Thursday, 19 June 2025
ECONBIZ

‘ก.อุตฯ’ ชู!! ‘อีวี-ป้องกันประเทศ-ฮาลาล’ 3 อุตสาหกรรมแชมป์เปี้ยนไทย ใต้การเปลี่ยนผ่าน ‘อุตฯ ดั้งเดิม’ สู่ ‘อุตฯ ใหม่’ ช่วยดึงดูดนักลงทุน

(28 ม.ค. 67) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการยกระดับอุตสาหกรรมของไทย ให้สอดรับกับกติกาโลกและเทรนด์ของผู้บริโภค และยกคุณภาพชีวิตประชาชน ว่า กระทรวงอุตสาหกรรม มุ่งเน้นอุตสาหกรรมเป้าหมายควบคู่การปรับเปลี่ยนอุตสาหกรรมดั้งเดิมไปสู่อุตสาหกรรมใหม่ เนื่องจากเทรนด์ทั่วโลกมีการเปลี่ยนแปลง เพื่อดึงนักลงทุนต่างประเทศ และมีมาตรการช่วยผู้ประกอบการโดยเฉพาะซัพพลายเชน ที่เป็นวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ให้เดินหน้าต่อไปได้ 

โดยมีวางแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมที่จะเป็นแชมป์เปี้ยน ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี), อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ และอุตสาหกรรมฮาลาล และอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่จะตามมาเป็นลำดับ และส่งเสริมสนับสนุนผู้ประกอบการที่เหมือนเสือหลับให้ตื่นขึ้น ด้วยการลงทุน ลดอุปสรรค และอำนวยความสะดวกในการดำเนินการ 

นอกจากนั้นรัฐบาลชูความพร้อมทุกมิติเพื่อเปิดรับนักลงทุนจากทั่วโลก ที่พร้อมดำเนินการ เช่น i.Industry ระบบทะเบียนลูกค้ากระทรวงอุตสาหกรรมแบบวันสต็อปเซอร์วิส (One Stop Service) ลดขั้นตอนความยุ่งยากต่างๆ

นางรัดเกล้า กล่าวว่า ขณะที่ อุตสาหกรรมเดิม เช่น อุตสาหกรรมสิ่งทอ ได้มีมาตรการดูแลและจะต้องปรับตัว โดยดึงซอฟต์พาวเวอร์ เข้ามาช่วยเพิ่มโอกาสในการแข่งขัน ส่วนอุตสาหกรรมเหล็กที่ต้องสู้กับการการแข่งขันจากการนำเข้ามาจากต่างประเทศ จะต้องปรับตัวเช่นกัน

'อลงกรณ์' ลุยแดนมังกรดึงจีนลงทุน10อุตสาหกรรมใหม่แห่งอนาคตหวังเป็นเครื่องยนต์ (new growth engine) ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย

นายอลงกรณ์ พลบุตร อดีตรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน อดีตรองประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศคนที่1และอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้รับเชิญให้กล่าวปาฐกถาพิเศษในการประชุมBRI(Belt and Road Innitiative)industrial investment International summit forum 2024ที่เซินเจิ้นโดยกล่าวว่า โลกผันผวนและเปลี่ยนแปลงทุกมิติอย่างรวดเร็วมีทั้งโอกาสและภัยคุกคาม เราต้องออกแบบอนาคตและนวัตกรรม(Innovating the Future)

การลงทุนใหม่ๆ ประการสำคัญคือการมีหุ้นส่วน(partnership)ที่ดีเป็นหัวใจสำคัญที่สุด ขอให้เชื่อมั่นว่าโอกาสมีอยู่ทุกหนแห่ง(Possibility is everywhere) นายอลงกรณ์ได้ยกตัวอย่างความร่วมมือระหว่างประเทศไทยกับประเทศจีนทางด้านการค้า การลงทุนและการท่องเที่ยวตลอด49ปีของความสัมพันธ์ทางการฑูตทำให้เกิดโอกาสทางธุรกิจและเศรษฐกิจเปิดกว้างและเติบโตต่อเนื่องแม้จะเผชิญกับปัญหาอุปสรรคต่างๆแต่ก็สามารถฝ่าฟันผ่านพ้นมาได้จนประเทศจีนเป็นประเทศคู่ค้าและผู้ลงทุนอันดับ1ของประเทศไทยรวมทั้งนักท่องเที่ยวชาวจีนก็มาไทยมากที่สุดโดยเฉพาะ10ปีแห่งความร่วมมือในการขับเคลื่อนโครงการ“หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” กรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอาเซียน-จีนและความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาคRCEPล่าสุดซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของความเป็นหุ้นส่วน(partnership)บนผลประโยชน์และความสำเร็จร่วมกัน

“อุตสาหกรรมใหม่คือโอกาสใหม่ๆของทุกประเทศของทุกบริษัทและนักลงทุนทุกคนจึงขอเชิญชวนมาลงทุนทั้งในตลาดทุน(Capital Investment)และตลาดFDI(Foreign Direct Investment)ในประเทศไทยโดยเฉพาะระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก(EEC)และเขตเศรษฐกิจพิเศษในภูมิภาครวมทั้งอุตสาหกรรมใหม่ (first S-Curveและ New S-Curve) 10 สาขาซึ่งมีมาตรการส่งเสริมการลงทุนเป็นพิเศษของรัฐบาลไทยภายใต้BCGโมเดลและเป้าหมายลดโลกร้อนของการประชุมCOP28ได้แก่

1) อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ (Next – Generation Automotive)เช่นยานยนต์ไฟฟ้า
2) อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ (Smart Electronics)
3) อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดีและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Affluent, Medical and Wellness Tourism)  
4) การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ (Agriculture and Biotechnology)  
5) อุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคต (Food for the Future)
และอุตสาหกรรมอนาคตใหม่(New S-curve) อีก5 สาขา
1) อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ (Robotics)และAI
2) อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ (Aviation and Logistics)  
3) อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ (Biofuels and Biochemicals) 
4) อุตสาหกรรมดิจิตอล (Digital) 
5) อุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร (Medical Hub) 
ซึ่งเป็นรูปแบบการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ เพื่อพัฒนาหรือเปลี่ยนแปลงรูปแบบสินค้าและเทคโนโลยี โดยจะเป็นหัวใจหลักของกลไกใหม่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ (New Growth Engines)

นายอลงกรณ์ยังได้หารือระหว่างLunch meeting กับผู้บริหารบริษัทลงทุนยักษ์ใหญ่หลายแห่งซึ่งทุกบริษัทตอบรับอย่างกระตือรือร้นที่จะมาลงทุนในประเทศไทยทั้งอุตสาหกรรมใหม่และตลาดทุนของไทยสำหรับการสัมมนาครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมกว่า 500 คนและมีสมาคมการค้าไทย-จีนและเศรษฐกิจเอเชีย

โดยนางสาวอภิญญา ปราโมช นายกสมาคมฯ นางสาวประจงจิต พลายเวช รองประธานที่ปรึกษากิตติมศักดิ์สมาคมฯและนายเมฆินทร์ เอี่ยมสะอาด จากมูลนิธิสถาบันพลังงานทางเลือกแห่งประเทศไทยเข้าร่วมการประชุมด้วยโดยจัดที่โรงแรมเชอราตัน-เซิ่นเจิ้นเมื่อ26 มกราคมที่ผ่านมา

‘เศรษฐา’ ควง ‘อุ๊งอิ๊ง’ ร่วมเปิดเทศกาลงานออกแบบกรุงเทพฯ เสริมเสน่ห์เมืองกรุง หนุนซอฟต์พาวเวอร์ ต่อยอดเศรษฐกิจไทย

(27 ม.ค. 67) ที่สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) อาคารไปรษณีย์กลาง ถนนเจริญกรุง เขตบางรัก กรุงเทพฯ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานในพิธีเปิดเทศกาลงานออกแบบกรุงเทพฯ 2567 (Bangkok Design Week 2024) ภายใต้แนวคิด ‘Livable Scape คนยิ่งทำ เมืองยิ่งดี’ โดยมี นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์, นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี, น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะรองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์, นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ร่วมงานด้วย

โดยเมื่อมาถึงนายกฯ เยี่ยมชมนิทรรศการต่างๆ ภายในงาน ช่วงหนึ่งระหว่างชมนิทรรศการ นายเศรษฐา และ น.ส.แพทองธาร ได้ร่วมกิจกรรม ‘Creative Power House’ เป็นแบบในการวาดภาพลายเส้นเฉพาะตัวผ่านกระจกรีไซเคิล พร้อมเซ็นชื่อบนกระจก และได้รับภาพปริ้นเป็นที่ระลึก จากนั้นเยี่ยมชมเทศกาลงานออกแบบกรุงเทพฯ

