Saturday, 18 May 2024
COLUMNIST

การประชุมจีน-สหรัฐฯ ความล้มเหลวในการเจรจา แต่สำเร็จในการแสดงจุดยืน

ผมเคยเขียนบทความเกี่ยวกับความรักชาติของคนจีนลงเพจ The States Times เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน ผ่านไปไม่ทันไรก็ได้เห็นพฤติกรรมรักชาติของชาวจีนชัด ๆ ผ่านการประชุมของคณะเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ และจีน ที่อาแลสกาในงานประชุม Alaska Summit เมื่อวันที่ 19 มี.ค.2564 

หากใครสนใจและติดตามการเมืองระหว่างสหรัฐฯ และจีน ก็คงพอจะทราบว่าการประชุมดังกล่าวมิได้เป็นไปอย่างราบรื่นนัก เช่นเดียวกับสำนักข่าวทั่วโลก ที่ต่างพาดหัวด้วยถ้อยคำประมาณว่า “เวทีเดือด” หรือ “ที่ประชุมระอุ” เป็นต้น

การประชุมครั้งนี้ นับว่าเป็นการพบหน้าเจรจากันครั้งแรก ของเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากทั้งสองชาติมหาอำนาจ นับตั้งแต่ที่ ‘โจ ไบเดน’ ชนะเลือกตั้ง และขึ้นมารับตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา โดยฝั่งจีนนำโดย ‘นายหยาง เจียฉือ’ เจ้าหน้าที่ทูตระดับสูงของจีน และ ‘นายหวัง อี้’ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของจีน ส่วนฝ่ายสหรัฐฯ นั้นนำโดย ‘นายแอนโทนี บลิงแคน’ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ และ ‘นายเจค ซัลลิแวน’ ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติ

ว่ากันว่าที่ประชุมแห่งนี้แทบมิได้พูดถึงเรื่องปัญหาทางการค้า หากแต่เป็นการใช้วาจาเชือดเฉือน เสียดสี โจมตีนโยบายของอีกฝ่ายอย่างตรงไปตรงมา เริ่มต้นด้วยการกล่าวเปิดประชุมโดย นายแอนโทนี บลิงเคน ที่พูดถึงความกังวลของสหรัฐฯ และประเทศพันธมิตรที่มีต่อการกระทำของประเทศจีน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการกักขังชาวมุสลิมอุยกูร์ในมณฑลซินเจียง การใช้กำลังปราบปรามผู้ชุมนุมในฮ่องกง รวมถึงการข่มขู่ไต้หวัน โดยทางสหรัฐฯ ยังอ้างอีกว่าการกระทำของจีนนั้นถือว่า “ผิดกฎเกณฑ์พื้นฐานของโลก” (rules-based order) อันว่าด้วยหลักสิทธิมนุษยชน

ชัดเจนมากครับ ว่าสหรัฐฯ มิได้มาเพื่อเจรจาการค้า...

หลังจากการกล่าวเปิดประชุมในระยะเวลาไม่กี่นาทีของนายบลิงเคนจบลง ด้านนายหยาง เจียฉี ไม่แสดงความอ่อนข้อแม้แต่น้อย เขาตอบโต้ด้วยสุนทรพจน์ความยาวกว่า 15 นาที โดยมีเนื้อหาโจมตีสหรัฐฯ ในหลายด้าน “เราหวังว่าสหรัฐฯ จะดำเนินการด้านสิทธิมนุษยชนได้ดีกว่านี้เช่นกัน ซึ่งความจริงแล้ว สหรัฐฯ เองก็มีปัญหามากมายเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนที่ฝังลึกมานาน ไม่ใช่แค่ในระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา ยกตัวอย่างเช่นเรื่อง Black lives matter”

นอกจากนี้ยังกล่าวหาสหรัฐฯ ว่าใช้แสนยานุภาพทางทหาร และอำนาจทางการเงินครอบงำ และกดขี่ประเทศอื่น ๆ โดยใช้ข้ออ้างเรื่องความมั่นคงแห่งมาตุภูมิมาขัดขวางและแทรกแซงการค้า รวมถึงตั้งใจยุยงให้ประเทศอื่น ๆ โจมตีจีน นอกจากนี้นายหยางยังเรียกร้องให้สหรัฐฯ เลิกยัดเยียดความเป็น “ประชาธิปไตยในแบบของสหรัฐฯ” เข้าไปยังประเทศอื่น ๆ เพราะไม่จำเป็นว่าแต่ละประเทศจะยอมรับค่านิยมของสหรัฐฯ เสมอไป 

“คุณพูดแทนสหรัฐอเมริกาได้ แต่อย่ามาอ้างว่าคุณพูดแทนคนทั้งโลก” นายหยางกล่าว และยังเตือนอีกว่า จีนจะคัดค้าน และขัดขืนอย่างหนักแน่นต่อการแทรกแซงกิจการภายในจีนโดยสหรัฐฯ

นับว่าดุเดือดมากครับ หลังจากช่วงของการกล่าวเปิดประชุมของทั้งสองฝ่ายได้จบลงแล้ว นักข่าวประจำสื่อต่าง ๆ เริ่มทยอยเดินออกจากห้องประชุม แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้ นายบลิงเคน เรียกนักข่าวให้กลับเข้ามาในห้องประชุมเพื่ออยู่ถ่าย และอยู่ฟัง “การประชุม” ต่อ ซึ่งหลังจากนั้นก็กลายเป็นการอวดฝีมือวิชาการฑูตของทั้งสองฝ่าย ในการตอบโต้ โจมตีนโยบายของอีกฝ่าย ยาวไปจนกินเวลาถึงสองชั่วโมง

โดยประเด็นที่ฝ่ายสหรัฐฯ ใช้โจมตีจีน คือเรื่องการกระทำของจีนที่ขัดกับ Rules based order หรือกฎพื้นฐานของโลก (ที่คิดขึ้นมาโดยสหรัฐฯ ใช้ในโลกฝั่งเสรีนิยม และอิงตามหลักเสรีนิยมแบบสหรัฐฯ) การที่จีนจู่โจมสหรัฐฯ ทางไซเบอร์ (cyber-attack) และการบีบบังคับทางเศรษฐกิจที่จีนกระทำต่อประเทศพันธมิตรของสหรัฐฯ (เข้าใจว่าหมายถึงออสเตรเลีย) 

ในขณะที่จีน ก็โต้กลับว่า สิ่งที่จีนกระทำต่อชาวอุยกูร์ ฮ่องกง และไต้หวันถือว่าเป็นกิจการภายในประเทศ มิใช่กงการของสหรัฐฯ และกล่าวประโยคเด็ดประจำวันออกมาว่า 

“Let me say here that in front of the Chinese side, the United States does not have the qualification to say that it wants to speak to China from a position of strength.”

เป็นการประกาศจุดยืนของจีนอย่างชัดเจนว่าในตอนนี้ สหรัฐฯ ต้องแสดงความเคารพจีน และแสดงความจริงใจในการเจรจามากกว่านี้ และจะต้องเจรจากับจีนในฐานะที่เท่าเทียม เพราะจีนเองก็ไม่คิดว่าสหรัฐฯ เป็นประเทศที่แข็งแกร่งและมีอำนาจเหมือนก่อนแล้ว ซึ่งอาจเกิดจากหลายสาเหตุที่ทำให้สหรัฐฯ อ่อนลงไปบ้างจากวิกฤติการระบาดของ COVID19 และการสูญเสียพันธมิตรในช่วง 4 ปี ที่อดีตประธานาธิบดี ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ยังดำรงตำแหน่งอยู่

การประชุมจบลงจริง ๆ ในวันต่อมา (20 มี.ค. 2564) ซึ่งโดยปกติแล้ว ธรรมเนียมการประชุมร่วมกันระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับสูงของประเทศ หลังจบการประชุมจะต้องมีภาพถ่ายการจับมือกันระหว่างทั้งสองฝ่าย มีการแถลงการณ์ร่วม และประกาศวันเวลาที่ทั้งสองฝ่ายตกลงจะประชุมร่วมกันในครั้งต่อไป แต่สำหรับการประชุม Alaska Summit ครั้งที่ผ่านมานั้น ไม่มีการปฏิบัติตามธรรมเนียมที่ผมได้กล่าวไปข้างต้นเลยครับ เจ้าหน้าที่ฝ่ายจีนเดินสะบัดก้นออกจากที่ประชุมทันทีหลังจากการประชุมได้จบลง ซึ่งทำให้บรรยากาศของการประชุมครั้งนี้ก็ดี หรือความสัมพันธ์ในภาพรวมระหว่างจีนและสหรัฐฯ ก็ดี ดูจะดุเดือดเสียยิ่งกว่าในสมัยของนายทรัมป์ หรือในสมัยใดก็ตามในประวัติศาสตร์

เมื่อการประชุมจบลงด้วยภาพความขัดแย้งแบบนี้ ย่อมเป็นที่ถูกใจสำหรับหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่กำลังถูกจีนเดินเกมรุกทางเศรษฐกิจอย่างหนักหน่วง รวมถึงสร้างรอยยิ้มให้กับประเทศที่มีความขัดแย้งกับจีนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นออสเตรเลีย อินเดีย หรือแม้กระทั่งกลุ่มประเทศใน EU ข้อนี้คงไม่สงสัยเลยครับ ว่าหากย้อนเวลากลับไปในช่วงเลือกตั้งสหรัฐฯ เมื่อปลายปีที่ผ่านมา จีนคงอยากให้ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งมากกว่า

แต่ถึงสถานการณ์จะเป็นอย่างไร จีนยังคงแสดงท่าทีตั้งมั่นในความทะเยอทยาน ที่จะเป็นมหาอำนาจเบอร์หนึ่งของโลก และไม่ยอมอ่อนข้อ หรือประณีประนอมต่อใครก็ตาม ที่เข้ามาคุกคาม และขัดขวางสิ่งที่เป็นความฝันร่วมกันของคนในชาติ

ในขณะที่นักวิเคราะห์ฝ่ายสหรัฐฯ มองว่าการหารือกันครั้งแรกระหว่างจีน และทีมบริหารของไบเดนก็ประสบความสำเร็จด้วยดี เพราะทีมของไบเดนนั้นไม่ได้ส่งสัญญาณว่าสนใจที่จะพูดถึงการค้าระหว่างกันตั้งแต่แรกแล้ว

การตัดสินแพ้ชนะในเกมนี้ ก็คงอยู่ที่ความสำเร็จในการรวมพันธมิตรของฝ่ายสหรัฐฯ ในการกดดันจีน ซึ่งกระบวนการดังกล่าว ได้เริ่มต้นขึ้นแล้วหลังจากที่สหรัฐฯ แคนนาดา อังกฤษ เยอรมัน ออสเตรเลีย และประเทศอื่น ๆ ใน EU เห็นพ้องให้ประกาศมาตรการคว่ำบาตร ต่อเจ้าหน้าที่ระดับสูง 4 คนของรัฐบาลจีน เพื่อเป็นการลงโทษต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชน ในเขตปกครองตนเองซินเจียง ซึ่งจะส่งผลต่อเศรษฐกิจโดยรวมของจีนมากน้อยแค่ไหน ทางการจีนจะมีนโยบายตอบโต้อย่างไรก็คงต้องรอดูกันไปครับ

แต่ที่แน่ ๆ ผมว่าการทะเลาะกันระหว่างสองชาติมหาอำนาจในครั้งนี้ ไม่ใช่สัญญาณที่ดีสำหรับตลาดและนักลงทุนทั่วโลก เรียกได้ว่าถ้าตีกันแรงก็จะต้องเจ็บหนักกันทั้งสองฝ่าย โดยในไม่ช้า ประเทศอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องรวมถึงไทยเราเอง ก็จะต้องถูกกดดันให้เลือกฝ่าย

ถึงวันนั้นแล้วเราควรเลือกอยู่ข้างใครกัน ? หรือไม่เลือกเลยสักฝ่าย ? หรือเลือกอยู่กับทั้งสองฝ่ายไปเสียนั่นแหละ ? เดี๋ยวคงได้รู้กันครับ


สนับสนุนโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

Land Bridge กับการขนส่งสินค้าในปัจจุบัน

ครั้งที่แล้วได้เล่าเกี่ยวกับที่มาและเส้นทางแลนด์บริดจ์ในอดีตกันไปแล้ว ในสัปดาห์นี้ก็ขอมาเล่าเกี่ยวกับเส้นทางที่ได้รับความนิยมในการขนส่งสินค้ากันบ้าง

เริ่มต้นจากเส้นทางยอดนิยม คือ แลนด์บริดจ์ในทวีปอเมริกาเหนือ ที่เชื่อมระหว่างมหาสมุทรแปซิฟิคกับแอตแลนติก โดยขนสินค้าขึ้นฝั่งที่ท่าเรือทางตะวันตก เช่น ท่าเรือลองบีช หรือท่าเรือลอสแองเจอริสในประเทศสหรัฐอเมริกา แล้วขนสินค้าผ่านเส้นทางรถไฟมายังฝั่งตะวันออกของประเทศ ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในสามเส้นทางหลักในการส่งสินค้าจากเอเชียมายังทางตะวันออกของอเมริกาที่มีประชากรอยู่หนาแน่นและเป็นตลาดนำเข้าสินค้าที่สำคัญ ส่วนคู่แข่งอีกสองเส้นทางคือ การแล่นเรือผ่านทางคลองสุเอซและคลองปานามา ในปัจจุบันมีส่วนแบ่งการตลาดการขนส่งสินค้าใกล้เคียงกันทั้งสามเส้นทาง แต่โครงการการขยายคลองปานามาที่แล้วเสร็จในปี 2016 ก็คาดว่าจะส่งผลต่อปริมาณสินค้าที่ลดลงในเส้นทางนี้

