Tuesday, 13 May 2025
Soft News Team

ชี้เป้า ! ฝันอยากเป็นตำรวจ เรียนที่ไหนได้บ้าง ?

ในปัจจุบันการรับข้าราชการถือเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจของเด็กวัยรุ่นยุคใหม่ นอกจากสวัสดิการที่ดีแล้ว ก็ยังมีความมั่นคงในชีวิตอีกด้วย ซึ่งหนึ่งในอาชีพข้าราชการที่น่าสนใจคือ ”อาชีพตำรวจ” วันนี้ THE STUDY TIMES จะมาแนะนำโรงเรียนที่เรียนเฉพาะทางด้านตำรวจ พอจบแล้วสามารถเข้ารับราชการตำรวจได้เลย ไปดูกัน !

1.โรงเรียนนายร้อยตำรวจ

โรงเรียนนายร้อยตำรวจ (Royal Police Cadet Academy : RPCA) เป็นหน่วยงานระดับกองบัญชาการ สังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษา ตั้งอยู่ที่ อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม มีภารกิจหลักในการฝึกอบรม ให้การศึกษา อบรมหล่อหลอมนักเรียนนายร้อยตำรวจให้มีคุณลักษณะเหมาะสมที่จะเป็นนายตำรวจชั้นสัญญาบัตร และฝึกอบรมผู้เข้ารับการอบรมหลักสูตรอื่น ผู้ที่ศึกษาตามหลักสูตรหลักของในโรงเรียนนายร้อยตำรวจเรียกว่า นักเรียนนายร้อยตำรวจ (นรต.) เมื่อเรียนจบ 4 ปีจะสามารถสอบได้ยศเป็น ร้อยตำรวจตรี 


โดยการสมัครสอบใช้วุฒิ : โรงเรียนเตรียมทหาร
เว็บไซต์ข้อมูลเพิ่มเติม : http://admission.rpca.ac.th/register/

2.โรงเรียนชุมพลทหารเรือ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ

ในสมัย พ.ศ. 2436 ประเทศไทยถูกกองเรือฝรั่งเศสรุกราน ทำให้ต้องเสียดินแดนให้แก่ฝรั่งเศสเป็นจำนวนมาก ทางราชการจึงเห็นความจำเป็นในกิจการทหารเรือมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฝึกอบรมนายทหารชั้นประทวนให้มีความรู้ความสามารถ และเป็นจ่าที่ดีสามารถปฏิบัติหน้าที่ตามเรือและกรมกองต่าง ๆ ได้ ดังนั้นในปี พ.ศ.2438 จึงตั้งโรงเรียนนายสิบทหารเรือขึ้น ต่อมากรมทหารเรือดำริที่จะให้จ่าและพลทหารได้รับการศึกษาที่สูง ขึ้นตามกาลสมัย จึงให้ยุบโรงเรียนนายสิบทหารเรือ แล้วตั้งโรงเรียนจ่าขึ้นแทน ประกอบด้วย โรงเรียนจ่าอาวุธ โรงเรียนจ่าตอร์ปิโด โรงเรียนจ่าช่างกล โรงเรียนพลทหารเรือกรุงเทพ โรงเรียนพลทหารช่าง และโรงเรียนพันจ่าทหารเรือ จนในปัจจุบันก็ได้มีการรวบรวมโรงเรียนต่าง ๆ เข้าด้วยกันเป็นโรงเรียนเดียว จนมาเป็น “กองโรงเรียนชุมพลทหารเรือ” โดยการเรียนเพื่อจะได้เป็นตำรวจ คือการเรียนเป็นตำรวจทางน้ำ ใช้เวลาศึกษา 2 ปี ได้ยศมาเป็น สิบตำรวจตรี

โดยการสมัครสอบใช้วุฒิ : มัธยมศึกษาชั้นปีที่ 6 / กศน. / ปวช.
เว็บไซต์ข้อมูลเพิ่มเติม : http://www.navedu.navy.mi.th/indexnavedu.html

3.วิทยาลัยพยาบาลตำรวจ

เดิมชื่อว่า โรงเรียนพยาบาลผดุงครรภ์และอนามัย กองแพทย์กรม-ตำรวจ เริ่มเปิดดำเนินการตั้งแต่ พ.ศ. 2512 โดยดำริของ ฯพณฯ พลตำรวจเอก ประเสริฐ รุจิรวงค์ ซึ่งเป็นอธิบดีกรมตำรวจในสมัยนั้น โดยที่ท่านเคยปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขมาก่อน จึงมีความรู้และความเข้าใจ ปัญหาการขาดแคลนพยาบาล ซึ่งโรงพยาบาลตำรวจกำลังประสบปัญหาขาดแคลนพยาบาล อย่างมาก 

กรมตำรวจจึงมีมติให้ กองแพทย์ เปิดรับสมัครนักเรียนพยาบาลรุ่นแรกเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2513 โดยที่วิทยาลัยพยาบาลตำรวจ เป็นสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษา ที่ผลิตบุคลากรทางการพยาบาลแก่หน่วยงาน สังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานอื่น ๆ ทั้งภาครัฐและ เอกชนเพื่อสนับสนุนการบริการด้านการส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค การรักษาพยาบาล และฟื้นฟูสุขภาพแก่ข้าราชการตำรวจ และครอบครัว รวมทั้งให้บริการแก่ประชาชนทั่วไป เมื่อเรียนจบแล้ว สามารถเข้ารับราชการตำรวจในยศ ว่าที่ร้อยตำรวจตรี บรรจุเป็นข้าราชการโรงพยาบาลตำรวจ

โดยการสมัครสอบใช้วุฒิ : มัธยมศึกษาชั้นปีที่ 6 (สายการเรียน วิทย์ - คณิต)
เว็บไซต์ข้อมูลเพิ่มเติม : http://nursepolice.go.th/

4.กองกำกับการ 3 กองบังคับการสนับสนุนทางอากาศ กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน หรือ หน่วยปฏิบัติการพิเศษนเรศวร 261 

