Saturday, 14 December 2024
COLUMNIST

เช็กลิสต์ 15 ข้อ ประเมินภาวะหมดไฟจากการทำงาน พร้อมรู้ 'สาเหตุ-วิธีแก้ไข' ก่อน ‘ร่างกาย-จิตใจ’ ย่ำแย่

ปัจจุบันวัยรุ่นและวัยทำงานมีความตระหนักเรื่องสุขภาพทางร่างกายมากขึ้น สังเกตจากแนวทางการใช้ชีวิตและพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป เช่น การรับประทานอาหารคลีน การรับประทานอาหารเสริม การออกกำลังกายในฟิตเนส เป็นต้น แต่ในทางกลับกันปัญหาสุขภาพทางจิตใจกลับเป็นภัยเงียบที่ส่งผลคุกคามต่อคุณภาพชีวิตของวัยรุ่นและวัยทำงาน

ภาวะหมดไฟจากการทำงาน หรือ Burn Out เป็นภาวะของสภาพจิตใจและความรู้สึกเบื่อหน่ายการทำงานโดยไม่รู้สาเหตุ เหน็ดเหนื่อย อ่อนล้า ไม่อยากทำงานกับเพื่อนร่วมงาน รู้สึกว่างานล้นมือ ขาดแรงจูงใจในการทำงาน และเฝ้ารอถึงเวลาเลิกงานหรือวันหยุดเพื่อจะได้กลับบ้าน บางคนจะงีบหลับต่อหน้าผู้ร่วมงาน

นอกจากนี้อาจมีสัญญาณความผิดปกติทางร่างกายร่วมด้วย ได้แก่ อาการปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามร่างกาย รู้สึกเหนื่อยล้า หมดแรง อ่อนเพลีย ภูมิคุ้มกันต่ำลง นอนไม่หลับ อันเป็นสาเหตุให้เกิดอาการเจ็บป่วยอื่นๆ ตามมาได้ 

สำหรับสัญญาณความผิดปกติทางอารมณ์ ได้แก่ รู้สึกล้มเหลว สิ้นหวัง หงุดหงิดง่าย กังวลใจทุกครั้งที่ต้องไปทำงาน รู้สึกโดดเดี่ยว ขาดแรงบันดาลใจและแรงกระตุ้นในการทำงาน ขาดสมาธิและความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ เกิดทัศนคติเชิงลบต่องานและเพื่อนร่วมงาน รวมทั้งสัญญาณความผิดปกติทางพฤติกรรม เช่น การขาดความรับผิดชอบต่องาน เกี่ยงงาน การปลีกตัวออกจากสังคม รวมทั้งอาจมีการรับประทานอาหารมากขึ้น มีการใช้ยาหรือแอลกอฮอล์เพื่อปลอบประโลมตัวเองจากภาวะดังกล่าว

สาเหตุของภาวะหมดไฟจากการทำงาน
1.) ขาดอำนาจในการตัดสินใจในการทำงาน ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของภาวะหมดไฟจากการทำงาน การไม่สามารถควบคุมงานที่รับผิดชอบได้ด้วยตนเอง เช่น ต้องรอการสั่งการ หรือต้องทำตามแนวทางที่ถูกกำหนดเท่านั้น
2.) เป้าหมายและขอบเขตในการทำงานไม่ชัดเจน
3.) ทำงานร่วมกับทีมงานหรือองค์กรที่ไม่มีประสิทธิภาพ
4.) งานหนักเกินไป
5.) ขาดการสนับสนุนจากหัวหน้า ผู้บังคับบัญชา หรือ องค์กร
6.) งานที่ทำไม่ได้รับการยอมรับ
7.) งานที่ทำเป็นงานลักษณะซ้ำๆ เหมือนเดิมในทุกวัน

แม้ว่าภาวะหมดไฟจากการทำงานจะไม่สามารถวินิจฉัยได้ด้วยเครื่องมือทางการแพทย์เหมือนโรคอื่นๆ แต่ก็สามารถประเมินได้เบื้องต้นด้วยการใช้แบบสอบถาม ‘Burnout Self-Test’ ที่พัฒนาขึ้นโดย Christina Maslach นักจิตวิทยาสังคมชาวอเมริกัน ซึ่งแบบสอบถามนี้มีคำถามทั้งหมด 15 ข้อ โดยแต่ละข้อมีคะแนนตั้งแต่ 1-5 คะแนน (1 คะแนน = ไม่มีเลย, 5 คะแนน = เกิดเป็นประจำ) เลือกให้คะแนนที่ตรงกับความรู้สึกมากที่สุด

แบบสอบถามการประเมินภาวะหมดไฟจากการทำงาน
1.) ฉันรู้สึกเหนื่อยล้า หมดพลัง ทั้งพลังทางกายและอารมณ์
2.) ฉันรู้สึกในทางลบกับงานในหน้าที่ที่ทำ
3.) ฉันรู้สึกเฉยเมยหรือเห็นอกเห็นใจกับผู้คนน้อยลงอย่างไม่สมเหตุผล
4.) ฉันรู้สึกหงุดหงิดกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ หรือหงุดหงิดกับเพื่อนร่วมงาน
5.) ฉันรู้สึกไม่เข้าใจผู้ร่วมงานหรือผู้ร่วมงานไม่ชื่นชอบ
6.) ฉันรู้สึกเหมือนไม่มีใครที่จะพูดคุยด้วย
7.) ฉันรู้สึกว่าประสบความสำเร็จน้อยกว่าที่ควรจะเป็น
8.) ฉันรู้สึกเหมือนอยู่ภายใต้แรงกดดันที่ไม่พึงประสงค์ที่ทำให้งานไม่สำเร็จ
9.) ฉันรู้สึกว่ายังไม่ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการในการทำงาน
10.) ฉันรู้สึกว่าเลือกทำงานในองค์กรที่ผิดหรือเลือกอาชีพผิด
11.) ฉันรู้สึกผิดหวังกับบางส่วนของงานที่ทำหรือรับผิดชอบ
12.) ฉันรู้สึกว่าการเมืองในองค์กรหรือการทำงานที่มีขั้นตอนมาก ทำให้ไม่สามารถที่จะทำงานสำเร็จด้วยดี
13.) ฉันรู้สึกว่ามีหลายงานที่เกินขีดความสามารถของตนที่จะทำงานดังกล่าว
14.) ฉันรู้สึกว่าฉันไม่มีเวลาที่จะทำหลายๆ งานที่มีความสำคัญอย่างมีคุณภาพ
15.) ฉันรู้สึกว่าไม่มีเวลาที่มากพอในการวางแผนการทำงานที่อยากจะทำ

การแปลผลแบบสอบถามการประเมินภาวะหมดไฟจากการทำงาน
>> 15-18 คะแนน : ไม่มีอาการของภาวะหมดไฟจากการทำงาน
>> 19-32 คะแนน : มีอาการของภาวะหมดไฟจากการทำงานเล็กน้อย
>> 33-49 คะแนน : มีความเสี่ยงที่จะมีภาวะหมดไฟจากการทำงาน
>> 50-59 คะแนน : มีความเสี่ยงอย่างมากที่จะมีภาวะหมดไฟจากการทำงาน
>> 60-75 คะแนน : มีความเสี่ยงอย่างรุนแรงที่จะมีภาวะหมดไฟจากการทำงาน

หนึ่งเดียวในโลก!! ชวนรู้จัก ‘รัฐอธิปไตยทหาร ออร์เดอร์ ออฟ มอลตา’ รัฐอธิปไตยอย่างเป็นทางการที่ ‘ไม่มีดินแดน’ และเป็นมิตรกับทุกประเทศ

รัฐอธิปไตยทหาร ออร์เดอร์ ออฟ มอลตา (The Sovereign Military Order of Malta : SMOM)

เมื่อไม่นานมานี้ มีเพื่อนใน FB ‘ดร.โญ มีเรื่องเล่า’ ของผม ขอให้เล่าเรื่องราวของ รัฐอธิปไตยทหาร ออร์เดอร์ ออฟ มอลต้า (The Sovereign Military Order of Malta) ผมเห็นว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจ จึงเขียนบทความนี้ลงกับทาง THE STATES TIMES เลยแล้วกันครับ

เราอาจเข้าใจว่ารัฐอธิปไตยทหาร ออร์เดอร์ ออฟ มอลตา (Order of Malta) และสาธารณรัฐมอลตา (The Republic of Malta) เป็นประเทศเดียวกัน แต่เปล่าเลยครับ ประเทศมอลตา (Malta) หรือชื่อทางการคือ สาธารณรัฐมอลตา (ภาษามอลตา : Repubblika ta’ Malta) เป็นประเทศที่เป็นเกาะขนาดเล็กสองเกาะในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เมืองหลวงชื่อ กรุงวัลเลตตา (Valletta) และมีที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของยุโรป ถัดลงมาจากตอนใต้ของประเทศอิตาลี นับเป็นประเทศที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานแห่งหนึ่งในยุโรป ในอดีตนั้นได้มีผู้มาครอบครองและถูกแย่งชิงนับครั้งไม่ถ้วน และยังเป็นอดีตอาณานิคมของสหราชอาณาจักร (อังกฤษ) โดยได้รับเอกราชเมื่อ ๒๗ กันยายน พ.ศ. ๒๕๐๗ และสถาปนาเป็นสาธารณรัฐมอลตาเมื่อ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๗ 

ทั้งนี้สาธารณรัฐมอลตาเคยตกอยู่ภายใต้รัฐอธิปไตยทหาร ออร์เดอร์ ออฟ มอลตา จนกระทั่งปี พ.ศ. ๒๓๔๑ ก็ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของฝรั่งเศส และกลายเป็นอาณานิคมของอังกฤษในเวลาต่อมาจนกระทั่งได้รับเอกราช

ส่วนรัฐอธิปไตยทหาร ออร์เดอร์ ออฟ มอลตา ชื่อเต็มอย่างเป็นทางการคือ The Sovereign Military Hospitaller Order of St. John of Jerusalem of Rhodes and of Malta เป็นทั้งนิกายโบราณที่เกี่ยวเนื่องกับศาสนอัศวินและเกี่ยวข้องกับนิกายย่อยในคริสตจักรโรมันคาทอลิก เป็นรัฐอิสระที่ปกครองตนเองโดยใช้อำนาจอธิปไตยโดยอยู่ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ 

Blessed Fra’ Gerard ผู้ก่อตั้งและศาสนาจารย์คนแรก

ออร์เดอร์ ออฟ มอลตา เป็นหนึ่งในสี่นิกายของ Roman Catholic ที่เก่าแก่ที่สุด (อีกสามนิกายได้แก่ Basilians, Angustinians และ Benedictines) มีลักษณะคล้ายกับองค์กรศาสนา เช่นเดียวกับนิกาย (Order) อื่น ๆ อีก ๔ สาขา คือ Order of Teutonic, Order of Temple, Order of St. Lazare และ Order of St. Thomas A. Bucket of Acre Order of Malta ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1099 โดย Blessed Fra’ Gerard ซึ่งก่อตั้งสถานพยาบาลขึ้นที่นครเยรูซาเล็ม เพื่อรักษาพยาบาลกลุ่มผู้แสวงบุญ (Pilgrims) ที่เดินทางมานครเยรูซาเล็ม และขยายสาขาออกไปตามเส้นทางการแสวงบุญ ภายใต้การนำของ Blessed Fra’ Gerard ผู้ก่อตั้งและศาสนาจารย์คนแรก ต่อมาชุมชนทางศาสนากลายเป็นชุมชนของกลุ่มฆราวาส 

