Wednesday, 14 May 2025
LITE TEAM

ชีวิตเปลี่ยนเพราะ “คดีน้องชมพู่” จากนักข่าวสายลุย ตามฝันสู่ผู้ประกาศข่าวเต็มตัว

🎤 สัมภาษณ์พิเศษ : ไอซ์ สารวัตร ผู้ประกาศข่าว อมรินทร์ทีวี

ชีวิตเปลี่ยนเพราะ “คดีน้องชมพู่” จากนักข่าวสายลุย ตามฝันสู่ผู้ประกาศข่าวเต็มตัว

นักข่าวขวัญใจชาวไทย มากความสามารถ ยอมรับชีวิตเปลี่ยนเพราะ “คดีน้องชมพู่”

1.) "ไอซ์ สารวัตร" ในวงการผู้สื่อข่าว ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้

ไอซ์ สารวัตร : เริ่มฝึกงานจากช่อง 3 ซึ่งตอนเรียนจบ ก็ได้มาทำงานอยู่ที่ อัมรินทร์ทีวี อยู่ที่แรกรายการ “โต๊ะข่าวบันเทิง” อยู่ A-POP บันเทิง ได้สักครึ่งปีและก็ขยับตัวเองหรือได้รับโอกาสจากคุณพุทธ พุทธอภิวรรณ (ผู้ประกาศข่าวทุบโต๊ะข่าวบันเทิง) ปรับมาเป็นผู้สื่อข่าวของ รายการทุบโต๊ะข่าว จากนั้นก็เป็นผู้สื่อข่าวเรื่อยๆ มา ทำอยู่ได้สัก 2 ปี ก็ได้มาอ่านข่าวที่ “ข่าวเที่ยงอัมรินทร์” อีก 2 ปี แล้วก็พัฒนามาเรื่อยๆ เก็บประสบการณ์โอกาสจากผู้ใหญ่ ได้รับความไว้วางใจให้มาอ่านในรายการ “ทุบโต๊ะข่าว” ทั้งช่วงที่ 1 และ ช่วงที่ 2 อาจจะมีการปรับในช่วงเวลา วันเวลาในการอ่านแล้วบ้าง จนมาถึงช่วงนี้ ได้มาเป็นผู้ประกาศข่าวเต็มตัวแล้วครับ อย่างที่เคยฝันเอาไว้

2.) ย้อนไปเล่าถึงเหตุการณ์ ช่วงการทำงาน คดีลุงพล ถือเป็นคดีแจ้งเกิด "ไอซ์ สารวัตร" ตอนนั้นรู้สึกอย่างไร?

ไอซ์ สารวัตร : ถ้าเล่าย้อนไปคดีลุงพลจริงๆ ต้องบอกว่าเป็นคดีข่าวเป็นการหายตัวไปน้องชมพู่ แต่คนอาจจะไปติดปากในคดีนั้น ก็ต้องยอมรับครับว่าเป็นคดีแจ้งเกิดของตัวไอซ์เอง เนื่องจากว่าเป็นที่รู้จักมากขึ้น ถือว่ามันฟีเวอร์มากที่สุดในช่วงเวลานั้น ก็คนจำเราได้มากขึ้น ไปที่ไหนก็มีคนทักทายโดยเฉพาะแถบ ภาคอีสานหรือตามต่างจังหวัด ก็จะได้รับกระแสตอบรับที่ดี

ส่วนตัวผม ยอมรับว่ามันทำให้รู้สึกเราแปลกใหม่ และก็ถือว่าเป็นสีสันของการทำข่าว มันก็ทำให้มีข้อดีและข้อเสีย ข้อดีก็คือว่า เรามีคนรู้จักมากขึ้น เข้าถึงแหล่งข่าวได้ง่ายขึ้นแต่ว่าที่สิ่งยากหน่อย คือ 1.ในเรื่องของวางตัว 2.การไปทำข่าวในเชิงสืบสวนสอบสวนที่เราทำอยู่ มันอาจจะทำให้แหล่งข่าวที่เราไปบางทีเขาอาจจะจำเราได้ว่าเราเป็นนักข่าว ซึ่งบางครั้งเราก็ไม่ได้อยากเข้าไปในฐานะนักข่าว เราอยากไปเป็นแบบชาวบ้านทั่วไป เพื่อจะให้ได้ข่าวจริงๆ ออกมา ซึ่งเป็นก็มีข้อดีข้อเสียต่างกัน แต่เราก็ดีใจที่มีคนจำเราได้และก็รู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่คาดฝันว่าจะมีคนจดจำได้