นอกจากนั้น มีการคาดการณ์ว่าหากส่งสินค้าจากโตเกียว ไปยังท่าเรือรอตเทอร์ดาม ในประเทศเนเธอร์แลนด์ด้วยเส้นทางนี้ จะใช้เวลาประมาณ 3 สัปดาห์ ถึงแม้ใช้ระยะเวลาน้อยกว่าเส้นทางที่ผ่านคลองสุเอซที่ใช้เวลาถึง 5 - 6 สัปดาห์ แต่ก็ไม่ได้รับความนิยมเนื่องจากต้นทุนการขนส่งสินค้าสูงกว่าการขนส่งทางเรือผ่านทางคลองสุเอซ

เส้นทางต่อมา คือ  Trans-Asian Railway หรือ Eurasian Landbridge ที่เป็นหนึ่งในโครงการ OBOR (On belt one road) หรือในปัจจุบันเรียกกันว่า BRI (Belt and Road Initiative) เป็นเส้นทางรถไฟเชื่อมระหว่างเอเชียตะวันออกกับยุโรป โดยใช้เส้นทางรถไฟสายทรานไซบีเรียเป็นเส้นทางหลักในการเชื่อมกับยุโรป แล้วแยกได้ 3 เส้นทาง คือ ผ่านทางประเทศมองโกเลียในเส้นทางทรานส์มองโกเลียก่อนเข้าประเทศจีน หรือมาทางเมืองวลาดิวาสต็อกของรัสเซีย แล้วเข้าทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีน และเส้นทางสุดท้ายคือมาทางประเทศคาซัคสถานก่อนเข้าทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน ซึ่งเป็นเส้นทางที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปัจจุบัน


ถึงแม้จะมีอุปสรรคหลายอย่างในเส้นทางนี้ เช่น เส้นทางนี้ผ่านถึง 7 ประเทศจึงต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกประเทศ รวมถึงกฎระเบียบศุลากากรของแต่ละประเทศที่ต้องอำนวยความสะดวกให้แก่สินค้าผ่านแดน และยังมีประเด็นเรื่องขนาดรางที่มีความแตกต่างกันในประเทศอดีตสหภาพโซเวียตที่ใช้รางกว้าง 1.52 เมตร แต่ในจีนและยุโรปใช้รางกว้าง 1.435 เมตร  ปัญหาเหล่านั้น ทางรัฐบาลจีนก็สามารถแก้ไขปัญหาได้ และมีรถไฟขบวนแรกที่เปิดให้บริการจากปักกิ่งไปยังฮัมบูร์ก ประเทศเยอรมันในปี 2018

เส้นทางนี้ ช่วยย่นระยะเวลาการเดินทางจากปกติที่ส่งสินค้าทางเรือ จากท่าเรือเซี่ยงไฮ้ไปท่าเรือรอตเทอร์ดาม ใช้เวลา 27-37 วัน เป็น 18 วัน แต่ก็ต้องแลกมาด้วยค่าขนส่งที่สูงขึ้นเป็นเท่าตัว และคาดการณ์ว่ารัฐบาลจีนให้เงินอุดหนุนโครงการนี้ไม่น้อยกว่า 50% เพื่อดึงดูดใจให้ผู้ส่งสินค้าเลือกใช้เส้นทางนี้ และใช้โครงการนี้เพื่อดำเนินนโยบายทางการต่างประเทศ เพราะมีการให้กู้ยืมเงินแก่รัฐบาลประเทศต่าง ๆ เพื่อใช้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำหรับโครงการนี้

จากที่เล่ามาจะเห็นได้ว่าถึงแม้เส้นทางบางเส้น จะใช้ระยะเวลาการขนส่งที่น้อยกว่า แต่ผู้ส่งสินค้ากลับไม่เลือกใช้เพราะมองเรื่องต้นทุนเป็นสิ่งสำคัญ และบางโครงการรัฐบาลจำเป็นต้องใช้เงินมาอุดหนุนเพื่อส่งเสริมให้เกิดการขนส่งในเส้นทางนั้น ดังนั้นโครงการลงทุนต่าง ๆ ทางด้านโครงสร้างพื้นฐานการขนส่ง จึงจำเป็นต้องพิจารณาให้รอบคอบเพราะผลลัพธ์ที่ได้จากโครงการอาจไม่เป็นไปตามผลการศึกษาที่ทำไว้

.

ข้อมูลอ้างอิง 

https://transportgeography.org/contents/applications/transcontinental-bridges

https://iit.adelaide.edu.au/ua/media/609/Discussion%20Paper%202020-04%20AESCON.pdf

https://www.forbes.com/sites/salvatorebabones/2017/12/28/the-new-eurasian-land-bridge-linking-china-and-europe-makes-no-economic-sense-so-why-build-it/?sh=39be641c5c9c


สนับสนุนโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

อุตุนิยมวิทยา ‘ศาสตร์ ’ สำคัญ...ต่อการใช้ชีวิตประจำวัน

เวลาที่ผู้เขียนสอนหนังสือในรายวิชาโลกและการเปลี่ยนแปลง มักจะถามผู้เรียนเสมอว่า พรุ่งนี้ฝนจะตกไหม หรือสัปดาห์หน้าอากาศจะร้อนหรือเย็น ซึ่งผู้เรียนต้องค้นหาคำตอบโดยใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ ทำให้ตอบคำถามได้ถูกต้องและแม่นยำ และเชื่อแน่ว่าหลาย ๆ ท่าน ก่อนออกจากบ้านเพื่อจะทำกิจกรรมต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งการจัดงานมงคลก็ตาม นอกจากจะดูฤกษ์ ดูชัยแล้ว สิ่งหนึ่งที่จะต้องคำนึงถึงด้วย นั่นก็คือสภาพดินฟ้า อากาศ ในช่วงนั้น ซึ่งลักษณะสภาพอากาศที่ดีนั้น ก็กลายมาเป็นองค์ประกอบหนึ่งของฤกษ์ ที่ดีในช่วงนั้นไปด้วย และกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิตประจำวันของคนเราไปแล้วนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน การจัดงานต่าง หรือแม้กระทั่งการเดินทางไปท่องเที่ยว ๆ ทั้งในประเทศ หรือต่างประเทศ 


โดยในปัจจุบันศาสตร์ที่มีความสำคัญ และเป็นสิ่งที่ใช้เป็นเครื่องมือในการวางแผนการทำกิจกรรมต่าง ๆ คือ อุตุนิยมวิทยา 

อุตุนิยมวิทยา คือ วิชาที่ว่าด้วยการศึกษาลักษณะบรรยากาศของโลก เช่น การเกิดฤดูการต่าง ๆ การเกิดลม เกิดฝน เกิดพายุ เป็นต้น 

และหนึ่งในความสำคัญของอุตุนิยมวิทยา คือ การพยากรณ์อากาศ โดยมีหน่วยงานที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการพยากรณ์อากาศของประเทศไทยที่เรามักได้ยินบ่อย ๆ คือ กรมอุตุนิยมวิทยา ทั้งนี้ในแต่ละวันเรามักจะได้ยินข่าวจากกรมอุตุนิยมวิทยา เกี่ยวกับลักษณะสภาพของอากาศที่จะเกิดขึ้นในอีกวันสองวันข้างหน้า หรือในอีกอาทิตย์หนึ่ง เพื่อให้เราได้มีการเตรียมรับมือกับสภาพอากาศที่กำลังจะมาถึง เช่น อาจเกิดฝนตกหนัก หรือพายุฝนฟ้าคะนอง เป็นต้น 

ในอดีตการพยากรณ์อากาศนั้นมักจะไม่ค่อยมีความแม่นยำมากเท่าไรนัก เนื่องจากเทคโนโลยียังไม่ดีเท่าที่ควร แต่ในปัจจุบันเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่ใช้เป็นเครื่องมือในการพยากรณ์อากาศ มีความก้าวหน้าเป็นอย่างมาก ทำให้การพยากรณ์อากาศมีความแม่นยำสูง และสามารถทำนายล่วงหน้าได้เป็นเวลานานขึ้น 

สำหรับวันนี้จะพูดถึงวิธีการและเครื่องมือที่ใช้ในการพยากรณ์อากาศกันครับ ก่อนอื่นเราต้องรู้จักคำว่าพยากรณ์อากาศกันก่อน 

พยากรณ์ แปลว่า การทำนายอนาคตที่กำลังจะมาถึง คล้ายกับการที่เราไปดูหมอดู เพื่อให้ทำนายสิ่งที่จะมาถึงในวันข้างหน้ากัน แต่แตกต่างกันที่การพยากรณ์อากาศ ใช้หลักการและเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ในการวิเคราะห์ โดยเครื่องมือหลัก ๆ ที่ใช้สำหรับการพยากรณ์อากาศ ที่ทำให้เกิดความแม่นยำสูงได้แก่ การใช้ดาวเทียมในการศึกษาลักษณะการเคลื่อนที่ของอากาศช่วงนั้น เช่นการเกิดลม เกิดฝน หรืออากาศร้อน หนาว เย็น ซึ่งจะมีความสัมพันธ์กับการเคลื่อนที่ของกลุ่มเมฆ ที่จะทำให้เกิดฝน หรือทิศทางการเคลื่อนที่ของลม ซึ่งจะทำให้ร้อน หนาว เย็น ไม่ว่าจะเป็นทิศทางการเคลื่อนที่ ความเร็ว 

นอกจากนั้นการวิเคราะห์ภาพถ่ายทางดาวเทียมยังสามารถบอกได้ถึงลักษณะการเคลื่อนที่ของกลุ่มเมฆในช่วงนั้น เป็นการเคลื่อนที่ของกลุ่มเมฆฝนธรรมดา หรือเป็นลักษณะของการเคลื่อนที่ของพายุได้อีกด้วย เมื่อนำมาประมวลผลโดยการใช้คอมพิวเตอร์แม่นยำสูง (Supper computer)  ทำให้รู้ระยะเวลาของการเคลื่อนที่มาถึงยังตำแหน่ง หรือภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศ 

โดยข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์ ถูกนำมาจัดทำในรูปแบบของแผนที่อากาศ ในแผนที่อากาศ ประกอบไปด้วยลักษณะของหย่อมความดกอากาศต่ำ หรืออากาศร้อน (Low presser ) แทนด้วยสัญลักษณ์ตัว L และหย่อมความกดอากาศสูงหรืออากาศเย็น (High presser) แทนด้วยสัญลักษณ์ตัว H และเมื่อเกิดพายุ ในแผนที่อากาศก็จะแสดงเป็นสัญลักษณ์ให้เห็นระดับความรุนแรง และทิศทางการเคลื่อนที่ของพายุ

นอกจากการใช้ดาวเทียมแล้ว ยังมีการใช้เรดาร์ตรวจอากาศ ที่สามารถตรวจจับกลุ่มของฝน และทิศทางการเคลื่อนที่และความเร็วของกลุ่มฝน ทำให้สามารถทำนายระยะเวลาที่จะเกิดลมและฝนในพื้นที่อื่น ๆ ได้ และมีการรวบรวมปริมาณน้ำฝนในแต่ละพื้นที่ เมื่อวางแผนการใช้น้ำหรือการทำเกษตรกรรมอีกด้วย โดยสถานีวัดปริมาณน้ำฝนจะถูกกระจายไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ ในระดับตำบล และมีการายงานผลเขาสู่ส่วนกลาง เพื่อรวบรวมเป็นปริมาณน้ำฝนที่ตกในแต่ละวัน 


นอกจากเป็นเครื่องมือสำหรับวางแผนการใช้ชีวิตประจำวันแล้ว อุตุนิยมวิทยา ยังเป็นเครื่องมือที่มีความสำคัญในการเตือนภัยที่จะเกิดจากลักษณะดินฟ้าอากาศ อีกด้วย เช่นการเกิดพายุ การเกิดฝนตกหนัก แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด หรือแม้กระทั่งการเกิดสภาวะแห้งแล้ง และต้องยอมรับว่าการมีเครื่องมือในการเตือนภัยของอุตุนิยมวิทยา มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งที่จะสามารถลดความสูญเสีย หรือความเสียหายอันเนื่องมากจากภัยทางธรรมชาติ ซึ่งเมื่อเกิดขึ้นแล้วมูลค่าของความเสียหายมักจะสูง อย่างเช่นการเกิดพายุฤดูร้อนในเขตภาคอีสาน และภาคเหนือของประเทศไทย เมื่อสามสี่วันที่ผ่านมา กรมอุตุนิยมวิทยาได้มีการเตือนให้ประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณพื้นที่ดังกล่าว เตรียมมือในการรับพายุที่จะมาถึง ซึ่งก็เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ ทำให้ความเสียหายที่เกิดจากพายุลดลงพอสมควรเนื่องจากมีการเตรียมรับมือไว้ 


จากที่กล่าวมาข้างต้น อุตุนิยมวิทยา โดยเฉพาะการพยากรณ์ลักษณะสภาพดินฟ้าอากาศที่จะเกิดขึ้น จึงมีความสำคัญและถูกซึมซับเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิตในยุคปัจจุบันของมนุษย์ทุกสาขาอาชีพไปแล้ว นั่นเอง


สนับสนุนโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

เสียง (เพรียก) แห่งสายน้ำปัตตานี... ตอนที่ 1

วิธีเดินทางไปปักษ์ใต้บ้านเราอันสุดแสนคลาสสิก คือการโดยสารไปกับขบวนรถไฟอ้อยอิ่งแห่งรฟท. ขนาดระบุว่าเป็น “ด่วนพิเศษ” แต่ก็ไม่น่าจะต่างจากวิถีสโลว์ไลฟ์สักเท่าไหร่ นี่ไม่ใช่การค่อนแคะเหน็บแนม ต้องบอกว่าเป็นคำชมมากกว่า คำที่ทุกวันนี้โลกหมุนติ้วเหวี่ยงด้วยอัตราเร่งสูง การนำพาร่างเข้าสู่โหมด “ถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง” จึงนับเป็นวิธีปรับสมดุลที่ดีมากทีเดียว 

จุดหมายการเดินทางรอบนี้ คือพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ ต้องการไปสัมผัสยะลาและปัตตานี ด้วยรูปแบบการเดินทางที่แตกต่าง วางแผนไว้ว่าจะพายเรือล่องจากต้นน้ำถึงปลายแม่น้ำปัตตานีนั่นเอง แน่นอน มีเสียงทัดทานในหัวตัวเองดังก้องไม่ให้ไป เพราะมักมีข่าวออกมาเนือง ๆ ว่ามีการดักยิง มีระเบิด มีการก่อการร้ายต่าง ๆ แต่ผมตัดสินใจว่าจะยังคงไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ส่วนหนึ่งเพราะโหยหาพื้นที่แปลกแยก กระหายการออกนอกพื้นที่สบาย ไอ้เจ้าคอมฟอร์ทโซนมันสามารถฆ่าคนบางประเภทได้ มนุษย์บางกลุ่มอาจจะเรียกโลกกว้างและการเร่ร่อนว่าเป็น “บ้าน” มากกว่าการจับเจ่าอยู่กับที่เดิม ๆ พบปะผู้คนเดิม ๆ ทำกิจกรรมชีวิตเดิม ๆ

และไม่แน่ ว่าสื่อต่าง ๆ อาจประโคมข่าวเพียงเพื่อเรียกเรตติ้งก็เป็นได้ การเขียนเสือให้วัวกลัวสื่อมวลชนถนัดนักล่ะ !