สมเด็จพระสันตะปาปา Pascal 2 ทรงยอมรับคำสั่งของนักบุญยอห์น โดยจัดให้อยู่ภายใต้การคุ้มครองของพระศาสนจักรและให้สิทธิ์ในการเลือกผู้นำกลุ่มอย่างเสรี โดยไม่มีการแทรกแซงจากหน่วยงานฆราวาสหรือหน่วยงานทางศาสนาอื่น ๆ

ศาสนอัศวินแห่งรัฐอธิปไตยทหาร ออร์เดอร์ ออฟ มอลตา

ต่อมา เมื่อเกิดสงครามครูเสด สมาชิกนิกายนี้ต้องติดอาวุธป้องกันตนเองและศาสนิกชนที่ดูแล และต้องทำหน้าที่ช่วยสู้รบไปในตัวด้วย จึงเกิดตำแหน่งอัศวิน (Knight) ขึ้นในสมัยของผู้นำที่ชื่อ Fra Raymond du Puy ในปี ค.ศ. 1126 

Fra Raymond du Puy ผู้นำออร์เดอร์ ออฟ มอลตา คนที่สอง

ผู้สืบทอดของ Blessed Fra' Gerard ในฐานะ Master คือ Blessed Fra' Raymond du Puy ดำรงตำแหน่งระหว่างปี ค.ศ. 1145 ถึง ค.ศ. 1153 ได้กำหนดกฎเบื้องแรกสำหรับสมาชิกของออร์เดอร์ ออฟ มอลตา ว่า การประชุมทั้งหมดนั้นเป็นไปตามหลักศาสนา ผูกพันตามคำปฏิญาณสามประการของโบสถ์แห่งความยากจนได้แก่ ความบริสุทธิ์ทางเพศ และการเชื่อฟัง และการอุทิศตนเพื่อช่วยเหลือคนยากจนและคนป่วย

ไม้กางเขนแปดแฉกสัญลักษณ์ของออร์เดอร์ ออฟ มอลตา

นอกจากนั้น ธรรมนูญแห่งนครเยรูซาเลมกำหนดให้สมาชิกของออร์เดอร์ ออฟ มอลตา ทำหน้าที่ในการป้องกันผู้ป่วยและผู้แสวงบุญ และต้องปกป้องศูนย์การแพทย์ตลอดจนกิจการหลักอื่น ๆ ต่อมาการป้องกันความศรัทธาถูกเพิ่มเข้าไปในภารกิจของสมาชิกของออร์เดอร์ ออฟ มอลตา และมีการรับเอาไม้กางเขนแปดแฉกมาเป็นสัญลักษณ์จนปัจจุบัน

ขบวนผู้นำและเหล่าศาสนอัศวินแห่งรัฐอธิปไตยทหาร ออร์เดอร์ ออฟ มอลตา

รัฐอธิปไตยทหาร ออร์เดอร์ ออฟ มอลตา ปัจจุบันตั้งอยู่ ณ พระราชวัง Magistral บนเนินเขา Aventine ในกรุงโรม ซึ่งล้อมรอบด้วยเขตอาณาของสาธารณรัฐอิตาลี มีลักษณะเป็นองค์กรทางศาสนา (สถานะคล้ายนครรัฐวาติกัน) และถือเป็นองค์กรที่เก่าแก่ที่สุดในวัฒนธรรมโลกตะวันตกและโลกศาสนาคริสต์ รัฐอธิปไตยทหาร ออร์เดอร์ ออฟ มอลตา ต่างจากสันตะสำนักซึ่งมีอำนาจปกครองเหนือนครรัฐวาติกัน  และด้วยเหตุนี้จึงมีการแยกอาณาเขตที่ชัดเจนของพื้นที่อธิปไตยและของอิตาลี 

แต่รัฐอธิปไตยทหาร ออร์เดอร์ ออฟ มอลตา ไม่มีอาณาเขตใด ๆ นับตั้งแต่การสูญเสียเกาะมอลตาในปี พ.ศ. ๒๓๔๑ ให้กับฝรั่งเศส นอกจากอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันเท่านั้น ด้วยสภาพนอกอาณาเขตที่ระบุไว้ข้างต้น อิตาลีตระหนักดีว่า นอกจากการอยู่นอกอาณาเขตแล้ว ยังตระหนักถึงการใช้สิทธิอำนาจอธิปไตยทั้งหมดในสำนักงานใหญ่ของรัฐอธิปไตยทหาร ออร์เดอร์ ออฟ มอลตา ดังนั้นอธิปไตยของอิตาลีและอธิปไตยของรัฐอธิปไตยทหาร ออร์เดอร์ ออฟ มอลตา จึงอยู่ร่วมกันโดยไม่ทับซ้อนกันแต่อย่างใด

ก่อกำเนิด APEC ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ‘เอเชีย-แปซิฟิก’ เชื่อม 2 ภูมิภาคของโลกให้เป็นหนึ่งเดียว

จากจุดเริ่มต้นของความสำเร็จที่เกิดขึ้นและสะสมโมเมนตัมมาอย่างต่อเนื่องตลอดทศวรรษ 1980 ของการประชุมระดับรัฐมนตรีของกลุ่มประเทศอาเซียน และประเทศคู่เจรจา (Dialogue Partners) ซึ่งในขณะสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Association of Southeast Asian Nations) หรือ อาเซียน มีสมาชิก 6 ประเทศอันได้แก่ ประเทศไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และบรูไน ร่วมกับประเทศคู่เจรจาอีก 6 ประเทศ อันได้แก่ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ นิวซีแลนด์ แคนาดา และสหรัฐอเมริกา จึงได้มีการขยายผลจากความสำเร็จนี้ไปสู่การสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่เชื่อมโยง 2 ภูมิภาคสำคัญของโลกเข้าด้วยกันนั่นคือ ประเทศในทวีปเอเชีย และประเทศในภาคพื้นมหาสมุทรแปซิฟิก และเรียกกรอบความร่วมมือในเวทีนี้ว่า ‘ความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (Asia-Pacific Economic Cooperation)’ หรือ ‘APEC’ ซึ่งเกิดขึ้นอย่างเป็นทางการในปี 1989 หรือกว่า 33 ปีมาแล้ว โดยมีการประชุมระดับรัฐมนตรี APEC ครั้งแรก ณ กรุงแคนเบอร์รา ประเทศออสเตรเลีย ในระหว่างวันที่ 6-9 พฤศจิกายน 1989 

โดยบุคคลสำคัญที่เป็นตัวตั้งตัวตีผลักดันจนทำให้เกิดเวทีการประชุมนี้คือ นายกรัฐมนตรีของประเทศออสเตรเลียในขณะนั้น คือนายบ๊อบ ฮอว์ก (Bob Hawke) ที่ต้องการนำเอาออสเตรเลีย ซึ่งในขณะนั้นเป็นประเทศที่ต้องการขยายอิทธิพลทางเศรษฐกิจของตนเองเข้าสู่ตลาดโลก เช่นเดียวกับที่สหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของประธานาธิบดี จอร์จ บุช (George Bush) เองก็ให้การขานรับ เพราะต้องการสร้างพันธมิตรทางเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงกับเอเชียท่ามกลางสถานการณ์สุกงอมของการแข่งขันทางอำนาจของสงครามเย็น 

และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา หากไม่มีสถานการณ์พิเศษ ตารางการประชุมสำคัญที่ทั่วโลกจับตาก็คือ การประชุม APEC ที่มักจะนิยมจัดกันในทุกเดือนพฤศจิกายน ของทุกปี โดยเฉพาะตั้งแต่ปี 1993 เป็นต้นมาที่เกิดการประชุมสุดยอดผู้นำ APEC ขึ้น

การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อ ‘สหภาพโซเวียต’ ล่มสลายในวันที่ 26 ธันวาคม ปีค.ศ. 1991 แต่สัญญาณการเปลี่ยนแปลงก็เริ่มต้นมาแล้วตั้งแต่ก่อนหน้านั้น หลายๆ ประเทศ และเขตเศรษฐกิจต่างก็ต้องการเข้าสู่ระเบียบโลกใหม่ ที่สหรัฐอเมริกากำลังจะกลายเป็นมหาอำนาจขั้วเดียวที่กำหนดกฎเกณฑ์กติกาการค้า การลงทุน และระบบเศรษฐกิจโลก 

ดังนั้นการเข้าเป็นพันธมิตรสำคัญของกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่สหรัฐฯ เป็นผู้เล่นจึงกลายเป็นสิ่งปรารถนาของหลากหลายประเทศและเขตเศรษฐกิจทั่วโลก

ไขปริศนา!! เพราะเหตุใดจึงไม่มีการจัดการกับร่างนักปีนเขา ซึ่งเสียชีวิตบนเขาเอเวอเรสต์

ข้อมูลอ้างอิงตัวเลขจนถึงเดือนมกราคม พ.ศ. ๒๕๖๔ มีผู้เสียชีวิตขณะพยายามปีนขึ้นสู่ยอดเขาเอเวอเรสต์มากถึง ๓๐๕ ราย ร่างของผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่มากกว่า ๒๐๐ ร่าง ยังคงอยู่บนเอเวอเรสต์ บางร่างก็ไม่เคยถูกพบมาก่อน บางร่างก็ต้องทำหน้าที่เป็นเหมือนกับ ‘เครื่องหมาย’ ที่น่าสะพรึงกลัวตลอดเส้นทางสู่ยอดเขา และบางร่างจะถูกพบในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าเมื่อสภาพอากาศบนยอดเขาเอเวอเรสต์เปลี่ยนแปลงไป

เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. ๒๕๖๔ มีนักปีนเขาที่หวังจะประสบความสำเร็จในการพิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์สูงถึง ๑๐,๑๘๔ ราย แต่มีแค่บางคนที่สามารถพิชิตสำเร็จได้หลายครั้ง จึงมีผู้พิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์สำเร็จเพียง ๕,๗๓๙ คน แม้ว่าจำนวนนักปีนเขาที่เสียชีวิตบนภูเขาจะมีเป็นจำนวนมาก แต่คิดเป็นอัตราการเสียชีวิตเพียง 3% สำหรับยอดเขาเอเวอเรสต์ นั่นหมายความว่า นักปีนเขาประมาณหนึ่งคนในสามสิบสามคนจะจบลงด้วยความตาย

ทำไมพวกเขาถึงทิ้งร่างของนักปีนเขาที่เสียชีวิตบนเอเวอเรสต์ไว้มากมาย? ทำไมไม่จัดการกับร่างเหล่านั้นอย่างถูกต้องตามประเพณี? บ้างก็อ้างว่า ร่างอยู่ที่นั่นเป็นเหมือนเครื่องหมายอ้างอิงแสดงเส้นทางให้นักปีนเขาคนอื่น ๆ 

แต่แน่นอน นี่ไม่ใช่เหตุผลที่ฟังขึ้น เพราะความจริงแล้วจุดอ้างอิงนั้นจะมีประโยชน์อย่างไร ในเมื่อจุดนั้น ๆ มีเพียงหิน และน้ำแข็งปกคลุม เมื่อร่างผู้เสียชีวิตถูกทิ้งไว้จึงดูไม่แปลกจากสภาพแวดล้อมอื่นๆ อีกทั้งร่างพวกนั้นอยู่ในเขตที่เรียกว่า ‘แดนมรณะ’ นั่นคือระดับความสูงที่มนุษย์จะเสียชีวิตหากปราศจากออกซิเจนในทุกวินาทีที่อยู่บนนั้น

โดยธรรมชาติแล้วร่างกายของมนุษย์ไม่สามารถรับมือกับระดับความสูงมาก ๆ ได้นาน เพราะความสูงประมาณ ๙,๐๐๐ เมตร เท่ากับระดับความสูงการบินของเที่ยวบินโดยสารระยะสั้น แม้จะมีออกซิเจนเสริม 

