกับกลุ่มพันธมิตร Alliance to End Plastic Waste ในการแก้ปัญหาเพื่อลดปริมาณพลาสติกที่ใช้แล้วบนพื้นฐานของการจัดการขยะอย่างยั่งยืน ตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และหลักการ 3Rs บริษัทฯ เห็นความสำคัญของปัญหาต่างๆ ที่เกิดจากพลาสติกที่ใช้แล้ว จึงนำนวัตกรรมเทคโนโลยีมาปรับใช้ เพื่อสร้างทางเลือกให้กับผู้บริโภค ในรูปแบบที่หลากหลาย บริษัทฯ พร้อมให้ความร่วมมือในการศึกษา พัฒนาการวิจัย และนวัตกรรม เพื่อให้เกิดการสร้างมูลค่าเพิ่มจากขยะพลาสติกให้สอดคล้องกับแนวทาง BCG เพื่อยกระดับความเป็นอยู่ของพวกเราทุกคน GC หวังเป็นอย่างยิ่งว่าความร่วมมือกับ PPP Plastics และพันธมิตร จะช่วยขับเคลื่อนให้เกิดการจัดการพลาสติกที่ใช้แล้วอย่างเป็นระบบ และส่งผลให้โครงการสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ตามที่ได้ตั้งเป้าหมายที่วางไว้ ในการลดปริมาณขยะพลาสติกในทะเลไทยลงไม่ต่ำกว่าร้อยละ 50 ภายใน ปี 2570”

นายนภดล ศิวะบุตร ผู้อำนวยการบริหาร ฝ่ายองค์กรสัมพันธ์ บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด กล่าวว่า “ปัญหาขยะพลาสติกเป็นความท้าทายทางสิ่งแวดล้อมที่ใหญ่หลวงสำหรับทุกภาคส่วน เนสท์เล่ ในฐานะบริษัทอาหารและเครื่องดื่มรายใหญ่ที่สุดของโลก เราตระหนักดีถึงบทบาทและหน้าที่สำคัญของเราในฐานะผู้ผลิตที่ต้องมีส่วนร่วมในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อนำไปสู่อนาคตที่ปลอดขยะ เนสท์เล่ได้มีการเปลี่ยนแปลงบรรจุภัณฑ์ของเราให้สามารถนำไปรีไซเคิลหรือนำกลับมาใช้ใหม่ได้ นอกจากนั้นแล้ว เรายังเล็งเห็นความสำคัญของการทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง และยินดีที่จะให้ความสนับสนุนอย่างเต็มที่ เพื่อผลักดันให้เกิดการจัดการขยะพลาสติกอย่างมีประสิทธิภาพและขับเคลื่อนให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างเต็มรูปแบบโดยเร็ว”

Mr. Stephane Heddesheimer, CEO ของ กลุ่มรีไซเคิล และการนำกลับมาใช้ใหม่ ของสุเอซ เอเชีย กล่าวว่า "การรีไซเคิลพลาสติก มีบทบาทสำคัญในการเร่งให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว ของประเทศไทย และวิสัยทัศน์ในการเปลี่ยนผ่านไปสู่ การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน บริษัท สุเอซ มุ่งมั่นที่จะรีไซเคิลพลาสติก และเปลี่ยนขยะให้เป็นพลังงานสำหรับประเทศไทย และยังคงร่วมมือกับสภาอุตสาหกรรม แห่งประเทศไทย PPP Plastics และกลุ่มพันธมิตร ตลอดจนผู้นำอุตสาหกรรมอื่นๆ ทั่วทั้งห่วงโซ่คุณค่า เพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุด ในการยุติขยะพลาสติก และเชื่อมั่นว่าความร่วมมือของเราจะส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อม ความหลากหลายทางชีวภาพ และชุมชนของเรา”


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ก.แรงงาน ชง ครม.ไฟเขียวกฎหมายช่วยผู้ประกันตน

การประชุมคณะรัฐมนตรี ที่ประชุมเตรียมหารือถึงวาระสำคัญของหน่วยงานต่างๆ หลายเรื่อง โดยกระทรวงแรงงาน เสนอร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดอัตราการจ่ายเงินสมทบของบุคคลซึ่งสมัครเป็นผู้ประกันตนในกรณีการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราเงินสมทบที่รัฐบาลจ่ายเข้ากองทุนประกันสังคมสำหรับบุคคลซึ่งสมัครเข้าเป็นผู้ประกันตน ในกรณีการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ

พร้อมกันนี้ยัง เสนอร่างกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหารจัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักร ปั้นจั่น และหม้อน้ำ พ.ศ. .... ด้านกระทรวงสาธารณสุข เสนอการปรับปรุงหลักเกณฑ์เพิ่มเติมรองรับการทำประกันสุขภาพสำหรับชาวต่างด้าวผู้ขอรับการตรวจลงตราประเภทคนอยู่ชั่วคราว Non-Immigrant Visaรหัส 0-A (ระยะ 1 ปี) ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2562

ขณะที่ กระทรวงการคลัง เสนอการยกเว้นอากรศุลกากรและภาษีสรรพสามิต สำหรับโครงการระบบดาวเทียมสำรวจพร้อมระบบภาคพื้นดินและระบบแอปพลิเคชันภูมิสารสนเทศสำหรับโครงการระบบดาวเทียมสำรวจเพื่อการพัฒนา (THEOS-2) รวมร่างประกาศกระทรวงการคลัง 2 ฉบับ 