ปลายทางสถานียะลา ลงจากรถไฟพร้อมสัมภาระพะรุงพะรัง ไม่เฉพาะเสื้อผ้า เต็นท์ เครื่องนอน และข้าวของเครื่องใช้สำหรับรอนแรมเท่านั้น อุปกรณ์น้ำหนักมากสุด คือเรือคายักสูบลมร่วม 15 กิโลกรัมนั่นเอง มีเพื่อนคนยะลามารับ รู้จักกันผ่านโลกโซเชียลในฐานะพวกบ้าเดินทางด้วยกัน เขาเป็นชายร่างใหญ่เคราครึ้ม ชื่อเสียงเรียงนามคือ ‘ฮาบิ๊บ’ เรียกอย่างเป็นกันเองว่า ‘บังบิ๊บ’ รอบนี้เขาจะร่วมเดินทางไปด้วย มีเรือกันคนละลำ และจะไปเริ่มกันที่ต้นน้ำปัตตานี ซึ่งอยู่แถวเมืองเบตงใกล้ชายแดนประเทศมาเลเซีย พวกเรามีเวลาซักซ้อมเตรียมความพร้อมการเดินทางกันจริง ๆ เพียงวันเดียวเพราะวันรุ่งขึ้นก็จะไปยังจุดเริ่มต้นแล้ว

นอกจากจะเป็นการพายเรือผจญภัยแล้ว ยังมีสิ่งที่เพื่อนกลุ่มหนึ่งซึ่งประกอบด้วยนักวิชาการและคนท้องถิ่น พวกเขาวานให้ช่วยเก็บข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับแม่น้ำสายนี้ เช่น ความลึกของน้ำ สภาพตลิ่งและการกัดเซาะ เป็นต้น ทั้งนี้ เพราะไม่กี่เดือนที่ผ่านมาเกิดน้ำท่วมใหญ่ สาเหตุหลักมาจากการปล่อยน้ำจากเขื่อนบางลางซึ่งกั้นแม่น้ำปัตตานี สร้างผลกระทบและความเสียหายในวงกว้าง ต่อทั้งชุมชนและพื้นที่เพาะปลูก

สาย ๆ วันรุ่งขึ้นแท็กซี่ยี่ห้อเบนซ์รุ่นโบราณ ที่โทรเรียกให้มารับจอดเทียบหน้าบ้านบังบิ๊บ สัมภาระต่าง ๆ ขนขึ้นท้ายรถ เรียบร้อยแล้วก็ออกเดินทางกัน อากาศค่อนข้างอบอ้าว ลมอุ่นโกรกผ่านเข้ามาพอจะช่วยได้บ้าง มีด่านตรวจเป็นระยะ ๆ ตลอดเส้นทาง บางด่านมีแผ่นป้ายใหญ่พิมพ์ภาพใบหน้าและชื่อของผู้ชายหลายคน ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นคนที่หน่วยงานภาครัฐ โดยเฉพาะตำรวจและทหารกำลังติดตามหาตัวอยู่ สองข้างทางผ่านหมู่บ้านร้านรวง และเรือกสวนชาวบ้าน รถราแล่นบนท้องถนนขวักไขว่กันเป็นปกติ เมื่อผ่านเข้าสู่พื้นที่ภูเขาถนนก็เลียบไปตามเขื่อนบางลาง อากาศเย็นกว่าอย่างเห็นได้ชัด โซนนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อหลายแห่ง ที่โด่งดังระดับประเทศ เป็นจุดเช็คอินห้ามพลาดเลยก็คือ สกายวอล์ค และทะเลหมอกอัยเยอร์เวงนั่นเอง ความสูงของยอดเขาต่าง ๆ ในละแวกนี้ไม่น่าจะเกินพันเมตร แต่จุดเด่นคือมีทะเลหมอกให้ชมทั้งปี แตกต่างจากทิวเทือกเขาในภาคอื่น ๆ ของไทย

บ่ายต้น ๆ ถึงเบตง เมืองชายแดนเล็ก ๆ ซึ่งไม่คึกคักขวักไขว่าเอาเสียเลย อาจจะเพราะด่านยังไม่เปิด การข้ามไปมาระหว่างประเทศยังทำไม่ได้ การท่องเที่ยวค้าขายจึงชะงัก คงต้องรอจนกว่าสถานการณ์โควิดจะผ่านพ้นไปเสียก่อน อะไรต่อมิอะไรจึงจะฟื้นกลับคืนมาอีกครั้ง โรคนี้ “หยุดโลก” ได้ชะงัดจริง ๆ

ความตั้งใจแรกคือจะเริ่มพายเรือกันที่เบตง แต่ต้องเปลี่ยนใจเมื่อเห็นสภาพคลองสาขาของแม่น้ำปัตตานี ณ จุดนั้น เพราะนอกจากตื้นเขินเกินกว่าจะล่องเรือได้แล้ว สีและกลิ่นของน้ำก็ช่างไม่พึงประสงค์เอาเสียเลย น้ำทิ้งจากอาคารบ้านเรือนปล่อยลงมาตามท่อ จึงตัดสินใจไปเริ่มกันที่อีกคลองหนึ่งซึ่งน้ำใสกว่า ริมคลองนั้นพวกเราจัดการสูบลมเรือ นำสัมภาระยังชีพคายัก เหมือนเป็นเรื่องบังเอิญที่เจอคุณตาคนหนึ่งกำลังอาบน้ำซักผ้าอยู่ พูดคุยกันจึงรู้ว่าแกชื่ออิสเฮาะ บอกว่าตั้งแต่อยู่ที่นั่นมายังไม่เคยเจอใครมาพายเรือล่องแม่น้ำสักครั้ง สร้างความฉงนประหลาดใจ เมื่อพวกเราบอกว่าจะพายเรือไปถึงเมืองปัตตานี ซึ่งอยู่ห่างออกไปราวร้อยกิโลเมตรเศษ แกจึงสวดขอพรจากพระเป็นเจ้า อวยชัยให้การเดินทางราบรื่นปลอดภัย... ขอบคุณครับคุณตาอิสเฮาะ


สนับสนุนโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

Soft Power ไทย ... อะไรดี ???

ผู้เขียนได้มีโอกาสร่วมวงสนทนาเกี่ยวกับเรื่อง “Soft Power ไทยในอุตสาหกรรมสื่อ” โดยมุมมองของนิสิต เอกการสื่อสารเพื่อการท่องเที่ยว วิทยาลัยนวัตกรรมสื่อสารสังคม มศว ที่จัดงานเสวนาครั้งนี้ขึ้นเมื่อช่วงต้นเดือนมีนาคม 2564 ที่ผ่านมา โดยหากจะพูดถึงที่มาของคำว่า Soft Power จากแนวคิดของ Joseph Nye ต้นตำรับแนวคิดเรื่อง Soft Power คำที่เราใช้ทับศัพท์กันจนติดปาก และเหมือนจะเข้าใจกลาย ๆ กันไปแล้วว่าหมายถึงอะไร เมื่อแปลเป็นภาษาไทยแล้วแอบจั๊กจี้หูอยู่เหมือนกัน กับความหมายว่า “อำนาจละมุน” หรือ “อำนาจอ่อน” โดยใช้หลักการโน้มน้าวใจเพื่อสร้างอิทธิพลในการควบคุมผู้อื่นด้วยความเต็มใจ ไม่ใช่การบังคับ ซึ่งถ้าจะพูดถึงอำนาจอ่อน

ตัวอย่างที่เกิดขึ้นเองกับผู้เขียนในช่วงที่ต้องกักตัวอยู่บ้านเมื่อปีที่แล้ว คือ มีโอกาสได้ดูซีรีส์ของเกาหลีเรื่อง Itaewon class จบในแต่ละตอน อยากจะลุกไปหาโซจูมาดื่มพร้อมกับสวมวิญญาณเป็นเถ้าแก่พัคแซรอย ลุกขึ้นไปทำเมนูซุปกิมจิเต้าหู้อ่อน และเชื่อว่าถ้าไม่ติดสถานการณ์โควิด เกาหลีน่าจะลุกเป็นไฟเพราะคนไทยน่าจะไปเดินกันอยู่ในย่าน Itaewon ที่เกาหลีใต้เพราะซีรีส์เรื่องนี้ รวมถึงผู้เขียนด้วย นี่น่าจะเป็น Soft Power จากซีรีส์ที่ผู้เขียน โดนตกไปเต็ม ๆ แบบถอนตัวไม่ขึ้นในช่วงนั้น จนต้องบอกตัวเองว่า หยุด ... เราต้องหยุดการดูซีรีส์เกาหลีไว้ก่อน ไม่อย่างนั้น ได้นอนเกือบเช้าทุกวันแน่ ๆ ซึ่งตัวอย่างของผู้เขียนที่หยิบยกมา เชื่อว่าอาจจะเกิดขึ้นกับผู้อ่านหลาย ๆ คน เมื่อได้ดูละคร ซีรีส์ หรือภาพยนตร์สักเรื่องแล้วรู้สึกอิน อินจนอยากจะลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างหลังซีรีส์หรือละครจบ ... ใช่เลย เรากำลังโดนพลังของ Soft Power กันไปเต็ม ๆ

หากจะพูดถึงอุตสาหกรรมบันเทิงที่ประสบความสำเร็จด้วยการผลักดัน Soft Power ตัวอย่างที่เรายกมาพูดอย่างเห็นได้ชัดและจับต้องได้อย่างต่อเนื่องมาหลายปี ก็ต้องยกให้ Soft Power จากแดนกิมจิ เพราะนอกจากซีรีส์ที่โด่งดัง สร้างรายได้ และต่อยอดเศรษฐกิจให้กับประเทศเกาหลีใต้ รวมถึงกระแสดนตรี K-pop ที่มีวงบอยแบนด์ เกิร์ลกรุ๊ป อย่าง BTS และ BLACKPINK ที่โด่งดังและสร้างอิทธิพลให้แฟนเพลงได้ทั่วโลก จนเกิดเป็นกรณีศึกษามากมายถึงความสำเร็จของทั้ง 2 วง

หากกลับมามองถึง Soft Power ผลงานในเชิงวัฒนธรรม และอุตสาหกรรมบันเทิงของไทยเรา มีความน่าสนใจอยู่หลาย ๆ ประเด็น เพราะจากการจัดอันดับของนิตยสาร CEOWORLD นิตยสารด้านธุรกิจของอเมริกา ที่จัดให้ไทยอยู่ในอันดับ 5 ด้านมรดกวัฒนธรรมประจำปี 2021 จาก 165 ประเทศทั่วโลก วิเคราะห์และเปรียบเทียบข้อมูล 9 ด้าน ได้แก่ สถาปัตยกรรม มรดกงานศิลป์ แฟชั่น อาหาร ดนตรี วรรณกรรม ประวัติศาสตร์ สถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม และการเข้าถึงทางวัฒนธรรม ซึ่งทั้งหมด คือจุดเด่นของประเทศไทยเราที่สามารถขายได้ และเราก็พยายามมาตลอดในการผลักดันให้วัฒนธรรมไทยถูกขับเคลื่อนไปสู่อุตสาหกรรมโลก แต่ดูเหมือนว่าจะยังไปในมิติของผลงานที่เกิดจากภาคเอกชนเป็นผู้ผลิต

สิ่งหนึ่งในวงสนทนาที่ได้พูดคุยกันกับแขกรับเชิญในวันนั้น จากการถอดบทเรียนตัวอย่างผลงานที่ประสบความสำเร็จในประเทศไทยที่สามารถส่งออกอุตสาหกรรมต่างประเทศไทยได้ เช่น ภาพยนตร์เรื่องฉลาดเกมส์โกง ที่ประสบความสำเร็จจากรายได้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ นำมาทำเป็นซีรีส์ทางโทรทัศน์ในประเทศไทย และการถูกนำไปรีเมคฉบับฮอลลีวูด ซึ่งคุณภานุ อารี ผอ.ฝ่ายจัดซื้อภาพยนตร์ต่างประเทศของสหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล ได้วิเคราะห์ไว้ว่า ฉลาดเกมส์โกง มีเนื้อเรื่องการมองข้ามความเป็นไทยในแบบเดิม ๆ ที่เราเคยเห็น ไปสื่อสารกับโลก คุยในเรื่องที่โลกกำลังคุยกัน เช่น การพูดถึงเรื่องความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ปัญหาทางโครงสร้างสังคม ความแตกต่างทางฐานะของครอบครัว ซึ่งเป็นการก้าวข้ามในการนำเสนอเรื่องที่หลาย ๆ คนไม่กล้านำเสนอ พูดในภาษาที่โลกกำลังสนใจอยู่ และมีหนังไทย ละครไทยที่พยายามกำลังนำเสนอทางเลือกแบบนี้ให้พวกเราได้ดูกัน