ทุกสิ่งที่มนุษย์ต้องทำกลายเป็นความพยายามอย่างน่าเหลือเชื่อ เพราะต้องทำเรื่องที่คิดว่าง่ายที่สุด (ในสถานการณ์ปกติ) ระหว่างการปีนเพื่อไต่ความสูงในระดับสูงมาก ๆ ขนาดนั้น เช่น การดื่ม การกิน การย่อยอาหาร การนอนหลับ และรักษาบาดแผล ล้วนแล้วแต่มีผลต่อการใช้ออกซิเจนของบรรดานักปีนเขาเหล่านั้นทั้งสิ้น 

แต่หากนักปีนเขาเข้าสู่เขตมรณะแล้ว ก็จะมีคำเตือนที่ว่า ควรจะใช้เวลาอยู่ในบริเวณนั้นให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ไม่มีการจัดการกับร่างของบรรดานักปีนเขาที่เสียชีวิตบนเอเวอเรสต์

แต่หากร่างผู้เสียชีวิตอยู่ในพื้นที่ที่สามารถเข้าถึงได้ และครอบครัวของนักปีนเขาที่เสียชีวิตเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้ ทีมงานก็จะพยายามเก็บกู้ร่างของพวกเขาออกมา ซึ่งต้องแลกกับความเสี่ยงที่สูงมาก ๆ ของนักปีนเขาที่ขึ้นไปเก็บกู้ จึงมีค่าใช้จ่ายมหาศาลทั้งแรงงานของนักปีนเขาชาวเชอร์ปาในท้องถิ่นและค่าชั่วโมงบินของเฮลิคอปเตอร์

หรือไม่เช่นนั้นร่างของผู้เสียชีวิตก็อาจจะถูกผลักลงจากหน้าผาหรือรอยแยกเพื่อให้พ้นสายตา ซึ่งถือว่าเป็นการฝังร่างตามแบบนักปีนเขาที่สง่างาม สมความภาคภูมิของเหล่าบรรดานักปีนเขา 

อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่แล้วร่างนักปีนเขาที่เสียชีวิตจะถูกทิ้งไว้ที่จุดเดิมตรงที่พวกเขาเสียชีวิต เพราะไม่มีใครที่จะยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อกู้ร่างของนักปีนเขาที่เสียชีวิตเหล่านั้น และนั่นถือเป็นเรื่องที่น่าเศร้าสลดใจ แต่ใครที่เลือกเป็นนักปีนเขาแล้ว และยินดีที่จะปีนเพื่อขึ้นไปบนนั้นย่อมรับรู้เรื่องนี้ดี

วิทยาศาสตร์มีคำตอบ!! โอกาสถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 มีเพียง 0.0001% แต่ถ้าซื้องวดละ 1 ล้านใบ ถูกแน่ๆ 100%

ทำยังไงจะถูกหวย จะต้องลงทุนเท่าไรจึงจะถูกทุกงวด วิทยาศาสตร์มีคำตอบให้ครับ

สวัสดีครับกลับมาพบกันอีกครั้งกับต้นเดือนกันยายน 2565 ซึ่งเมื่อวันสองวันที่ผ่านมา น่าจะมีเศรษฐีหน้าใหม่ของประเทศไทยเกิดขึ้นมาอีกหลายคนน่ะครับ

เนื่องจากทุกวันที่ 1 และ 16 ทุกเดือนจะเป็นวันที่คนไทยทุกคนตั้งหน้าตั้งตารอ นั่นคือการลุ้นผลรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาล หรือเรียกแบบบ้านๆ ว่า หวย ทั้งนี้แทบจะเรียก 2 วันนี้ว่าเป็นวันความหวังแห่งชาติ เลยก็ว่าได้ครับ

และผู้เขียนเชื่อว่าผู้อ่านหลาย ๆ ท่านคงจะเคยซื้อหวยกัน ไม่ว่าจะเป็นหวยที่ถูกกฎหมายหรือที่เราเรียกกันว่าลอตเตอรี่ แต่ถ้าเรียกให้ดูสวยหรูคือสลากกินแบ่งรัฐบาล หรือหวยที่ไม่ถูกกฎหมายแต่คนไทยทุกคนรู้จักกันดีและเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับสังคมมาเป็นเวลานาน นั่นก็คือหวยใต้ดิน ซึ่งมีอยู่หลายรูปแบบที่แตกต่างกันไป

ทั้งนี้จากผลสำรวจของโพลหลายสำนัก พบว่าคนไทยมากกว่าร้อยละ 60% เคยซื้อหวยกันครับ โดยเฉพาะลอตเตอรี่นอกจากจะทำให้บางคนเป็นเศรษฐีในชั่วพริบตา แต่ก็เป็นที่รับรู้กันดีว่าแม้จะมีราคาเขียนไว้ที่หน้าสลากชัดเจนแต่น้อยคนนักที่จะมีโอกาสได้ซื้อในราคาดังกล่าว

ในขณะเดียวกันเมื่อไม่นานมานี้รัฐบาลพยายามที่จะใช้มาตรการในการเข้ามาควบคุมให้ราคาลอตเตอรี่ขายในราคาที่กำหนดคือ ฉบับละ 80 บาท โดยให้มีการซื้อขายในระบบออนไลน์ หรือที่เรารู้กันว่า สลาก ดิจิทัล ซึ่งก็พบว่าขายดีมาก โดยขายได้หมดในเวลาเพียงแค่ 2-3 วันเท่านั้น

ทั้งนี้นอกจากหวยจะทำให้คนไทยมีความหวังในทุกๆ วันที่ 1 และ 16 ของเดือนแล้ว ก็ยังทำให้คนไทยหลาย ๆ คนมีอาชีพทำกินโดยการขายลอตเตอรี่อีกด้วย เท่านั้นยังไม่พอ ยังทำให้เกิดอีกอาชีพหนึ่งขึ้นมา นั่นก็คือ อาชีพของคนใบ้หวย ซึ่งหลาย ๆ คน ก็ร่ำรวยได้ง่าย ๆ จากอาชีพนี้กันครับ

สำหรับวันนี้ไม่ได้มาพูดเรื่องการใบ้หวยครับ แต่จะพาทุกท่านมาดูหลักการทางวิทยาศาสตร์กัน เวลาเราซื้อหวยไม่ว่าจะเป็นหวยที่ถูกกฎหมาย หรือหวยใต้ดิน เรามีโอกาสที่จะถูกมากหรือน้อยขนาดไหน และถ้าจะให้ถูกรางวัลทุกงวดเราจะต้องลงทุนเท่าไรกัน ในที่นี้จะขอพูดถึงสลากกินแบ่งรัฐบาลหรือลอตเตอรี่ก่อนนะครับ

ในปัจจุบันนี้ลอตเตอรี่ 1 ชุดจะมีเลขทั้งหมดจำนวน 6 หลัก ก็คือตั้งแต่เลข 000000 จนกระทั้งถึง 999999 หรือพูดง่ายๆ คือมีทั้งหมด 1 ล้านฉบับ และในจำนวนล้านฉบับมีรางวัลให้ลุ้นตั้งแต่รางวัล เลขหน้า เลขท้าย 3 ตัว และ 2 ตัว รวมทั้งหมด 14,168 รางวัล คิดเป็นจำนวนเงินรางวัลรวม 48 ล้านบาท

แล้วถ้าเราอยากจะถูกรางวัลทั้งหมดนี้ต้องลงทุนเท่าไร? หมายความว่าหากเราต้องซื้อสลากมาทั้งหมด 1 ล้านฉบับ ก็จะต้องถูกแน่ ๆ 100 % ซึ่งถ้าสลากขายในราคาที่กำหนด คือ 80 บาท เราก็จะต้องใช้เงินในการซื้อทั้งหมด 80 ล้านบาทครับ ดูแล้วคงไม่คุ้มแน่ ๆ

แต่ถ้าเราซื้อสลากมา 1 ฉบับล่ะ มีโอกาสที่จะถูกมากน้อยขนาดไหน ซึ่งโอกาสที่จะถูกรางวัลที่ 1 ก็คือ 1 ใน ล้าน หรือคิดเป็น 0.0001 % และยังมีรางวัลข้างเคียงรางวัลที่ 1 ซึ่งมี 2 รางวัล ก็มีโอกาสถูก 0.0002 %

นอกจากนี้รางวัลอื่นก็จะมีโอกาสถูกที่เพิ่มขึ้นแตกต่างกันไปตามจำนวนรางวัลเช่น รางวัลเลขหน้าและเลขท้าย 3 ตัว จำนวน 2,000 รางวัล จะมีโอกาสถูก 0.2 % รางวัลเลขท้าย 2 ตัว จำนวน 10,000 รางวัล มีโอกาสถูก 1 % เป็นต้น

พออ่านมาถึงตรงนี้หลาย ๆ ท่าน น่าจะพอรู้คำตอบของโอกาสในการถูกลอตเตอรี่ของรัฐบาลนะครับ แล้วถ้าเราไม่ซื้อหวยแบบที่ถูกกฎหมาย แต่เปลี่ยนมาซื้อหวยใต้ดินกันล่ะครับ เรามีโอกาสที่จะถูกเท่าไร และจะต้องลงทุนเท่าไรในการซื้อถึงจะถูก มาดูกันครับ

เป็นที่ทราบกันทั่วไปอยู่แล้วนะครับว่า ในการซื้อหวยใต้ดินมีรางวัลหลักๆ ที่ลุ้นกันอยู่ คือเลขท้าย 3 ตัว โดยอาศัยดูจากผลเลขท้าย 3 ตัว ของรางวัลที่ 1 สลากกินแบ่งรัฐบาล

และในส่วนของเลขท้าย 2 ตัว จะมี 2 แบบ คือข้างบนและข้างล่าง โดยข้างล่างจะอาศัยการใช้ผลของเลขท้าย 2 ตัวของสลากกินแบ่งรัฐบาล 2 ตัว ส่วนข้างบนก็อาศัยการใช้เลขท้าย 2 ตัว ของรางวัลที่ 1

มิตรภาพสองนักแสดง!! ‘Al Pacino - Robert De Niro’ เพื่อนซี้กว่า 50 ปี มิตรภาพลูกผู้ชายที่ยืนยงด้วยการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน

Robert De Niro และ Al Pacino ต่างก็เป็นนักแสดงอเมริกันเชื้อสายอิตาเลียนที่เติบโตในมหานครนิวยอร์ก 

โดย De Niro เกิดเมื่อ ๑๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๖ และเติบโตในย่าน Greenwich Village ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเขต Manhattan ของมหานครนิวยอร์ก 

ส่วน Pacino เกิดเมื่อ ๒๕ เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๓ และเติบโตในเขต Bronx ของมหานครนิวยอร์กเช่นกัน

Robert De Niro ในวัยเด็กกับ Robert De Niro Sr. ผู้เป็นพ่อ

นอกจากเติบโตในมหานครนิวยอร์กเหมือนกันแล้ว ความเหมือนอีกอย่างของทั้งสองคน ก็คือ พ่อ-แม่แยกทางกันตั้งแต่พวกเขาอายุเพียงสองขวบทั้งคู่ 

โดย Virginia Admiral และ Robert De Niro Sr. (แม่และพ่อของ De Niro) ซึ่งทำอาชีพเป็นศิลปินวาดภาพทั้งคู่แยกทางกัน เนื่องจาก Robert De Niro Sr. ได้เปิดเผยว่าตัวเองเป็นเกย์ และ Virginia Admiral ก็เป็นผู้เลี้ยงดูเขานับแต่นั้นมา โดยมี De Niro Sr. ผู้เป็นพ่อดูแลอยู่ห่าง ๆ 

ส่วน Pacino นั้นแม่ของเขา Rose Gerardi หย่ากับ Salvatore Pacino พ่อของเขา โดยแม่เป็นผู้ดูแลเขาตั้งแต่นั้นมา ส่วนผู้เป็นพ่ออพยพโยกย้ายไปอยู่เมือง Covina ในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย

HB Studio (Herbert Berghof Studio) โรงเรียนการแสดงที่ทั้งคู่เคยเข้าเรียน

ต่อมาทั้งคู่ก็เข้าเรียนในโรงเรียนการแสดงเหมือนกัน ซ้ำยังเป็นโรงเรียนเดียวกัน  โดย Pacino เข้าเรียนใน HB Studio (Herbert Berghof Studio) ส่วน De Niro ก็เข้าเรียนใน HB Studio และ Lee Strasberg's Actors Studio แต่เข้าเรียนที่ HB Studio ต่างเวลากัน และทั้งคู่ต่างก็ชื่นชมนักแสดงที่มีความสามารถเหมือนกัน เช่น Marlon Brando และ James Dean 

นอกจาก ทั้งคู่ยังเริ่มอาชีพการแสดงด้วยบทบาทสำคัญในภาพยนตร์เกี่ยวกับ ‘อันธพาล/นักเลง’ โดยหนึ่งในบทบาทแรกๆ ของ Pacino คือบทบาทของ Michael Corleone ใน The Godfather (ค.ศ. 1972) 

ในขณะที่ De Niro แสดงในบทของ John ‘Johnny Boy’ Civello ใน Mean Streets (ค.ศ. 1973)

ทั้งสองพบกันในช่วงปลายทศวรรษ 1960 ในมหานครนิวยอร์กบ้านเกิดของทั้งคู่ โดยต่างก็เป็นนักแสดงหน้าใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นอาชีพการแสดง แล้วพวกเขาก็เป็นเพื่อนกันตั้งแต่นั้นมา 

ความมหัศจรรย์ระหว่างนักแสดงสองคนบนหน้าจอนั้นเข้มข้นมาก และบทบาทของพวกเขาก็น่าทึ่งมากเช่นกัน จนดูเหมือนว่าเราจะได้เห็นพวกเขาแสดงร่วมกันในภาพยนตร์หลายเรื่อง แต่ในความเป็นจริงแล้ว The Irishman (ค.ศ. 2019) เป็นเพียงภาพยนตร์เรื่องที่ ๔ ที่นำแสดงโดย Pacino และ De Niro ส่วนอีก ๓ เรื่องคือ Heat (ค.ศ. 1995), Righteous Kill (ค.ศ. 2008) และ The Godfather Part II (ค.ศ. 1974) ซึ่งเรื่องนี้พวกเขาไม่ได้เข้าฉากที่แสดงร่วมกันด้วยซ้ำ

Godfather Part II เป็นภาพยนตร์ที่แสดงในเรื่องเดียวกันเป็นเรื่องแรก แต่ไม่เคยได้ร่วมฉากกันเลย

ในปี พ.ศ. ๒๕๑๗ ทั้งสองได้แสดงในภาพยนตร์เรื่องเดียวกันเป็นเรื่องแรก แต่ไม่เคยได้ร่วมฉากกันเลยใน The Godfather Part II หรือแม้กระทั่งเกือบตลอดทั้งเรื่องของ HEAT พ.ศ. ๒๕๓๘ แต่ในที่สุดพวกเขาก็ปรากฏตัวในเฟรมเดียวกันของภาพยนตร์เรื่องนี้ โดยแสดงฉากนั่งร่วมกันบนโต๊ะอาหาร 

ในที่สุดพวกเขาก็ปรากฏตัวในเฟรมเดียวกันของภาพยนตร์เรื่อง HEAT โดยแสดงฉากนั่งร่วมกันบนโต๊ะอาหาร

Pacino อายุมากว่า De Niro สามปี และมักแสดงท่าทีในการปกป้อง De Niro อย่างเห็นได้ชัด เพราะปกติแล้ว De Niro เป็นคนที่พูดน้อยเพียงไม่กี่คำ และเป็นคนที่พูดต่อหน้านักข่าวน้อยมาก ๆ อีกด้วย

ครั้งหนึ่งในช่วงการให้สัมภาษณ์ร่วมกันของ Robert De Niro และ Al Pacino ตัว De Niro นั่งเงียบ ๆ บนเก้าอี้โซฟา และแทบไม่จะพูดอะไรเลย เว้นแต่จะหัวเราะ ขณะที่ Pacino ยืนคำรามหรือออกท่าทางแสดงเป็นตัวละคร และอธิบายฉากต่าง ๆ ที่มาจากชีวิตจริงของพวกเขา 

ทั้งรูปลักษณ์อันหล่อเหลาของ Pacino ก็ร่วงโรย ส่วน De Niro ก็รับบทบาทเป็นพ่อและปู่มากขึ้น เนื่องจากกาลเวลาและสังขารได้เปลี่ยนไป (ด้วยอายุที่มากขึ้น จึงต้องรับบทบาทการแสดงที่เหมาะกับอายุ)

ท่ามกลางสื่อมวลชน พวกเขามักจะแสดงออกต่อกันอย่างอ่อนโยน และบ่อยครั้ง Pacino จะคอยสกัดบางคำถามที่ถาม De Niro แล้วเปลี่ยนมาตอบคำถามด้วยตนเองแทน ในตอนท้ายของการสัมภาษณ์นี้ ชายทั้งสองยืนขึ้นและโอบกอดกันอย่างเงียบ ๆ เป็นเวลานาน และ Pacino ก็ได้พูดกับ De Niro ว่า “ฉันรักนาย”

ปริศนาเครื่องบินกองทัพสหรัฐฯ !! ‘กลุ่ม Deeper Dorset’ สืบค้นความจริงจากเศษซากใต้ทะเล ของเครื่องบินลำเลียง ซึ่งถูกขโมยเมื่อ 53 ปีก่อน!!

แม้กองทัพของสหรัฐฯ จะดูเป็นกองทัพที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก แต่รู้หรือไม่ว่า กองทัพสหรัฐฯ เคยถูกขโมยอาวุธยุทโธปกรณ์มาแล้วมากมายหลายรายการ ซึ่งการขโมยที่เป็นข่าวดังก็เกิดขึ้นเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน เป็นการขโมยรถถังแบบ M60A3 Patton โดย Shawn Nelson จากคลังของ California Army National Guard ออกมาวิ่งบนถนนในเมือง San Diego มลรัฐ California เมื่อวันที่ ๑๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๓๘ (ค.ศ. 1995) โดยเขาได้ขับรถถังชนรถที่จอดอยู่ไปเรื่อยๆ สร้างความเสียหายสูงถึง US$149,201 (เทียบเท่ากับ US $265,329 ในปัจจุบัน) และที่สุดก็ถูกตำรวจ San Diego ยิงเสียชีวิตในเวลาต่อมา

เครื่องลำเลียงแบบ C-130E Hercules แบบเดียวกับที่ถูกขโมยโดย Paul Meyer

แต่หากพูดถึงอาวุธยุทโธปกรณ์ชิ้นใหญ่ที่สุดที่กองทัพสหรัฐฯ ถูกขโมยไปนั้น ก็คงหนีไม่พ้นเครื่องลำเลียงแบบ C-130 ซึ่งเหตุการณ์เกิดขึ้นในวันที่ ๒๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๑๒ (ค.ศ. 1969) หรือเมื่อ ๕๓ ปีก่อน ณ ฐานทัพอากาศ Mildenhall สหราชอาณาจักร โดยพันจ่าอากาศเอก Paul Meyer ช่างเครื่องสังกัดกองทัพอากาศสหรัฐฯ เป็นผู้ลงมือขโมย

Paul Meyer เคยปฏิบัติหน้าที่ในเวียดนาม ในตอนนั้นเขาพึ่งแต่งงานกับ Jane Meyer (ปัจจุบัน Mary Ann Jane Goodson) เมื่อต้นปี พ.ศ. ๒๕๑๒ และอยากประจำการที่ฐานทัพอากาศ Langley ซึ่งอยู่ใกล้บ้านเพื่ออยู่กับครอบครัว เขาคิดถึงภรรยา และทำงานอย่างไม่มีความสุข ซ้ำยังดื่มหนักอีกด้วย ไม่กี่วันก่อนเกิดเหตุเขาได้ยื่นคำร้องขอย้ายกลับ แต่คำขอถูกปฏิเสธอีก ในคืนวันที่  ๒๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๑๒ (ค.ศ. 1969) เขาไปงานเลี้ยงที่บ้านของเพื่อนร่วมงานซึ่งเป็นทหารอากาศด้วยกัน เขาดื่มหนักจนเมา หลังจากนั้นออกอาการก้าวร้าวอาละวาด จนเพื่อน ๆ ของเขาต้องพยายามเกลี้ยกล่อมให้เขาเข้านอน แต่เขากลับหนีออกมาทางหน้าต่าง หลังจากนั้นไม่นาน ตำรวจเมือง Suffolk พบตัวเขาบนถนน A11 และจับเขาในข้อหาเมาแล้วก่อความวุ่นวาย ก่อนพากลับไปส่งยังฐานทัพอากาศ Mildenhall และผู้บังคับบัญชาได้สั่งให้เขาเข้านอน

วีรบุรุษต่างเชื้อชาติ!! ‘Kostas Sarantidis’ ชายชาวกรีซแห่งกองกำลัง Viet Minh ผู้ได้รับการยกย่องเป็น ‘วีรบุรุษแห่งกองทัพประชาชนเวียดนาม’


Kostas Nguyen Van Lap ชายชาวกรีซผู้ซึ่งกลายเป็นวีรบุรุษของเวียดนาม

๒ สิงหาคมที่ผ่านมา เวียดนามได้จัดพิธีรำลึกจัดถึง Kostas Nguyen Van Lap (Kostas Sarantidis - Nguyen Van Lap) ขึ้นที่เมืองดานัง ทางตอนกลางของประเทศ Kostas Nguyen Van Lap ชายผู้มีสัญชาติกรีซและเวียดนาม เข้าร่วมกับกองกำลัง Viet Minh ของเวียดนามในสงครามต่อต้านอาณานิคมของฝรั่งเศส และกลายเป็นวีรบุรุษแห่งกองทัพประชาชนเวียดนาม

Kostas Nguyen Van Lap ประดับเหรียญอิสริยาภรณ์ “วีรบุรุษแห่งกองทัพประชาชนเวียดนาม (Hero of the People's Armed Forces of Vietnam)

Kostas Nguyen Van Lap (1927 - 25 มิถุนายน ค.ศ. 2021) เดิมชื่อ Kostas Sarantidis (Κώστας Σαραντίδης) เขาเป็นชาวต่างชาติเพียงคนเดียวที่เคยได้รับตำแหน่ง “วีรบุรุษแห่งกองทัพประชาชนเวียดนาม (Hero of the People's Armed Forces of Vietnam) เขาเป็นทหาร "เวียดนามใหม่" ซึ่งเป็นชาวกรีซเพียงคนเดียวที่เคยรับใช้ในกองกำลัง Viet Minh ระหว่างสงครามเวียดนามกับฝรั่งเศส อดีตเจ้าอาณานิคม



Kostas Nguyen Van Lap เกิดในครอบครัวคนงานในเมือง Thessaloniki ประเทศกรีซ เมื่อเขาอายุ ๑๖ ปี กรีซถูกนาซีเยอรมันยึดครอง เขาจึงถูกเกณฑ์เป็นทหารแล้วถูกส่งไปเยอรมนี ภายหลังจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง เขาไม่สามารถกลับไปกรีซได้ เพราะไม่มีเอกสารประจำตัว เขาถูกส่งไปยังค่ายกักกันในอิตาลีในช่วงต้นปี ค.ศ. 1946 และต่อมาได้สมัครเข้าร่วมกองทหารต่างด้าวฝรั่งเศส และถูกส่งไปยังอินโดจีนภายใต้ภารกิจในการปลดปล่อยประชาชน และปลดอาวุธทหารญี่ปุ่น

