พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล โพสต์แฟนเพจเฟซบุ๊กระบุ ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ระดับการระบาดของโควิดสายพันธุ์โอมิครอนในประเทศไทยถือว่าสูงกว่าจุดสูงสุดของการระบาดในรอบเดลตาแล้ว และยอดผู้ป่วยโควิดสะสมในประเทศไทยก็แตะ 3 ล้านคนไปในวันที่ 5 ที่ผ่านมา ในโอกาสนี้ผมจึงขอให้บริบทกับสถานการณ์ที่เราเผชิญอยู่และฉากทัศน์ของการระบาดต่อไปข้างหน้า รวมถึงข้อเสนอของผมที่มีต่อรัฐบาล
สำหรับบริบทของสถานการณ์ในตอนนี้ จำนวนเคสการระบาดต่อวันสูงกว่าระลอกเดลตาแล้วก็จริง แต่ระดับความเลวร้ายของสถานการณ์จริงๆ มองที่ระดับความตึงเครียดต่อระบบสาธารณสุขครับ ในที่นี้คือจำนวนผู้ป่วยหนัก ในระลอกเดลตาวันที่มีผู้ป่วยหนักกำลังรักษามากที่สุดคือ 16 ส.ค. 2564 ที่มีผู้ป่วยหนัก 5,626 ราย มีผู้ใส่ท่อช่วยหายใจ 1,161 ราย เทียบกับในระลอกปัจจุบันที่ถึงแม้จะมีผู้ป่วยมากกว่า แต่มีผู้ป่วยหนัก 1,145 ราย ผู้ใส่ท่อช่วยหายใจ 366 ราย ถือว่าสถานการณ์ยังรุนแรงน้อยกว่าจุดสูงสุดของการระบาดช่วงเดลตาอยู่พอสมควร
ถัดมาคือบริบทของฉากทัศน์ที่รัฐบาลนำเสนอ สำหรับฉากทัศน์ตามแนวโน้มในปัจจุบัน จำนวนเคสยืนยันเพิ่มขึ้นต่อวันจะขึ้นไปสูงสุดที่ 40,000 - 50,000 เคส ในช่วงกลางเดือน เม.ย. สถานการณ์จำนวนผู้ป่วยหนักจะวิกฤติที่สุดประมาณ 2,000 คนที่ทำการรักษาอยู่ในช่วงต้นเดือน พ.ค. ซึ่งถือว่าความตึงเครียดต่อระบบสาธารณสุขยังน้อยกว่าระลอกเดลตาประมาณครึ่งหนึ่ง
ส่วนในฉากทัศน์ที่เป็น Worst Case จำนวนเคสยืนยันเพิ่มขึ้นต่อวันจะขึ้นไปสูงที่สุดเพิ่มขึ้น 100,000 เคส ในขณะที่จำนวนผู้ป่วยหนักที่อยู่ระหว่างการรักษาจากชาร์ทที่ ศบค. นำเสนอจะขึ้นไปสูงขึ้น 6,000 และใส่ท่อช่วยหายใจ 1,600 ราย ซึ่งสูงกว่าจุดสูงสุดของเดลตาที่มีผู้ป่วยหนัก 5,626 ราย และใส่ท่อช่วยหายใจ 1,115 ราย เพราะฉะนั้นก็มีความเป็นไปได้ที่การระบาดจะสร้างความตึงเครียดต่อระบบสาธารณสุขมากกว่าระลอกเดลตาที่คนไทยล้มตายเหมือนใบไม้ร่วง ในขณะนั้นงบประมาณเตรียมความพร้อมด้านสาธารณสุขที่อนุมัติไปตั้งแต่ปลายปี 2563 เบิกจ่ายออกมาใช้รับมือโควิดช่วงที่รุนแรงที่สุดหรือมีผู้ป่วยหนักมากที่สุดได้เพียงแค่ 15% เท่านั้นเองในวันที่ 16 สิงหาคม 2564 หรือแปดเดือนหลังจากที่อนุมัติงบประมาณไปแล้ว จนแม้แต่โรงพยาบาลของกรมการแพทย์เองกลับต้องออกมาขอรับบริจาคเครื่องช่วยหายใจ