ทางด้านครูทอม จักรกฤต โยมพยอม ได้เพิ่มเติมในประเด็นนี้ว่า เราต้องก้าวข้ามความคิด ความรู้สึกความเป็นไทยในแบบเดิม ๆ ต้องมองว่าเราคือพลเมืองโลก และเรากำลังคุยกับโลก โดยหาทางแทรกความเป็นไทยใส่เข้าไป หรือกรณีอย่างวรรณคดีไทย มันคือสื่อบันเทิง เราควรมองให้เป็นความบันเทิง อย่าพยายามทำให้เป็นของสูงที่เปลี่ยนแปลงหรือแตะต้องไม่ได้ ส่วนค่านิยม แง่คิด ความเป็นไทยที่สอดแทรกอยู่ในเรื่องก็ค่อย ๆ ให้เด็ก เยาวชน หรือคนที่อ่านได้ซึมซับเข้าไปเองทีละนิดในแบบที่เราไม่ได้ยัดเยียด โดยเก่ง ธชย ได้นำเสนออีกคำที่น่าสนใจในการทำงานเพลงที่ต้องการสอดแทรกความเป็นไทยลงไปว่ามันคือการ “ประนีประนอม” โดยการผสมผสานกับเทคโนโลยีและแฟชั่นในแบบปัจจุบันที่เสิร์ฟให้กับคนดูคนฟังและค่อย ๆ ซึมซับไปเอง จากที่คุยกันในวงเสวนา ทางผู้ผลิตเอง ก็ไม่ได้ทิ้งความเป็นไทยไปในการนำเสนอ เพียงแต่มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการนำเสนอให้เข้ากับยุคปัจจุบัน มองว่าโลกตอนนี้พัฒนาไปทางด้านใด ประชากรโลก พลเมืองโลกกำลังสนใจในประเด็นไหน และผลิตงานที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค นี่คือสิ่งที่ผู้ผลิตสามารถทำได้อย่างเต็มที่ในฝั่งที่ตนมีส่วนร่วม

แต่การได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ น่าจะเป็นอีกหนึ่งแรงผลักดันสำคัญ ที่จะทำให้ Soft Power ได้รับความสำเร็จและก้าวไปสู่ระดับโลกได้ สิ่งที่สำคัญในยุคปัจจุบันที่ผู้ผลิตงานต้องการคือ ฐานข้อมูลของคนดูหรือข้อมูลของผู้รับสาร เพื่อเอามาวิเคราะห์แนวโน้มในอนาคตความสนใจของผู้รับสาร เพราะโลกเคลื่อนไหวเร็วขึ้นมาก การผลิตงานในวันนี้คือการเดาทางคนดูในอีก 3 - 4 เดือน หรือ 1 ปีข้างหน้าที่งานจะออกมา ดังนั้นการทำงานในทุกวันนี้คือการเดาทางของผู้รับสารควบคู่กันไป และสิ่งสำคัญคือการสร้างระบบการพัฒนา Soft Power ไทยที่ชัดเจนในระดับมหภาคจากทางภาครัฐ และการเปิดใจรับผลงานในหลากหลายมิติมากกว่าแค่ยัดเยียดความเป็นไทยในแบบเดิม ๆ ใส่ลงไป เพราะมาถึง ณ วันนี้ เราเห็นแล้วว่าผลงานของคนไทยไม่น้อย ที่ถูกส่งออกไปต่างประเทศและประสบความสำเร็จ แต่ถ้าจะให้ Soft Power ของไทยแข็งแกร่ง ส่งออกตลาดโลกได้อย่างต่อเนื่อง อาจจะต้องอาศัยปัจจัยและแรงสนับสนุนจากภาครัฐช่วยขับเคลื่อนไปอีกทาง  เพื่อให้อำนาจละมุน เป็นหมัดฮุกที่แข็งแกร่งในการสร้างชาติและต่อยอดไปถึงการหาประโยชน์ในเชิงพานิชย์ได้อีกด้วย


ข้อมูลอ้างอิง

https://news.ch7.com/detail/468351

https://www.facebook.com/deetalk.official/videos/1138094553307685

ทำไมประเทศเศรษฐีน้ำมันในตะวันออกกลาง ยังต้องการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์? พลังงานทางเลือกที่แฝงด้วยหายนะ

เมื่อไม่นานมานี้ ตุรกีเพิ่งเดินหน้าเปิดตัวเตาปฏิกรณ์เครื่องที่ 3 ของโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ Akkuyu ที่ตั้งอยู่ในเมืองเมอร์ซิน เมืองท่าชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่สำคัญของตุรกี ทางฝั่งทวีปเอเชีย

โรงงานไฟฟ้า Akkuyu ของตุรกีนี้เป็นโปรเจกต์ที่รัสเซียออกทุนสร้างให้ ผ่านบริษัทบริหารพลังงานนิวเคลียร์ของรัฐที่เรียกว่า Rosatom ซึ่งวลาดิมีร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซียเป็นผู้ก่อตั้ง และจะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ Akkuyu ได้เริ่มก่อสร้างตั้งแต่เดือนเมษายน ปี 2018 และคาดว่าน่าจะเริ่มผลิตไฟฟ้าได้ตั้งแต่ปี 2023 เป็นต้นไป

และโรงงานไฟฟ้า Akkuyu มีศักยภาพพอที่จะผลิตกระแสไฟฟ้าได้ถึง 3.5 หมื่นล้านกิโลวัตต์ต่อปี คิดเป็นสัดส่วน 10% ของพลังงานทั้งหมดที่ใช้ในประเทศ ส่วนงบประมาณการลงทุนในการก่อสร้าง ใช้เม็ดเงินสูงถึง 20,000 ล้านดอลลาร์

เท่ากับว่า ตุรกีและรัสเซียเป็นหุ้นส่วนพลังงานที่จะยกระดับความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศให้แนบแน่นยิ่งกว่าเดิม แม้นักวิเคราะห์หลายคนจะมองว่า จะทำให้ตุรกีต้องพึ่งพารัสเซียด้านพลังงานมากเกินไป ถึงขนาดออกทุนสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ด้วยงบมหาศาลให้ นี่ยังไม่นับรวมท่อก๊าซธรรมชาติ และ น้ำมันที่ส่งตรงมาจากรัสเซียเช่นเดียวกัน

แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ทางตุรกีก็มีแผนจะสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งที่สอง ที่เมืองซีนอปที่ตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งทะเลดำ ซึ่งจะเป็นการร่วมทุนกันระหว่างตุรกีและญี่ปุ่น แต่โปรเจกต์โรงไฟฟ้าที่ซีนอป มาหยุดชะงักตั้งแต่บริษัทมิตซูบิชิ ที่จะเข้ามารับสัมปทานก่อสร้างถอนตัวไป ตอนนี้จึงยังไม่มีอะไรคืบหน้า

จึงมีการตั้งคำถามมากมายจากผู้เชี่ยวชาญด้านธรณีวิทยา และ นักสิ่งแวดล้อมว่า การที่รัฐบาลตุรกีจะเดินหน้าสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ถึง 2 แห่ง ได้ศึกษาความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติอย่างแผ่นดินไหวบ้างหรือไม่ เนื่องจากตุรกีก็ตั้งอยู่บนแนวแผ่นดินไหวรุนแรงบ่อยครั้ง

และอุบัติเหตุที่เคยเกิดขึ้นที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบิล และฟุกุชิมะ ยังไม่น่ากลัวเพียงพอที่จะทำให้ตุรกีต้องคิดให้หนักๆ กับการครอบครองพลังงานนิวเคลียร์หรอกหรือ?

แต่ดูเหมือนว่าไม่ใช่แค่ประเทศ 2 ทวีปอย่างตุรกีที่ตัดสินใจยอมรับความเสี่ยงในโครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ แต่ประเทศมหาอำนาจในย่านตะวันออกกลางก็เริ่มขยับขยายเข้าสู่เส้นทางพลังงานนิวเคลียร์เช่นกัน

ประเทศในดินแดนตะวันออกกลางที่เริ่มต้นโครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เป็นประเทศแรกในย่านนี้ ที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คืออิหร่าน ที่เริ่มต้นงานก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่เมืองบูเชห์ตั้งแต่ปี 1975 โดยให้สัมปทานบริษัทก่อสร้างจากเยอรมันมาสร้างให้

แต่พอหลังจากที่เกิดเหตุการณ์ปฏิวัติอิหร่าน ในปี 1979 ตามมาด้วยสงครามอิรัก-อิหร่าน ในปี 1980  โครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์บูเชห์ก็หยุดชะงักไปนานมากกว่า 10 ปี แต่ในที่สุดก็กลับมาเดินหน้าต่อ โดยผู้รับสัมปทานรายใหม่ที่ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน  รัสเซียเจ้าเก่าของเรานี่เอง จนเสร็จสมบูรณ์ในปี 2011 ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานของรัสเซีย พร้อมกับผู้บริหารสูงสุดของ Rosatom ยังไปร่วมพิธีเปิดโรงงานถึงอิหร่าน

จึงนับได้ว่า โรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์บูเชห์ของอิหร่าน เป็นโครงการพลังงานนิวเคลียร์เพื่อพลเรือนแห่งแรกในย่านตะวันออกกลาง ที่ชาติตะวันตกบางชาติอาจมองว่าเป็นโครงการบังหน้าที่มีแผนการถ่ายโอนเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ โดยมีรัสเซียอยู่เบื้องหลังก็ตาม

แต่เมื่อมีประเทศแรกนำร่องแล้ว ก็ย่อมมีประเทศที่สองตามมา แถมเป็นหนึ่งในประเทศผู้ทรงอิทธิพลในย่านตะวันออกกลางเสียด้วย ไม่ต้องเดาไปไกล สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือ UAE นั่นเอง

โครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์บารากาห์ของ UAE เริ่มมีการเจรจากันตั้งแต่ปี 2009 ร่วมกับรัฐบาลของเกาหลีใต้ ด้วยงบประมาณก่อสร้างเหลือเฟือถึง 2.44 หมื่นล้านดอลลาร์ และเพิ่งเปิดใช้งานเมื่อปี 2020 ที่ผ่านมา

ซึ่งกำลังการผลิตเต็มสูบของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์บารากาห์นี้ จะสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ถึง 25% ของปริมาณการใช้งานเพื่อประชากร 10 ล้านคนในประเทศ และเป็นเป้าหมายสำคัญของการใช้พลังงานทางเลือกที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนน้อย เพื่อแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อนของ UAE และใช้เทคโนโลยีใหม่ที่จะยกระดับโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์เพื่อสันติไปสู่มาตรฐานใหม่

ถึงจะรับประกันสวยหรูอย่างไรก็ตาม ก็หนีไม่พ้นข้อพิพาทกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างการ์ต้า ที่มองว่าการสร้างโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์บารากาห์ ที่อยู่ไม่ห่างจากพรมแดนระหว่าง 2 ประเทศ ถือเป็นภัยคุกคามทั้งด้านสันติภาพและสิ่งแวดล้อมในดินแดนย่านนี้ทั้งหมด

และดูเหมือนว่าความวิตกกังวล ก็เริ่มไต่ระดับกลายเป็นความตึงเครียด เมื่อซาอุดิอาระเบียก็เริ่มสนใจโครงการพัฒนาพลังงานนิวเคลียร์กับเขาด้วยเหมือนกัน โดยเริ่มต้นจากการก่อสร้างเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ ที่ศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี คิง อับดุลลาซิส ที่ชานกรุงริยาด เพื่อทดลองผลิตกระแสไฟฟ้าใช้ และคาดว่าน่าจะมีการขยายเพิ่ม เนื่องจากมีข่าวการพูดคุยข้อตกลงร่วมมือกับบริษัทเอกชนของเกาหลีใต้ จีน และ สหรัฐอเมริกา

แต่ประเด็นที่หลายคนยังสงสัยคือ การเดินหน้าพัฒนาพลังงานนิวเคลียร์ในหลายประเทศย่านตะวันออกกลาง ว่าเป็นพลังงานทางเลือกที่สะอาด ปลอดภัย และเพื่อสันติจริงหรือไม่

เพราะหากมาดูงบลงทุนสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ 1 แห่ง และงบบริหารจัดการทั้งหมดเพื่อผลิตพลังงาน กับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากพิษของกากสารกัมมันตรี และความยุ่งยากในการกำจัดน้ำปนเปื้อนจากโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ ที่อาจส่งผลกระทบต่อทั้งคน สัตว์ และสิ่งแวดล้อมได้ยาวนานหลายสิบปี ก็อาจจะไม่คุ้ม

หากไม่นับทรัพยากรน้ำมันของประเทศในย่านนี้ที่มีเป็นจำนวนมากเป็นอันดับต้นๆของโลก การใช้พลังงานจากธรรมชาติทางเลือกอื่นๆ อย่างพลังงานจาก ลม หรือแสงแดด ในดินแดนแห่งนี้ก็มีอย่างเหลือเฟือสุดๆ ที่สามารถนำมาใช้ผลิตพลังงานสะอาด ปลอดภัย ไร้กังวลกว่ามาก แถมใช้งบประมาณน้อยกว่าอย่างเทียบไม่ได้ จึงเกิดข้อสงสัยว่าจำเป็นด้วยหรือที่ต้องพึ่งพาพลังงานนิวเคลียร์

ถึงเรื่องงบประมาณอาจไม่ใช่เรื่องใหญ่ของประเทศเศรษฐีน้ำมัน สิ่งที่น่าเป็นห่วงกว่านั้นคือมาตรการความปลอดภัย และความโปร่งใส

อย่างที่ทราบกันดี การตั้งเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์เพื่อผลิตพลังงานสักแห่งปัจจัยเรื่องความปลอดภัยต้องมาเป็นอันดับแรก เพราะหากเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดฝันในเขตโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ สิ่งที่จะตามมาคงหนีไม่พ้น "ความหายนะ"