โดยก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2526 เป็นหน่วยตำรวจที่มีขีดความสามารถในการยุทธ์เคลื่อนที่ทางอากาศ การยุทธส่งทางอากาศ การรบพิเศษ และการปฏิบัติการพิเศษ เพื่อตอบโต้ต่อภัยคุกคามที่เป็นทหารและไม่ใช่ทหาร ในการสงครามพิเศษ และการแก้ไขปัญหา การก่อความไม่สงบ, การก่อการร้าย ทุกรูปแบบ ด้วยการปฏิบัติการปกปิด รับผิดชอบการปฏิบัติการทั่วประเทศ ปัจจุบันเป็นหน่วยระดับกองกำกับการ มีผู้กำกับการเป็นหัวหน้าหน่วยราชการ ขึ้นตรงกับกองบังคับการสนับสนุนทางอากาศ กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน โดยใช้ระยะเวลาการเรียน 1 ปี สามารถสอบเข้าราชการได้ในยศสิบตำรวจตรี

โดยการสมัครสอบใช้วุฒิ : มัธยมศึกษาชั้นปีที่ 6 / กศน. / ปวช.
เว็บไซต์ข้อมูลเพิ่มเติม : http://www.bppparu.go.th/index.php 

และนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของโรงเรียนที่เรียนจบมาแล้วสามารถรับข้าราชการเป็นตำรวจได้เลย หวังว่าบทความนี้จะเป็นแนวทางให้กับนักเรียนที่มีความใฝ่ฝันอยากที่จะเป็นตำรวจ ขอให้ตั้งใจและทำความฝันของตัวเองให้ได้ THE STUDY TIMES เป็นกำลังใจให้นะคะ 


แหล่งข้อมูล 
เพจ : เรียนต่อไหนดี
https://th.wikipedia.org/wiki/โรงเรียนนายร้อยตำรวจ
http://www.navedu.navy.mi.th/
http://nursepolice.go.th/
http://www.bppparu.go.th/index.php

คุณนาดา นาดา ไชยจิตต์ | THE STUDY TIMES STORY EP.53

บทสัมภาษณ์ คุณนาดา นาดา ไชยจิตต์ ปริญญาโท ด้านกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ LL.M International Human Rights Law, School of Law, University of Essex, สหราชอาณาจักร
นักสิทธิมนุษยชน ผู้ขับเคลื่อนและผลักดัน 'ความเท่าเทียมทางเพศ'

จุดเริ่มต้นความสนใจของคุณนาดาที่มีต่อคณะนิติศาสตร์นั้น ในตอนแรกไม่มีความคิดที่จะชอบในสาขาวิชานิติศาสตร์ แต่เกิดจากการที่ไปชุมนุม อยากที่จะให้ประเทศไทยทำกฎหมายสมรสเพศเดียวกัน คุณนาดามีแรงขับเคลื่อนในด้านนี้ แต่ไม่มีความรู้ทางด้านกฎหมาย เพราะไม่รู้ว่าภาษาที่เขียนในกฎหมายเป็นอย่างไร จึงตัดสินใจเข้าเรียนในคณะนิติศาสตร์ มีความตั้งใจที่จะเป็นนักกฎหมายให้ได้

หลังจากทำงานได้ระยะหนึ่ง คุณนาดาค้นพบว่าความฝันที่อยากทำงานในด้านนี้มีหลายสาย จึงกลับมาทบทวนกับตัวเองว่าวุฒินิติศาสตร์บัณฑิตอาจยังไม่พอ ประกอบกับอัตลักษณ์ที่เป็น สถาบันทางสังคมท้าทายเกิดเป็นแรงผลักให้ต้องไปต่อ จนได้รับทุน Chevening ซึ่งเป็นทุนที่มอบให้กับผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลง ทุนนี้ไม่ได้มองหาคนที่เก่งหรือฉลาด แต่มองหาคนที่มีความฝัน มีความมุ่งมั่นที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลง จนสุดท้ายคุณนาดาได้รับทุนไปศึกษาต่อระดับปริญญาโท ด้านกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ LL.M International Human Rights Law, School of Law, University of Essex ณ ประเทศอังกฤษ

คุณนาดากล่าวว่า ด้านกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ที่ University of Essex มีชื่อเสียงและโดดเด่นติดอันดับโลก การที่คุณนาดาเลือกเรียนที่นี่เพราะเชื่อมั่นว่าตัวเองจะได้รับองค์ความรู้มาจัดการปัญหา ทำให้สังคมเข้าใจว่าประเด็นความหลากหลายทางเพศเป็นเรื่องสิทธิมนุษยชน ที่ทุกคนมีส่วนร่วมในการรับผิดชอบ

สำหรับประสบการณ์การเรียนที่ต่างประเทศหลักสูตร 1 ปี คุณนาดาใช้เวลาในช่วงแรกไปกับการเรียน จนได้เข้าร่วมกิจกรรมศาลจำลอง มีการให้นักศึกษาได้ฝึกเป็นทนายความ มีการจัดอีเวนต์ที่เกี่ยวข้องกับสิทธิความหมายทางเพศโดยตรง ทำให้คุณนาดาได้เจอกับนักกฎหมายที่มีความหลากหลายทางเพศ ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีมาก

การใช้ชีวิตที่ประเทศอังกฤษ คุณนาดารู้สึกว่าเป็นอีกประเทศหนึ่งที่มีความน่าอยู่ มีระบบการจัดการที่ดี มีระบบสวัสดิการด้านสุขภาพที่ดีเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ทำให้คุณนาดารู้สึกสบายใจ อีกทั้งมีระบบการดูแลนักศึกษา คอยดูแลและให้คำปรึกษาปัญหาทางด้านสุขภาพจิต ซึ่งตรงนี้เป็นสิ่งที่คุณนาดาประทับใจมาก 

ที่ประเทศอังกฤษ คุณนาดาเล่าว่า สามารถสูดลมหายใจแห่งเสรีภาพเข้าปอดได้ตลอดเวลา ไม่ต้องมานั่งเครียดว่าใครจะมองว่าเราเป็นเพศอะไร ได้รับการปฏิบัติที่ดี ประเทศอังกฤษส่งเสริมการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ส่งเสริมในเรื่องของความหลากหลาย เพราะเชื่อว่าความหลากหลายนำมาซึ่งประโยชน์ในการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม นอกจากนี้ยังมีกลไกในเรื่องของการคุ้มครองสิทธิที่แข็งแรงมาก