หน่วยของเขาเดินทางไปเวียดนามทางเรือ เมื่อถึงไซง่อนแล้วก็ถูกพาขึ้นรถไฟไปยังตอนกลางของเวียดนาม ในวันแรกที่เขามาถึงเวียดนาม เขาได้เห็นความโหดร้ายมากมายของกองทัพฝรั่งเศสที่กระทำต่อชาวเวียดนาม เขาจึงตระหนักว่า ฝรั่งเศสเป็นเพียงผู้รุกราน ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะแปรพักตร์ เข้าร่วมกับกองกำลัง Viet Minh โดย Kostas Nguyen Van Lap เล่าว่า "เราเข้าร่วมในการต่อสู้หลายครั้งในภาคใต้ ทหารได้รับคำสั่งให้โจมตีและเผาหมู่บ้านเพื่อพิสูจน์ตนเองว่า แข็งแกร่ง ผมอยากจะลาออก เพราะผมทนไม่ไหวแล้ว ในวันสุดท้ายในกองทหารต่างด้าวฝรั่งเศสของผม ผมเห็นด้วยตาตนเองว่า ทหารของกองทหารต่างด้าวฝรั่งเศสทั้งหมวดข่มขืนเด็กหญิงอายุเพียง ๑๔-๑๕ ปี” 

ขณะเขาประจำการอยู่ที่เมือง Binh Hoa ก็ได้พบกับ Mai Le สายลับหญิงซึ่งเป็นผู้ที่ช่วยให้ Kostas Nguyen Van Lap เข้าร่วมกับกองกำลัง Viet Minh โดยพ่อแม่ของ Mai Le เป็นผู้รักชาติ เข้าร่วมสงครามต่อต้านและเสียสละตัวเอง แม้จะอายุน้อยมาก แต่ Mai Le และเพื่อนร่วมชั้นก็ออกจากเมืองเข้าร่วมกลุ่มต่อต้าน เขาพบกับ Mai Le ในฐานะที่เธอเป็นภรรยาของร้อยโท Christianis หัวหน้าหน่วยในเมือง Phan Thiet โดย Mai Le ได้ฝากฝังเขากับกองกำลัง Viet Minh (ต่อมาสายลับหญิงผู้นี้ถูกจับและถูกประหารชีวิตโดยฝรั่งเศสในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1946) 

เวลา ๐๒.๐๐ น. ของวันที่ ๖ เมษายน เขาทิ้งกองทหารต่างด้าวฝรั่งเศสเพื่อไปยังเขตปลอดทหารใน Binh Thuan นอกจากนี้ เขายังปล่อยนักโทษอีก ๒๔ คน นำถือปืนกลเบรนและปืนไรเฟิลไปด้วยอีกสองกระบอก ระเบิดมือสองกล่อง และกระสุนอีกจำนวนหนึ่ง ที่พื้นที่ต่อต้านเขาพบว่า กองกำลัง Viet Minh มีอาวุธที่แย่มาก อาทิ ปืนคาบศิลาฝรั่งเศสสามกระบอกที่มีความยาวต่างกัน นายทหารมีปืนพกที่เก่ามาก ทหารบางคนยังใช้มีด หรือดาบ เขามอบปืนที่เขานำมาด้วยให้กับกองกำลัง Viet Minh ทหารเวียดนามดีใจมากเพราะได้อาวุธใหม่ หลังจากนั้นทหารเวียดนามจึงฆ่าลูกวัวเพื่อทำอาหารฉลอง หลังจากนั้น Kostas ได้รับชื่อเวียดนามว่า Nguyen Van Lap และเข้าร่วมกองทัพประชาชนเวียดนามอย่างเป็นทางการ ในฐานะหนึ่งในทหาร "เวียดนามใหม่ " 

ในช่วงปี ค.ศ. 1946 - 1948 สภาพความเป็นอยู่ของกองกำลัง Viet Minh นั้นเลวร้ายมาก เขาเล่าว่า "เราได้รับอาหารเพียง ๘๐๐ กรัมต่อวัน และมีเพียงผักเป็นอาหารเท่านั้น” สโลแกนการต่อต้านของกองกำลัง Viet Minh มีความคล้ายคลึงกับสโลแกนของชาวกรีซซึ่งก็คือ "เสรีภาพหรือความตาย" กองกำลัง Viet Minh ให้เขาทำงานในหน่วยประจำเขตพื้นที่ ๕ เขตสนามรบ “กว๋างนาม – ดานัง” เขาได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ออกอากาศไปยังกองทหารต่างด้าวฝรั่งเศสชักจูงให้ทหารแปรพักตร์ออกจากกองทหารต่างด้าวฝรั่งเศส และช่วยชีวิตเชลย ๑๒๐ คนที่ถูกจับ 

ต่อมาเขาและเพื่อนร่วมหน่วยสามารถยิงเครื่องบิน Morane-Saulnier ตก และจับกุมนักบินชาวฝรั่งเศสสามคนที่ยังมีชีวิตอยู่ใกล้ ๆ กับ Phu Cang (กว๋างนาม) เมื่อเมษายน ค.ศ. 1948 หน่วยของเขาสามารถสังหารกองกำลังศัตรูได้ ๒๐๐ นาย ที่ Huong An - Ba Ren

สัจธรรมแห่งอนิจจัง รู้จัก!! อารยธรรมซาโปเทก แห่งมอนเต อัลบาน อีกหนึ่งความเฟื่องฟูก่อนสูญหายตามกาลเวลา

อนุสรณ์สถานและโบราณสถานทั้งหลายเป็นหลักฐานสำคัญ บ่งบอกถึงความยิ่งใหญ่ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ และเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงมนุษยชาติในแต่ละช่วงของประวัติศาสตร์แห่งการเปลี่ยนผ่านจากอารยธรรมหนึ่งไปสู่อีกอารยธรรม

เมื่อพูดถึงอารยธรรมเก่าแก่แห่งทวีปอเมริกา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมโสอเมริกา (Mesoamerica) ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ทางเหนืออย่างเม็กซิโก ไกลไปจนถึงประเทศคอสตาริกา เรามักจะคุ้นเคยกับอารยธรรมของชาวโอลเมก (Olmec People) ซึ่งเชื่อว่าเป็นต้นกำเนิดแห่งความเจริญของทวีปนี้ เพราะเก่าแก่กว่าใครอื่นใด ที่โดดเด่นมากด้วยในยุคถัดมา คือชาวมายา (Maya People) กับรูปแบบสังคมอันซับซ้อน รวมถึงพีระมิดมากมายของพวกเขา ไม่ก็ชาวแอซเท็ก (Aztec People) ซึ่งแผ่ขยายอำนาจได้กว้างไกลมาก เหล่านี้ล้วนได้รับการเล่าขานกันในวงกว้าง แต่ยังมีอีกชนชาติโบราณแห่งทวีปนี้ที่รุ่งเรืองไม่แพ้กันมาตั้งแต่ยุคก่อนคริสตกาล ซึ่งอยู่ในยุคไล่เลี่ยกันกับมายาและแอซเท็กเช่นกัน ครอบครองพื้นที่ยาวนานพันกว่าปี คือกลุ่มคนที่เรียกขานกันว่าชาวซาโปเทก (Zapotec People) นั่นเอง

ศูนย์กลางของอารยธรรมกับอาณาจักรซาโปเทก คือเมืองซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขาความสูงราวสองพันเมตรจากระดับน้ำทะเล ชื่อมอนเต อัลบาน พิกัดในปัจจุบันนี้คือภูเขานอกเมืองวาฮากา (Oaxaca City) อันเป็นเมืองหลวงของรัฐวาฮากาแห่งประเทศเม็กซิโก หลักฐานชี้ชัดว่าก่อร่างสร้างเมืองเมื่อราว 4-5 ศตวรรษก่อนคริสตกาล ได้รับการออกแบบ วางผังเมือง และก่อสร้างด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำของสมัยนั้น เป็นศูนย์กลางการเมืองการปกครอง ศาสนา และเศรษฐกิจ นับว่าเป็นโบราณสถานสำคัญที่สุดและใหญ่ที่สุดในรัฐวาฮากา 

เชื่อกันว่าในช่วงเจริญสูงสุดนั้น ประชากรเมืองหลวงแห่งนี้เคยมีมากถึงสองหมื่นห้าพันคน โดยมีหมู่บ้านนับพันแห่งอยู่รอบมอนเต อัลบาน ปัจจุบันโบราณสถานแห่งนี้ได้รับการบูรณะซ่อมแซม เปิดให้นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเข้าชม เป็นหนึ่งในสิ่งที่พลาดไม่ได้เมื่อไปเที่ยววาฮากา นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่คงไม่ถึงขั้นอยากรู้รายละเอียดทุกอย่างของมอนเต อัลบาน แต่น่าจะพากันไปเพื่อเห็นร่องรอยทางประวัติศาสตร์กับตาตัวเอง เพื่อถ่ายรูปพีระมิด นอกจากนี้ข้างบนนั้นยังมองเห็นวิวของหุบเขาด้านล่างอีกด้วย ใครไปเองก็เดินอ่านป้ายตามจุดต่าง ๆ ซึ่งมีคำอธิบายคร่าว ๆ 

ส่วนคนที่ใช้บริการทัวร์ก็มักจะได้ไกด์ท้องถิ่นเดินอธิบายอะไรต่อมิอะไร ได้รสชาติและการท่องเที่ยวในแง่มุมที่ลึกซึ้งมากกว่า 

บรรดานักโบราณคดีและนักวิจัยทำการศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม พยายามไขข้อสงสัย รวมถึงหาความเชื่อมโยงกันระหว่างอาณาจักรซาโปเทกกับอาณาจักรอื่น ๆ ทางตอนเหนืออย่างแอซเท็กและมายาซึ่งครอบครองอยู่ทางตอนใต้ของดินแดนเมโสอเมริกา ได้รับความกระจ่างในหลายด้าน แต่บางเรื่องก็ยังคงเป็นปริศนาอยู่จนถึงทุกวันนี้ด้วยเช่นกัน

ย้อนรอยคดีดัง!! สามคนร้ายลักพาตัวเด็กนักเรียนใน Chowchilla หวังเรียกค่าไถ่ ก่อนฝังเหยื่อ ๒๗ รายทั้งเป็น

วันที่ ๑๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๑๙ ผู้ปกครองของเด็ก ๒๖ คนในเมืองชนบท Chowchilla มลรัฐแคลิฟอร์เนียต้องเผชิญกับฝันร้ายที่เลวร้ายที่สุดเมื่อลูก ๆ ของพวกเขาหายตัวไป รถโรงเรียนซึ่งมีเด็กนักเรียนอายุระหว่าง ๕ ถึง ๑๔ ปี หายไปอย่างลึกลับระหว่างกลับจากทัศนศึกษาในช่วงฤดูร้อน 

โดยเวลาราว ๑๖.๓๐ น. ขณะที่ รถโรงเรียนที่ขับโดย Frank Edward ‘Ed’ Ray วัย ๕๕ ปี กำลังขับรถพาเด็ก ๆ กลับนั้น ทันใดก็มีรถตู้สีขาวขับปาดหน้ารถโรงเรียนจนต้องจอดกลางถนน ชายสองคนสวมหมวกคลุมศีรษะและถือปืนลูกซองตัดลำกล้องปีนขึ้นไปบนรถโรงเรียน คนหนึ่งควบคุมตัว Ray ไว้ ในขณะที่อีกคนเข้าควบคุมรถ ส่วนชายคนที่สามรออยู่ในรถตู้ที่จอดขวางอยู่