แต่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในย่านนี้บางแห่ง ก็ยังตั้งอยู่ในเขตแนวแผ่นดินไหวที่เสี่ยงมาก อย่างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ Akkuyu ในตุรกี หรือ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์บูเชห์ ในอิหร่าน

การเสี่ยงจากภัยธรรมชาติก็เรื่องหนึ่ง แต่ภัยที่เกิดจากปัญหาความมั่นคงก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งภูมิภาคนี้ก็มีความอ่อนไหวด้านการเมืองสูง รายล้อมไปด้วยพื้นที่สีแดงที่ยังคุกรุ่นด้วยไฟสงคราม ที่ยังมีการลอบโจมตีทางทหารซึ่งๆหน้า และการลอบโจมตี โดย กลุ่มก่อการร้าย

ซึ่งก็เคยมีข่าวการเล็งเป้าโจมตีโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ของ UAE โดยกลุ่มกบฏฮูติในเยเมน หรือการลอบโจมตีศูนย์วิจัยนิวเคลียร์ในอิหร่านที่เมือง Natanz โดยกลุ่มก่อการร้ายในประเทศ การบุกโจมตีทางอากาศของอิสราเอลในดินแดนซีเรียโดยอ้างว่ามีโรงงานพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ลับของรัฐบาลบาซาร์ อัล-อัสซาดซ่อนอยู่

จึงเห็นได้ว่าบริเวณพื้นที่ตั้งเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ของแต่ละประเทศในย่านตะวันออกกลางกลายเป็นเป้าหมายของการโจมตีจากฝ่ายตรงข้าม ที่เล็งผลให้เกิดความเสียหายได้เป็นวงกว้างหากทำสำเร็จ ซึ่งมันไม่ใช่จุดประสงค์ของการพัฒนาพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติเลยแม้แต่น้อย

แล้วทำไมประเทศมหาอำนาจในตะวันออกกลางยังคงเดินหน้าโครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทั้งๆที่รู้ว่ามีความเสียงไม่ต่างจากการกอดระเบิดไว้ข้างที่นอน

และหากพิจารณาโมเดลของอิหร่าน ที่เริ่มต้นจากโครงการก่อสร้างโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ ก่อนยกระดับสู่งานวิจัยพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ จนกลายเป็นประเด็นที่โดนสหรัฐอเมริกาคว่ำบาตรจนถึงวันนี้  จึงมองได้ว่า การพัฒนาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ เป็นบันไดขั้นแรกที่พร้อมจะพัฒนาต่อยอดเป็นอาวุธร้ายแรงได้ทันที เมื่อถึงเวลาจำเป็น

เนื่องจากการพัฒนาพลังงานนิวเคลียร์เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า หรือเพื่อสร้างอาวุธนิวเคลียร์ ใช้พื้นฐานเดียวกันคือการเสริมสมรรถนะแร่ยูเรเนียมในเตาปฏิกรณ์ให้ได้ระดับที่ต้องการ หากใช้เป็นพลังงานผลิตกระแสไฟฟ้า ก็เสริมสมรรถนะยูเรเนียมให้ได้ 3-5% แต่ถ้าต้องการไปให้ถึงการสร้างอาวุธนิวเคลียร์ ต้องเสริมสมรรถนะให้ได้สูงเกิน 90% ขึ้นไป

ดังนั้นการยอมทุ่มงบประมาณก้อนโตในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ของดินแดนเศรษฐีน้ำมันตะวันออกกลาง จึงถูกมองว่ามีนัยยะซ่อนเร้นภายใต้ป้ายพลังงานเพื่อสันติ ที่แฝงไปด้วยสัญลักษณ์ด้านความมั่นคง การประกาศแสนยานุภาพ การสร้างพันธมิตรของประเทศมหาอำนาจ ในทางตรงข้ามก็เป็นเครื่องบ่งชี้ถึงความไม่ไว้ใจกัน และพร้อมจะเปิดเป็นประเด็นสงครามเมื่อใดก็ได้

ดังนั้น การกระโดดเข้าสู่กระแสการลดภาวะโลกร้อนของโลกตะวันออกกลางด้วยการพัฒนาโครงการไฟฟ้านิวเคลียร์จึงกลายเป็นสิ่งที่ทั่วโลกต่างเฝ้ามองห่างๆ อย่างห่วงๆว่าจะสร้างบรรยากาศการใช้พลังงานสะอาด เพื่อสันติอย่างที่ตั้งใจไว้แต่แรกได้นานแค่ไหน


อ้างอิง 

https://en.m.wikipedia.org/wiki/Energy_in_Turkey

https://en.m.wikipedia.org/wiki/Nuclear_energy_in_Saudi_Arabia

https://m.dw.com/en/uae-launches-arab-worlds-first-nuclear-power-plant/a-54402851

https://www.csmonitor.com/World/Middle-East/2020/0903/Why-US-wants-Saudis-to-follow-UAE-s-path-to-nuclear-energy

https://www.dailysabah.com/mideast/2017/12/03/yemens-houthis-claim-targeting-nuclear-reactor-in-abu-dhabi-with-missile-attack-uae-denies

https://www.bbc.com/news/world-middle-east-53305940

https://www.npr.org/2019/05/06/719590408/as-saudi-arabia-builds-a-nuclear-reactor-some-worry-about-its-motives

เผยความต้องการที่แท้จริงของฝ่ายการเมือง ด้วยการแก้รัฐธรรมนูญรายมาตรา

ประเด็นเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญซึ่งกำลังดำเนินเรื่องอยู่ในสภาผู้แทนราษฎรขณะนี้ ผู้คนมีความเห็นที่แตกต่างกันไป ว่าควรแก้ไขเป็นรายมาตรา หรือ การรื้อทิ้งทำใหม่ทั้งฉบับ

ล่าสุดศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแล้วว่า "การแก้ไขนั้นทำได้" หากแต่เมื่อรัฐธรรมนูญมาจากเสียงประชามติของประชาชนทั้งประเทศที่ร่วมกันลงคะแนนเสียงรับ-ไม่รับ เมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2559

ดังนั้นการแก้ไขก็ควรต้องกลับไปถามประชาชนก่อน

เพราะหากดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญแบบเลือก สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) 200 คนเพื่อมาร่างรัฐธรรมนูญใหม่นั้น คาดว่าต้องใช้เวลา 15 เดือนและใช้งบประมาณถึง 11,000-15,000 ล้านบาท แบ่งเป็น

- ค่าทำประชามติแก้ - ไม่แก้ 3,000 - 4,000 ล้านบาท

- [หากแก้ไข] ค่าเลือกตั้ง ส.ส.ร. 3,000 - 4,000 ล้านบาท

- เงินเดือน ส.ส.ร. 200 คน ซึ่งอ้างอิงจากฐานเงินเดือน ส.ส.และ ส.ว. ตกคนละแสนกว่าบาท/เดือน และเงินเพิ่มอีกคนละ 9 แสนถึง 1 ล้านบาท

- ค่าเบี้ยประชุม ส.ส.ร. รายบุคคล ในทุกครั้งที่มีการประชุมกรรมาธิการ

- ค่าจัดทำประชามติใหม่เพื่อรับ-ไม่รับ รธน.ใหม่ อีก 3,000 - 4,000 ล้านบาท

-------------------

หากแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ

-------------------

- ข้อดี : มีส่วนร่วมจากหลายภาคส่วน ทำให้ข้อครหาหรือข้ออ้างว่า รธน.ไม่เป็นประชาธิปไตย” นั้นหมดไป (หรืออย่างน้อยก็ไม่มีประสิทธิภาพเหมือนเดิม)

- ข้อเสีย : ใช้งบประมาณเยอะ และไม่ได้เป็นเรื่องเร่งด่วนในยุคการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด-19 รวมถึงในความเป็นจริง น้อยคนมากที่จะนั่งอ่าน รธน.ใหม่ทั้งฉบับ โดยเฉพาะข้อที่ไม่ได้เกี่ยวกับปากท้องหรือคุณภาพชีวิตของประชาชน ประชาชนก็มักจะไม่สนใจ ซึ่งเป็นสาเหตุให้ฝ่ายการเมืองแอบยัดใส่ความต้องการของตน(ซึ่งไม่ได้มีประโยชน์ต่อประชาชน)ไว้ได้

-------------------

หากแก้ รธน.เป็นรายมาตราในรัฐสภาฯ

-------------------

- ข้อดี : ประหยัดงบประมาณ ได้นำมาตราที่แต่ละฝ่ายคิดว่าเป็นปัญหาขึ้นมาหารือกัน สื่อมวลชนรายงานเจาะได้เป็นรายมาตรา และประชาชนได้เห็น "ความต้องการที่แท้จริงของฝ่ายการเมือง" อย่างชัดเจน ว่ามาตราที่ต้องการแก้ไขนั้น เกี่ยวกับปากท้องประชาชน การรักษาอำนาจของตน การเข้าสู่อำนาจของพรรคการเมือง หรือการมุ่งเป้าไปที่สถาบันพระมหากษัตริย์ กันแน่?

- ข้อเสีย : แม้จะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ตามกระบวนการในสภาผู้แทนฯ แต่ฝ่ายค้านและม็อบนอกสภาฯ ยังก็คงนำเรื่อง รธน.ไม่เป็นประชาธิปไตยมาใช้เป็นประเด็นเพื่อเครื่องไหวทางการเมืองต่อไป

-------------------

สิ่งที่สังคมไทยควรตั้งคำถามก่อนตัดสินใจเรื่อง รธน. 

-------------------

1.) ปัญหาเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดิน และ ความวุ่นวายทางการเมืองตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ ปัญหามาจากรัฐธรรมนูญ หรือมาจากการบริหารงานที่ขาดประสิทธิภาพและไม่โปร่งใส ?

2.) กฎหมายที่มีอยู่ เพียงพอในการจะทำให้การบริหารราชการแผ่นดินมีประสิทธิภาพและโปร่งใสหรือไม่ ?

3.) หากกฎหมายมีประสิทธิภาพพอสมควร เหตุใดการบริหารงานราชการแผ่นดินหลายอย่างจึงมีปัญหา และไม่มีประสิทธิภาพดังกฎหมายที่เขียนไว้ ?

4.) หากเป็นเพราะการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่เข้มแข็ง การตรวจสอบและการมีส่วนร่วมจากภาคประชาชนที่ไม่มีประสิทธิภาพ การจะแก้ไขหรือ "ปฏิรูป" ระบบการเมืองและการบริหารราชการแผ่นดินให้มีประสิทธิภาพขึ้นต้องทำอย่างไร ?

คำตอบที่ได้ในคำถามทั้ง 4 ข้อนั้น ต้องเป็นคำตอบที่มาจาก "ข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ในแง่ของกระบวนการทำงาน" ไม่ใช่เป็นโวหารหลักการลอยๆ อย่างที่ฝ่ายการเมืองใช้โจมตีกันไปมาตลอดหลายปีนี้

*** ในคอลัมน์ตอนต่อไป ผมจะมาเขียนเจาะลึกลงไปถึงปัญหาที่คนไทยทุกคนต่างเคยพบเจอและอยากให้มีการแก้ไขให้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของทางเท้า สัญญาณไฟจราจร การทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐ ความซ้ำซ้อนในการขออนุญาตของหน่วยงานราชการ ปัญหาด้านการศึกษาที่ขาดประสิทธิภาพ และอื่นๆ

*** เพื่อวิเคราะห์กันให้เห็นว่าปัญหาที่แท้จริงของ การขาดประสิทธิภาพ” นั้น มันต้องแก้ไขหรือ ปฏิรูป” กันอย่างไร แต่ที่แน่ๆ ไม่ใช่ตามเกมการเมืองที่ฝ่ายการเมืองทั้งในและนอกสภาฯ ทำกันอยู่แบบทุกวันนี้แน่นอนครับ


ข่าวอ้างอิงประกอบ:

https://www.posttoday.com/politic/news/631007

https://www.thairath.co.th/news/politic/2048532

https://www.prachachat.net/politics/news-621654

ปลดล็อก!! ‘นิ้วล็อก’

ในโลกยุคดิจิทัล เพียงใช้ปลายนิ้วสัมผัสก็สามารถเนรมิตทุกสิ่งได้ตามที่ต้องการ ผลที่ตามมาคือมีผู้ประสบปัญหา ‘นิ้วล็อก’ จำนวนมากขึ้นและที่สำคัญคือช่วงอายุที่เป็นน้อยลง เนื่องจากการใช้งานของนิ้วมือที่เปลี่ยนไป จากที่เคยใช้นิ้วกดแป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์ พัฒนาเป็นการแตะเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์มือถือแทน นอกจากนี้ยังติดเล่นโทรศัพท์มือถือเป็นเวลานานอีกด้วย จึงส่งผลให้ชะลอการเจริญเติบโตทางโครงสร้างของกระดูกและกล้ามเนื้อในร่างกาย วัยรุ่นหลายคนมีอาการกระดูกสันหลังคด หลังค่อม เสียบุคลิกภาพ และเมื่อถึงวัยทำงานก็อาจเกิดออฟฟิศซินโดรม (Office syndrome)

‘นิ้วล็อก’ เป็นความผิดปกติของนิ้วมือที่ไม่สามารถ ‘งอ’ หรือ ‘เหยียด’ ได้อย่างปกติ ต้องใช้นิ้วมือด้านตรงข้ามมาแกะนิ้วที่ล็อกออกจนเกิดเสียงดัง ‘กึ้ก’ คล้ายเสียงไกปืนลั่น อาจเป็นนิ้วเดียวหรือหลายนิ้ว หากเป็นมาก นิ้วอาจค้างอยู่ในท่างอ(ท่าเหนี่ยวไกปืน) พบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย 3 - 4 เท่า และ พบในนิ้วมือข้างที่ถนัดมากกว่า

ใครที่เสี่ยงต่อการเป็น ‘นิ้วล็อก’ !?!