สำหรับจุดเริ่มต้นที่คุณนาดาสนใจในเรื่องของสิทธิมนุษยชน เริ่มต้นจากการที่คุณนาดาไปสมัครงานด้านเอกสาร แต่ทางบริษัทบอกว่างานนี้รับเฉพาะผู้หญิง เพราะต้องการความละเอียดอ่อน แต่เมื่อจะไปทำงานใช้แรงแบบผู้ชายก็ไม่รับ เพราะต้องการคนที่แข็งแรง คุณนาดามองว่าบทบาททางสังคมที่เกี่ยวข้องกับอาชีพถูกผูกติดกับบทบาททางเพศ จึงตัดสินใจที่จะไม่ทำงานที่บริษัทแห่งนั้น และไปสมัครงานเป็นเจ้าหน้าที่ในองค์กรที่ทำงานด้านสิทธิบทบาททางเพศ กระทั่งมีบทบาทร่วมขับเคลื่อนความเท่าเทียมทางเพศ 

ปัจจุบันคุณนาดาเป็นที่ปรึกษางานรณรงค์ด้านสิทธิมนุษยชน (Human Rights Campaign Advisor) ที่มูลนิธิมานุษยะ ดูแลเรื่องของกลไกลสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ นอกจากนี้ยังทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาอาวุโสด้านกฎหมายสิทธิมนุษยชน และความเท่าเทียม ให้กับกรรมการบริหารของสมาคมท้องฟ้าสีรุ้งแห่งประเทศไทย

คุณนาดาฝากทิ้งท้ายว่า ไม่ต้องเร่งรีบหรือท้อถอยกับการตามหาความฝันของตัวเอง ให้เวลากับตัวเอง คือหัวใจสำคัญที่สุด
.

.

.

.

ศธ. ปรับการวัดและประเมินผลใหม่ สั่งครูลดการบ้านและเนื้อหาวิชาการ ยืดหยุ่นเรื่องเวลาเรียน หลังพบเด็กเครียดจากการเรียนออนไลน์

น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยภายหลังประชุมร่วมกับผู้บริหารองค์กรหลัก เพื่อรับมือสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่แม้กระทรวงศึกษาธิการจะออกแบบการเรียนรู้ไว้ 5 รูปแบบ คือ On-site, On-air, On-demand, Online และ On-hand ก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถทำให้เด็กได้ความรู้อย่างเต็มที่ เหมือนกับเรียนในสถานการณ์ปกติ 

จึงมีข้อสรุปว่าจะปรับการวัดและประเมินผลนักเรียนใหม่ โดยจะปรับตัวชี้วัดต้องรู้ ควรจะรู้และน่าจะรู้ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2551 ให้เหลือแค่ตัวชี้วัดต้องรู้เท่านั้น ส่วนกิจกรรมที่มีการรวมตัวกัน หรือกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อก็ให้ยกเลิกทั้งหมด

นอกจากนี้ ขอให้ครูให้การบ้านเด็กน้อยลง โดยขอให้โรงเรียนและครูมาหารือร่วมกันว่าใน 1 สัปดาห์ เด็กควรจะได้การบ้านมากน้อยแค่ไหน เพื่อให้ผู้เรียนไม่เกิดความเครียด และการเรียนออนไลน์นี้ต้องยืดหยุ่นเรื่องเวลาเรียนมากขึ้น โดยขอให้ลดการสอนเนื้อหาวิชาการ และเน้นให้เด็กลงมือปฏิบัติ

ในเร็วๆ นี้ กระทรวงศึกษาธิการจะออกแนวปฏิบัติเรื่องการวัดและประเมินผลที่เป็นมาตรฐานกลาง เพื่อให้สถานศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ไปปรับใช้ตามบริบทของพื้นที่ โดยสถานศึกษาจะเป็นผู้คัดเลือกว่าสิ่งไหนจำเป็น สิ่งไหนเด็กควรรู้

เมื่อการประเมินและปรับตัวชี้วัดนักเรียนใหม่แล้ว การวัดและประเมินผลครูต้องปรับเปลี่ยนเพื่อให้สอดรับไปในทิศทางเดียวกันด้วย โดยมอบหมายให้ นายประวิต เอราวรรณ์ เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ไปปรับการวัดและประเมินครูใหม่ รวมทั้งปรับระบบการฝึกประสบการณ์วิชาชีพ สำหรับนักศึกษาครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ด้วย เพราะปัจจุบันนักศึกษาเหล่านี้ไม่สามารถฝึกปฏิบัติการสอนในโรงเรียนได้ โดยอาจจะปรับแก้หลักเกณฑ์ให้นักศึกษาเข้ามาช่วยสอนนักเรียนในชุมชน เป็นต้น ซึ่งทาง ก.ค.ศ. จะหารือกับสภาคณบดีคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์แห่งประเทศไทย (ทปคศ.) และคณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพ (กมว.) ต่อไป.


ที่มา: https://www.thairath.co.th/news/local/bangkok/2128050

ชวนเด็กหัวกะทิเดินตามรอยพี่ๆ สมัครเข้าร่วมโครงการโอลิมปิก สอวน. ค่าย 1 กรุงเทพฯ วันนี้ ถึง 31 ก.ค. 64

???? ประกาศรับสมัครนักเรียนคัดเลือกเข้าโครงการโอลิมปิกวิชาการค่ายที่ 1 สอวน.กรุงเทพมหานคร โดยจัดสอบทั้งหมด 5 วิชา ได้แก่ ฟิสิกส์ คณิตศาสตร์ เคมี คอมพิวเตอร์ ชีววิทยา ????????