น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่ได้พูดคุยกับทุกท่านในเทศกาลงานออกแบบกรุงเทพฯ ปีนี้เป็นปีที่ 2 ที่ตนได้มาที่นี่ ‘คนยิ่งทำ เมืองยิ่งดี’ เป็นแนวคิดที่ทำให้เรามองเห็นว่า ความคิดสร้างสรรค์และการออกแบบล้วนเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของทุกคน และวิถีชีวิตประจำวันของเรา ซึ่งความคิดสร้างสรรค์โดยเฉพาะการออกแบบจำเป็นอย่างยิ่ง ต่อการสร้างซอฟต์พาวเวอร์ของประเทศไทย ความคิดสร้างสรรค์จะยกระดับวัฒนธรรมของไทยให้มีมูลค่ามากยิ่งขึ้น สร้างเสน่ห์ที่ทำให้ต่างชาติหลงใหลและกลับมาชื่นชมประเทศไทยของเรา กรุงเทพฯเป็นพื้นที่ของความหลากหลาย มีหลายเชื้อชาติ หลากวัฒนธรรม ในทุกๆ อย่างมีประวัติศาสตร์ของตัวเองที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งสิ่งนี้เป็นเสน่ห์สำคัญของกรุงเทพฯ ในหนึ่งเมืองมีหลายบรรยากาศที่ล้วนสร้างความรู้สึกและประสบการณ์ที่แตกต่างกันไป ต้นทุนทางวัฒนธรรมที่ดีจะต้องพัฒนาพลังสร้างสรรค์

น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ขอชวนทุกภาคส่วน ทั้งกลุ่มเครือข่ายนักสร้างสรรค์ ภาครัฐ ภาคเอกชน มาช่วยกันพัฒนาให้เป็นผลงานที่จะจัดงานที่มีพื้นที่ และยังมีความร่วมมือกันระหว่างนักสร้างสรรค์และกรุงเทพมหานคร ในการพัฒนาเมืองบนพื้นฐานของความรู้ด้านสถาปัตยกรรมและผังเมืองนั้น เพื่อทำการออกแบบมาใช้งานได้จริง เทศกาลงานออกแบบกรุงเทพฯ คือ รูปธรรมของการนำความคิดสร้างสรรค์มาทำงานร่วมกับวัฒนธรรมไทย และทำให้เกิดซอฟต์พาวเวอร์ได้เป็นอย่างดี หวังว่าพี่น้องประชาชนที่มาร่วมงานจะได้รับแรงบันดาลใจที่ดี กับเทศกาลงานออกแบบกรุงเทพฯ เป็นแหล่งรวมแนวคิด เป็นพื้นฐานของความคิดสร้างสรรค์ เป็นพื้นฐานของแรงบันดาลใจใหม่ๆ เป็นวัตถุดิบที่พี่น้องประชาชน ภาครัฐ และภาคเอกชน ได้นำไปส่งเสริมพัฒนาและต่อยอดต่อไป จนออกมาเป็นงานสร้างสรรค์อื่นๆ ได้อีกมากมายมหาศาล

น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า งานนี้อาจเป็นแค่เพียงจุดเริ่มต้นที่จะสร้างแรงบันดาลใจ ที่สุดยอดนักออกแบบไทยหรือศิลปินไทยที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เรามาร่วมกันผลักดันให้ความคิดสร้างสรรค์ของคนไทยไปสู่เวทีโลก สุดท้ายนี้ขอขอบคุณภาครัฐ ภาคเอกชน ชุมชน นักสร้างสรรค์ สถาบันการศึกษา องค์กรระหว่างประเทศ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องที่มาร่วมกันทำ ร่วมกันลงมือ ร่วมกันทุ่มเทจนเกิดเป็นงานดีๆ อย่างนี้ขึ้นมา

ด้าน นายเศรษฐา กล่าวเปิดงานว่า ตนมีความยินดีที่ได้มาเปิดเทศกาลงานออกแบบกรุงเทพฯ 2567 ภายใต้แนวคิด ‘คนยิ่งทำ เมืองยิ่งดี’ ในวันนี้ ซึ่งความยินดีของตนมาจากหลายประการ ประการแรก เราได้เห็นพลังสร้างสรรค์ของคนจากหลากหลายอุตสาหกรรมมากกว่า 1,000 คน ที่มาร่วมกันแสดงผลงาน และที่สำคัญมาช่วยกันคิดทดลองทำ หลากหลายกิจกรรมที่มีเป้าหมายพัฒนาสาธารณูปโภค และคุณภาพชีวิตของคนในเมือง รวมแล้วกว่า 500 โปรแกรมในพื้นที่ต่างๆ ทั่วกรุงเทพฯ

นายเศรษฐา กล่าวว่า ประการที่สอง เราได้เห็นกิจกรรมและผลงานสร้างสรรค์ที่กระจายอยู่ในกรุงเทพฯ มากกว่า 15 ย่าน ทำให้คนรู้จัก ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุน การสร้างรายได้ การสร้างงานให้ผู้ประกอบการและชุมชน ซึ่งงานออกแบบที่ผ่านมามีผู้เข้าชมกว่า 2 ล้านคน สร้างมูลค่าเศรษฐกิจมากกว่า 2,000 ล้านบาท นับว่าขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศได้อย่างมีนัยที่สำคัญ และเราได้เห็นเอกชนและภาครัฐในการขับเคลื่อนมูลค่าสินค้า และการบริการด้วยการประยุกต์ใช้ความคิดสร้างสรรค์ ที่ช่วยต่อยอดสินทรัพย์ทางวัฒนธรรมอันจะเกิดขึ้น และอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งเสริมศักยภาพ ด้านการแข่งขันของธุรกิจไทยในระดับสากล

นายเศรษฐา กล่าวด้วยว่า ประการสุดท้ายได้เห็นการสร้างสีสันและความเคลื่อนไหวใหม่ๆ ให้กับกรุงเทพฯ ที่นำเสนอความสำคัญของการออกแบบงานสร้างสรรค์ ที่จะช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยว ช่วยเชื่อมโยงวัฒนธรรมในแต่ละด้าน และเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศไทยในภาพรวมอีกด้วย ดังนั้น การจัดเทศกาลงานออกแบบกรุงเทพฯ จึงเป็นหนึ่งในนิทรรศการหลากหลายที่ทำให้เราเห็นภาพ และผลของการใช้เทศกาลเป็นกลไกในการส่งเสริมอุตสาหกรรม และผลักดันเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่ชัดเจน สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล มีการพัฒนาและส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของไทย ให้เติบโตและขยายไปสู่ต่างประเทศได้ และช่วยสนับสนุนกระบวนการสร้างซอฟต์พาวเวอร์ ทำให้ผู้บริโภคในตลาดโลกมีความสนใจและต้องการซื้อสินค้า และบริการสร้างสรรค์ของไทยให้มากยิ่งขึ้นด้วย

ขอขอบคุณภาครัฐ ภาคเอกชน ชุมชนในพื้นที่ นักสร้างสรรค์ สถาบันการศึกษา องค์กรระหว่างประเทศ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกท่านที่มาร่วมกันทำงานของเราให้ดียิ่งขึ้น และหวังว่าความสำเร็จของการจัดงานในครั้งนี้ เป็นพลังให้เกิดการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ที่จะเป็นประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตให้กับประเทศไทยต่อไป

‘ไทย’ ครองแชมป์!! ยอดนักท่องเที่ยว 28.09 ล้านคน เพิ่มขึ้น 153% สูงเป็นอันดับหนึ่งในภูมิภาคอาเซียน

(27 ม.ค. 67) นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า ได้ร่วมประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน ครั้งที่ 27 (ASEAN Tourism Forum : ATF 2024) ณ กรุงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ที่มีนางสวนสวรรค์ วิยะเกต รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแถลงข่าว วัฒนธรรม และการท่องเที่ยว สปป.ลาว เป็นประธานการประชุมร่วมกับ นายเตียง คิง ซิง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยว ศิลปะ และวัฒนธรรม สหพันธรัฐมาเลเซีย

โดยรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน 10 ประเทศ ได้ร่วมแสดงเจตนารมณ์ ที่จะฟื้นฟูและส่งเสริมการท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ รับผิดชอบ และยั่งยืน มุ่งเน้นการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวของอาเซียน และการพัฒนาศักยภาพบุคลากรด้านการท่องเที่ยวอาเซียน ควบคู่ไปกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนและครอบคลุม ผ่านการดำเนินกิจกรรมภายใต้แผนยุทธศาสตร์ด้านการท่องเที่ยวอาเซียน ปี 2559 – 2568

สำหรับประเด็นที่น่าสนใจที่ได้จากการประชุม พบว่าในปี 2566 ตัวเลขท่องเที่ยวของภูมิภาคอาเซียน มีจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ เพิ่มขึ้น 153% เมื่อเทียบจากปีก่อนหน้า โดยแคมเปญการตลาดในปี 2566 ทั้ง 2 แคมเปญ ได้แก่ แคมเปญ ‘imag in ASEAN’ และแคมเปญฟื้นฟูการท่องเที่ยวในภูมิภาคอาเซียน ประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยมีผู้เข้าร่วมมากถึง 2,500 ล้านคนทั่วโลก