  • แม่บ้านที่ชอบหิ้วถุงพลาสติกหนักๆเวลาจ่ายตลาด หรือ ทำอาหาร
  • ชอบยกของหนัก เช่น หม้อแกง กะละมังใส่น้ำจนเต็ม
  • ทำอาชีพรับจ้างซักผ้า หรือ ต้องบิดผ้า โดยมักจะเป็นนิ้วล็อกที่นิ้วชี้
  • แม่ค้าขายข้าวแกงที่ต้องใช้ตะหลิวหรือทัพพีทำกับข้าวปริมาณเยอะ ๆ
  • นักเรียน นักศึกษา ต้องจับดินสอปากกาบ่อย ๆ หรือ อาชีพนักเขียน จิตรกร
  • เล่นเกม หรือ พิมพ์งานด้วยคอมพิวเตอร์
  • นักกีฬาประเภทที่ต้องออกแรงกำมือมากกว่าปกติ เช่น กอล์ฟ เทนนิส ปิงปอง หรือ แบดมินตัน
  • ทำอาชีพที่ต้องใช้มือทำงานหนัก ๆ ซ้ำ ๆ เช่น ช่างที่ต้องใช้ไขควง ใช้เครื่องเจาะถนน คนส่งน้ำ คนส่งแก๊ส คนสวนที่ต้องใช้กรรไกรตัดกิ่งไม้, ใช้จอบเสียมขุดดิน
  • ทำอาชีพขายเนื้อสัตว์ จะมีการใช้มือซ้ำๆในการสับเนื้อสัตว์
  • ทันตแพทย์
  • ช่างงานฝีมือเย็บปักถักร้อย ช่างตัดเสื้อผ้า
  • ช่างตัดผม ช่างทำผม

ความเสี่ยงต่าง ๆ ล้วนเกิดจากการใช้งานนิ้วมือซ้ำ ๆ ทำให้เอ็นในนิ้วมือเสียดสีกับอุโมงค์หุ้มเอ็นในขณะใช้งานครั้งแล้วครั้งเล่า เกิดการบาดเจ็บหรืออักเสบซ้ำ ๆ เอ็นในนิ้วมือหรืออุโมงค์หุ้มเอ็นมีการปรับตัวหนาขึ้นจนเกิดเป็นพังผืด เป็นเหตุให้เอ็นในนิ้วมือสูญเสียความยืดหยุ่น ประกอบกับเมื่อช่องอุโมงค์หุ้มเอ็นหนาตัวแคบเข้า ส่งผลให้เอ็นในนิ้วมือลอดผ่านอุโมงค์ได้ยากเรียกว่า “นิ้วล็อก”

อาการของ ‘นิ้วล็อก’ 4 ระยะ

ระยะแรก มีการปวดบริเวณโคนนิ้วมือ เมื่อกดแล้วเจ็บปวดมากขึ้น แต่ยังไม่มีอาการติดสะดุด ส่วนใหญ่ปวดมากหลังตื่นนอนตอนเช้าหรืออากาศเย็น

ระยะที่ 2 เริ่มมีอาการสะดุดของนิ้วเวลางอหรือเหยียดนิ้วมือ เวลากำมือหรือแบมือจะรู้สึกตึงๆ เหยียดนิ้วได้ไม่คล่อง อาจได้ยินเสียงดัง ‘กึ้ก’ คล้ายเสียงไกปืนลั่น เกิดจากเอ็นที่เคลื่อนผ่านอุโมงค์หุ้มเอ็น โดยมีการปวดรุนแรงมากขึ้นเมื่อทำงานหนัก

ระยะที่ 3 เกิดอาการ “นิ้วล็อก” พร้อมกับการเจ็บปวด บวม ชา ไม่สามารถเหยียดนิ้วมือออกเองได้ ต้องเอามืออีกข้างมาช่วยเหยียด นิ้วมืออาจค้างอยู่ในท่างอ(ท่าเหนี่ยวไกปืน) หรืออาจติดล็อกในท่าเหยียดนิ้วมือจนไม่สามารถงอนิ้วลงได้เอง

ระยะที่ 4 มีการอักเสบบวมและเจ็บปวดมาก นิ้วมือบวมและติดอยู่ในท่างอไม่สามารถเหยียดออกได้ ถ้าใช้มืออีกข้างช่วยเหยียดจะปวดมาก สร้างความเจ็บปวดและความยากลำบากในการใช้งานมือ

การรักษา “นิ้วล็อก”

ในระยะแรกที่เริ่มปวด ควรพักการใช้งานมือจนอาการปวดทุเลาลง อาจใช้เวลาหลายวัน ในช่วงนี้อาจประคบด้วยความเย็น 15 นาทีใน 1 - 2 วันแรก หลังจากนั้นแช่น้ำอุ่น 15 นาทีในวันถัดมา ทำวันละ 3 - 4 ครั้ง อาจร่วมกับการกินยาต้านการอักเสบหรือวิตามินบีด้วย

ระยะที่ 2 ถ้ามีอาการปวดมากจนรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันสามารถกินยาระงับปวดได้ ร่วมกับการทำกายภาพบำบัดเพื่อลดการปวดและภาวะตึงของเอ็นนิ้วมือ

ระยะที่ 3 แพทย์อาจพิจารณาฉีดยาสเตียรอยด์ที่อุโมงค์หุ้มเอ็น ซึ่งเป็นการรักษาแบบชั่วคราว ช่วยลดการอักเสบได้ดี อาการจะดีขึ้นใน 2 - 3 วันหลังจากฉีดยา แต่ไม่ควรฉีดมากกว่า 3 ครั้งต่อปี

ระยะที่ 4 การผ่าตัดเพื่อเปิดอุโมงค์หุ้มเอ็นให้กว้างขึ้นให้เอ็นนิ้วมือเคลื่อนผ่านได้สะดวก

อย่างไรก็ตาม ‘นิ้วล็อก’ อาจเกิดซ้ำได้อีก โดยการดูแลเพื่อป้องกันหรือชะลอการเกิด ‘นิ้วล็อก’ มีดังนี้

1.) พักการใช้งานมือ เมื่อต้องใช้มือทำงานหนักเป็นเวลานาน

2.) หมั่นเคลื่อนไหวข้อมือและข้อนิ้วมือทุกข้อย่างสม่ำเสมอ เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและป้องกันไม่ให้เกิดการคั่งค้างของของเสียบริเวณข้อต่อ

3.) ออกกำลังกายยืดเหยียดกล้ามเนื้อแขน, ข้อมือและนิ้วมือ ช่วยให้กล้ามเนื้อและเอ็นต่าง ๆ มีความยืดหยุ่นและผ่อนคลายดังนี้

ยกแขนระดับไหล่ ใช้มือข้างหนึ่งดันให้ข้อมืออีกข้างหนึ่งกระดกขึ้น - ลง

ปลายนิ้วเหยียดตรงค้างไว้ 10 วินาที ทำ 10 ครั้งต่อชุด ทำ 3 ชุดต่อวัน

  

ฝึกกำ - แบมือ เพื่อเพิ่มการเคลื่อนไหวของข้อนิ้วมือและเพิ่มกำลังของกล้ามเนื้อภายในมือ

หรืออาจบีบลูกบอลในฝ่ามือก็ได้

สามารถเพิ่มกำลังกล้ามเนื้องอ-เหยียดนิ้วมือโดยการใช้หนังยางเป็นแรงต้าน

เหยียดนิ้วมืออ้าออกพร้อมออกแรงต้านกับยางยืดค้างไว้ 10 วินาที ทำ 10 ครั้งต่อชุด ทำ 3 ชุดต่อวัน

4.) นวดและดูแลมือให้สะอาดอยู่เสมอ เมื่อพบอาการติดขัดหรือเคลื่อนไหวลำบากของนิ้วมือ โดยเฉพาะช่วงหลังตื่นนอน สามารถใช้นิ้วมืออีกข้างนวดและช่วยยืดเหยียดนิ้ว

วางนิ้วโป้งขวาไว้ที่โคนนิ้วโป้งซ้าย จากนั้นเคลื่อนนิ้วโป้งขวากดนวดจากโคนนิ้วจนสุดข้อมือ

ทำเช่นนี้ทีละนิ้วจนครบทุกนิ้ว สลับมืออีกข้างในลักษณะเดียวกัน

ใช้นิ้วโป้งขวานวดคลึงกล้ามเนื้อฝ่ามือซ้ายในลักษณะวงกลมเล็ก ๆ ซ้อนกัน

เริ่มจากทางด้านนิ้วก้อยไปหานิ้วโป้ง

ใช้นิ้วโป้งและนิ้วชี้ประกบเข้ากับนิ้วที่ต้องการนวด ออกแรงนวดจากปลายนิ้วไปยังโคนนิ้ว ทั้งด้านหน้า ด้านหลังและด้านข้างของทุกนิ้ว

ใช้นิ้วโป้งและนิ้วชี้ประกบเข้ากับด้านข้างของนิ้วที่ต้องการนวด

ออกแรงดึงจากโคนนิ้วไปยังปลายนิ้ว

ทำเช่นนี้ทีละนิ้วจนครบทุกนิ้ว สลับมืออีกข้างในลักษณะเดียวกัน

5.) เมื่อต้องทำงานลักษณะกำมือหรือจับสิ่งของแน่นๆ เช่น จับตะหลิว หิ้วของ จับปากกา ควรดัดแปลงอุปกรณ์ที่ใช้ให้มีขนาดใหญ่ขึ้นและเหมาะสม เพื่อช่วยกระจายน้ำหนัก หรือ หาอุปกรณ์ที่ช่วยผ่อนแรง เช่น ใช้เสียมด้ามใหญ่ทำให้ไม่ต้องกำมือแน่นเกินไป หรือ ใช้ผ้าจับช่วยหมุนเปิดขวด เป็นต้น

6.) ระมัดระวังการใช้งานมือและไม่ใช้มือทำงานผิดประเภท เช่น ขุดดิน ปอกเปลือกมะพร้าว เป็นต้น และถ้ามีการบาดเจ็บให้รีบรักษาทันที


เอกสารอ้างอิง

รศ.นวลอนงค์ ชัยปิยะพร. (2556). นิ้วล็อก. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน.

นพ.วิชัย วิจิตรพรกุล. (2548). นิ้วล็อก. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ดอกหญ้ากรุ๊ป.

กนกอร บุญพิทักษ์. (2555). นิ้วล็อกกับโรคของกระดูกและเอ็น. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ:  สำนักพิมพ์ feel good.

ฤา…‘พม่า’ จะประวัติศาสตร์ ซ้ำรอย!

วันที่ผมเขียนบทความนี้ ผมได้เห็นประกาศของคณะกรรมการผู้แทนสมัชชาแห่งสหภาพเมียนมา ได้ออกประกาศว่า ประชาชนมีสิทธิ์ในการปกป้องตนเองจากเหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นจากการปราบปรามของคณะรัฐประหาร ซึ่งในความคิดของงผมมองว่า ‘นี่มันไม่ใช่แล้ว’ เพราะการประกาศแบบนี้เสมือนการสั่งให้ประชาชนไปตาย

ผมไม่เห็นประโยชน์อันใดจากคนที่ตายไปแล้ว ยกเว้นคนที่ต้องการหาประโยชน์จากจำนวนศพที่มากขึ้น ผมถามเพื่อนพม่าของผมว่า คนพม่าจะได้ประชาธิปไตยได้อย่างไร ถ้าไม่มีชีวิตเข้าคูหาไปเลือกตั้ง เพราะโลกมันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว เมียนมาไม่ใช่ประเทศพม่าในอดีต

เมื่อพูดถึงหัวใจที่ไม่ยอมแพ้ถามว่าดีไหม ผมบอกได้เลยว่าการไม่ยอมแพ้นั้นเป็นสิ่งที่ดีและอาจจะเป็นปัจจัยที่ทำให้อยุธยาต้องเสียกรุงถึงสองครั้งก็เป็นได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปการที่สู้อย่างไม่ยอมแพ้อาจจะไม่ใช่ทางออกที่ดีนัก หากย้อนไปถึงสมัยราชวงศ์คองบองครั้งเมื่อสงครามพม่า - อังกฤษครั้งที่หนึ่ง การที่พม่ายกทัพไปปราบกบฏยะไข่ หากหากพม่าไม่ได้ยกทัพเข้าไปถึงอัสสัมหรือจิตตะกอง นั่นก็ไม่สามารถทำให้อังกฤษอ้างเหตุผลในการรบกับพม่า และหากในช่วงเวลารบนั้น นายพลมหาพันธุละ เลือกที่จะยอมจำนนเมื่อรู้ว่าตนเพลี่ยงพล้ำ ท่านก็อาจจะไม่จำเป็นต้องเสียชีวิตในสนามรบ และย่างกุ้ง, พะโค จนไปถึงเมืองแปร ก็อาจจะไม่ต้องตกไปเป็นของอังกฤษทั้งหมดก็เป็นได้

เช่นเดียวกันกับในช่วงสงครามพม่า-อังกฤษครั้งที่ 3 หากฝั่งพม่าเลือกดำเนินนโยบายอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัยกับทางบริษัท บอมเบย์ เบอร์มาร์ เทรดดิ้ง คอมปะนี แม้จะเสียบ้าง แต่หัวใจยังอยู่ นั่นก็อาจจะทำให้แผนการเข้ายึดพระราชวังมัณฑะเลย์ไม่เกิดขึ้นก็เป็นได้

กรณียอมหักไม่ยอมงอของพม่า จะเรียกได้ว่าเป็นนิสัยหรือสิ่งที่เป็นอัตลักษณ์ของคนพม่าที่ภาคภูมิใจในศักดิ์ศรีแต่ในขณะเดียวกันหากเราต้องสู้กับศัตรูที่มีพลังทำลายล้างเหนือเรามาก การยอมหักไม่ยอมงอ มันคือกำแพงที่สูงจนนำพาความล่มสลายมายังชีวิตผู้คนและอาณาจักร หากไม่เหลือแม้กระทั่งชีวิตจะใช้วิธีใดไปทวงคืนเอกราชที่ต้องการกันเล่า

หากย้อนมองดูประเทศไทยในยุคที่ยังเป็นสยามประเทศ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น ในช่วง รศ. 112 ไทยเองก็ประสบชะตากรรมไม่ต่างกับพระเจ้าธีบอ นั่นคือการถูกรุกรานโดยศัตรูที่มีแสงยานุภาพเกินต้านทาน แต่แทนที่ท่านจะเลือกที่จะสู้จนตัวตายสิ้นเอกราช พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ท่านทรงกลับเลือกเส้นทางที่รักษาหัวใจแห่งแผ่นดินไทย โดยการเฉือนตัดแผ่นดินให้แก่เหล่าประเทศผู้ล่าอาณานิคมไป ดังปรากฏข้อความในพระราชปรารภที่ว่า “—การเสียเขตแดนแต่เพียงเล็กน้อยตามชายพระราชอาณาจักร ซึ่งเราเองก็ทำนุบำรุงรักษาให้เจริญเต็มที่ไม่ได้นั้น ก็เปรียบเหมือนกับเสียปลายนิ้วของเราไป ยังไกลอยู่รักษาหัวใจกับตัวไว้ให้ดีก็แล้วกัน—”

ในวันนี้ผมก็หวังว่าชาวพม่าที่ต้องการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในประเทศเมียนมานั้น ขอให้ใช้สติตรึกตรองให้ถี่ถ้วน ว่าเรากำลังไปสู้เพื่อผลประโยชน์ของใครหรือเปล่า..?