ค่าย สอวน. คืออะไร?
สอวน. ย่อมาจาก มูลนิธิส่งเสริมโอลิมปิกวิชาการและพัฒนามาตรฐานวิทยาศาสตร์ศึกษา ในพระอุปถัมภ์สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ค่ายนี้เป็นเสมือนประตูสู่การสอบแข่งขันโอลิมปิกวิชาการทั้งในระดับชาติและนานาชาติ ซึ่งจะมี 5 สาขาวิชา คือ คณิตศาสตร์  ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา  และคอมพิวเตอร์ โดยค่าย สอวน. จะเปิดรับสมัครในช่วงเดือนกรกฎาคมของทุกปี

✅ เพิ่มขีดความสามารถด้านวิชาการ
✅ โควต้าเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำโดยไม่ต้องสอบ
✅ มีโอกาสเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก
✅ มิตรภาพ-เพื่อน ค่าย สอวน. ที่ชอบอะไรเหมือนๆ กัน

????วันที่รับสมัคร: 1 - 31 ก.ค. 64
????ชำระเงิน: ภายใน 2 ส.ค. 64 (ก่อน 18.00 น.)
????เลือกศูนย์สอบ: ภายใน 4 ส.ค. 64 (ก่อน 18.00 น.)
????ประกาศสถานที่สอบ: 20 ส.ค. 64
????สอบวันที่: 5 ก.ย. 64

* ค่าสมัครสอบ วิชาละ 100 บาท
** ผู้สมัครสอบสามารถสมัครสอบได้สูงสุด 2 วิชา โดยเวลาสอบจะต้องไม่ชนกัน
*** อ่านระเบียบการรับสมัครและสมัครสอบได้ที่ หน้าเว็บระบบรับสมัครฯ https://www.bkkposn.com/

ที่มา: https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=4722977137735751&id=1133540740012760

ติดตามอ่านบทสัมภาษณ์ ตัวแทนโอลิมปิกวิชาการ คลิก
https://thestatestimes.com/post/2021060503
https://thestatestimes.com/post/2021061602
https://thestatestimes.com/post/2021062914

วิชาฟิสิกส์: เรื่อง การเคลื่อนที่ในแนวเส้นตรงสำหรับนักเรียน ม.4

THE STUDY TIMES X DekThai Online

????วันอังคารที่ 6 กรกฎาคม

วิชาฟิสิกส์: เรื่อง การเคลื่อนที่ในแนวเส้นตรงสำหรับนักเรียน ม.4

โดย ครูพี่ปุ๊ องอาจ สุภัคชูกุล

อดีตตัวแทนคณิตศาสตร์โอลิมปิก นักเรียนทุนรัฐบาลญี่ปุ่น

#สอนวิชาคณิตศาสตร์ คอมพิวเตอร์ ม.ต้น-ม.ปลาย

#DekThaiOnline

https://dekthai-online.com/browse

.

.

เทคนิค คิด-ทำ "GAT เชื่อมโยง" ต้องได้ 150 เต็ม!

ก่อนที่จะเข้ามหาวิทยาลัย เด็ก ๆ มัธยมปลายหลายคนก็อาจะมีการเตรียมตัวสอบเข้าทั้งมีการติวในแต่ละวิชา เพื่อให้สอบเข้าคณะหรือมหาวิทยาลัยที่ตัวเองใฝ่ฝัน และนอกจากการเตรียมสอบแต่ละวิชาแล้ว สิ่งที่สำคัญของการสอบเข้ามหาวิทยาลัยจะต้องมีคะแนน “GAT เชื่อมโยง” ด้วย

ซึ่ง GAT หรือ General Aptitude Test เป็นการสอบเพื่อวัดประสิทธิภาพในการเตรียมพร้อมที่จะเรียนมหาวิทยาลัย การสอบ GAT มี 2 ส่วนด้วยกัน ส่วนที่ 1 คือ ความสามารถในการอ่าน/การเขียน/การคิดเชิงวิเคราะห์/และการแก้โจทย์ปัญหา

ส่วนที่ 2 คือ ความสามารถในการสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษ ซึ่งในวันนี้ THE STUDY TIMES จะขอมาแนะนำ การเตรียมตัว และ รายละเอียดของการสอบ GAT เชื่อมโยงซึ่งเป็นส่วนที่หนึ่งที่หลาย ๆ คนก็บอกว่าง่าย แต่ก็มีหลาย ๆ คนบอกว่ายากเหมือนกัน 

ซึ่งในการสอบ GAT เชื่อมโยงจะมีเวลาในการทำประมาณ 90 นาทีหรือ 1 ชั่วโมง 30 นาที มี 2 บทความเพราะฉะนั้นจะต้องแบ่งเวลาเตรียมตัวให้ดี ซึ่งข้อสอบ GAT เชื่อมโยง จะเป็นการให้โจทย์มาเป็นบทความ ๆ หนึ่ง แล้วจะมีเลขตัวเล็ก ๆ เป็นตัวกำหนด ในการทำข้อสอบ GAT การทำเป็น Mind Mapping จะทำให้เห็นโครงสร้าง และ ง่ายต่อการทำข้อสอบ โดยการตอบจะแบ่งออกเป็น 4 คำตอบคือ 

ขอขอบคุณภาพจาก : WE by the brain

A เป็นคำตอบของผลที่ทำให้เกิดผลโดยตรง หรือ ส่งผลทำให้เกิด
ยกตัวอย่างเช่น 
น้ำท่วมในกรุงเทพ 01 ทำให้การจราจรติดขัด 02   
01 ชี้ไปหา 02
ใช้ลูกศรชี้ สิ่งที่เกิด ไปหา ผลกระทบ ผลที่เกิด

D เป็นคำตอบของสิ่งที่ประกอบด้วยในสิ่งนั้น ๆ 
ยกตัวอย่างเช่น 
ร้านยำหน้าปากซอย03 ขายพวกยำวุ้นเส้น ยำมะม่วง04
03  ชี้ไปหา  04
ใช้สัญลักษณ์ สิ่งที่เกิด ไปหา สิ่งที่ประกอบด้วยสิ่งนั้น ๆ

F เป็นคำตอบของสิ่งที่ยับยั้งด้วยสิ่งนั้น ๆ 
ยกตัวอย่างเช่น
การฉีดวัคซีน05 ช่วยยัยยั้งการความเสี่ยงที่จะเกิดโรค06  
05  ชี้ไปหา  06
ใช้สัญลักษณ์ สิ่งที่เกิด ไปหา สิ่งที่ยับยั้งด้วยสิ่งนั้น ๆ

99H เป็นคำตอบของไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เกิดขึ้นหรือประกอบในบทความ 