ทั้งนี้ ยังได้รับทราบรายงานสถานการณ์ท่องเที่ยวปัจจุบัน ของประเทศสมาชิกอาเซียน มีดังนี้

- ประเทศไทย มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าสูงสุดในปี 2566 จำนวน 28.09 ล้านคน เพิ่มขึ้น 153.94% จากปีก่อนหน้าที่มี 11.06 ล้านคน
- เวียดนาม มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ 12.06 ล้านคน เพิ่มขึ้น 344.2% จากปีก่อนหน้าที่มี 3.66 ล้านคน
- สิงคโปร์ มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 12.37 ล้านคน เพิ่มขึ้น 130% จากปีก่อนหน้ามี 5.37 ล้านคน
- กัมพูชา มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 5.45 ล้านคน เพิ่มขึ้น 139.5% จากปีก่อนหน้ามี 2.27 ล้านคน
- ฟิลิปปินส์ มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 5.45 ล้านคน เพิ่มขึ้น 105.38% จากปีก่อนหน้ามี 2.65 ล้านคน
- บรูไน มีนักท่องเที่ยว 82,109 คน เพิ่มขึ้น 345.61% จากปีก่อนหน้ามี 18,426 คน

ขณะเดียวกัน ที่ประชุมได้ติดตามมาตรการและกิจกรรมภายใต้แผนฟื้นฟูการท่องเที่ยวอาเซียน ภายหลังโควิด-19 ได้ดำเนินการไปแล้ว หรือกำลังดำเนินการอยู่ผ่านแผนปฏิบัติการภายใต้แผนยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวอาเซียนฯ ถึง 60% จึงได้ส่งเสริมให้ประเทศสมาชิกอาเซียนทบทวนกิจกรรมสำคัญ เพื่อให้แน่ใจว่ากิจกรรมเหล่านี้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ด้านการท่องเที่ยวอาเซียน ปี 2559-2568 และข้อริเริ่มสำคัญอื่นๆ

นอกจากนี้ ที่ประชุมได้หารือถึงการดำเนินการกิจกรรม ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ด้านการท่องเที่ยวอาเซียน ปี 2559-2568 ตลอดจนประเด็นสำคัญอื่น ๆ ในปี 2566-2567 เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวที่รวดเร็วของภาคการท่องเที่ยวในอนาคต ให้สอดคล้องกับแนวทาง ‘การท่องเที่ยวที่มีคุณภาพและมีความรับผิดชอบ : มุ่งสู่อนาคตอาเซียนที่ยั่งยืน’ โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการสร้างความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนในทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้แน่ใจว่าการท่องเที่ยวอาเซียนจะมีความสามารถในการรับมือต่อการเปลี่ยนแปลง และยั่งยืน

สำหรับ ในปี 2568 การประชุมด้านการท่องเที่ยวอาเซียน จะจัดขึ้นในวันที่ 25 มกราคม 2568 ภายใต้หัวข้อ ‘Unity in Motion : Shaping ASEAN’s Tourism Tomorrow’ โดยมีมาเลเซียเป็นเจ้าภาพ

‘นายกฯ’ จีบทูตอิตาลี ช่วยดันไทย เข้าวีซ่าเชงเกน พร้อมถกความร่วมมือ หลังโรมสนใจลงทุนใน EEC

เมื่อวันที่ 26 ม.ค. 67 ที่ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายเปาโล ดีโอนีซี เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิตาลีประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในโอกาสเข้ารับตำแหน่งใหม่

นายกรัฐมนตรีและเอกอัครราชทูตฯ ทักทายพร้อมแสดงความยินดีที่ได้พบ ทั้ง 2 ฝ่ายยินดีกับความสัมพันธ์ไทย-อิตาลี ต่างเห็นพ้องว่า ต่างฝ่ายมีซอฟต์พาวเวอร์ที่เข้มแข็ง อาทิ อาหารของไทย และการออกแบบและความคิดสร้างสรรค์ของอิตาลี ทั้ง 2 ประเทศต่างมีศักยภาพ และสามารถร่วมมือกันได้ นายกรัฐมนตรีหวังที่จะได้นำคณะไปเยือนอิตาลีในอนาคตอันใกล้ เพื่อเดินหน้าความร่วมมือ รวมถึงด้านการค้าและการลงทุนให้ใกล้ชิดและเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น

โอกาสนี้ ทั้ง 2 ฝ่ายหารือประเด็นที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน โดยเอกอัครราชทูตฯ กล่าวว่า อิตาลีถือเป็นประเทศผู้นำด้านอุตสาหกรรมการเกษตรในยุโรป และเป็นประเทศผู้ผลิตสินค้าเกษตรที่ใหญ่ในยุโรป และกำลังต้องการแรงงานเกษตรกรอย่างมาก โดยเฉพาะเกษตรกรไทย เป็นแรงงานที่มีทักษะ และขยันตั้งใจ (Hard worker) นายกรัฐมนตรียินดีและพร้อมร่วมมือกับอิตาลี ความร่วมมือนี้จะเป็นประโยชน์กับทั้งสองฝ่ายอย่างมาก

นอกจากนี้ อิตาลีให้ความสนใจลงทุนในโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) อย่างมาก เมื่อปีที่ผ่านมาเอกอัครราชทูตฯ เป็นผู้นำคณะผู้แทน EEC ของไทยไปยังกรุงโรม ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากทางอิตาลี นายกรัฐมนตรียินดีและพร้อมเดินหน้าเพิ่มพูนความร่วมมือในด้านนี้โดยเร็ว

นอกจากนี้ ด้านเอกอัครราชทูตฯ กล่าวว่า ภาคเอกชนอิตาลีให้ความสนใจและอยากรับทราบข้อมูลโครงการ ‘แลนด์บริดจ์’ นายกรัฐมนตรีพร้อมให้ข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายและโครงการต่างๆ อันจะเป็นประโยชน์ต่อศักยภาพ และโอกาสในการลงทุนของภาคเอกชนต่อโครงการนี้

ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวขอการสนับสนุนจากอิตาลี เรื่องการขอยกเว้นการตรวจลงตราให้กับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดาของไทย ในการเดินทางเข้าเขตเชงเกน เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและการไปมาหาสู่ระหว่างกันมากยิ่งขึ้น โดยนักท่องเที่ยวชาวอิตาลีและชาวไทยต่างเป็นนักท่องเที่ยวที่ดีของกัน ไทยจึงหวังจะได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจจากอิตาลีมายังประเทศไทยมากขึ้น

นายกรัฐมนตรี ยังได้โพสต์ข้อความว่า “ได้พูดคุยหารือกับ H.E. Mr. Paolo Dionisi เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิตาลีประจำประเทศไทย กันถึงเรื่องความร่วมมือกันในหลายมิติอย่างสร้างสรรค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้าน Soft Power ที่ทั้ง 2 ประเทศต่างมีศักยภาพ ท่านทูตเล่าให้ฟังว่าอิตาลีมีโรงเรียน Design and Creativity ที่มีชื่อเสียงหลายที่ครับ ซึ่งไทย-อิตาลีสามารถแลกเปลี่ยนความรู้ด้านการออกแบบและความคิดสร้างสรรค์ได้ นอกจากนี้ อิตาลียังมีความต้องการแรงงานด้านการเกษตรของไทย เพราะมีทักษะและขยันตั้งใจอีกด้วยครับ”

‘ขร.’ เผย ‘รถไฟฟ้าสายสีแดง’ ทำยอดนิวไฮ 3.5 หมื่นคนต่อเที่ยว สูงสุดตั้งแต่เปิดให้บริการ สะท้อน!! แรงตอบรับ 20 บาทตลอดสาย

‘กรมการขนส่งทางราง’ เผย วันศุกร์สิ้นเดือนแรกของปี 67 หลังมีนโยบายอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสูงสุด 20 บาทตลอดสาย สำหรับสายสีแดงและสายสีม่วง ทำให้มีประชาชนใช้บริการสายสีแดงเพิ่มขึ้นสูงสุด (นิวไฮ) ต่อเนื่องตั้งแต่มีการเปิดให้บริการเดินรถมา เดินหน้า!! เตรียมความพร้อมรถไฟฟ้ารับงานเกษตรแฟร์ 2-10 ก.พ. 67

(27 ม.ค. 67) ดร.พิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง (ขร.) เปิดเผยว่า เมื่อวันศุกร์ที่ 26 มกราคม 2567 ซึ่งเป็นวันศุกร์สิ้นเดือนแรกของปี 2567 หลังจากมีนโยบายอัตราค่าโดยสารสูงสุด 20 บาท ตั้งแต่ 16 ตุลาคม 2566 ที่ผ่านมา มีผู้ใช้บริการสายสีแดง 35,463 คน/เที่ยว (รวมผู้ใช้รถไฟทางไกลต่อสายสีแดงฟรี 111 คน/เที่ยว) สูงสุดตั้งแต่เปิดให้บริการมา โดยมีผู้ใช้บริการระบบรางรวมทั้งสิ้น 1,742,807 คน/เที่ยว ประกอบด้วย