ทำไมต้องนำชีวิตไปทิ้งในขณะที่คนปลุกระดมไม่เคยออกมานำทัพเองปล่อยให้พวกคุณนำทัพไปตายกันเอง กลับกันหากวันนี้คนพม่าจะถอยสักหนึ่งก้าว อาจจะไม่ใช่การยอมศิโรราบให้แก่ระบบเผด็จการ แต่เป็นการเปิดทางไปสู่หนทางประชาธิปไตยตามที่คณะรัฐประหารได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะจัดการเลือกตั้งใหม่ภายใน 1 ปี

Philippa of Hainaut และ Charlotte of Mecklenburg-Strelitz สองราชินีผิวสีแห่งราชสำนักอังกฤษ

สัปดาห์ที่แล้วข่าวสงครามสื่อระหว่างสะใภ้หลวงคนดังกับราชสำนักอังกฤษถูกปั่นจนกลายเป็นข่าวใหญ่ดังสนั่น ด้วยบรรดาสื่อต่าง ๆ พากันได้ประโยชน์มากมายมหาศาลจากเรื่องในครอบครัวที่ถือได้ว่าเป็นครอบครัวหมายเลขหนึ่งแห่งสหราชอาณาจักร นั่นคือข่าวการให้สัมภาษณ์ของเจ้าชายแฮร์รี และเมแกน ดยุคและดัชเชสแห่งซัสเซกส์ กับพิธีกรหญิงชื่อดังชาวอเมริกัน โอปราห์ วินฟรีย์ และได้เผยแพร่สู่สายตาผู้คนทั่วโลกเมื่อต้นสัปดาห์ จนกลายเป็นดราม่าในประเด็นเหยียดเชื้อชาติและสีผิว อันอาจนำมาซึ่งความสั่นสะเทือนครั้งสำคัญสู่ราชสำนักอังกฤษ

แต่ราชสำนักอังกฤษไม่ได้ไร้ซึ่งประสบการณ์ ด้วยผ่านเรื่องราวต่าง ๆ มาแล้วมากมายแล้ว และตกผลึกจนแกร่งกล้าสามารถ จึงได้ส่งจดหมายสั้น ๆ ขนาด สี่ประโยค สามย่อหน้า กับหนึ่งคำขาด เพื่อสยบดราม่าจากการสัมภาษณ์สองชั่วโมงดังนี้ : 

- ย่อหน้าแรก หนึ่งประโยค : เพิ่งจะรู้จากการสัมภาษณ์ในทีวีหรือที่นสพ.ถูกเอามาประโคมข่าวเองว่า พระชายาของเจ้าชายแฮร์รี่ต้องทุกข์ระทมขนาดไหนตลอดเวลาที่ผ่านมา น่าสงสารจังเลย (แต่ก็ทำให้คนที่พอจะมีปัญญาเข้าใจว่า นี่เป็นคำถามซึ่งถามว่า แล้วทำไมตอนนั้นไม่เห็นบอกหรือพูดอย่างนี้เลย ทั้ง ๆ ที่อยู่ในราชสำนักตั้งสองสามปี)

- ย่อหน้าที่สอง สองประโยค : เรื่องที่พระองค์พูดนี่ร้ายแรงนะ แต่ทำไมพวกเราไม่รู้เรื่องเลย และจำไม่ได้ด้วยซํ้าว่า มีเรื่องที่พระองค์พูดเกิดขึ้นด้วย แต่เดี๋ยวพวกเราจะคุยกันเองในครอบครัว (อันเป็นการปฏิเสธอย่างกึ่งสุภาพกึ่งเลือดเย็นว่า เป็นเรื่องไม่จริง และคนอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับราชสำนักไม่สมควรที่จะเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย)

- ย่อหน้าสุดท้าย หนึ่งประโยค : พวกเราจะรักพระองค์ทั้งสามคนเสมอ (ซึ่งเป็นการตัดบัวแบบไม่เหลือใย กลายเป็นคำไว้อาลัยราวกับทั้งสามคนได้ตายจากไปแล้ว ซํ้ายังจงใจละเลยไม่กล่าวถึงลูกคนที่กำลังจะเกิดเลย)

- และที่สำคัญที่สุดคือ คำขาดที่ระบุว่า ENDS” ตัวพิมพ์ใหญ่ให้เห็นกันชัดๆ (ซึ่งหมายความว่า สำหรับพวกเราแล้วเรื่องนี้ถือว่าจบ และจะไม่มีการพูดถึงเรื่องนี้อีกต่อไป)

อันที่จริงแล้วตามลำดับการสืบราชสันตติวงศ์แห่งสหราชอาณาจักร (Succession to the British throne) มีพระบิดาของเจ้าชายแฮร์รี เจ้าชายชาร์ลส์ (เจ้าชายแห่งเวลส์) ทรงเป็นรัชทายาทอันดับหนึ่ง และพระเชษฐาของเจ้าชายแฮร์รี เจ้าชายวิลเลียม (ดยุกแห่งเคมบริดจ์) ทรงเป็นรัชทายาทอันดับที่สอง ส่วนเจ้าชายแฮร์รีทรงเป็นรัชทายาทอันดับที่หก ถัดจาก พระโอรส พระธิดา ของเจ้าชายวิลเลียมอีกสามพระองค์ โดย 20 ลำดับแรกในการสืบราชสันตติวงศ์แห่งสหราชอาณาจักรล้วนแล้วแต่เป็นพระราชโอรส พระราชธิดา พระราชนัดดา และพระราชปนัดดา สายตรงในสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทั้งสิ้น และหากได้ทำการศึกษาไล่เรียงประวัติศาสตร์ราชสำนักอังกฤษแล้ว จะพบว่าราชสำนักอังกฤษมีสะใภ้หลวงซึ่งมีเชื้อสายผิวสีมาแล้วถึงสองพระองค์ และทั้งสองพระองค์ต่างทรงได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชินีแห่งอังกฤษ อันได้แก่ Philippa of Hainaut และ Charlotte of Mecklenburg-Strelitz

Philippa of Hainaut (24 มิถุนายน ค.ศ. 1310 (หรือ ค.ศ. 1315) - 15 สิงหาคม ค.ศ. 1369) ทรงเป็นธิดาของ William I (Count of Hainaut) และ เจ้าหญิง Joan of Valois ผู้ทรงเป็นพระปนัดดาใน พระเจ้า Philip III แห่งฝรั่งเศส สืบเนื่องด้วยพระเจ้า Edward II แห่งอังกฤษทรงตัดสินพระทัยว่า การเป็นพันธมิตรกับ Flanders (ปัจจุบันหมายถึงพื้นที่ทางตอนเหนือของเบลเยียม ซึ่งใช้ภาษาดัตช์ ในทางประวัติศาสตร์ ครอบคลุมบางส่วนของ เบลเยียม ฝรั่งเศส และเนเธอร์แลนด์) จะเป็นประโยชน์ต่ออังกฤษ และได้ทรงส่ง Bishop Stapledon of Exeter เป็นราชทูตให้เดินทางข้ามเข้าไปในเขต Hainaut ซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกปกครองโดยชนเผ่ามัวร์ เพื่อพิจารณาว่า ธิดาของ Count of Hainaut ผู้ใดจะเหมาะสมที่สุดในการเป็นเจ้าสาวของเจ้าชาย Edward พระราชโอรส 

รายงานของ Bishop Stapledon ซึ่งถวายต่อพระเจ้า Edward II ได้อธิบายรายละเอียดธิดาคนหนึ่งของ Count of Hainaut ถึง Philippa ในวัยเด็กว่า หญิงที่ข้าพระองค์พบเห็น ไม่ใช่หญิงที่มีผมเรียบๆ ธรรมดาทั่วไป แต่เป็นสีน้ำเงิน - ดำและน้ำตาล ... ใบหน้าของพระองค์ได้สัดส่วนดี ระหว่างดวงตาและส่วนล่างแคบกว่าส่วนหน้าผากของพระองค์ ดวงตาของพระองค์มีสีน้ำตาลอมดำและลึก จมูกของพระองค์ค่อนข้างเรียบและสม่ำเสมอ ปลายจมูกค่อนข้างกว้างและแบน... รูจมูกและปากค่อนข้างกว้าง ริมฝีปากของพระองค์อวบอิ่มโดยเฉพาะริมฝีปากล่าง ... ฟันล่างของพระองค์ยื่นออกมาเล็กน้อย ฟันบนเห็นได้น้อยมาก ... รูปร่างของพระองค์ทั้งหมดดูดีมาก ๆ จนไม่มีใครสามารถเทียบได้ และไม่มีสิ่งใด ๆ ผิดปกติเท่าที่ชายคนหนึ่งจะสังเกตเห็น

“นอกจากนี้พระองค์ยังมีผิวสีน้ำตาลทั้งตัวเหมือนกับบิดาของพระองค์ โดยพระองค์จะมีอายุเก้าปีในวัน St. John ที่กำลังจะมาถึงตามที่มารดาของพระองค์กล่าว พระองค์ไม่สูงเกินไปหรือเตี้ยเกินไปสำหรับวัยเช่นนี้ พระองค์ดูวางตัวได้อย่างเหมาะสม หญิงคนนี้ได้รับการอบรมสั่งสอนเป็นอย่างดีในทุก ๆ เรื่องที่สมควร ด้วยเพราะตำแหน่งของพระองค์ และบิดา มารดา และครอบครัวได้รับการยกย่องและเป็นที่รัก ทั้งหมดเท่าที่เราสามารถสอบถามและเรียนรู้จากความจริงในทุกสิ่ง สำหรับข้าพระองค์แล้วพระองค์เป็นหญิงที่น่าพอใจมาก” ซึ่ง Philippa น่าจะมีเชื้อสายทางพันธุกรรมของผู้ปกครองในอดีต (ชนเผ่ามัวร์ : ชนมุสลิมที่อาศัยอยู่ที่คาบสมุทรไอบีเรียและแอฟริกาเหนือซึ่งเดิมเป็นชนอาหรับ หรือ เบอร์เบอร์) ซึ่งมีสีผิวที่เข้มกว่าชาวยุโรป

Philippa of Hainault ได้หมั้นกับเจ้าชาย Edward of Windsor รัชทายาทของ พระเจ้า Edward II แห่งอังกฤษ เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม ค.ศ. 1326 ซึ่งต่อมาขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้า Edward III แห่งอังกฤษ ในเดือนมกราคม ปี ค.ศ. 1327 และหนึ่งปีหลังจากการขึ้นครองราชย์ พระเจ้า Edward III กษัตริย์หนุ่มแห่งอังกฤษก็ได้ทรงอภิเษกกับ Philippa of Hainault ในมหาวิหารยอร์ก ขณะพระชนมายุสิบห้าชันษา และเจ้าสาวอายุสิบสี่ปี สองสามปีแรกหลังการอภิเษกเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก ด้วยในช่วงที่ยังทรงเยาว์วัยของพระเจ้า Edward III สมเด็จพระราชินี Isabella พระราชมารดาได้ทรงปกครองอาณาจักร และทรงปฏิเสธที่จะพระราชทานดินแดนหรือพื้นที่ใด ๆ ให้กับพระสุณิสาซึ่งทำให้ Philippa ไม่มีรายได้จนถึงเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1330 สองปีหลังจากการอภิเษก Philippa ก็ได้รับการสวมมงกุฎให้เป็นสมเด็จพระราชินีแห่งอังกฤษในมหาวิหาร Westminster ในที่สุดเมื่อ Philippa ตั้งครรภ์เจ้าชาย Edward (The Black Prince : เจ้าชายดำ) ได้ 5 เดือน จากนั้นสมเด็จพระราชินี Philippa ทรงให้ประสูติพระราชโอรส 5 พระองค์และพระราชธิดา 7 พระองค์ รวม 12 พระองค์

นอกจากทรงเป็นสมเด็จพระราชินีแห่งอังกฤษ ยังทรงงานเป็นที่ปรึกษาทางการเมืองแก่พระสวามี และเคยทรงเป็นผู้สำเร็จราชการในคราวที่พระเจ้า Edward III พระสวามีเสด็จไปทรงทำการรบในสงครามร้อยปีอีกด้วย ในช่วงปี ค.ศ. 1346 และ 1347 ในขณะที่ พระเจ้า Edward III ทรงปิดล้อมท่าเรือและเมือง Calais พระองค์ทรงตั้งใจที่จะแขวนคอนายกเทศมนตรีและกลุ่มหัวขโมยเพื่อเป็นการลงโทษที่ชาวเมืองต่อต้านกองทัพของพระองค์เป็นเวลาหลายเดือน สมเด็จพระราชินี Philippa ทรงคุกเข่าต่อหน้าพระสวามี และทรงขอร้องให้พระเจ้า Edward III ทรงไว้ชีวิตชายเหล่านั้น ด้วยคำวิงวอนของพระองค์ พระเจ้า Edward III จึงทรงยอมจำตามที่จะไม่ประหารชีวิต ทำให้มีผู้เรียก สมเด็จพระราชินี Philippa ว่า ราชินีผู้เปี่ยมด้วยความเมตตา” พระองค์ทรงตกจากหลังม้าขณะเสด็จออกล่าสัตว์กับพระสวามีในปี ค.ศ. 1358 และทำให้สะบักไหล่หัก และทรงใช้ชีวิตช่วงสองสามปีสุดท้ายด้วยความเจ็บปวด