ส่วนกระทรวงศึกษาธิการ เสนอ (ร่าง) แผนพัฒนาเด็กปฐมวัย พ.ศ. 2564-2570 และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เสนอขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินโครงการสนับสนุนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ เพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ปี 2563/2564

“บิ๊กตู่” สั่งออกมาตรการช่วยแก้หนี้สินประชาชนรายย่อย

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม โพสต์เฟซบุ๊ก ยอมรับว่า ได้ประชุมกับนายสุพัฒนพงศ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน ผู้แทนจากกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย และผู้เกี่ยวข้อง เพื่อหาทางแก้ไขปัญหาหนี้สินของประชาชนรายย่อย ให้กับประชาชนกลุ่มต่างๆ ได้แก่ หนี้ กยศ. 3.6 ล้านคน ผู้ค้ำประกัน 2.8 ล้านคน หนี้ครู/ข้าราชการ 2.8 ล้านบัญชี หนี้เช่าซื้อรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ 6.5 ล้านบัญชี หนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล 49.9 ล้านบัญชี และปัญหาหนี้สินอื่นๆ ของประชาชน 51.2 ล้านบัญชี

ทั้งนี้ที่ประชุมเห็นว่า การแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนให้เบ็ดเสร็จต้องทำ 3 เรื่องควบคู่กัน คือ การให้ความรู้ทางการเงินแก่ประชาชน การกำกับดูแลเจ้าหนี้ให้สินเชื่ออย่างเป็นธรรม และการปรับโครงสร้างหนี้และการไกล่เกลี่ยปัญหาหนี้สิน โดยมีมาตรการที่นำมาคุยกันในวันนี้ มีทั้งมาตรการระยะสั้นและระยะยาว 

สำหรับ มาตรการระยะสั้น เช่น ไกล่เกลี่ยปัญหาหนี้สินเพื่อลดการดำเนินคดีกับประชาชน เช่น หนี้ กยศ. หนี้สถาบันการเงินเฉพาะกิจ หนี้สหกรณ์ ลดภาระดอกเบี้ยของประชาชน ทั้งในส่วนสินเชื่อรายย่อย สินเชื่อพิโคไฟแนนซ์ PICO และนาโนไฟแนนซ์ สำหรับประชาชน, ปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ของครูและข้าราชการ รวมถึงสหกรณ์ ปรับรูปแบบการชำระหนี้ รวมถึงปรับลดค่าธรรมเนียมต่างๆ ที่ไม่จำเป็น  

ยกระดับการกำกับดูแล เช่น สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) คุ้มครองความเป็นธรรมให้ประชาชนที่เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ธปท. ทบทวนเพดานอัตราดอกเบี้ยและการกำกับดูแลบัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคลและสินเชื่อจำนำทะเบียน, กำกับดูแลไม่ให้การบริหารความเสี่ยงด้านสินเชื่อของสถาบันการเงิน/สหกรณ์สร้างภาระแก่ผู้กู้จนเกินสมควร และเพิ่มการเข้าถึงแหล่งทุนให้ผู้ประกอบการรายย่อยและเอสเอ็มอี เช่น จัดให้มีซอฟต์โลน สำหรับเอสเอ็มอี เป็นหนี้เสีย เพื่อให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้ การเพิ่มจำนวนโรงรับจำนำและโรงรับจำนอง

สำหรับมาตรการระยะยาว ได้มีการพูดถึงหลักการสำคัญ คือต้องทำให้เกิดสภาพแวดล้อมของการเข้าถึงสินเชื่อได้ง่าย และมีการคุมยอดวงเงินกู้ที่เหมาะสม เช่น รัฐต้องเร่งส่งเสริมการแข่งขันให้อัตราดอกเบี้ยถูกลง เพิ่มระบบให้ผู้ฝากเงินมาเป็นผู้ให้สินเชื่อโดยรับความเสี่ยงมากขึ้นผ่านระบบดิจิทัล การจัดตั้งหน่วยงานขึ้นมาใหม่เพื่อกำกับดูแลสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์และสินเชื่อรายย่อยเป็นการเฉพาะ การจัดตั้งศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางธุรกิจและการเงิน เพื่อชะลอการฟ้อง อำนวยความสะดวกให้การฟื้นฟูหนี้รายบุคคลที่มีเจ้าหนี้หลายราย 

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังมีการหารือในเรื่องการให้ความช่วยเหลือเด็กรุ่นใหม่/คนเกษียณที่มีภาระหนี้สิน โดยจะออกมาตรการเพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย เรื่องที่อยู่อาศัย และค่าเดินทางระบบขนส่งมวลชนในราคาถูก โดยสิ่งที่คนไทยจะได้รับจากมาตรการดังกล่าว คือ มีเงินเหลือใช้จ่ายมากขึ้นจากภาระหนี้ที่ดอกเบี้ยลดลงได้ 2-3% ต่อปี, ลดปัญหาการสร้างหนี้เกินตัวลงได้ทันที, เพิ่มโอกาสทางสังคมและลดความเหลื่อมล้ำอย่างเป็นรูปธรรม และใช้การจัดการเพิ่มประสิทธิภาพของรัฐมาแก้ไขปัญหารากแก้วโดยใช้งบประมาณรัฐน้อยที่สุด


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top