1.) รถไฟระหว่างเมืองของ รฟท. ให้บริการเดินรถไฟ 212 ขบวน มีผู้ใช้บริการรวม 83,132 คน/เที่ยว แบ่งเป็นขบวนรถเชิงพาณิชย์ 29,308 คน/เที่ยว และขบวนรถเชิงสังคม 53,824 คน/เที่ยว

2.) รถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล 1,659,675 คน/เที่ยว ประกอบด้วย

- รถไฟฟ้า Airport Rail Link ให้บริการ 224 เที่ยววิ่ง (รวมเสริม 9 เที่ยววิ่ง) จำนวน 77,223 คน/เที่ยว
- รถไฟฟ้าสายสีแดง ให้บริการ 294 เที่ยววิ่ง จำนวน 35,463 คน/เที่ยว (รวมผู้โดยสารรถไฟทางไกลใช้บริการสายสีแดงฟรี 111 คน/เที่ยว) สูงสุดตั้งแต่เปิดให้บริการเดินรถไฟฟ้าสายสีแดง (นิวไฮ) (รวมทางไกลต่อสายสีแดงฟรี 145 คน/เที่ยว) (นิวไฮสายสีแดงครั้งก่อนเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2566 จำนวน 34,719 คน/เที่ยว)
- รถไฟฟ้าสายฉลองรัชธรรม (สายสีม่วง) ให้บริการ 321 เที่ยววิ่ง (รวมเสริม 3 เที่ยววิ่ง) จำนวน 79,996 คน/เที่ยว
- รถไฟฟ้าสายเฉลิมรัชมงคล (สายสีน้ำเงิน) ให้บริการ 488 เที่ยววิ่ง (รวมเสริม 36 เที่ยววิ่ง) จำนวน 512,685 คน/เที่ยว
- รถไฟฟ้า BTS สายสีเขียว (สายสุขุมวิทและสายสีลม) ให้บริการ 1,240 เที่ยววิ่ง จำนวน 847,525 คน/เที่ยว
- รถไฟฟ้า BTS สายสีทอง ให้บริการ 170 เที่ยววิ่ง จำนวน 7,102 คน/เที่ยว
- รถไฟฟ้ามหานคร สายสีเหลืองให้บริการ 276 เที่ยววิ่ง จำนวน 40,479 คน/เที่ยว
- รถไฟฟ้ามหานคร สายสีชมพูให้บริการ 384 เที่ยววิ่ง จำนวน 59,202 คน/เที่ยว

ทั้งนี้ นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ได้สั่งการให้มีการจัดระบบฟีดเดอร์ (Feeder) เพื่ออำนวยความสะดวกและลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางป้อนผู้โดยสารให้กับระบบราง โดยเฉพาะรถไฟฟ้าสายสีม่วงและสายสีแดง ภายหลังจากได้มีการปรับค่าโดยสาร 20 บาทตลอดสายแล้ว พบว่า มีปริมาณผู้โดยสารใช้บริการในปริมาณเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง จึงมีแนวทางเพิ่มศักยภาพจุดเชื่อมต่อการเดินทางที่สำคัญต่างๆ ที่ควรนำมาใช้อำนวยความสะดวก อาทิ ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ครังสิต, มหาวิทยาลัยรังสิต, มหาวิทยาลัยกรุงเทพ, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต, มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา และ ศิริราช ตลอดจนการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยต่อไป

นอกจากนี้ กรมการขนส่งทางรางได้ประสาน บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด (รฟฟท.) และบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BTSC) เตรียมความพร้อมเจ้าหน้าที่และอุปกรณ์ เพื่อรองรับการเดินทางของประชาชนที่จะมาร่วมงานเกษตรแฟร์ ประจำปี 2567 ระหว่างวันที่ 2-10 กุมภาพันธ์ 2567 โดยใช้รถไฟฟ้าสายสีแดงที่สถานีบางเขน และรถไฟฟ้า BTS สายสุขุมวิท ที่สถานีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งคาดว่าจะมีผู้ใช้บริการจำนวนมากดังเช่นปีที่ผ่านมา

‘เชียงใหม่’ นำร่อง!! ‘รถสองแถว EV’ พัฒนาโดย ‘มช.’ ช่วยลดมลพิษ-ประหยัดค่าใช้จ่าย หวังขยายผลทั่วประเทศ

(27 ม.ค. 67) รถเขียวเริ่มใช้งานแล้ว หลังผู้ขับรถสองแถวลองขับรถสองแถว EV ที่ใช้ไฟฟ้า 100% ซึ่งโครงการนี้มาพร้อมกับรถสีเขียวทั้งคันตอบโจทย์สโลแกนการรักษ์โลก และลดมลพิษ ลดฝุ่น PM 2.5 โดยรถสองแถวไฟฟ้าคันดังกล่าว อยู่ในระหว่างการพัฒนาโดยมหาลัยเชียงใหม่ ที่ได้รับการสนับสนุนจาก กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน

‘นายบริสุทธิ์ สันติวัฒนพันธ์’ คนขับรถสองแถว EV ที่เปลี่ยนจากการขับรถน้ำมันมาเป็นรถ EV เปิดเผยว่า รถสามารถใช้งานได้ดี และเป็นเรื่องที่ดีที่มีการใช้การมีรถโดยสาร EV เพราะตนได้รับรายได้เพิ่มขึ้น หลังจากไม่ต้องหมดไปกับค่าน้ำมัน โดยปกติจะเสียค่าน้ำมัน กิโลเมตรละ 3 บาท แต่การเปลี่ยนมาใช้ EV จะเหลืออยู่ที่กิโลเมตรละ 70 สตางค์

ด้านผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อนุชา พรมวังขวา อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล คณะวิศวกรรมศาสตร์ และผู้จัดการโครงการฯ รถสองแถว EV นี้ กล่าวว่า อยากต่อยอดโครงการรถสองแถว EV ให้ขยายออกไปใช้กับรถโดยสารประจำทางที่มีลักษณะเดียวกันได้

อย่างรถ ‘รถแดง’ ซึ่งเป็นรถสองแถว EV ที่คนเชียงใหม่ใช้กันมากอยู่แล้ว และควรมีโครงการนำร่องในการรถแดง EV จำนวนประมาณ 100 คัน เพื่อจะให้เห็นภาพอย่างชัดเจนในการเปลี่ยนรถสองแถวแบบน้ำมัน ไปเป็น EV เบื้องต้นคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 6-8 เดือนในการดำเนินงานต่อไป และมีต้นทุนราว 600,000 บาทต่อคัน ซึ่งทุนที่สูงมาก จึงควรมีรัฐบาลเข้ามาช่วยเหลือ

โดยรถสองแถว EV ที่แล้วเสร็จทั้ง 2 คัน จะสามารถวิ่งได้ไกลประมาณ 270 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ซึ่งเพียงพอแล้วต่อการวิ่งรับส่งทั้งวัน โดยปกติรถสองแถวจะวิ่งอยู่ที่ระยะทาง 150 ถึง 160 กิโลเมตรต่อวัน

‘มือเศรษฐกิจจุลภาค’ มอง!! ศก.ไทยเหมือนร้านอาหาร เมนูส่วนใหญ่ ‘ไม่สร้างมูลค่าเพิ่ม-ไม่ปรับตัวตามเวลา’

จากรายการ THE TOMORROW มหาชนต้องรู้ ออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ คุณพลัฏฐ์ ศิริกุลพิสุทธิ์ (ต๊ะ) คณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ถึงภาพรวมของเศรษฐกิจโลก ทิศทางของเศรษฐกิจไทย เมื่อวันที่ 27 ม.ค.67 ระบุว่า…

ภาพรวมเศรษฐกิจโลก อาจโตแบบช้า ๆ อย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยหากมองไปที่สหรัฐอเมริกา คาดว่าจะมีการเติบโตสูงขึ้นในปี 2567 ทั้งที่ในปัจจุบันยังมีอัตราดอกเบี้ยสูง แต่อัตราการว่างงานไม่มากนัก ภาวะทางการคลังมีหนี้สูง แต่ก็เชื่อว่าจะผ่านไปได้ ถึงแม้ที่ผ่านมาจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหลายครั้งติดต่อกัน เพื่อชะลอเงินเฟ้อไม่กระทบการเติบโตของสหรัฐฯ

ส่วนยุโรป ตอนนี้กำลังเผชิญปัญหาเรื่องเงินเฟ้อ ของแพง เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลกไม่สมดุลทางภูมิรัฐศาสตร์โดยเฉพาะเรื่องการนำเข้าส่งออก ปัญหาสงครามรัสเซียกับยูเครนที่ยืดเยื้อยาวนาน ส่งผลให้ต้นทุนพลังงานและอาหารฝั่งยุโรปสูงขึ้น 