3.) ใช้อะไรเป็นสิ่งขับเคลื่อน ในชีวิต?

ไอซ์ สารวัตร : ต้องยอมรับว่าเป็นกำลังใจ เพราะการใช้ชีวิตโดยที่ไม่ได้คาดหวัง ผมเป็นคนที่มีกำลังใจในทุกๆ วัน และก็ไม่ได้คาดหวัง มองโลกในแง่ดี ไม่ชอบคิดอะไรที่มันลบๆ หรือว่าคิดร้ายไปทั้งหมด เวลาเราเจออะไรที่เข้ามาตอนการทำข่าว ทำงาน แม้กระทั่งเจอเพื่อนร่วมงาน บางทีเราต้องรับอารมณ์หรือรับความหงุดหงิดตรงนั้น แม้ตอนลงพื้นที่ เราต้องเจอผู้คนมากหน้าหลายตา ซึ่งรวมถึงอารมณ์ตัวเราด้วย ที่ต้องคุมอารมณ์ตัวเองไว้ แต่สิ่งหนึ่งถ้าเราไม่ได้มองโลกในแง่ลบ ทุกอย่างก็จะกลายเป็นบวกไปหมด ก็เลยใช้วิธีคิดนี้มาตั้งแต่สมัยเรียนจนกระทั่งมาถึงปัจจุบัน ยกตัวอย่างเช่น ผมเป็นคนไม่ได้คาดหวัง มันก็ทำให้เราไม่ผิดหวัง ผมเป็นคนคิดอะไรแบบนั้น

4.) อยากเห็นสื่อไทย เป็นอย่างไรบ้าง?

ไอซ์ สารวัตร : จริงๆ ไม่ได้คาดหวังว่าจะให้เป็นยังไง แต่แค่อยากจะให้นำเสนอด้วยความเป็นจริง จริงที่ว่าบางครั้งเราจะเห็นในโลกยุคปัจจุบัน ผมไม่ได้โทษสื่อไหน มันอาจจะเป็นด้วยตัวแปรอะไรต่างๆ ไม่ได้ จะเป็นกลุ่มคนดู หรือว่าความต้องการของในหน่วยงาน แต่สิ่งที่อยากเห็นที่สุดก็คือความจริง ไม่อยากให้เกิดการโจมตีกัน อยากให้เป็นการสร้างสรรค์ซึ่งกันและกัน ทุกสื่อให้ความร่วมมือกัน รักในวิชาชีพสื่อด้วยกัน และทำงานแข่งขันกัน แต่ไม่ได้เชิงฆ่ากันด้วยวิธีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการตัดโอกาส การเสี้ยมอะไรแบบนี้

คือไม่รู้ว่ามีหรือเปล่า แต่สิ่งนี้เราไม่อยากให้เจอขึ้น ก็หวังว่าสื่อไทยจะร่วมมือ ในการสร้างสรรค์งานสื่อออกมาในรูปแบบของความจริง และแข่งขันกันในรูปแบบของความจริงทั้งหมดก็น่าจะเป็นสิ่งที่อยากเห็น

5.) นิสัยส่วนตัวที่คนส่วนใหญ่ยังไม่รู้?