โดยการหลักการทำความสอบ GAT เชื่อมโยงคือการอ่านโจทย์และการทำคิดวิเคราะห์โจทย์ให้แตกออกมาเป็นข้อ ๆ โดยในวันนี้ THE STUDY TIMES มีตัวอย่างแนวข้อสอบ GAT เชื่อมโยงจาก สทศ. หรือ สถาบันทดสอบการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน) มาให้ดูกัน

ซึ่งในภาพเป็นตัวอย่างข้อสอบ GAT เชื่อมโยง และ แนวทางในการทำข้อสอบ ซึ่งการทำข้อสอบ GAT เชื่อมโยงให้ได้เต็ม 150 คะแนน คือการฝึกฝนทำข้อสอบเก่า ๆ และการทำข้อสอบจะต้องใจเย็น อย่าใจร้อนเด็ดขาด อ่านโจทย์ให้ละเอียด และฝึกทำเป็นรูป Mind Mapping จะช่วยน้อง ๆ ได้มากเลยล่ะค่ะ ส่วนเรื่องกำหนดสอบ GAT-PAT ถ้าทาง สทศ. ประกาศแล้ว THE STUDY TIMES จะรีบมาประกาศอย่างแน่นอนค่ะ 


แหล่งข้อมูล : https://www.niets.or.th/th/

คุณไอซ์ ปราชญ์ เทวานฤมิตรกุล | THE STUDY TIMES STORY EP.52

บทสัมภาษณ์ คุณไอซ์ ปราชญ์ เทวานฤมิตรกุล นักเรียนโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา, ได้รับทุนธนาคารแห่งประเทศไทย ศึกษาต่อสาขาเศรษฐศาสตร์ ประเทศสหรัฐอเมริกา
ไม่ต้องเรียนให้หนัก แต่ให้เรียนในสิ่งที่รัก แล้วจะทำได้ดี

คุณไอซ์จบชั้นมัธยมจากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ในแผนการเรียนวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์ โดยอยู่ในห้องของเด็กโครงการความสามารถพิเศษทางคณิตศาสตร์ หรือ Gifted Math

จุดเริ่มต้นความสนใจในวิชาคณิตศาสตร์ คุณไอซ์เล่าว่า เริ่มต้นมาตั้งแต่ช่วงเด็กๆ ผ่านการฝึกจากผู้ปกครอง โดยการหลอกล่อให้ฝึกทำวิชาคณิตศาสตร์ ด้วยวิธีการที่หลากหลาย จนเกิดเป็นความชอบนับแต่นั้นมา

ส่วนวิชาที่คุณไอซ์มีความสนใจและชื่นชอบมาตั้งแต่แรก คือ วิชาประวัติศาสตร์ มีการอ่านหนังสือ ถ่ายทอดประวัติศาสตร์ออกมาในรูปแบบของตัวเลข จำเหตุการณ์เป็นปี  รู้สึกว่าประวัติศาสตร์เป็นการจดจำตัวเลขในรูปแบบหนึ่ง หลังจากได้อ่านไปเรื่อยๆ เริ่มเชื่อมโยงเหตุการณ์ ดูบริบททางประวัติศาสตร์มากขึ้น 

ส่วนภูมิศาสตร์ คุณไอซ์เริ่มต้นมาจากความชอบในสถานที่สวยๆ รอบโลก เลยหาความรู้และลองไปเข้าค่ายที่เกี่ยวกับภูมิศาสตร์ เพื่อศึกษามากยิ่งขึ้น จนรู้สึกว่าวิชานี้มีอะไรมากกว่าที่คิด ต้องใช้ความจำ 45% ส่วนอีก 55% เป็นการวิเคราะห์และคำนวณ  สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้ พาร์ทที่คุณไอซ์ชื่นชอบที่สุดคือภาคสนาม ลงพื้นที่เพื่อเก็บข้อมูลนำมาวิเคราะห์ เป็นพาร์ทที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลายจากการนั่งทำข้อสอบในห้อง

คุณไอซ์เรียนจบจากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ด้วยเกรดเฉลี่ย 3.96 สำหรับเทคนิคการเรียนนั้น คุณไอซ์ยกตัวอย่างวิชาวิทยาศาสตร์ที่ตัวเองไม่ถนัด ว่าจะต้องมีการอ่านหนังสือ ทำข้อสอบย้อนหลัง การฝึกทำข้อสอบคือวิธีที่ดีที่สุด พยายามทำทุกอย่างให้ดี พยุงเกรดให้ได้ 

คุณไอซ์ถือเป็นเด็กสายแข่งขันที่กวาดรางวัลมามากมาย เช่น ช่วงมัธยมต้นแข่งคณิตศาสตร์โอลิมปิกระดับชาติ ได้รางวัลเหรียญทอง ช่วงมัธยมปลายแข่งภูมิศาสตร์โอลิมปิกระดับชาติ ได้รางวัลเหรียญทอง และตอนนี้ยังได้เป็นผู้แทนประเทศไปแข่งขันภูมิศาสตร์โอลิมปิก นอกจากนี้ยังเคยไปแข่งแต่งบทร้อยกรองทั้งในระดับโรงเรียนและระดับประเทศ

คุณไอซ์เป็นคนที่ชอบทำกิจกรรมจิตอาสาเพื่อสังคม ตอนแรกก็มีความรู้สึกเหนื่อย และไม่ได้ชอบในการทำกิจกรรม จนได้ลองทำกิจกรรมอาสาแล้วรู้สึกว่าตัวเองมีประโยชน์ มีความสุขที่ได้ทำประโยชน์ต่อสังคม จึงพยายามหากิจกรรมทำมากยิ่งขึ้น ออกไปช่วยทำจิตอาสาหลายๆ งาน โดยกิจกรรมหลักที่ประทับใจ คือ ได้ไปสอนวิชาคณิตศาสตร์ให้เด็กๆ ที่โรงเรียนแถวบ้าน เพื่อเป็นการเตรียมสอบเข้าม.1 และอีกที่หนึ่งคือ ไปช่วยงานที่ศูนย์ฉีดวัคซีนของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ช่วยต้อนรับ ร้องเพลง แบ่งเบาภาระให้กับพี่ๆ ทีมงาน 

หลังเรียนจบจากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา คุณไอซ์สอบชิงทุนและได้รับทุนธนาคารแห่งประเทศไทย ไปศึกษาต่อสาขาเศรษฐศาสตร์ ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา คุณไอซ์ฝากทิ้งท้ายไว้ว่า สิ่งสำคัญที่สุดในการเรียน คือ แรงบันดาลใจและหาจุดเริ่มต้นของตัวเองให้เจอ จุดเริ่มต้นของสิ่งที่ตัวเองรักอยู่ตรงไหน ซึ่งจุดนี้ยากที่สุด ถ้าหาเจอแล้วจะรู้สึกว่าตัวเองสามารถทำงานได้โดยที่ไม่ฝืน ไม่ต้องทำอะไรเยอะ หรือฝืนตัวเอง ให้แรงบันดาลใจเป็นตัวขับเคลื่อนไป
.