สมเด็จพระราชินี Philippa สิ้นพระชนม์ที่พระราชวังวินด์เซอร์ซึ่งเป็นที่ประสูติของพระสวามี เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ. 1369 และพระศพถูกฝังเมื่อวันที่ 9 มกราคม ค.ศ. 1370 ในมหาวิหาร Westminster ซึ่งปัจจุบันยังคงมีหลุมฝังพระศพและพระรูปจำลองของพระองค์อยู่ และ Queen's College แห่งมหาวิทยาลัย Oxford ซึ่งก่อตั้งเมื่อ ค.ศ. 1341 โดย Robert de Eglesfield หนึ่งในอนุศาสนาจารย์ของพระองค์ได้ตั้งชื่อเพื่อถวายพระเกียรติแด่ สมเด็จพระราชินี Philippa และอยู่ภายใต้พระอุปถัมภ์ของพระองค์อีกด้วย

Charlotte of Mecklenburg-Strelitz (19 พฤษภาคม ค.ศ. 1744 - 17 พฤศจิกายน ค.ศ. 1818) ทรงเป็นสมเด็จพระราชินีซึ่งทรงมีเชื้อผิวสีอีกพระองค์หนึ่งแห่งราชสำนักอังกฤษ ทรงเป็นธิดาสุดท้องของดยุก Charles Louis Frederick of Mecklenburg ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากตระกูล Martim Afonso Chichorro และ เจ้าหญิง Elisabeth Albertine of Saxe-Hildburghausen พระนามเดิมคือ Sophia Charlotte แม้จะทรงเป็นเจ้าหญิงเยอรมัน แต่พระองค์ก็มีเชื้อชาติส่วนเสี้ยวหนึ่งเป็นแอฟริกัน ด้วยทรงมีเสด็จย่าเป็นเจ้าหญิงจากโปรตุเกส จึงทรงเป็นพระญาติห่างๆ ของพระเจ้า Alfonso III แห่งโปรตุเกส ซึ่งมีพระราชโอรสองค์หนึ่งกับ Madragana Ben Aloandro (Maior or Mór Afonso(ในภายหลัง) โดยสืบเชื้อสายจากชนเผ่ามัวร์) คือ Martim Afonso Chichorro อภิเษกสมรสกับพระชายาผิวสี และให้กำเนิดลูกหลานมากมาย

เมื่อพระเจ้า George III ขึ้นครองบัลลังก์แห่งจักรวรรดิอังกฤษ ด้วยการสวรรคตของเสด็จปู่ พระเจ้า George II ขณะทรงมีพระชนมายุ 22 ชันษา และทรงยังไม่ได้อภิเษกสมรส พระราชมารดาแม่และที่ปรึกษาต่างกระตือรือร้นที่จะให้พระองค์ทำการอภิเษกสมรส โดยเลือกเอาเจ้าหญิง Charlotte of Mecklenburg-Strelitz วัย 17 ชันษา ด้วยส่วนหนึ่งเป็นเพราะเจ้าหญิง Charlotte ทรงถูกเลี้ยงดูมาในดินแดนเยอรมันเหนือซึ่งไม่ค่อยมีนัยสำคัญทางการเมืองกับอังกฤษ ดังนั้นจึงอาจไม่มีประสบการณ์หรือความสนใจในการเมือง เพื่อให้แน่ใจว่า พระเจ้า George III จะกำกับเจ้าหญิง Charlotte ได้ จึงมีกฎ "ไม่เข้าไปยุ่ง" ซึ่งเป็นกฎที่เจ้าหญิง Charlotte ยินดีที่จะทรงปฏิบัติตาม

พระเจ้า George III ทรงประกาศต่อรัฐสภาในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1761 ว่า ทรงตั้งใจที่จะอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิง Charlotte of Mecklenburg-Strelitz หลังจากนั้นคณะผู้ดูแลคุ้มกันซึ่งนำโดยเอิร์ล Simon Harcourt เดินทางไปเยอรมนีเพื่อนำเสด็จเจ้าหญิง Charlotte มายังอังกฤษ พวกเขาไปถึง Strelitz ในวันที่ 14 สิงหาคม ค.ศ. 1761 และได้รับการต้อนรับในวันรุ่งขึ้นโดยดยุก Adolphus Frederick IV ผู้ครองราชย์ผู้เป็นพระเชษฐาของเจ้าหญิง Charlotte ซึ่งดยุก Adolphus Frederick IV ได้ลงนามในสัญญาการอภิเษกสมรสกับเอิร์ล Harcourt หลังจากครบสามวันของการเฉลิมฉลอง

ในวันที่ 17 สิงหาคม ค.ศ. 1761 เจ้าหญิง Charlotte เสด็จออกเดินทางไปอังกฤษพร้อมกับพระเชษฐาคือ ดยุก Adolphus Frederick IV และคณะผู้ดูแลคุ้มกันของอังกฤษ ในวันที่ 22 สิงหาคมพวกเขาไปถึงเมืองท่า Cuxhaven ซึ่งมีกองเรือขนาดเล็กรอที่จะส่งคณะไปยังอังกฤษ การเดินทางนั้นค่อนข้างยากลำบากมาก กองเรือเจอกับพายุกลางทะเลถึงสามครั้ง และเข้าเทียบท่าที่เมืองท่า Harwich ในวันที่ 7 กันยายน คณะเดินออกเดินทางต่อไปกรุงลอนดอน แวะพักที่เมือง Witham หนึ่งคืนที่บ้านพักของ Lord Abercorn และมาถึงพระราชวังเซนต์เจมส์ กรุงลอนดอน เวลา 15.30 น. ในวันรุ่งขึ้น โดย พระเจ้า George III และพระบรมวงศานุวงศ์รอต้อนรับที่ประตูสวน ซึ่งถือเป็นการพบกันครั้งแรกของเจ้าสาวและเจ้าบ่าว เวลา 21.00 น. ในเย็นวันเดียวกันนั้น (8 กันยายน พ.ศ. 2304) ภายในเวลาไม่ถึงหกชั่วโมงหลังจากเจ้าหญิง Charlotte เสด็จมาถึงก็ได้อภิเษกสมรสกับพระเจ้า George III พระราชพิธีจัดขึ้นที่ Chapel Royal พระราชวังเซนต์เจมส์ โดยอาร์ชบิชอปแห่งแคนเทอร์เบอรี Thomas Secker มีเพียงฝ่ายราชวงศ์ของเจ้าหญิง Charlotte ที่เดินทางมาจากเยอรมนีและแขกอีกไม่กี่คนเท่านั้นที่ร่วมเป็นสักขีพยาน และเจ้าหญิง Charlotte ทรงได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระราชินี Charlotte แห่งอังกฤษ

ในพระราชพิธีอภิเษกสมรสนั้นเจ้าหญิง Charlotte ยังตรัสภาษาอังกฤษไม่ได้เลย จึงทรงต้องเรียนภาษาอังกฤษอย่างเร่งด่วน ตามเงื่อนไขในสัญญาการอภิเษกสมรสคือ "เจ้าหญิงต้องทรงเข้าร่วมเป็นสมาชิกคริสตจักรแองลิกัน และอภิเษกสมรสกันตามพิธีกรรมของชาวอังกฤษ และต้องไม่ข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองเลย" แม้ว่าสมเด็จพระราชินี Charlotte จะสนใจในสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกโดยเฉพาะอย่างยิ่งสงครามอิสรภาพระหว่างจักรวรรดิอังกฤษและชาวอาณานิคมในอเมริกา แต่พระองค์ก็ทรงทำตามข้อตกลงในสัญญาการอภิเษกสมรส ทั้งสองพระองค์ทรงมีพระราชโอรสและพระราชธิดาสิบห้าพระองค์ โดยสิบสามพระองค์ทรงอยู่รอดจนวัยผู้ใหญ่ พระราชโอรสพระองค์โตคือ พระเจ้า George IV และพระราชโอรสพระองค์ที่สี่คือ เจ้าชาย Edward ดยุกแห่ง Kent และ Strathearn ซึ่งเป็นพระราชบิดาของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย

สมเด็จพระราชินี Charlotte ทรงสร้างคุณูปการให้กับอังกฤษไว้อย่างมากมาย ทรงรักการอ่าน และทรงสนพระทัยในศิลปกรรม เป็นที่รู้กันว่า สมเด็จพระราชินี Charlotte ได้ทรงสนับสนุน Johann Christian Bach ทั้งยังทรงมีพระมหากรุณาธิคุณแก่ภรรยาของ Bach หลังจากการเสียชีวิตของ Bach อีกด้วย พระองค์ยังทรงได้อุปถัมภ์ Wolfgang Amadeus Mozart ซึ่งตอนอายุแปดขวบได้ถวายบทประพันธ์เพลง 3 ชิ้นให้กับสมเด็จพระราชินี Charlotte ตามพระสงค์ สมเด็จพระราชินี Charlotte ยังทรงเป็นนักพฤกษศาสตร์สมัครเล่นอีกด้วย ทั้งยังทรงช่วยก่อตั้ง Kew Gardens โดยทรงนำต้น Strelitzia reginae (Bird of Paradise) ซึ่งเป็นไม้ดอกจากแอฟริกาใต้ ซึ่งสมเด็จพระราชินี Charlotte ทรงเป็นพระองค์แรกที่ทรงมีดอกไม้พันธุ์นี้ในพระตำหนักที่ประทับ ในปี พ.ศ. 2343 ได้ทรงแนะนำต้นคริสต์มาสให้กับอังกฤษ และกล่าวกันว่า ทรงเป็นผู้นำในการตกแต่งเทศกาลคริสมาสด้วย 'ขนมหวาน อัลมอนด์ ลูกเกด ผลไม้และของเล่น นอกจากนี้ยังมีการก่อตั้งโรงพยาบาล Queen Charlotte Maternity ในกรุงลอนดอน อันเป็นโรงพยาบาลแม่และเด็กที่เก่าแก่ที่สุดในอังกฤษ

สมเด็จพระราชินี Charlotte สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2361 ที่พระตำหนักดัตช์ในเซอร์เรย์ ปัจจุบันคือ พระราชวังคิว เบื้องพระพักตร์พระราชโอรสพระองค์โต เจ้าชาย Regent ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ พระบรมศพถูกฝังอยู่ที่โบสถ์เซนต์จอร์จ พระราชวังวินด์เซอร์ งานเขียนส่วนพระองค์เพียงชิ้นเดียวที่คงอยู่รอดมาได้คือพระราชหัตถเลขา 444 ฉบับของสมเด็จพระราชินี Charlotte Queen Charlotte ถึงพระเชษฐาที่สนิทสนิทที่สุด Charles II (Grand Duke of Mecklenburg-Strelitz) ภาพยนตร์ที่เกี่ยวข้อง สมเด็จพระราชินี Charlotte รับบทโดย Helen Mirren ในภาพยนตร์เรื่อง The Madness of King George ปี พ.ศ. 2557 และโดย Golda Rosheuvel ใน Bridgerton ภาพยนตร์ซีรีส์ของ Netflix ในปี พ.ศ. 2563 ที่บอกเล่าชีวิตสังคมชั้นสูงของอังกฤษในยุคปี พ.ศ. 2356 โดยย้อนยุคโรแมนติกทั้งหมด 8 ตอน

มีสถานที่มากมายซึ่งตั้งชื่อเพื่อเป็นการถวายพระเกียรติแด่ สมเด็จพระราชินี Charlotte ได้แก่ สถานที่ที่ตั้งชื่อตามพระองค์ ได้แก่ หมู่เกาะ Queen Charlotte (ปัจจุบันรู้จักกันในชื่อ Haida Gwaii) ในมณฑลบริติชโคลัมเบีย แคนาดา และ Queen Charlotte City บน Haida Gwai i; Queen Charlotte Sound (ไม่ไกลจากหมู่เกาะ Haida Gwaii); Queen Charlotte Channel (ใกล้นครแวนคูเวอร์ มณฑลบริติชโคลัมเบีย แคนาดา); Queen Charlotte Bay ใน West Falkland; Queen Charlotte Sound เกาะใต้ นิวซีแลนด์; ป้อมปราการหลายแห่งรวมทั้งป้อมชาร์ลอตต์เซนต์วินเซนต์; ชาร์ลอตส์วิลล์เวอร์จิเนีย; ชาร์ลอตต์ทาวน์, เกาะปรินซ์เอ็ดเวิร์ด; ชาร์ล็อต นอร์ทแคโรไลนา เมคเลนบูร์กเคาน์ตี้ นอร์ทแคโรไลนา; เมคเลนบูร์กเคาน์ตี้ เวอร์จิเนีย; Charlotte County, Virginia, Charlotte County, Florida, Port Charlotte, Florida, Charlotte Harbor, Florida และ Charlotte รัฐเวอร์มอนต์ Queen Street หรือ Lebuh Queen ตามที่รู้จักกันในภาษามาเลย์เป็นถนนสายหลักในปีนัง มาเลเซีย ซึ่งก็ตั้งชื่อตามพระองค์ ในตองกาพระราชวงศ์รับพระนามว่า Sālote (Charlotte ในภาษาตองกา) เพื่อถวายพระเกียรติแด่พระองค์ได้แก่ Sālote Lupepauʻu และSālote Tupou III


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top