รถบรรทุกที่ใช้ขังเหยื่อถูกฝังไว้ใต้ดินลึก ๑๒ ฟุต

หลังจากขับรถพาเหยื่อออกเดินทางเป็นระยะทางสั้น ๆ คนร้ายสามคนก็จอดรถโรงเรียนไว้ในบริเวณที่เรียกว่า ลำธาร Berenda อันเป็นลำธารสาขาที่แห้งขอดของแม่น้ำ Chowchilla ซึ่งล้อมรอบด้วยพุ่มไม้สูง โดยมีรถตู้อีกคันจอดรอไว้อยู่แล้ว พวกเขาสั่งให้ Ray และเด็ก ๆ ขึ้นไปด้านหลังของรถตู้ทั้งสองคัน ซึ่งดัดแปลงมาจากรถขนนักโทษของเรือนจำ หน้าต่างทาสีดำ และด้านในบุด้วยไม้ระแนงเพื่อกันไม่ให้เด็ก ๆ มองเห็นหรือได้ยินเสียง จากนั้นคนร้ายทั้งสามก็ได้ขับรถตู้สองคันวนไปมาราว ๑๑ ชั่วโมง ในที่สุดก็หยุดจอดที่เหมืองหินที่อยู่ห่างออกไปราว ๑๐๐ ไมล์ในเมือง Livermore พวกเขาบังคับ Ray และเด็กๆ ทุกคนปีนลงบันได และให้เข้าไปในรถบรรทุกซึ่งถูกฝังไว้ใต้ดินลึก ๑๒ ฟุต ซึ่งมีอาหารและน้ำจำนวนเล็กน้อยและฟูกนอนอีกนิดหน่อย

เด็ก ๆ ที่เป็นเหยื่อส่วนหนึ่งกับ Frank Edward ‘Ed’ Ray คนขับรถโรงเรียน

Ray รู้ว่า เขาและเด็ก ๆ คงอยู่ได้อีกไม่นานถ้าอากาศหมด ซ้ำหลังคารถบรรทุกก็ยุบตัวลงมา Ray และบรรดาเด็กโตก็ได้ช่วยกันวางฟูกที่นอนเพื่อให้เอื้อมถึงช่องเปิดที่ด้านบนของหลังรถบรรทุก ซึ่งถูกวางทับด้วยแผ่นโลหะที่หนักมากและแบตเตอรี่อุตสาหกรรมขนาด ๔๕ กิโลกรัมอีกสองลูก 

หลังจากใช้ความพยายามอยู่หลายชั่วโมง Ray และ Michael Marshall เด็กชายที่โตที่สุดวัย ๑๔ ปี ก็สามารถใช้เศษไม้งัดช่องเปิดออก แล้วย้ายแบตเตอรี่จนพ้นช่องเปิด จากนั้นพวกเขาก็ขุดเศษซากสิ่งของที่ปิดทางออกที่เหลือ สิบหกชั่วโมงหลังจากที่ถูกบังคับให้เข้าไปในรถบรรทุก พวกเขาก็สามารถหนีออกมาได้ และพากันเดินไปยังกระท่อมยามของเหมือง ซึ่งอยู่ใกล้กับอุทยาน Shadow Cliffs 

สามคนร้ายจากซ้าย Frederick Newhall Woods IV พี่น้อง James และ Richard Schoenfeld

Frederick Newhall Woods IV ลูกชายเจ้าของเหมืองหิน วัย ๒๔ ปี ตกเป็นผู้ต้องสงสัยอย่างรวดเร็ว เพราะเป็นหนึ่งในคนที่มีกุญแจของเหมืองหินแห่งนั้น และสามารถเข้าไปในเหมืองได้ลึกมากพอที่จะฝังรถบรรทุกไว้ที่นั่น เขากับเพื่อนอีกสองคน พี่น้อง James และ Richard Schoenfeld (อายุ ๒๔ และ ๒๒ ปี) เคยถูกตัดสินว่า มีความผิดฐานขโมยรถยนต์ ซึ่งพวกเขาถูกตัดสินลงโทษโดยการถูกคุมประพฤติ มีการออกหมายค้นที่ดินของพ่อของ Woods แล้วตำรวจก็พบอาวุธปืนหนึ่งกระบอกที่ใช้ในการลักพาตัว เช่นเดียวกับร่างจดหมายเพื่อเรียกค่าไถ่ แต่คนร้ายทั้งสามหนีไปแล้ว

สองสัปดาห์ต่อมาหลังจากการลักพาตัว Woods ถูกจับตัวได้ในนคร Vancouver มณฑล British Columbia ประเทศแคนาดา James Schoenfeld ถูกจับในวันเดียวกันที่ Menlo Park มลรัฐแคลิฟอร์เนีย ขณะที่ Richard Schoenfeld สมัครใจมอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจแปดวันหลังจากการก่อเหตุลักพาตัว


สภาพของรถบรรทุกที่ใช้ขังเหยื่อถูกฝังไว้ใต้ดินลึก ๑๒ ฟุต หลังจากถูกขุดขึ้นมา 

ผู้ลักพาตัวไม่สามารถติดต่อเรียกค่าไถ่จำนวน ๕ ล้านดอลลาร์ (เทียบเท่ากับ ๒๓.๘ ล้านดอลลาร์ในปี พ.ศ. ๒๕๖๔) เนื่องจากโทรศัพท์ของสถานีตำรวจ Chowchilla ไม่ว่างเลย ด้วยสายเข้าจากโทรศัพท์ของสื่อและครอบครัวที่ตามข่าวลูก ๆ ของพวกเขา ในตอนดึกของวันที่ ๑๖ กรกฎาคม รายงานข่าวทางโทรทัศน์ก็แจ้งว่า เหยื่อสามารถหลบหนีออกมาได้โดยปลอดภัยแล้ว 

ในภายหลัง James Schoenfeld เล่าว่า แม้จะเขามาจากครอบครัวที่มีฐานะร่ำรวย แต่ทั้งเขา Richard และ Woods ต่างก็มีหนี้สินมากมาย “เราต้องลักพาเหยื่อหลายรายเพื่อให้ได้เงินหลายล้าน และเราตัดสินใจเลือกเด็ก เพราะเด็กมีค่าเสมอ รัฐยินดีจ่ายค่าไถ่สำหรับพวกเขา และเด็ก ๆ มักจะไม่ต่อสู้ขัดขืน อ่อนแอ และเอาแต่ใจ" ผู้กระทำความผิดทั้งสามสารภาพว่า ได้ปล้นรถ และลักพาตัวเด็ก ๆ เพื่อเรียกค่าไถ่ แต่ปฏิเสธที่จะสารภาพว่า ได้ทำร้ายร่างกายเด็ก ๆ เนื่องจากเชื่อว่าการถูกดำเนินคดีในข้อหานั้นร่วมกับข้อหาลักพาตัวจะมีโทษถึงจำคุกตลอดชีวิตโดยไม่ต้องรอลงอาญา หรือไม่ได้รับทัณฑ์บนเพื่อลด/พักโทษในภายหลัง 

พวกเขาถูกดำเนินคดีในข้อหาทำร้ายร่างกายด้วย และถูกตัดสินว่า มีความผิดและได้รับโทษจำคุก แต่ศาลอุทธรณ์ได้กลับคำพิพากษาของพวกเขาโดยพบว่าอาการบาดเจ็บทางร่างกายของเด็ก ๆ (ส่วนใหญ่บาดแผลและรอยฟกช้ำ) ไม่เป็นไปตามเกณฑ์การทำร้ายร่างกายภายใต้กฎหมาย

หมดยุค...รักต้องฉุด!! ‘Franca Viola’ หญิงแกร่งคนแรกของอิตาลี ปฏิเสธธรรมเนียม ‘แต่งงานกับผู้ที่ลักพาตัว-ข่มขืน’ เพื่อรักษาเกียรติ

การลักพาตัวเจ้าสาว (Bride kidnapping) หรือรักต้องฉุด เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้มาตั้งแต่ครั้งยุคหินแล้ว เราท่านมักจะเห็นในการ์ตูนที่มีภาพของชายยุคหินถือตะบองอันโต ๆ ตีหัวหญิงสาวเพื่อนำมาเป็นภรรยา การฉุดหญิงสาวหรือเรียกกันว่าการแต่งงานโดยการลักพาตัวหรือการแต่งงานโดยการฉุดเจ้าสาวเป็นวิธีการปฏิบัติของชายที่ลักพาตัวหญิงสาวที่เขาปรารถนาจะแต่งงานด้วย การลักพาตัวเจ้าสาวเกิดขึ้นทั่วโลกและตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์และประวัติศาสตร์ ในสังคมผู้คนที่หลากหลายเช่น ชาวเขาบางเผ่าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ชาว Tzeltal ในเม็กซิโก และชาวโรมานีในยุโรป ปัจจุบันรักต้องฉุดยังคงเกิดขึ้นในส่วนต่าง ๆ ทั่วโลก แต่พบได้มากที่สุดในแถบคอเคซัสและเอเชียกลางจนทุกวันนี้

ประเทศส่วนใหญ่เกือบทั้งโลกในปัจจุบัน ถือว่าการลักพาตัวเจ้าสาวเป็นอาชญากรรมทางเพศ เนื่องจากองค์ประกอบโดยนัยเป็นการบังคับขืนใจ มากกว่าเป็นรูปแบบในการแต่งงานที่ถูกต้อง บางสังคมอาจถูกมองว่าไปเป็นตามความต่อเนื่องระหว่างการบังคับแต่งงานหรือการแต่งงานแบบคลุมถุงชน ซึ่งบางครั้งสลับสับสนกับ ‘รักกันหนา พากันหนี’ ซึ่งทั้งคู่หนีไปด้วยกัน แล้วกลับขอความยินยอมจากพ่อแม่ของฝ่ายหญิงในภายหลัง 

ในบางกรณีหญิงคนนั้นอาจให้ความร่วมมือหรือสมัครใจที่จะถูกฉุดไป แต่โดยทั่วไปแล้วจะพยายามรักษาชื่อเสียงหรือเกียรติยศให้กับตัวเองหรือพ่อแม่ของเธอ ในเขตอำนาจศาลหลายแห่ง กฎหมายนี้เคยได้รับการสนับสนุนโดยกฎหมายที่เรียกว่า ‘การแต่งงานเมื่อถูกข่มขืน (Marry-your-rapist laws)’ แม้แต่ในประเทศที่การปฏิบัตินั้นขัดต่อกฎหมาย หากแต่การบังคับใช้กฎหมายยังไม่เข้มแข็งเด็ดขาด กฎหมายที่มีลักษณะจารีตประเพณี (แนวปฏิบัติดั้งเดิม) ลักษณะก็อาจมีผลเหนือกว่า

 

ในอิตาลีก็เช่นกันมีคำว่า ‘Fuitina’ อันหมายถึง การหนีตามกันโดยสมัครใจของคู่หนุ่มสาวเพื่อใช้ชีวิตเป็นสามีภรรยากัน แต่กลับถูกเหมารวมถึงการลักพาตัวเจ้าสาว ซึ่งไม่ได้สมัครใจด้วย 

แต่กรณีของ Franca Viola หญิงสาวผู้เด็ดเดี่ยวกลับไม่เป็นเช่นนั้น เนื่องจากปฏิเสธ ‘การแต่งงานเพื่อเป็นการรักษาเกียรติหรือหน้าตา (Matrimonio riparatore)’ กับผู้ที่ฉุดและข่มขืนเธอ หลังจากถูกลักพาตัว และถูกจับตัวไว้นานกว่าสัปดาห์ แล้วยังถูกข่มขืนอีกหลายครั้ง นับว่าเธอผู้หญิงอิตาลีคนแรกที่ถูกฉุดและข่มขืนแล้วปฏิเสธการแต่งงานกับผู้ที่ฉุดและข่มขืนเธอ ทั้งเธอยังประสบความสำเร็จในการดำเนินคดีกับผู้ที่ฉุดและข่มขืนเธออีกด้วย 