.

.

.

วิชาคณิตศาสตร์: เรื่อง ของผสมสำหรับนักเรียน ม.ต้น

THE STUDY TIMES X DekThai Online

????วันจันทร์ที่ 5 กรกฎาคม

วิชาคณิตศาสตร์: เรื่อง ของผสมสำหรับนักเรียน ม.ต้น

โดย อ.ต้น Study Cadet

จบวิศวกรรมศาสตร์ วศ.บ.โรงเรียนนายเรือ

ศึกษา Afaps 42 ประสบการณ์การสอนกว่า 15 ปี

#สอนคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ ม.ต้น - ม.ปลาย, สอบทหาร

#DekThaiOnline

https://dekthai-online.com/instructor/StudyCadet

.

Marie Curie นักเคมี ผู้ช่วยชีวิตมนุษยชาติพ้นจากมะเร็งร้าย

ถ้าจะพูดถึงโรคร้ายที่ใครหลาย ๆ คนไม่คิดไม่ฝันที่อยากจะเป็นนอกจาก โควิด-19 แล้วโรคมะเร็งก็ถือว่าเป็นโรคอันดับหนึ่งที่ผู้คนไม่อยากจะเป็น แต่กลับกันโรคมะเร็งในปัจจุบันได้คร่าชีวิตผู้คนมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน เมื่อย้อนกลับไปโรคมะเร็งถือว่าเป็นโรคที่ไม่มีทางรักษา จน “Marie Curie” นักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศสได้คิดและค้นพบตัวธาตุที่ใช้ในการรักษาโรคมะเร็งได้สำเร็จ วันนี้ THE STUDY TIMES จะขอกล่าวถึงประวัติและผลงานที่สำคัญของ Marie Curie ที่ได้ช่วยชีวิตผู้คนจากโรคมะเร็งได้กันค่ะ 

ชื่อเดิมของ Marie Curie คือ Marie Sklodowska เกิดเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน ค.ศ. 1867 ณ เมืองวอร์ซอ เมืองหลวงของประเทศโปแลนด์ มีพี่น้องด้วยกันทั้งหมด 5 คน โดยพ่อของ Marie เป็นอาจารย์สอนวิชาวิทยาศาสตร์ และแม่เป็นอาจารย์สอนวิชาคณิตศาสตร์ ทำให้ Marie นั้นได้มีความชื่นชอบและสนใจในด้านของวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์มาตั้งแต่เด็ก หลังจบการศึกษาระดับมัธยม 

ด้วยสถานะทางบ้านที่ไม่ค่อยดีทำให้ Marie กับพี่สาว ทำงานเป็นอาจารย์สอนในระดับอนุบาลเพื่อหาเงินเรียนต่อมหาวิทยาลัย จน Marie สามารถเรียนจบปริญญาตรีสาขาฟิสิกส์ได้สำเร็จในปี ค.ศ. 1893 และได้เริ่มทำงานในห้องปฏิบัติการทางอุตสาหกรรมของศาสตราจารย์ Abriel Lippmann และเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยปารีสจนจบปริญญาโทในปี ค.ศ. 1894

ในขณะที่ Marie ทำงานเป็นผู้ช่วยในห้องปฏิบัติการทางเคมี ทำให้ Marie พบกับ Pierre Curie เป็นนักฟิสิกส์ที่ทำงานอยู่ที่เดียวกับ Marie โดยทั้งสองเริ่มสนิทกันจากความสนใจในด้านแม่เหล็ก แร่ธาตุต่าง ๆ ทั้งคู่ตัดสินใจแต่งงานกันและมีลูกด้วยกัน 2 คน แต่ก็ยังไม่ทิ้งในเรื่องของวิทยาศาสตร์ทั้งตัว Marie และ Pierre ร่วมศึกษาในด้านวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการแผ่รังสีของแร่ด้วยกันต่อจากนั้น

ในช่วงเวลานั้น ที่ประเทศฝรั่งเศสมีนักวิจัยและนักวิทยาศาสตร์จำนวนมากที่สนใจในเรื่องของรังสี แร่ธาตุต่าง ๆ โดยหนึ่งในผู้คนพบรังสีชนิดใหม่ คือ Antoine Henri Becquerel นักฟิสิกส์ชาวฝรั่งเศส เพื่อนสนิทของ Pierre ผู้ค้นพบปรากฏการณ์การแผ่รังสีจากแร่ยูเรเนียม (Uranium) ทำให้ทั้ง Marie และ Pierre จึงศึกษาค้นคว้าต่อไปจนถึงแหล่งพลังงาน พวกเขาสืบเสาะไปจนพบว่าแหล่งที่มาของพลังงานที่แผ่ออกมาคือ แร่พิตช์เบลนด์ (Pitchblende) ซึ่งเป็นออกไซด์ชนิดหนึ่งของแร่ยูเรเนียม โดยหลังจากพยายามสกัดแร่พิตช์เบลด์ออกมา Marie และ Pierre ก็ได้ค้นพบธาตุชนิดใหม่ โดยตั้งชื่อว่า โปโลเนียม (Polonium) เพื่อเป็นเกียรติแก่ประเทศโปแลนด์ บ้านเกิดของ Marie

และในปี ค.ศ. 1898 Marie และ Pierre จึงได้ศึกษาต่อเพิ่มเติม โดยทั้งคู่ได้ตั้งข้อสงสัยว่าอาจจะยังมีสารประกอบที่อยู่ในแร่พิตช์เบลด์อีกมาก หลังจากพยายามมานานกว่า 5 เดือนหลังทั้งคู่ก็ได้พบกับธาตุชนิดใหม่ โดยตั้งชื่อธาตุนี้ว่า เรเดียม (Radium) ในภาษากรีกแปลว่าแสง ซึ่งธาตุเรเดียมนี้สามารถแผ่รังสีออกมาได้มากกว่ายูเรเนียมหลายเท่า และธาตุเรเดียมยังสามารถส่องผ่านเนื้อหนังของมนุษย์ได้