ไอซ์ สารวัตร : จริงๆ เป็นคนขี้อาย เป็นคนเขิน เป็นคนที่เวลาใครทักก็จะเขินหน่อยแต่ว่าลึกๆ ก็ดีใจ คนส่วนใหญ่อาจจะไม่รู้ นึกว่าเราเป็นคนกล้าแสดงออกเพราะว่าออกหน้าจอ แต่จริงๆ แล้วเป็นคนขี้เขินหรือถ้าเกิดทำอะไรที่ไม่ค่อยชินหรืออะไรที่มันแปลกใหม่ อย่างเช่นเราทำข่าว ผู้ประกาศข่าว หรือพิธีกร มันอาจจะชินกับเราไปทั้งหมด แต่ถ้าเราข้ามสายไปทำอย่างอื่น เช่น การไปร้องเพลง เล่นละคร หรือว่าแสดงอะไรสักอย่าง จะเกิดความประมาทขึ้นได้ เพราะว่าลึกๆ แล้วเป็นที่พูดน้อยเสียงเบาตั้งแต่เด็กๆ มีมาเริ่มเสียงดังก็ตอนมาเริ่มทำงานพิธีกร เริ่มพูดต่อหน้าคนอื่น พยายามฝืนตัวเอง จนกระทั่งมันกลายเป็นตัวเราในวันนี้ หลายๆ คนส่วนใหญ่อาจจะไม่รู้เพราะคิดว่าเด็กๆ น่าจะเป็นคนที่พูดมาก

6.) ทำไมถึงตอบตกลงไปรายการ ร้องข้ามกำแพง รู้สึกอย่างไร?

ไอซ์ สารวัตร : ตอนนั้นลึกๆ ไม่คิดว่าจะมีทีมงานติดต่อเข้ามาเพราะว่าเอาจริงๆ เป็นรายการที่เราชื่นชอบและก็ชอบดูอยู่แล้ว สนุก ดูย้อนหลังตลอด และพอมีติดต่อเข้ามาก็ตอบรับ แต่จริงๆ ใจก็อยากจะตอบรับทันทีอยู่แล้ว แต่ก็ต้องบอกว่าขอปรึกษาทางช่องก่อน จนสรุปทางช่องโอเค สนับสนุนให้เราไปออกรายการได้

เราก็คิดว่าอย่างน้อยเป็นโอกาส ให้เราไปลองเปิดโลกใหม่ ที่เราไม่เคยได้ทำคือการไปร้องเพลงต่อหน้าคนเยอะๆ ยิ่งถ้าหากไปร้องกับคู่กับศิลปินอย่างพี่บุ๋ม ปนัดดา ก็รู้สึกว่า เราได้ยินเสียงร้องอันทรงพลังของพี่แก มาตั้งแต่เด็กๆ แล้วมีวันหนึ่งเรามีโอกาสได้ร้องคู่ในรายการที่มีคนดูจำนวนมาก รู้สึกว่าเป็นสิ่งใหม่และก็ท้าทาย ก็ดีใจว่ามีโอกาสได้ออกไปรายการนั้นและก็ไม่ผิดหวังที่ได้ตอบตกลง

วันนี้เมื่อ 65 ปีก่อน มีการจัดขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ 9

ในช่วงสมัยของรัชกาลที่ 9 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ฟื้นฟูจารีตประเพณีที่สืบมาแต่โบราณหลายอย่างจากที่เลิกร้างไปนับตั้งแต่ประเทศมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 หนึ่งในพระราชพิธีนี้คือ ขบวนพยุหยาตราทางชลมารค จัดให้มีขึ้นครั้งแรก พ.ศ. 2500 เนื่องในงานฉลอง 25 พุทธศตวรรษ จากนั้น พ.ศ. 2502 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ฟื้นฟูจารีตประเพณีการเสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐินโดยขบวนพยุหยาตราชลมารค และจัดในพิธีสำคัญวโรกาสต่างๆ รวม 17 ครั้งในรัชกาล

การจัดขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ 9)

นับตั้งแต่มีการจัดขบวนพยุหยาตราทางชลมารคเมื่อคราวฉลองพระนครครบ 150 ปี พ.ศ. 2475 ในรัชกาลที่ 7 แล้ว ไม่ปรากฎหลักฐานว่าได้มีการจัดขบวนพยุหยาตราทางชลมารคอีกเลย จนในปี พ.ศ. 2500 ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงมีพระปณิธานอนุรักษ์วัฒนธรรมไทยให้สืบต่อเนื่องยาวนาน พระองค์จึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้ฟื้นฟูประเพณีเสด็จพระราชดาเนินถวายผ้าพระกฐิน