ขณะที่ญี่ปุ่น ยังติดกับดักเศรษฐกิจภาวะเงินฝืดมายาวนาน ซึ่งวันนี้ราคาสินค้าต่าง ๆ ที่ญี่ปุ่นแพงสําหรับคนญี่ปุ่น แต่กับคนไทยที่ไปเที่ยวญี่ปุ่นจะรู้สึกได้ว่าค่าครองชีพที่นั่นถูกมากในรอบหลาย 10 ปี ฉะนั้นวันที่ภาพของญี่ปุ่น จึงเป็นภาพของการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวสูงและการส่งออกที่ดีจากค่าเงินเยนอ่อน ซึ่งเป็นนโยบายที่รัฐบาลญี่ปุ่นพยายามผลักดัน ภายใต้สัญญาณการสิ้นสุดการหยุดดอกเบี้ยติดได้ลบเร็ว ๆ นี้ 

ข้ามมาที่ จีน ตอนนี้อยู่ในภาวะการปรับฐานเศรษฐกิจหลังจากที่เติบโตมายาวนาน ซึ่งทางการอยากให้โตช้าลง โดยเริ่มโฟกัสไปยังภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของจีน ด้วยการไม่อนุญาตให้ลงทุนกู้เงินซื้ออสังหาริมทรัพย์แบบเก็งกำไร เพื่อลดความเสี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ โดยเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่หลาย ๆ แห่ง เริ่มมีปัญหาในลักษณะนี้แล้ว ทางการจีนจึงมีความเข้มงวดมากขึ้น

ด้านภาพรวมของเศรษฐกิจไทย คุณพลัฏฐ์ อธิบายว่า ประเทศไทยเราเหมือนร้านอาหารเป็นร้านอาหารที่ดีแต่โต๊ะเต็มแล้ว ต้องเพิ่มช่องว่างและศักยภาพทางการตลาด โดยเปลี่ยนวิธีใหม่ ซึ่งมีหลายวิธี เช่น ปรับปรุงร้านใหม่ขายอาหารแพงขึ้น เปลี่ยนเป็นร้านอาหารที่ราคาสูงมีรายได้มากขึ้น ซึ่งหมายถึงต้องปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจเปลี่ยนจากประเทศที่ขายของถูกกลายเป็นขายของแพง หรือ ลดต้นทุน เช่น ร้านอาหารนี้เคยใช้พนักงานจำนวนมาก ขายของไม่แพงเราก็เปลี่ยนมาใช้แอปพลิเคชันในการสั่งอาหาร และปรับใช้คนน้อยลง ก็สามารถทำให้ธุรกิจไปต่อได้

เปรียบแล้ว ประเทศไทย จึงจำเป็นต้องเร่งปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ต้องมีเมนูใหม่ ๆ มาขาย ที่ผ่านมาเรามีแต่เมนูเดิม ๆ ถ้าเรานึกภาพว่าประเทศไทยส่งออกอะไรบ้างเมื่อ 20 ปีก่อน ก็ยังเหมือนกันกับ 10 ปีที่แล้ว และก็เหมือนกันมาจนถึงวันนี้ที่เราก็ยังส่งออกของเดิม ๆ ในขณะที่ประเทศอื่น ๆ เช่น สิงคโปร์ 30 ปีที่แล้วส่งออกแบบหนึ่ง 20 ปีที่แล้วส่งออกอีกแบบหนึ่ง 10 ปีที่แล้วกับวันนี้ก็ส่งออกอีกแบบหนึ่ง เปลี่ยนไปตลอด เพราะเขาเปลี่ยนไปตามทิศทางของโลก

เมื่อถามถึงเรื่องพลังงาน คุณพลัฏฐ์ อธิบายว่า โครงสร้างพลังงานของไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ผู้ประกอบการมีส่วนได้เปรียบ เช่น ซื้อพลังงานด้วยถ่านหินแก๊สธรรมชาติหรืออะไรต่าง ๆ แล้วบริหารจัดการผ่านกระบวนการต่าง ๆ ซึ่งอาจจะมีต้นทุนสูง ทำให้ราคาพลังงานสูงตามไปด้วย จนไม่เกิดการแข่งขัน แต่กลับกันถ้าโรงไฟฟ้าสามารถขายตรงสู่ผู้บริโภคได้ ก็จะเกิดการแข่งขันกันทำโปรโมชัน ผู้บริโภคก็จะได้ประโยชน์ 

ส่วนสาเหตุทำให้ค่าไฟฟ้าแพง ก็เพราะว่าเรามีไฟฟ้าที่เหลืออยู่ในระบบเยอะมาก ทำให้ค่าเอฟทีแพง เพราะว่าเราต้องสำรองเรื่องนี้ แน่นอนว่าในข้อเสียก็มีข้อดีอยู่ เพราะถ้าหากเราเริ่มหนุนให้เกิดการใช้พลังงานไฟฟ้าที่เป็นพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น แต่ยังคงมีเสถียรภาพของไฟฟ้าหมุนเวียนที่น้อย การมีไฟฟ้าที่เหลืออยู่ก็จะช่วยเข้ามาชดเชยตรงนี้ได้ 

โดยสรุปแล้วในส่วนของพลังงานไทย คุณพลัฏฐ์ มองว่า ประเทศไทยต้องก้าวตามเทรนด์พลังงานสีเขียวที่ทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญมากขึ้น และมุ่งรณรงค์ให้ใช้รถไฟฟ้าอีวีมากขึ้น ซึ่งตรงนี้อาจจะทำให้ต้องใช้ไฟฟ้าเพิ่มตามมา แต่ผลของการใช้พลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นในส่วนนี้ ก็จะมีผลต่อค่าเอฟทีที่จะถูกลง ขณะเดียวกันมลพิษและอากาศจะเป็นสิ่งที่หายไป ส่งผลดีต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน ซึ่งเชื่อว่าหลายฝ่ายกำลังเดินหน้าในเรื่องนี้ ไม่ว่าเป็นเรื่องของการตั้งโรงงานต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งจุดจ่ายไฟ หรือนโยบายที่จะมาสนับสนุน แต่จะมีความพร้อมมากน้อยแค่ไหนนั้น คงต้องติดตามในรายละเอียดข้างหน้ากันต่อไป

‘รมว.ปุ้ย’ ตั้งเป้า!! ดึงต่างชาติลงทุนในไทย หนุนโอกาสทางธุรกิจ เล็งนำร่อง ‘อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ’ ฟื้น ศก.-เพิ่มขีดการแข่งขัน

เมื่อไม่นานนี้ นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ได้ตั้งเป้าหมาย เร่งดึงนักลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาลงทุนในประเทศ และตรึงให้ผู้ประกอบการในประเทศให้ดำเนินกิจการได้อย่างแข็งแกร่ง ล่าสุด สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) กำลังรวบรวมและประมวลผล ว่ากลุ่มอุตสาหกรรมที่กำลังโดนผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ฟื้นตัวมีจำนวนกี่ราย ใครบ้าง เพื่อส่งสัญญาณให้ต้องมีการปรับตัว โดยมีธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย คอยช่วยเหลือ เพื่อให้เกิดการปรับตัว เพราะบางอุตสาหกรรมมีเครื่องจักรที่ทำงานได้หลายอย่าง จึงเสนอไปว่าอาจปรับไปผลิตอุตสาหกรรมการแพทย์ควบคู่กับการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ เป็นต้น

ขณะเดียวกัน อุตสาหกรรมที่เป็นโอกาส แต่เอ่ยชื่อไป หลายคนอาจจะตกใจ คือ ‘อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ’ หมายถึง การผลิตยุทโธปกรณ์ อาทิ รถถัง, เรือรบ, ปืน หรือแม้แต่กระสุน แล้วส่งออกได้จำนวนมาก จึงเป็นอุตสาหกรรมอีกประเภทที่ควรจะต้องส่งเสริม เพื่อให้เกิดการสนับสนุนที่มากขึ้น คงต้องไปหารือกับกรมสรรพากร กรมสรรพสามิต และกระทรวงกลาโหม ในการดูเรื่องภาษี อาทิ รถถัง นำเข้าทั้งคันภาษีถูกกว่าการนำเข้ามาประกอบ

ดังนั้น จึงต้องไปดูเพื่อให้เกิดความเท่าเทียม หรือเพิ่มขีดการแข่งขัน ผู้ผลิตในประเทศจะได้มีโอกาสแข่งขันกับผู้นำเข้าได้

‘ก.พลังงาน’ จ่อใช้ ‘กองทุนน้ำมันฯ’ กดราคาเบนซินต่อ หลังมาตรการปรับลดภาษีจะสิ้นสุดลงวันที่ 31 ม.ค.นี้

(26 ม.ค. 67) นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ตามที่ คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันกลุ่มเบนซิน ประกอบกับกระทรวงพลังงานได้มีมาตรการปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินทุกประเภท ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันลดลงตั้งแต่วันที่ 7 พ.ย. 2566 เป็นต้นมา โดยมาตรการดังกล่าวจะสิ้นสุดลงในวันที่ 31 ม.ค. 2567 ที่กำลังจะถึงนี้  