ทั้งคู่ได้สังเกตเห็นว่า ธาตุเรเดียมสามารถแผ่รังสีพลังงานลึกถึงภายในของเนื้อเยื่อ จนส่งผลให้มือของ Marie แห้งกร้าน และลอกเป็นชั้นสีดำเหมือนโดนไฟไหม้ ในขณะที่ Pierre เก็บธาตุเรเดียมเพียงไม่กี่มิลลิกรัมในกระเป๋าเสื้อ ตัวแร่ธาตุก็ทำให้เสื้อของ Pierre ไหม้และทำให้เกิดรอบแผลเป็นบริเวณหน้าอก 

จึงทำให้ทั้งคู่ทำการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมมากยิ่งขึ้น หลังจากนั้นทั้ง Marie และ Pierre ได้ร่วมมือกับ Antoine ในการคิดค้นและวิจัย ทำให้ทั้ง 3 คนได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ ในฐานะกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ผู้ศึกษาปรากฏการณ์กัมมันตภาพรังสี (Radioactivity) 

และจากการที่ Marie และ Pierre ได้ค้นพบธาตุเรเดียมทำให้ Marie ได้ปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยปารีสซึ่งเป็นผู้หญิงคนแรกที่ได้รับปริญญาเอกของประเทศฝรั่งเศส แต่หลังจากนั้นไม่นานก็เกิดเหตุการณ์ที่น่าเศร้าใจคือ Pierre ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต ทำให้ Marie โศกเศร้าเสียใจแต่ก็ยังศึกษาในเรื่องของแร่ธาตุต่อไป 

และในปี ค.ศ. 1911 Marie ได้รับการสนับสนุนจากมหาวิทยาลัยปารีส ในการตั้งสถาบันเรเดียม เพื่อค้นคว้าการใช้ประโยชน์จากธาตุเรเดียม ทําให้ Marie รวมถึงทีมนักวิจัยค้นพบว่าเรเดียมมีคุณสมบัติทางการแพทย์ที่สามารถนำมาต่อยอดพัฒนาเป็นเครื่องมือรักษาโรคมะเร็งบางอวัยวะได้โดยการใช้ธาตุเรเดียมยิงไปที่เซลล์มะเร็งด้วยอนุภาคกัมมันตรังสี

จากผลงานนี้เองทำให้ Marie ได้รับรางวัลโนเบลอีกครั้ง ในสาขาเคมีจากการค้นพบธาตุพอโลเนียมและเรเดียม ซึ่งการรับรางวัลโนเบลถึง 2 ครั้งของมารีทำให้มารีกลายเป็นบุคคลแรกที่ได้รับรางวัลโนเบล 2 สาขาเพียงคนเดียวในโลก

ด้วยความสำเร็จของ Marie ในปี ค.ศ. 1933 ได้ทำการจัดตั้งมูลนิธิ Curie Foundation เพื่อทำหน้าที่ในการสนับสนุนการวิจัยด้านงานวิทยาศาสตร์และสนับสนุนทางการแพทย์ และในปี ค.ศ. 1953 สถาบันแห่งนี้ได้กลายเป็นต้นแบบของสถาบันวิจัยมะเร็งในหลายประเทศ และเริ่มใช้งานด้านวิทยาศาสตร์เข้ามามีส่วนร่วมส่งเสริมคุณภาพชีวิตของสังคมมากขึ้น

และช่วง Marie อายุ 58 ปี สุขภาพเริ่มทรุดโทรมหนักมากขึ้น เริ่มมีอาการหูหนวก ตาบอด และมีรอยไหม้ที่ตามมือ ซึ่งเป็นผลมาจากการใช้เวลาทำการทดลองรังสีต่าง ๆ ทำให้ถูกรังสีจากสารกัมมันตภาพรังสีเผาตามอวัยวะ ในเวลาต่อมา Marie ป่วยหนักด้วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวและเข้ารักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลโอตซาวัว (Haute Savoie) และเสียชีวิตในวัย 67 ปี เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1934

นับได้ว่า Marie Curie คือบุคคลที่เสียสละและสร้างประโยชน์หลายอย่าง เป็นสิ่งที่เกิดจากความรักในการทดลอง ความสนใจ ความชอบในวิชาชีพของตัวเองถึงแม้อาจจะทำให้ตัวเองต้องบาดเจ็บแต่ผลลัพธ์หรือสิ่งที่เธอได้จากการค้นคว้าและวิจัยนี้สามารถต่อชีวิต และ ลมหายใจให้กับผู้คนอีกหลายล้านคน ถึงแม้เธอจะจากไป แต่คุณงามความดีและบทเรียนที่ได้จากการทดลองของ Marie สามารถต่อยอดและทำให้มีการวิจัยพัฒนาทางการแพทย์จนถึงปัจจุบัน 


แหล่งข้อมูล 
https://thepeople.co/marie-curie-radioactivity/
https://www.scimath.org/article-science/item/11461-19-marie-curie
https://www.takieng.com/stories/8714

คุณแนน ทิวาภรณ์ กาญจนมยูร | THE STUDY TIMES STORY EP.51

บทสัมภาษณ์ คุณแนน ทิวาภรณ์ กาญจนมยูร ปริญญาโท คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, เจ้าหน้าที่องค์กรระหว่างประเทศ
นักสังคมสงเคราะห์ ผู้หวังให้ผู้ทุกข์ยากได้รับการช่วยเหลือ ด้วยการพัฒนาอย่างยั่งยืน

จุดเริ่มต้นของคุณแนนในการเลือกเรียนคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มาจากตอนเด็กๆ คุณแนนได้อาศัยอยู่ที่จังหวัดลำปาง ช่วงมัธยมปลายต้องตัดสินใจเข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย แต่ยังไม่รู้ว่าตัวเองถนัดอะไร อยากไปทางไหน จนได้ไปอ่านหนังสือจุดประกายความอยากเป็นนักสังคมศาสตร์ ที่นางเอกในนิยายเป็นนักพัฒนากรได้ช่วยเหลือคนอยู่ในชุมชน เกิดแรงบันดาลใจที่อยากจะเป็น 