‘บีม’ ปรับคอนเทนต์ เน้นเหมาะสม ไม่กระทบใคร หลัง ‘พลังใบ’ ทำพิษ ‘ตำรวจ-อัยการ’ ฟ้อง 7 ข้อหา

พลังใบให้บทเรียน “บีม ศรัณยู” เปิดใจ ขอปรับรูปแบบคอนเทนต์ เน้นเหมาะสม เป็นตัวเองแต่ต้องไม่กระทบใคร ขอบคุณภรรยาที่ช่วยเตือนสติและทำให้ตนปรับ Mindset 

จากประเด็นดราม่าที่เคยทำคลิปขับรถและขับเรือสุดหวาดเสียว ทั้งการขับรถขึ้นไปเกาะกลางถนน, ไลฟ์ขับรถด้วยความเร็ว, ขับรถมือเดียวเอามืออีกข้างจับโทรศัพท์, ใช้เข่าขับรถ, ขับเรือในแม่น้ำเจ้าพระยาด้วยความเร็ว จนเป็นกระแสสังคมเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา เป็นเหตุให้นักแสดงหนุ่ม “บีม ศรัณยู” หรือฉายาใหม่ “บีมพลังใบ” ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจและพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุดเป็นโจทย์ ยื่นฟ้องรวมทั้งสิ้น 7 ข้อหา ซึ่งเจ้าตัวนำเอาสิ่งเหล่านั้นมาเป็นบทเรียนในการใช้ชีวิตและทำคอนเทนต์ลงในสื่อออนไลน์

ล่าสุด (12 พ.ค. 65) “หนุ่มบีม” เปิดใจในงานเเถลงข่าวละครเรื่องบุพเพร้อยร้ายที่ตนได้ร่วมเเสดง ว่าตนเอง “ได้รับการลงโทษตามกฎหมาย ทั้งจ่ายค่าปรับ รวมถึงทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาก็มีการปรับตนจำนวน 5,000 บาทด้วยเช่นกัน เนื่องจากมีการโฆษณาเกินจริง ทำให้ได้เรียนรู้ว่าในอีกทาง ทั้งยังมีการปรับเรื่องคอนเทนต์ที่ไม่โผงผางเกินไป และใช้คำพูดที่เหมาะสม รวมถึงไปในสถานที่ที่ไม่กระทบ สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น แต่ยืนยันว่ายังเป็นตัวของตัวเองเหมือนเดิม มองว่าคำพูดไม่เท่าการกระทำที่ทำให้เห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลงตัวเอง ซึ่งคนที่ช่วยเตือนสติและทำให้ตนปรับ Mindset คือภรรยาสุดที่รัก “ชาช่า ทามาดะ” ที่บอกว่าจะทำอะไรให้คำนึงถึงคนอื่นด้วย 

เด็กไทยฉลาดขึ้น!! กรมสุขภาพจิต เผยผลสำรวจ เด็ก ป 1. ไทยฉลาดขึ้น ไอคิวเฉลี่ย 102.8 ไอคิวสูงเกิน 130 มากกว่าละ 10

เมื่อวันที่ 10 พ.ค. 2565 ที่โรงแรมปรินซ์พาเลซ กทม. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และ พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต แถลงผลการสำรวจไอคิว อีคิว "เด็กไทย" ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ปี 2564 ภายในงาน “เดินหน้า...สร้างเด็กไทยไอคิวดี” พร้อมมอบประกาศเกียรติคุณแก่บุคคลที่ร่วมดำเนินงานพัฒนาเด็กไทยและพัฒนาสติปัญญาเด็กไทยดีเด่น จำนวน 18 รางวัล