ซึ่งกระทรวงพลังงานได้ประชุมเตรียมความพร้อมในเรื่องดังกล่าว ทั้งการบริหารจัดการเรื่องราคาโดยคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) และการบริหารจัดการเรื่องปริมาณการจัดหาและการจำหน่ายโดยกรมธุรกิจพลังงาน และสำนักงานพลังงานจังหวัดทั่วประเทศ มั่นใจแม้สิ้นสุดมาตรการช่วยเหลือดังกล่าว ยังสามารถบริหารจัดการสถานการณ์ได้โดยไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชน

“มาตรการช่วยกลุ่มเบนซินที่จะสิ้นสุดในวันที่ 31 ม.ค.นี้ เป็นไปตามมติ ครม.ที่กระทรวงพลังงานเสนอในการลดภาระค่าใช้จ่ายผู้ใช้น้ำมันเบนซินในระยะเวลา 3 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งกระทรวงพลังงานขอขอบคุณทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยหลังจากสิ้นสุดมาตรการดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ.นี้ กระทรวงพลังงานจะใช้กลไกของกองทุนน้ำมันฯ เข้ามาบริหารจัดการเรื่องราคาน้ำมัน เพื่อไม่ให้ราคาปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และขอความร่วมมือผู้ค้าน้ำมันตรวจสอบให้มีน้ำมันพร้อมจำหน่ายเต็มที่” นายประเสริฐ กล่าว

‘รมว.ปุ้ย’ พร้อมดัน ‘ไทย’ สู่ฮับ ‘รถยนต์ EV’ และศูนย์กลางจัดการแบตฯ อย่างเป็นระบบ

รมว.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้คำมั่นการเดินหน้าอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย ว่า “ขอให้คลายความกังวล ว่าประเทศไทยไม่ใช่แค่ดึงดูดนักลงทุนเข้ามา ไม่ใช่แค่ต้องการรายได้จากการลงทุนเท่านั้น แต่เรากำลังทำให้ประเทศนี้เป็นฮับของการผลิตรถยนต์ EV ต่อไปจะเป็นศูนย์กลางจัดการขยะของเสียเหล่านี้ด้วย เพราะเราทำการจัดการอย่างเป็นระบบ”

‘บิทคับ’ คว้า Top 3 บริษัทไทยขวัญใจคนรุ่นใหม่ปี 2024 เตรียมขยายตำแหน่งงาน รับ ‘Bull Run-Bitcoin Halving’

เมื่อวานนี้ (25 ม.ค.67) นายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด รับรางวัล Top most attractive companies 2024 โดย QGEN Survey ที่สำรวจกลุ่มคนทำงานอายุ 20-40 ปี ในช่วงปลายปี 2566 ที่ผ่านมา ซึ่ง บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป ได้รับการจัดอันดับเป็นลำดับที่ 5 ของบริษัทที่คนรุ่นใหม่อยากร่วมงานด้วยมากที่สุด และนับเป็นบริษัทสัญชาติไทยลำดับที่ 3 รองจาก SCG และ PTT โดยงานประกาศรับรางวัลครั้งยิ่งใหญ่นี้มีบริษัทชั้นนำในประเทศที่ได้เข้ารับรางวัลตามลำดับ ได้แก่ Google, SCG, PTT, LINE Corporation, Bitkub, Agoda, C.P. Group, Toyota, Khotkool และ ThaiBev เป็นต้น 

ทั้งนี้ นายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ยังได้รับคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 5 ผู้มีชื่อเสียงที่คนไทยอยากร่วมงานด้วยมากที่สุดอีกด้วย 

นายจิรายุส กล่าวว่า การได้รับรางวัล Top most attractive companies 2024 และ Thailand Most Attractive People To Work For 2024 ในครั้งนี้ ถือเป็นความสำเร็จและความภาคภูมิใจของตนและ บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป ที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้มีชื่อเสียงและเป็นบริษัท 1 ใน 5 ที่คนรุ่นใหม่อยากร่วมงานด้วยมากที่สุด สิ่งนี้พิสูจน์ให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความตั้งใจของทุกคนในบริษัทฯ ที่คอยผลักดันและไม่หยุดพัฒนาสิ่งใหม่ๆ 

สำหรับ บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป เป็นกลุ่มบริษัทที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับ เทคโนโลยีบล็อกเชน และ สินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งมีวัฒนธรรมองค์กรที่มีลักษณะของการลงมือทำงานไว พร้อมปรับเปลี่ยนและเรียนรู้อยู่เสมอ เราให้ความสำคัญกับการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เข้าใจพนักงาน พร้อมดึงศักยภาพการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดควบคู่ไปกับมีความสุขในการทำงาน เช่น รูปแบบการทำงานแบบ Hybrid คือ Work From Anywhere สลับกับการทำงานในออฟฟิศ โดยการนำเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาสนับสนุน เพื่อให้การทำงานมีความสะดวกต่อเนื่องและได้ผลลัพธ์ของงานไม่แตกต่างกับการเข้าออฟฟิศ

นายจิรายุส กล่าวเพิ่มเติมว่า หนึ่งวัฒนธรรมองค์กรที่ บิทคับ ให้ความสำคัญและหลอมรวมให้พนักงานกลายเป็น One Bitkub คือการเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้แสดงศักยภาพและความสามารถของตนภายใต้สภาพแวดล้อมการทำงานที่เปิดกว้าง ยอมรับความแตกต่างหลากหลาย สนับสนุนความหลากหลายทางเพศ เปิดโอกาสให้ทุกเพศสามารถแสดงออกได้อย่างเต็มที่และสร้างสรรค์ และส่งเสริมให้พนักงานพัฒนาตนเองให้มีทักษะที่เหมาะสมกับโลกการทำงานยุคใหม่ ตาม 7 ค่านิยมองค์กร (Bitkub Core Values) ได้แก่…

1. Earn Trust สร้างความเชื่อใจ
2. Passionate & Drive Deep หลงใหลและเชี่ยวชาญ
3. Challenge & Commit ท้าทายและทุ่มเท
4. Strive for Results and Actions มุ่งผลลัพธ์และลงมือทำ
5. Ownership & Beyond รับผิดชอบและมุ่งมั่นช่วยเหลือ
6. Adapt & Innovate พร้อมปรับตัวและสร้างสรรค์สิ่งใหม่
7. Empathy & Collaboration เข้าอกเข้าใจและร่วมมือกัน

“ทั้งนี้ ในปี 2567 นี้ บิทคับเตรียมเปิดรับพนักงานเพิ่มขึ้นอีกจำนวนมาก เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมรับกับสถานการณ์ของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลที่ทั่วโลกต่างจับตามอง และคาดการณ์ว่าจะมีการเข้ามาลงทุนอย่างคึกคักมากขึ้น หรือที่เรียกว่า Bull Run (ตลาดกระทิง: ช่วงเวลาที่นักลงทุนส่วนใหญ่ทำการซื้อ มีอุปสงค์มากกว่าอุปทาน ความเชื่อมั่นในตลาดอยู่ในระดับสูง และราคาเพิ่มสูงขึ้น หากในตลาดใดตลาดหนึ่ง คุณเห็นว่าราคามีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว นี่อาจเป็นสัญญาณว่านักลงทุนส่วนใหญ่กำลังเริ่มมองโลกในแง่ดี หรือ ‘มั่นใจ’ ว่าราคาจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ) ตามสถิติที่ผ่านมาที่มักจะเกิดขึ้นภายหลังปรากฏการณ์ Bitcoin Halving (รางวัลจากการขุดที่ลดลงครึ่งหนึ่งทุกๆ 4 ปี เพื่อเป็นการสร้างสมดุลขึ้นในระบบเพื่อป้องกันปัญหาบิตคอยน์เฟ้อในอนาคต) ซึ่งกำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้งในช่วงเมษายนปีนี้...

“และขอขอบคุณสำหรับรางวัล Thailand Most Attractive People To Work For 2024 ที่เลือกให้ บิทคับ เป็น 1 ใน 5 ผู้มีชื่อเสียงที่คนไทยอยากร่วมงานด้วยมากที่สุด ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามสนับสนุนและเป็นกำลังใจให้ตัวผมและบริษัทฯ เสมอมา โดยรางวัลนี้เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นความทุ่มเทที่มีต่อบริษัทฯ อย่างเต็มที่ หวังว่าจะสามารถสร้างแรงบันดาลใจในการลงมือทำและมุ่งมั่นไปสู่เป้าหมายให้กับคนรุ่นใหม่ได้ต่อไป" นายจิรายุส กล่าวทิ้งท้าย

‘กรีนสปอต-DHL’ เปิดตัวรถขนส่งไฟฟ้า 18 ล้อ เดินหน้าโลจิสติกส์พลังงานสะอาด เป็นครั้งแรก

(26 ม.ค.67) นายสตีฟ วอล์กเกอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ดีเอชแอล ซัพพลายเชน กลุ่มธุรกิจประเทศไทย กล่าวว่า นับเป็นก้าวสำคัญสำหรับความมุ่งมั่นของทั้งสองบริษัทสู่การสร้างสรรค์อนาคตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและยั่งยืน รถขนส่งพลังงานไฟฟ้าที่เราเปิดตัวครั้งนี้ สามารถวิ่งได้ในระยะทางสูงสุดถึง 350 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ซึ่งใช้เวลาชาร์จพลังงานเต็มประสิทธิภาพประมาณ 2 ชั่วโมง โดยคาดว่าจะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศได้ประมาณ 60 ตันต่อปี