เมื่อค้นคว้าหาข้อมูลพร้อมแล้ว จึงตั้งเป้าสอบตรงเข้าคณะสังคมสังเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งในช่วงที่เรียนคุณแนนพบกับคนที่มีความสนใจเหมือนกันมารวมกันอยู่ในคณะ ทุกคนมีเป้าหมายอยากเปลี่ยนแปลงสังคม
 
คุณแนนเล่าว่า คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์แทบจะเป็นคณะเดียวที่เริ่มฝึกงานตั้งแต่ตอนปี 2 มีโอกาสได้ทำงานร่วมกับชุมชน ในช่วงปี 3 ได้ออกต่างจังหวัด ทุกปิดเทอมไม่ได้กลับบ้าน เพราะต้องอยู่กับพื้นที่จริง มีการเข้าค่ายอยู่ตลอด ทุกๆ ที่มีการให้ความช่วยเหลือแตกต่างกัน ได้เจอกับเหตุการณ์การช่วยเหลือคนจริงๆ ที่มากกว่าในตำรา หัวใจหลักของนักสังคมสงเคราะห์คือ ทำอย่างไรก็ได้ให้เขาสามารถยืนได้ด้วยตัวเอง ทำให้คุณแนนต้องทุ่มเททั้งแรงกาย และแรงใจ 

ด้านกิจกรรม คุณแนนได้รับเลือกเป็นทูตกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์แห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (TU Ambassador) ตำแหน่ง ผู้อัญเชิญหญิง โดยในช่วงรอบคัดเลือกคุณแนนได้รับแบบทดสอบที่ค่อนหนักทั้งการสอบสัมภาษณ์ ดูผลการเรียน กิจกรรม โดยตัวอย่างคำถามในรอบสอบสัมภาษณ์ คือ อยากเปลี่ยนแปลงอะไรในมหาวิทยาลัย การแข่งขันจะคัดจาก 200 ให้เหลือ 30 และเหลือ 5 คนสุดท้าย 

ต่อมาคุณแนนได้รับทุนไปศึกษาที่ Incheon National University ประเทศเกาหลีใต้ เป็นคอร์สระยะสั้น 6 เดือน ในตอนแรกสาขาที่คุณแนนอยากเรียนมีแต่ภาษาเกาหลีล้วน คุณแนนจึงต้องปรับเปลี่ยนมาเรียนด้านภาษาแทน โดยเรียนภาษาอังกฤษเป็นหลัก และเรียนภาษาเกาหลีพื้นฐาน ในด้านของการใช้ชีวิตคุณแนนเล่าว่าแทบจะไม่ต้องปรับตัวเลย เพราะเกาหลีมีวัฒนธรรมเอเชียที่คล้ายกับของไทย มีการฝึกฝนแลกเปลี่ยนทั้งภาษาไทย ภาษาเกาหลี และภาษาอังกฤษ ได้เพื่อนใหม่เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนจากทั่วโลก

ในระดับปริญญาโท คุณแนนเลือกเรียนในคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ โดยสาขาที่คุณแนนเรียนคือ เศรษฐศาสตร์ทางการเมือง สนใจด้านสังคมเป็นหลัก วิเคราะห์เศรษฐกิจหรือตัวเลข ดูปัจจัยหรือมิติอื่น ๆ ทางสังคม ซึ่งมีความเกี่ยวเนื่องกันกับสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ที่ได้เรียนและฝึกงานมา 

นอกจากนี้ คุณแนนยังเคยได้ตำแหน่งกุลธิดากาชาด ในปี พ.ศ.2556-2557 โดยตำแหน่งนี้คุณแนนเห็นประกาศรับสมัครจากโรงพยาบาลจุฬา ซึ่งต้องมีคุณสมบัติคือ เก่ง รอบรู้ พึ่งพาได้ สุขภาพดี คุณแนนรู้สึกว่าอยากที่จะเป็น หลังจากนั้นก็ได้ลองสมัครเข้าไป ซึ่งตอนสมัครคุณแนนก็ต้องเขียนเรียงความ เข้าค่ายคัดสรร ขึ้นเวทีตอบคำถาม แสดงความสามารถพิเศษต่างๆ 

หลังจากได้รับเลือกเป็นกุลธิดากาชาด หน้าที่หลักที่ต้องทำคือเป็นตัวแทนของเยาวชนในการประชาสัมพันธ์ภารกิจของสภากาชาดไทย ให้ผู้คนรู้จักและเข้าใจ

ปัจจุบันคุณแนนทำงานที่องค์การสหประชาชาติ สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (United Nations High Commissioner for Refugees ) หน้าที่หลักขององค์กรคือปกป้องหรือคุ้มครองช่วยเหลือผู้ลี้ภัย ผู้พลัดถิ่นทั่วโลก ซึ่งคุณแนนอยู่ในส่วนระดมทุน ยูนิตที่ดูแลคือสร้างการรับรู้ของผู้ลี้ภัยและระดมทุน มีหน้าที่ดูแลทำอย่างไรให้ให้คนไทยรับรู้และเข้าใจในเรื่องนี้ เห็นอกเห็นใจ สามารถร่วมสร้างรอยยิ้ม เปลี่ยนแปลงและช่วยเหลือไปด้วยกัน 

คุณแนนฝากทิ้งท้ายไว้ว่า ชีวิตของเราต้องดูตามความชอบ เบื้องต้นต้องรู้จุดมุ่งหมายในชีวิตคืออะไร ทำสิ่งนั้นให้เต็มที่ ในทุกโอกาสที่เราได้รับ ถ้าเราเต็มที่กับมัน สำเร็จแน่นอน ไม่สำเร็จในปีนี้ ก็ต้องสำเร็จในปีหน้า อยากให้มีความมุ่งมั่นตั้งใจ มีเส้นทางชีวิตในแบบที่ทำได้และมีความสุข ค้นหาและทำตามในสิ่งที่ใฝ่ฝันและอยากจะเป็น
.

.

.

.
 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top