นายอนุทิน กล่าวว่า จากการสำรวจระดับสติปัญญาและความฉลาดทางอารมณ์ของเด็กไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ประจำปี 2564 ทั่วประเทศ พบว่า มีระดับสติปัญญา (ไอคิว) เฉลี่ย 102.8 ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติและผ่านเป้าหมายของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 ที่กำหนดให้เด็กไทยมีไอคิวไม่ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน 100 และเมื่อเปรียบเทียบกับปี 2559 พบว่า เด็กไทยมีไอคิวเฉลี่ยเพิ่มขึ้นถึง 4.5 จุด ส่วนเด็กที่ไอคิวต่ำกว่า 90 ลดลงจาก 31.8% เหลือ 21.7% สะท้อนความสำเร็จจากความร่วมมือของทุกฝ่ายในการพัฒนาเด็กไทยให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ 

อย่างไรก็ตาม ยังมีนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่มีไอคิวในเกณฑ์บกพร่อง ต่ำกว่า 70 อยู่ถึง 4.2% ซึ่งสูงกว่ามาตรฐานสากลที่กำหนดให้ไม่เกิน 2% แสดงว่ายังมีเด็กกลุ่มหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยที่ส่งผลต่อสติปัญญาในช่วงแรกเกิดถึง 5 ปี ซึ่งพบในกลุ่มขาดโอกาสทางสังคม เช่น ครอบครัวที่มีปัญหาทางเศรษฐกิจ เด็กที่เกิดจากมารดาวัยรุ่น ครอบครัวขาดความพร้อมในการเลี้ยงดูเด็กขณะที่ตั้งครรภ์

สำหรับเด็กที่มีระดับสติปัญญาในเกณฑ์ฉลาดมาก คือ "ไอคิวสูง" มากกว่า 130 พบสูงถึง 10.4% เป็นผลจากได้รับการส่งเสริมศักยภาพอย่างเต็มที่จากครอบครัวและสังคม ซึ่งทุกหน่วยงานควรนำมาเป็นต้นแบบในการพัฒนาให้ครอบคลุมทั้งประเทศ

ส่วนผลสำรวจความฉลาดทางอารมณ์ (อีคิว) พบอยู่ในเกณฑ์ปกติ 83.4% แสดงว่าเด็กยังมีความสามารถในการรู้จัก เข้าใจ ควบคุมอารมณ์ สื่อสารอย่างสร้างสรรค์ เอาชนะอุปสรรคในชีวิต และอยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างเหมาะสม ซึ่งมีความสำคัญอย่างมากต่อความสำเร็จและความสุขในอนาคต

“การที่เด็กไทยมีระดับไอคิวสูงขึ้น นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่พระราชทานแนวทางแก้ปัญหาขาดแคลนสารไอโอดีนในเด็ก ทำให้เด็กมีพัฒนาการสมวัยมากขึ้น จึงขอให้กรมสุขภาพจิตและกรมอนามัยเพิ่มเรื่องความรอบรู้ด้านไอโอดีนให้แก่ อสม. เพื่ออธิบายต่อกับชาวบ้านถึงความสำคัญในการให้เด็กได้บริโภคอาหารที่มีสารไอโอดีน” นายอนุทินกล่าว

วันพืชมงคล วันอันอุดมฤกษ์ตามตำราโหราศาสตร์ เหมาะแก่การทำพิธีแรกนา

วันพืชมงคล คือ วันที่กำหนดพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ซึ่งเป็นพระราชพิธีเก่าแก่มาตั้งแต่โบราณ พิธีนี้ทำเพื่อเสริมสร้างขวัญและกำลังใจแก่เกษตรกรของชาติ รวมถึงเป็นการระลึกถึงความสำคัญของเกษตรกรที่มีต่อเศรษฐกิจไทยอีกด้วย 

พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ หรือเรียกสั้น ๆ ว่า พิธีแรกนา เป็นพระราชพิธีที่มีมาแต่โบราณ ในส่วนของวันประกอบพิธีของวันพืชมงคลนั้นจะต้องเป็นวันที่ดีที่สุดของแต่ละปี ซึ่งเป็นวันอันอุดมฤกษ์ตามตำราโหราศาสตร์ ซึ่งในตามตำราของโหราศาสตร์จะประกอบด้วย ขึ้น แรม ฤกษ์ยาม และวันนี้จะต้องอยู่ในระหว่างเดือน 6 เพราะเดือนนี้จะเริ่มเข้าสู่ฤดูฝน ถือว่าเป็นระยะเวลาที่เหมาะสมสำหรับเกษตรกร ชาวไร่ ชาวนาที่จะได้เตรียมทำนากัน

พระราชพิธีพืชมงคล เป็นพิธีทำขวัญพืชพรรณธัญญาหารที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงอธิษฐานเพื่อความอุดมสมบูรณ์ ซึ่งข้าวที่นำเข้าพิธีนั้นจะเป็นข้าวเปลือก มีทั้งข้าวเจ้าและข้าวเหนียว นอกจากนี้ยังมีเมล็ดพืชต่าง ๆ รวม 40 อย่าง

ในปัจจุบันการประกอบพิธีในวันพืชมงคลนั้นจะถูกกำหนดขึ้นโดยโหรหลวง จะมีการทำนายปริมาณน้ำฝนในช่วงฤดูฝนที่กำลังจะมาถึงโดยมีพระยาแรกนาจะทำหน้าที่เลือกผ้า 3 ผืนที่มีความยาวต่างขนาดกัน ถ้าพระยาแรกนาเลือกผืนที่ยาวที่สุดก็ทายว่า ปีนี้ปริมาณน้ำฝนจะมีน้อย ถ้าเลือกผืนที่สั้นที่สุด ทายว่า ปีนี้ปริมาณน้ำฝนจะมาก และถ้าเลือกผืนที่มีความยาวปานกลาง ทายว่า มีปริมาณน้ำฝนพอประมาณ หลังจากนั้นพระยาแรกนาก็จะไถลงไปบนพื้นที่ท้องสนามหลวงด้วยพระนังคัลสีแดงและสีทอง ซึ่งลากโดยพระโคผู้สีขาว ตามขบวนด้วยเทพีทั้ง 4 ผู้ซึ่งหาบกระเช้าทองและกระเช้าเงินที่บรรจุด้วยเมล็ดข้าวเปลือก 

รู้จัก 'เทพ เหวย' !! นักคณิตศาสตร์อัจฉริยะ จาก ม.ปักกิ่ง ผู้ปฏิเสธจดหมายเชิญเรียนป.เอก ของฮาร์วาร์ด

เหวย ตงอี้ หนุ่มมาดเซอร์ ผมยุ่ง พูดจาไม่ค่อยรู้เรื่องไม่เคยสนใจเรื่องแฟชั่น อาจไม่ใช่สเปกของสาวๆ แต่สำหรับชาวมหาวิทยาลัยปักกิ่ง มหาวิทยาลัยแถวหน้าของจีน เหวย ตงอี้ คืออัจฉริยะทางคณิตศาสตร์ขั้นเทพ จนทุกคนพร้อมใจกันเรียกเขาว่า "เหวย เฉิน" หรือ "เทพ เหวย" โดยพร้อมเพรียง

เทพ เหวย เกิดมาพร้อมความสามารถด้านคณิตศาสตร์ระดับสูง ที่ฉายแววไกลมาตั้งแต่สมัยมัธยม จนได้เป็นหนึ่งในตัวแทนทีมชาติจีนเข้าร่วมแข่งขันคณิตศาสตร์โอลิมปิก และสามารถคว้าตำแหน่งอันดับ 1 เหรียญทองคณิตศาสตร์โอลิมปิก ครั้งที่ 49 และ 50 ได้ถึง 2 ปีติดต่อกัน แล้วยังกวาดรางวัลการแข่งขันคณิตศาสตร์อื่นๆ มาแล้วแทบทุกสำนัก