การเปิดตัวรถขนส่งพลังงานไฟฟ้านี้แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในการขนส่งสินค้าของกรีนสปอต เพื่อให้มั่นใจว่าการขนส่งสินค้าทั้งภายในและภายนอกบริษัทจะเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยเส้นทางการขนส่งสินค้าจะครอบคลุมตั้งแต่การขนส่งวัตถุดิบจากโรงงานผลิตขวดไปยังโรงงานกรีนสปอต หนองแค และรังสิต และขนส่งสินค้าจากโรงงานทั้งสองแห่งไปยังคลังสินค้าคลองหลวง หลังจากนั้น สินค้าจะถูกขนส่งไปยังผู้บริโภคผ่านช่องทางโมเดิร์นเทรดต่าง ๆ อาทิ บิ๊กซี โลตัส และ 7-11

สำหรับรถขนส่งพลังงานไฟฟ้านี้จะถูกบริหารจัดการโดยศูนย์ควบคุมการปฏิบัติการด้านการขนส่งของดีเอชแอล มีการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมากมายมาใช้ อาทิ Paragon Route Optimization System, Transport Management System, Telematics และ DHL’s MySupplyChain digital platform

นายสตีฟ กล่าวต่อว่า เรากำลังเดินหน้าอย่างมั่นคงสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050 โดยให้ความสำคัญกับการดำเนินงานด้วยพลังงานสะอาดและยั่งยืนในทุกขั้นตอน ความร่วมมือของเรากับกรีนสปอตในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงค่านิยมของทั้งสองบริษัทที่มีร่วมกัน

โดยเฉพาะความมุ่งมั่นอันแน่วแน่ต่อแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืน การเปิดตัวรถขนส่งพลังงานไฟฟ้าของเราถือเป็นเครื่องพิสูจน์อันเด่นชัดถึงความทุ่มเทอย่างต่อเนื่องในเรื่องนี้ และด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย จะช่วยให้เราสามารถบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ผ่านการวางแผนเส้นทางการเดินรถที่มีประสิทธิภาพและการส่งมอบสินค้าอย่างปลอดภัย โดยลูกค้าสามารถตรวจสอบสถานะของสินค้าได้ในทุกขั้นตอนการทำงาน

>> กรีนสปอต ลดขยะ-ลดใช้พลังงาน

ด้านนายโชติ โสภณพนิช ประธานกรรมการ บริษัท กรีนสปอต จำกัด กล่าวว่า แนวทางการดำเนินงานของเราจะมุ่งเน้นเรื่องคุณภาพ ความปลอดภัยด้านอาหาร และมีคุณค่าทางโภชนาการเป็นหลักเสมอ การเปิดตัวรถขนส่งพลังงานไฟฟ้าเพื่อขนส่งเครื่องดื่มของเราในครั้งนี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นไปอีกก้าวต่อการปฏิบัติงานที่มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ความร่วมมือกับดีเอชแอล ซัพพลายเชน ประเทศไทย ตอกย้ำถึงความทุ่มเทของเราในการดำเนินงานด้านโลจิสติกส์ที่สะอาดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น เราจะยังคงมุ่งมั่นนำโซลูชั่นที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาใช้ในกระบวนการต่าง ๆ ของซัพพลายเชนอย่างต่อเนื่องต่อไป

ความมุ่งมั่นของกรีนสปอตในด้านความยั่งยืน ยังครอบคลุมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากร ลดการสร้างขยะให้น้อยที่สุด และลดอัตราการใช้พลังงาน ด้วยความพยายามอันเต็มเปี่ยมและจิตสำนึกในการรักษาสิ่งแวดล้อม บริษัทได้กำหนดเป้าหมายที่จะสร้างเสริมสุขภาวะและยกระดับคุณภาพชีวิตของทั้งผู้บริโภคและชุมชนในวงกว้าง นโยบายนี้สะท้อนผ่านการให้ความสำคัญต่อแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืน การส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพ และการมีส่วนร่วมในการสร้างประโยชน์ต่อความเป็นอยู่ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย

>> ดีแอชแอลเดินหน้าโลจิสติกส์ยั่งยืน

ปัจจุบัน ดีเอชแอล ซัพพลายเชน ประเทศไทย มีการนำรถขนส่งพลังงานไฟฟ้ามาใช้จำนวนมากและมีแผนที่จะเพิ่มจำนวนอย่างต่อเนื่องในปี 2567 และปีต่อ ๆ ไป การนำรถขนส่งพลังงานไฟฟ้ามาใช้ขนส่งสินค้าอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับนโยบายการขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Transport Policy) ซึ่งเป็นแผนงานเชิงกลยุทธ์ในการใช้โซลูชั่นการขนส่งที่ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ตามแผนงานความยั่งยืนของกลุ่มบริษัท

นโยบายนี้ยังทำหน้าที่เป็นแบบแผนในการเปลี่ยนแปลงรูปแบบรถขนส่งโดยใช้ทางเลือกต่าง ๆ เพื่อให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น อาทิ การนำน้ำมันพืชที่ผ่านกระบวนการเติมไฮโดรเจน (hydrotreated vegetable oil) ก๊าซชีวภาพ พลังงานไฟฟ้า หรือเครื่องยนต์ไฮโดรเจน มาใช้ เป็นต้น ซึ่งในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของโครงการริเริ่มนี้ ดีเอชแอล ซัพพลายเชน ตั้งเป้าที่จะปรับเปลี่ยนรถขนส่งประมาณ 2,000 คัน ทั่วโลกไปใช้พลังงานสะอาดมากยิ่งขึ้นในอนาคต 

‘บอร์ด ปตท.’ แต่งตั้ง ‘คงกระพัน อินทรแจ้ง’ นั่งเก้าอี้ ‘CEO ปตท.’ คนที่ 11 มีผล พ.ค. 67

เมื่อวานนี้ (25 ม.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานจาก ปตท. ระบุว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ บมจ.ปตท. วานนี้ (25 ม.ค.) ได้พิจารณาวาระการสรรหาประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) คนใหม่ต่อจาก นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ที่ครบวาระ 4 ปีในเดือนพฤษภาคม 2567 โดยที่ประชุมมีมติเลือก นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC ขึ้นมาดำรงตำแหน่ง CEO ปตท.คนที่ 11 จากผู้สมัครทั้ง 5 รายที่เป็นผู้บริหาร ปตท.

ปัจจุบัน นายคงกระพัน อินทรแจ้ง อายุ 55 ปี จบการศึกษาวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต (วิศวกรรมเคมี) (เกียรตินิยมอันดับสอง) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และศึกษาต่อจนจบ Doctor of Philosophy (Ph.D.) in Chemical Engineering, University of Houston, U.S.A.

มีประสบการณ์มากกว่า 25 ปีในการบริหารบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมี และการกลั่นปิโตรเลียมแบบครบวงจร รวมถึงมีความเชี่ยวชาญในด้านการกำหนดกลยุทธ์องค์กร การพัฒนาธุรกิจ การเงินและนักลงทุนสัมพันธ์ การวิจัยและพัฒนา (R&D) การพัฒนาโครงการลงทุนที่สำคัญ การควบรวมกิจการระหว่างประเทศ และการบริหารจัดการกิจการร่วมค้า

มีประสบการณ์ที่หลากหลายในการบริหารจัดการธุรกิจระหว่างประเทศ และเคยดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) ของ Emery Oleochemicals Group และกรรมการของบริษัทย่อยในต่างประเทศ ได้แก่ Emery Oleochemicals Group ในประเทศมาเลเซีย Vencorex Holding ในประเทศฝรั่งเศส และ NatureWorks LLC ในสหรัฐอเมริกา

ในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ดำรงตำแหน่งประธานร่วม France-Thailand Business Forum โดยมีบทบาทหน้าที่ในการเป็นผู้นำและส่งเสริมในเรื่องเศรษฐกิจความร่วมมือกัน (Economic Collaboration) รวมทั้งการลงทุนและการค้าทั้งสองทาง (Two-way trade and investment) ระหว่างประเทศไทยกับฝรั่งเศส

ดำรงตำแหน่งสมาชิกของ United Nations Global Compact (UNGC) และสภาธุรกิจโลกเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน (WBCSD) รวมทั้งกรรมการขององค์กรธุรกิจเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน (TBCSD)

ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน)
*กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการ กรรมการบริหารความเสี่ยง และประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)

*รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ประจำประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ กลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)

*กรรมการ และกรรมการบริหารความเสี่ยง บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน)

‘ttb’ ห่วง!! ‘หนี้ครัวเรือน’ สิ้นปีนี้จะทะลัก 16.9 ล้านบาท ผลพวงจาก ศก.ขยายตัวช้า ทำให้รายได้ ปชช.ฟื้นตัวจำกัด