ผลการพิจารณาคดีนี้ส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางในอิตาลี เนื่องจากพฤติกรรมของ Viola ถูกมองว่าขัดแย้งกับธรรมเนียมปฏิบัติทางสังคมแบบดั้งเดิมในอิตาลีตอนใต้  โดยที่หญิงสาวจะต้องเสียเกียรติหรือหน้าตา หากเธอไม่ยอมแต่งงานกับชายที่เธอสูญเสียพรหมจรรย์ให้ Franca Viola จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความก้าวหน้าทางวัฒนธรรมและการปลดปล่อยของเหล่าสตรีในอิตาลีภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง

Franca Viola เกิดเมื่อวันที่ ๙ มกราคม พ.ศ. ๒๔๙๑ ในเขตชนบทของเมือง Alcamo ในซิซิลี ประเทศอิตาลี เธอเป็นลูกสาวคนโตของ Bernardo Viola ชาวนา และ Vita Ferra ในปีพ.ศ. ๒๕๐๖ เมื่ออายุได้ ๑๕ ปี เธอได้หมั้นกับ Filippo Melodia ซึ่งขณะนั้นอายุ ๒๓ ปี เป็นหลานชายของ Vincenzo Rimi มาเฟียใหญ่ 

ต่อมา Melodia ถูกจับในข้อหาลักขโมย และพ่อของ Viola ยืนยันว่า เธอได้ขอถอนหมั้นแล้ว จากนั้น Melodia ก็ย้ายไปเยอรมนี ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๐๘ Viola หมั้นกับชายหนุ่มอีกคนหนึ่ง แต่แล้ว Melodia ก็กลับมาที่เมือง Alcamo และพยายามกลับเข้าไปในชีวิตของ Viola แต่ไม่สำเร็จ โดยเขาพยายามสะกดรอยตามเธอ และคุกคามทั้งพ่อและแฟนของเธอ

สุดยอดพี่เลี้ยงเด็ก!! ‘Kiersten Miles’ พี่เลี้ยงเด็กผู้เสียสละ ตัดสินใจบริจาค ‘ตับ’ บางส่วนให้เด็กหญิงที่ดูแล

Kiersten Miles นักศึกษาวัย ๒๒ ปีจากมลรัฐ New Jersey ต้องทำงานพิเศษเพื่อหาเงินสำหรับการเรียนของเธอ เธอจึงติดต่อผ่านเพื่อนคนหนึ่งเพื่อสมัครเป็นพี่เลี้ยงของลูก ๆ สามคนของครอบครัว Rosko และเริ่มทำงานให้พวกเขาในทันที 

Kiersten ทำงานดูแลลูก ๆ สามคนของ George และ Farra Rosko ได้เพียงไม่กี่สัปดาห์ แต่ก็มีความรู้สึกผูกพันที่ลึกซึ้งเกิดขึ้นระหว่างเธอกับเด็ก ๆ ทั้งสามคนของครอบครัว Rosko อย่างรวดเร็ว 

โดยเฉพาะกับลูกสาวคนสุดท้องที่ชื่อ Talia วัย ๑๖ เดือนของครอบครัว Rosko ซึ่ง Talia ตอนอายุเพียงสองเดือนก็รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคตับที่หายาก (Biliary Atresia) และเข้าสู่ระยะสุดท้ายในปลายปี พ.ศ. ๒๕๕๘ แต่แพทย์ในเมือง Jackson มลรัฐ New Jersey บอกกับ George และ Farra พ่อแม่ของ Talia ว่าหากเธอไม่ได้รับการปลูกถ่ายตับ Talia น่าจะมีชีวิตอยู่ไม่เกินสองขวบ เมื่อ Kiersten ทราบเรื่องก็อาสาโดยไม่ได้คิดอะไรเลยแม้แต่น้อยที่จะยอมสละชิ้นส่วนตับของเธอส่วนหนึ่ง หากสามารถช่วยชีวิต Talia ได้


โรคที่ Talia เป็นคือ โรค Biliary Atresia (ท่อน้ำดีตีบตันในทารก) เป็นภาวะที่ท่อน้ำดีตีบตันอย่างถาวรทำให้น้ำดีจากตับไม่สามารถไหลสู่ลำไส้เล็ก ยังไม่ทราบสาเหตุของโรคที่แน่ชัด แต่อาจเกิดจากปัจจัยดังต่อไปนี้

1.) ความผิดปกติแต่กำเนิด
2.) การติดเชื้อไวรัสบางชนิด
3.) ความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันหรือพันธุกรรม

โดยผู้ป่วยจะมีอาการ ตัวหรือตาเหลืองในช่วงอายุ ๒-๓ สัปดาห์แรก อุจจาระมีสีเหลืองอ่อนหรือขาวซีด ปัสสาวะสีเหลืองเข้ม ท้องมานหรือท้องโตผิดปกติ และต้องรับการรักษาด้วยการผ่าตัด ซึ่งควรทำภายในอายุ ๖๐ วัน หากล่าช้าจะเกิดภาวะตับแข็ง และเสียชีวิตได้


George และ Farra พ่อแม่ของ Talia ซึ่งไม่แน่ใจในตอนแรก แต่ก็ได้อธิบายให้ Kiersten ฟังว่า เรื่องที่เธอเสนอนั้นมีความเสี่ยงที่ร้ายแรงเพียงใด การบริจาคตับบางส่วนไม่เหมือนกับการให้เลือด การผ่าตัดอาจทำให้ร่างกายของ Kiersten มีปัญหาอื่น ๆ ตามมา และเป็นความเสี่ยงที่มากมายด้วย แต่ Kiersten ตัดสินใจสมัครเป็นผู้บริจาคตับให้กับ Talia ทันที และเมื่อผลการทดสอบออกมาก็พบว่า ตับของ Kiersten เหมาะกับ Talia อย่างสมบูรณ์แบบ!

The Royal Military College, Duntroon ราชวิทยาลัยวิชาการทหาร Duntroon แห่งเครือรัฐออสเตรเลีย มหาวิทยาลัยการทหารในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ

ด้วยเดือนนี้เป็นเดือนมหามงคล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษา ๗๐ พรรษา จึงขอนำเรื่องของ ราชวิทยาลัยการทหาร Duntroon (The Royal Military College, Duntroon) อันเป็นราชวิทยาลัยทางการทหารแห่งเครือรัฐออสเตรเลีย ซึ่งล้นเกล้าฯ ในหลวงของเราทรงสำเร็จการศึกษาเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๙ ทรงได้รับถวายสัญญาบัตรจากราชวิทยาลัยการทหาร Duntroon และปริญญาอักษรศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาอักษรศาสตร์ จากมหาวิทยาลัย New South Wales มาเล่าให้ผู้อ่านได้รับทราบกันครับ

ก่อนการก่อตั้งกรุง Canberra (นครหลวงของเครือรัฐออสเตรเลีย) บริเวณที่เรียกว่า Duntroon เป็นอสังหาริมทรัพย์ของครอบครัว Campbell ก่อนที่จะถูกเลือกให้เป็นที่ตั้งของโรงเรียนฝึกนายทหาร โดยพลตรี Sir William Throsby Bridges (ซึ่งเป็นผู้บัญชาการราชวิทยาลัยการทหาร Duntroon คนแรก) ในปี พ.ศ. ๒๔๕๓ (ค.ศ. ๑๙๑๐) ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขา Mount Pleasant ใกล้กับทะเลสาบ Burley Griffin และกระทรวงกลาโหมที่ Russell Hill เทียบได้กับ ราชวิทยาลัยการทหาร Sandhurst (โรงเรียนนายร้อยทหารบกแห่งสหราชอาณาจักร) และโรงเรียนนายร้อยทหารบกสหรัฐฯ ณ West Point (United States Military Academy West Point) โดย ราชวิทยาลัยการทหาร Duntroon ตั้งอยู่ติดกับ Australian Defense Force Academy (ADFA) ซึ่งเป็นสถาบันการทหารทั้งสามเหล่าทัพของกองทัพแห่งเครือรัฐออสเตรเลีย (Australian Defense Force) ที่ให้การศึกษาฝึกฝนอบรมด้านการทหารในระดับอุดมศึกษาสำหรับนายทหารแห่งกองทัพบกออสเตรเลีย กองทัพเรือออสเตรเลีย และกองทัพอากาศออสเตรเลีย

ราชวิทยาลัยการทหาร Duntroon ทำพิธีเปิดเมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๕๔ โดยผู้สำเร็จราชการ ลอร์ด Dudley ซึ่งได้ประกาศชื่อวิทยาลัยแห่งนี้ว่า ราชวิทยาลัยการทหารแห่งออสเตรเลีย (The Royal Military College : RMC) หลักสูตรที่ RMC ได้รับการออกแบบให้เป็นหลักสูตรสี่ปี โดยมีวิชาทหารครึ่งหนึ่ง และวิชาการทั่วไปอีกครึ่งหนึ่ง เนื่องจากการขยายตัวของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง การศึกษาในยุคแรกจึงทำให้นักเรียนนายร้อยจบการศึกษาเร็วเป็นพิเศษเพื่อจะถูกส่งไปปฏิบัติการในต่างประเทศ การรับนักเรียนเข้าเรียนในสามรุ่นต่อมาก็สั้นลงเช่นกัน และนักเรียนนายร้อยในสี่รุ่นแรกส่วนใหญ่ถูกบรรจุในกองทัพจักรวรรดิออสเตรเลียน (The Australian Imperial Force (AIF)) และกองทัพบกของนิวซีแลนด์


พลตรี Sir William Throsby Bridges 
(ซึ่งเป็นผู้บัญชาการราชวิทยาลัยการทหาร Duntroon คนแรก)

ในช่วงเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง พลตรี Bridges (ผู้บัญชาการราชวิทยาลัยการทหาร Duntroon คนแรก) ได้รับคำสั่งจากกองทัพจักรวรรดิออสเตรเลียนที่ ๑ ให้ไปปฏิบัติหน้าที่ และเสียชีวิตในสมรภูมิที่แหลม Gallipoli (เมือง Gelibolu ประเทศตุรเคียในปัจจุบัน) ร่างของเขาถูกส่งกลับมายังออสเตรเลีย และถูกฝังไว้บนเนินเขา Mount Pleasant ซึ่งอยู่ในตำแหน่งที่สามารถมองเห็นราชวิทยาลัยการทหาร Duntroon ได้อย่างชัดเจน สรุปโดยรวมแล้วนายทหารออสเตรเลียจำนวน ๔๐ นายที่จบจากราชวิทยาลัยการทหาร Duntroon ยุคแรก ๆ จากทั้งหมด ๑๑๗ นายเสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง

ในปีพ.ศ. ๒๔๗๔ ราชวิทยาลัยการทหาร Duntroon ถูกย้ายไปอยู่ที่ค่าย Victoria นคร Sydney ด้วยที่ตั้งแห่งใหม่ ราชวิทยาลัยการทหาร Duntroon กลายเป็นที่รู้จักในชื่อ 'Duntroon Wing, ค่าย Victoria แต่วันที่ ๒๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ราชวิทยาลัยการทหาร Duntroon ก็ถูกย้ายกลับมาที่ Duntroon กรุง Canberra เช่นเดิม เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่สองในปี พ.ศ. ๒๔๘๓ (ค.ศ. ๑๙๓๙) หลักสูตรการศึกษาสี่ปีถูกลดลงเหลือสองปี มีการเข้าเรียนพิเศษเพิ่มเติมเป็นเวลา หก เก้า และสิบสองเดือน ภายในปี พ.ศ. ๒๔๘๖ แต่ด้วยสถานการณ์ความขัดแย้งทางการทหารที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาทำให้สามารถขยายระยะเวลาของหลักสูตรได้ และเปลี่ยนเป็นหลักสูตรสามปี ในปีพ.ศ. ๒๔๙๐ ได้มีการเปลี่ยนเป็นหลักสูตรสี่ปี (ฉบับปรับปรุง) ซึ่งรวมถึงหลักสูตรการศึกษาทางเลือกในสาขาศิลปศาสตร์หรือวิทยาศาสตร์ และต่อมาในสาขาวิศวกรรมศาสตร์ หลักสูตรเหล่านี้ช่วยให้ผู้สำเร็จการศึกษาได้รับการยกเว้นวิชาได้ถึงครึ่งจำนวนสำหรับหลักสูตรพลเรือนที่ดำเนินการในมหาวิทยาลัย โดยหลักสูตรการทหารมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างข้อกำหนดระยะสั้นของนายทหารชั้นต้น และรากฐานที่กว้างขึ้น ซึ่งจำเป็นสำหรับตำแหน่งอาวุโสในกองทัพบกต่อไป
 

RMC-D ร่วมกับมหาวิทยาลัย New South Wales เปิดสอนหลักสูตรปริญญาตรี โดยเริ่มในปีการศึกษา พ.ศ. ๒๕๑๑ ในอันที่จะสำเร็จการศึกษาจาก RMC-D นักเรียนนายร้อยจะต้องผ่านการศึกษาทั้งด้าน การทหาร และวิชาการ ตลอดจนความเป็นผู้นำ ในปี พ.ศ. ๒๕๑๗ ได้มีการตัดสินใจว่า การฝึกนายทหารในเบื้องต้นทั้งหมดจะรวมศูนย์ไว้ที่ RMC-D ดังนั้นในปี พ.ศ. ๒๕๒๙ RMC-D เข้ารับหน้าที่ในการฝึกอบรมจากสถาบันฝึกอบรมนายทหารเต็มเวลาอื่น ๆ ทั้งหมด รวมถึงโรงเรียนนายร้อยที่ Portsea (Victoria) หน่วยฝึกอบรมนายทหารหญิงที่ Georges Heights (Sydney) และหน่วยฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญที่ Canungra (Queensland) ในเวลานี้ความรับผิดชอบในการสอนระดับปริญญาได้ถูกโอนไปยัง Australian Defense Force Academy (ADFA) ซึ่งจัดตั้งขึ้นใหม่ และหลักสูตรถูกลงลดให้เหลือเพียงสิบแปดเดือนเฉพาะการศึกษาทางทหารล้วน ๆ ผู้สำเร็จการศึกษาจาก ADFA Army ได้รับสถานะขั้นสูงหกเดือน อันเนื่องจากการฝึกอบรมดำเนินการในช่วงพักการศึกษา ระเบียบปฏิบัตินี้ยังคงดำเนินต่อไปในปัจจุบัน

ในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ครบรอบ ๑๐๐ ปีของวิทยาลัย ผู้บัญชาการของ RMC ได้รับการแต่งตั้งและมอบอำนาจทางกฎหมายให้เป็นผู้บังคับการเต็มรูปแบบ โดยผู้บัญชาการกองทัพบกเพื่อรับผิดชอบบริหารและสั่งการหน่วยฝึกที่สำคัญของกองทัพบก ประกอบด้วย RMC - Duntroon (ปัจจุบันรู้จักกันในชื่อ RMC-D) ศูนย์ฝึกอบรมทหารเกณฑ์ที่ Kapooka (Wagga Wagga) และศูนย์สงครามทางบกที่ Canungra (Queensland) ดังนั้น ผู้บัญชาการ RMC-D จึงมีหน้าที่รับผิดชอบในการจัดหลักสูตร ‘เริ่มต้น’ และ ‘หลักสำคัญในอาชีพ’ ทั้งหมดสำหรับทุกระดับตั้งแต่พลทหารไปจนถึงพันตรี ภาพรวมนี้เป็นที่รู้จักในนามของ Royal Military College - Australia (RMC-A)

‘Moon Sun Myung’ ผู้ก่อตั้งลัทธิ ‘Unification Church’ ที่มาของพิธีการสมรสหมู่อันโด่งดัง

Moon Sun Myung ผู้ก่อตั้งลัทธิ Unification Church (โบสถ์แห่งความสามัคคี)

 

หลังจากอดีตนายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่น Shinzo Abe ถูกยิงเสียชีวิตก็มีการขุดคุ้ยประวัติของ Tetsuya Yamagami ผู้เป็นมือปืน และพบว่า มารดาของมือปืนเป็นสมาชิกของลัทธิ Unification Church (โบสถ์แห่งความสามัคคี) ถึงกับเคยบริจาคเงินก้อนใหญ่ให้กับลัทธิดังกล่าว และในเวลาต่อมาเธอกลับต้องล้มละลาย ซึ่งทำให้ Tetsuya Yamagami ผู้เป็นลูกชายไม่พอใจมาก และมีความเชื่อที่ว่า Shinzo Abe อดีตนายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่นมีส่วนเกี่ยวข้องกับลัทธิดังกล่าวด้วย


 

สัญลักษณ์ของลัทธิ Unification Church

โดยส่วนตัวแล้ว ผู้เขียนเชื่อว่า Shinzo Abe อดีตนายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่นไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับลัทธิ Unification Church ตามที่ถูก Tetsuya Yamagami ผู้เป็นมือปืนนำมากล่าวอ้าง เพราะลัทธินี้ก่อตั้งโดย Moon Sun Myung ชาวเกาหลี โดยปกติแล้วชาวญี่ปุ่นซึ่งมีความเป็นชาตินิยมสูงมักจะไม่ให้ความสนใจหรือให้ความสำคัญใด ๆ โดยเฉพาะกับเรื่องราวของลัทธิความเชื่อต่าง ๆ ที่เป็นของชาวต่างชาติ ซ้ำยังเป็นลัทธิความเชื่อที่มาจากเกาหลีที่ชาวญี่ปุ่นสายอนุรักษ์นิยมมักจะดูแคลน เพราะเกาหลีเคยเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่นมาก่อน 

คงไม่ขอกล่าวถึงกรณีที่เกิดขึ้นกับ Shinzo Abe อดีตนายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่นที่เป็นข่าวดังข่าวใหญ่ไปทั่วโลก แต่จะขอพูดถึงเฉพาะเรื่องราวของ Moon Sun Myung ผู้ก่อตั้งลัทธิ Unification Church โดย Moon Sun Myung เกิดเมื่อ ๖ มกราคม พ.ศ. ๒๔๖๓ ที่เมืองกวางจู ซังซารี จังหวัดเปียงยางเหนือ ประเทศเกาหลี (ปัจจุบันนี้อยู่ในเขตเกาหลีเหนือ) ในปี พ.ศ. ๒๔๙๗ เขาได้ก่อตั้งสมาคมพระวิญญาณบริสุทธิ์เพื่อการรวมกลุ่มของศาสนาคริสต์โลก (Holy Spirit Association for the Unification of World Christianity) หรือที่รู้จักกันดีในชื่อว่า Unification Church (โบสถ์แห่งความสามัคคี)

Moon Sun Myung เริ่มเผยแพร่หลักคำสอนของเขาในเกาหลีตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๘๙ และสองปีต่อมาเขาถูกปัพพาชนียกรรม (ประกาศขับออก) โดยคริสตจักรเพรสไบทีเรียนแห่งเกาหลี และหลังจากนั้นไม่นานเขาก็ถูกทางการเกาหลีเหนือคุมขังด้วยข้อหาฐานสอดแนมให้กับเกาหลีใต้ และได้รับโทษจำคุกห้าปีในค่ายแรงงานฮงนัม ในปีพ.ศ. ๒๔๙๓ ระหว่างสงครามเกาหลี กองทหารของสหประชาชาติได้เข้าโจมตีค่ายแรงงานฮงนัม ทำให้ Moon Sun Myung ได้รับการปล่อยตัว จึงเดินทางใต้ไปยังเมืองปูซานของเกาหลีใต้ ที่ซึ่งต่อมาเขาได้ก่อตั้งลัทธิ Unification Church (โบสถ์แห่งความสามัคคี) ขึ้น

6 ท่า ‘บริหารสมอง’ ห่างไกลอัลไซเมอร์

“สมอง” เป็นอวัยวะสำคัญของมนุษย์ ประกอบด้วยเซลล์จำนวนนับแสนล้านเซลล์ที่มีการเชื่อมโยงต่อกันด้วยความสลับซับซ้อน สมองเป็นอวัยวะที่มีความยืดหยุ่น ทำให้มนุษย์สามารถเรียนรู้และปรับตัวได้ตลอดเวลา ยิ่งเซลล์สมองได้รับการฝึกฝนก็ยิ่งทำให้มนุษย์มีความฉลาดในการแก้ปัญหามากขึ้น แต่หากสมองได้รับความเสียหายจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การพักผ่อนไม่เพียงพอ ความเครียด ได้รับสารพิษหรือมลภาวะ อาจส่งผลให้การเรียนรู้ช้าลง มีปัญหาเรื่องความจำหรือการแก้ปัญหา โดยเมื่อเกิดโรคทางสมองมักส่งผลรุนแรงต่อร่างกาย

สมองแบ่งเป็น 3 ส่วนดังนี้
สมองส่วนหน้า (Forebrain) เป็นส่วนที่มีขนาดใหญ่ที่สุด มีหน้าที่เกี่ยวกับการรับข้อมูล รวมทั้งการประมวลผลทางประสาทสัมผัส เช่น การมองเห็น, ภาษา, การสื่อสาร, ความคิด, ความจำ, การตัดสินใจ, การวางแผน, ความมีเหตุผล

สมองส่วนกลาง (Midbrain) มีหน้าที่รับส่งกระแสประสาทระหว่างสมองส่วนหน้าและสมองส่วนท้าย ทั้งยังทำหน้าที่เกี่ยวกับการรับรู้การมองเห็น, การเคลื่อนไหวของลูกตา และการได้ยิน

สมองส่วนท้าย (Hindbrain) มีหน้าที่ควบคุมกล้ามเนื้อขณะเคลื่อนไหว, ควบคุมการหายใจ, ช่วยประมวลการรับรู้และควบคุมการสั่งงานของสมอง

จะเห็นได้ว่าสมองมีความสำคัญกับระบบต่าง ๆ ในร่างกาย ดังนั้นการบริหารสมองจึงมีส่วนช่วยให้การเคลื่อนไหว ความคิด ความจำ อารมณ์และการแสดงออกต่าง ๆ เป็นปกติ

เทคนิคการบริหารสมอง 6 ท่า

ท่าที่ 1 ฝึกหายใจ
ในท่านั่งผ่อนคลาย นำมือวางไว้ที่บริเวณใต้ลิ้นปี่ หายใจเข้าทางจมูกช้า ๆ กลั้นลมหายใจสุดท้ายค้างไว้ 3 วินาที แล้วหายใจออกทางปากช้า ๆ ทำซ้ำ 3-5 ครั้ง สมองจะได้รับออกซิเจนอย่างเต็มที่ ช่วยให้การทำงานของสมองดีขึ้น

ท่าที่ 2 นวดขมับ
ใช้ปลายนิ้วนวดคลึงบริเวณขมับเบา ๆ 30 วินาที ท่านี้ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายความเครียดและกระตุ้นการทำงานของสมองซีกซ้ายและขวา

ท่าที่ 3 นวดไหปลาร้า
ใช้ปลายนิ้วนวดคลึงบริเวณไหปลาร้าเบา ๆ 30 วินาที ท่านี้ช่วยทำให้เลือดไหลเวียนไปสู่สมองดีขึ้น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top