(26 ม.ค.67) ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics ประเมินสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีของไทย ณ สิ้นปี 2567 จะอยู่ที่ 91.4% หรือราว 16.9 ล้านล้านบาท โดยสถานการณ์หนี้ครัวเรือนยังคงน่าเป็นห่วงทั้งในมิติของปริมาณการก่อหนี้ที่ไม่สร้างรายได้เพิ่มขึ้นเร็วและคุณภาพหนี้มีแนวโน้มด้อยลง ส่วนหนึ่งจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ค่อนข้างเชื่องช้า ส่งผลให้ระดับรายได้ของครัวเรือนฟื้นตัวได้อย่างจำกัด ขณะที่ต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว กระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้และคุณภาพของหนี้ อีกทั้งอุปสรรคจากการไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบของลูกหนี้บางส่วน ทำให้ต้องพึ่งพาแหล่งเงินกู้นอกระบบและเผชิญกับปัญหาวังวนหนี้ไม่รู้จบ

หากกล่าวถึงปัญหาเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจของไทย แน่นอนว่าประเด็นหนี้ครัวเรือนสูงเรื้อรังมักถูกพูดถึงมาโดยตลอด โดยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา หนี้ครัวเรือนไทยเพิ่มขึ้นในอัตราที่เร็วกว่าการเติบโตของเศรษฐกิจ ทำให้หนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีอยู่ในระดับสูงที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศที่มีรายได้ต่อหัวเฉลี่ยใกล้เคียงกัน ทั้งยังสูงกว่าเมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศที่มีรายได้และความมั่งคั่งสูงกว่า ล่าสุด ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่า ยอดคงค้างหนี้ครัวเรือนไทย ณ ไตรมาส 3 ของปี 2566 อยู่ที่ 16.2 ล้านล้านบาท ขยายตัว 3.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) คิดเป็น 90.9% ต่อจีดีพี ซึ่งมีทิศทางชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากผู้ให้กู้หลักอย่างธนาคารพาณิชย์เพิ่มความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ สวนทางกับตัวเลขหนี้ที่มาจากกลุ่มบริษัทบัตรเครดิต ลิสซิ่ง และสินเชื่อส่วนบุคคลที่เติบโตในอัตราเร่งสูงสุดในรอบทศวรรษ

นอกจากนี้ คุณภาพหนี้ครัวเรือนก็มีแนวโน้มด้อยลงจากสัดส่วนหนี้เสีย (NPLs) ในระบบธนาคารพาณิชย์ที่สูงถึง 2.79% หรือเกือบ 1.52 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าถึง 3.6% ขณะที่สัดส่วนหนี้ค้างชำระระหว่าง 1-3 เดือน หรือ Stage 2 อยู่ที่ 6.66% หรือ 3.62 แสนล้านบาท ซึ่งเกือบครึ่งหนึ่ง หรือราว 1.7 แสนล้านบาทมาจากสินเชื่อเช่าซื้อรถที่เพิ่มสูงเป็นประวัติการณ์ และยังไม่นับรวมหนี้จากผู้ให้บริการทางการเงินที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (Non-bank) และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) อีกกว่า 35% ของทั้งระบบ

ซึ่ง ttb analytics ประเมินว่า สัดส่วนหนี้ครัวเรือน ณ สิ้นปี 2567 จะเพิ่มขึ้นเป็น 91.4% ต่อจีดีพี หรือราว 16.9 ล้านล้านบาท ซึ่งแม้ตัวเลขหนี้ครัวเรือนไทยจะขยายตัวชะลอลงในระยะหลัง แต่เป็นการลดลงตามภาวะเศรษฐกิจที่ทยอยฟื้นตัว อีกทั้งอัตราการขยายตัวของหนี้ครัวเรือนในระดับ 3-4 สูงกว่าการเติบโตของเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มขยายตัวช้าลงทุกปี ทำให้ประเด็นหนี้ครัวเรือนไทยในระยะต่อไปยังมีความเปราะบางสูงจาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่

>> ปัจจัยแรก : เศรษฐกิจและระดับรายได้ฟื้นช้า แม้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2567 จะมีทิศทางดีขึ้นจากปีก่อน โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการส่งออกที่กลับมาขยายตัว แต่ด้วยรายได้จากการส่งออกกว่า 90% กระจุกตัวอยู่ในธุรกิจขนาดใหญ่ ทั้งยังมีการกระจุกตัวในมิติของจำนวนแรงงานที่ค่อนข้างสูง ขณะเดียวกันภาคการท่องเที่ยวซึ่งส่วนใหญ่ขับเคลื่อนจากธุรกิจขนาดเล็กกลับมีแนวโน้มฟื้นตัวได้ช้ากว่า ทำให้ฐานะทางการเงินของผู้ประกอบการขนาดเล็กส่วนใหญ่ยังมีความเปราะบาง ซึ่งอาจกระทบต่อแรงงานที่มีมากถึง 71% ของแรงงานทั่วประเทศ ส่งผลให้ครัวเรือนบางส่วนอาจต้องกู้ยืมเพิ่มเติมเพื่อทดแทนสภาพคล่องที่หายไป

>> ปัจจัยที่สอง : ต้นทุนทางการเงินสูงกว่าในอดีต โดยในช่วงวิกฤตโควิด-19 เป็นจังหวะที่นโยบายทางการเงินผ่อนคลายและอัตราดอกเบี้ยนโยบายลดลงต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ส่งผลให้การประเมินฐานะทางการเงินและความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ต่ำกว่าความเป็นจริง ซึ่งเมื่อต้นทุนการกู้ยืมปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องสู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2566 โดยเฉพาะสินเชื่อรายย่อยที่มีความอ่อนไหวต่อการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ จึงส่งผลกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ ทำให้ลูกหนี้มีแนวโน้มผิดนัดชำระหนี้ในอัตราเร่งชัดเจนขึ้น นอกจากนั้น ภาระหนี้ที่ถูกพักหรือเลื่อนออกไปก่อนหน้าจากผลของมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยในช่วงที่เกิดวิกฤตจะถูกนำมาคิดทบต้น และมีส่วนทำให้ระดับหนี้ครัวเรือนในภาพรวมมีแนวโน้มปรับลดลงช้ากว่าปกติ

>> ปัจจัยที่สาม : พฤติกรรมการก่อหนี้โดยขาดวินัยทางการเงินที่ดี แม้การเพิ่มขึ้นของระดับหนี้ครัวเรือนจะสามารถกระตุ้นการบริโภคได้ในระยะสั้น แต่หนี้ที่สูงเกินระดับ 80% ต่อจีดีพี ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อการบริโภคแล้ว แต่จะส่งผลเชิงลบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาว ทั้งนี้ หนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีของไทยเกิน 80% ต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2558 และเกือบ 1 ใน 3 เป็นการก่อหนี้เพื่อการอุปโภคบริโภคอย่างสินเชื่อส่วนบุคคลและสินเชื่อบัตรเครดิต หรือเรียกได้ว่าเป็นหนี้ที่ไม่สร้างรายได้ (Non-Productive Loan) ซึ่งค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับประเทศใกล้เคียงอย่างมาเลเซียและจีนที่ 14% และ 13% ตามลำดับ โดยเฉพาะในระยะหลัง การขยายตัวของสินเชื่อที่ไม่สร้างรายได้ รวมถึงความต้องการหนี้นอกระบบเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัย สะท้อนการสร้างหนี้อย่างผิดวัตถุประสงค์ และพฤติกรรมการก่อหนี้โดยขาดวินัยทางการเงินที่ดี ซึ่งหนี้ประเภทดังกล่าวจะต้องเผชิญกับอัตราดอกเบี้ยกู้ที่สูงกว่ามาก และเสี่ยงก่อให้เกิดเป็นกับดักหนี้ไม่สิ้นสุด ทำให้การลดลงของหนี้ครัวเรือนเป็นเรื่องค่อนข้างยาก

โดยสรุปตราบใดที่เศรษฐกิจฐานรากยังฟื้นตัวไม่ทั่วถึงและแข็งแกร่ง ความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ก็อาจจะยังไม่กลับมาเป็นปกติ และคาดว่าภาระหนี้ที่สูงจะยังคงเป็นปัจจัยฉุดรั้งเศรษฐกิจต่อไป ฉะนั้นแล้ว การดำเนินการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืนและเป็นระบบมีความจำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการยกระดับมาตรฐานกระบวนการให้สินเชื่อและการปฏิบัติกับลูกหนี้อย่างเป็นธรรม (Responsible Lending) ครอบคลุมตลอดวงจรหนี้ของลูกหนี้ ควบคู่ไปกับมาตรการสนับสนุนให้มีการคิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ตามความเสี่ยง (Risk-Based Pricing) เพื่อกระตุ้นการปรับวินัยทางการเงินของครัวเรือนให้ดีขึ้น เพิ่มช่องทางการเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้อย่างเหมาะสม ซึ่งจะเป็นแนวทางสำคัญที่จะช่วยบรรเทาปัญหาหนี้สินของครัวเรือนไทยได้ในระยะยาว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top