ด้วยความสามารถระดับนี้ ทำให้เหวย ตงอี้ สามารถเข้าเรียนต่อในภาควิชาคณิตศาสตร์ มหาวิทยาลัยปักกิ่งได้เลยโดยไม่ต้องสอบ 'เกาเข่า' หรือการสอบระดับชาติเพื่อเข้าเรียนมหาวิทยาลัยของจีน 

ซึ่งภาควิชาคณิตศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยปักกิ่งนั้น ชื่อเสียงก็ไม่ธรรมดา เป็นหนึ่งในคณะเสาหลักที่สร้างชื่อเสียงระดับโลกให้แก่สถาบัน และยังเป็นแหล่งรวมเด็กนักเรียน และอาจารย์ชั้นหัวกะทิของจีน ที่หากใครไม่แน่จริง คืออยู่ไม่ได้ 

แต่สำหรับ เหวย ตงอี้ แล้ว ที่นี่เป็นสถาบันที่ส่งเสริมให้เขาฉายแววยิ่งขึ้นไปอีก หลังจากเข้าเรียนได้ไม่นาน เขาก็ได้รับเลือกให้เป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ในการฝึกสอนให้กับนักศึกษาของมหาวิทยาลัยปักกิ่ง ซึ่งหน้าที่ของผู้ช่วยศาสตราจารย์เหวย กลายเป็นมุกตลกในภาควิชาคณิตศาสตร์ไม่น้อย เมื่อศาสตราจารย์เจ้าของวิชาแนะนำผู้ช่วยคนใหม่ให้นักศึกษาในชั้นว่า 

"นี่คือผู้ช่วยคนใหม่ของผม หากพวกคุณสงสัยโจทย์ข้อไหน ให้มาถามผม ถ้าผมตอบไม่ได้ ผมจะถามผู้ช่วยของผมอีกที แต่ถ้าถึงขนาดที่ผู้ช่วยของผมยังตอบไม่ได้หล่ะก็ แสดงว่าโจทย์นั้นผิด" 

States TOON EP.58

สายพันธุ์ใหม่!!

ติดตามการ์ตูนอัปเดตได้ทุกสัปดาห์ใน…

'ฟลอเรนซ์ ไนติงเกล' ผู้บุกเบิกด้านการพยาบาลสมัยใหม่ เป็นที่มาของ ‘วันพยาบาลสากล’

ฟลอเรนซ์ ไนติงเกล (Florence Nightingale) สตรีชาวอังกฤษผู้บุกเบิกด้านการพยาบาลสมัยใหม่ เกิดวันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2363 ในครอบครัวเศรษฐีชาวอังกฤษที่กรุงฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี

ด้วยความศรัทธาต่อพระเจ้า ซึ่งเธอกล่าวว่าได้ยินเสียงจากพระองค์ให้เธอช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ในปี พ.ศ. 2380 ซึ่งสมัยนั้นสังคมยังกำหนดบทบาทให้ผู้หญิงเป็นเพียงแม่บ้านและภรรยาเท่านั้น เธอปฏิเสธความเชื่อดังกล่าว เริ่มออกช่วยรักษาคนป่วยที่ยากจน ในปี พ.ศ. 2389 เธอเดินทางไปศึกษาพยาบาลที่เมืองไคเซอร์เวิร์ธ (Kaiserswerth) ประเทศเยอรมนี และเริ่มอาชีพพยาบาลตั้งแต่ปี 2394

ในช่วง สงครามไครเมีย (Crimean War) ประเทศตุรกี ระหว่างรัสเซียกับฝรั่งเศสและอังกฤษ หลังจากพบว่ามีทหารล้มตายและบาทเจ็บจำนวนมาก โดยไม่มีหน่วยงานเข้ามาดูแลอย่างจริงจัง เธอจึงรวมตัวกับเพื่อน 38 คนเป็นพยาบาลอาสาตั้งโรงพยาบาลชั่วคราวในสนามรบ โดยใช้มาตรฐานอย่างเข้มงวด ทั้งการรักษา สุขภาพอนามัย และอาหาร เธอดูแลคนป่วยอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยแม้ในยามมืดค่ำ เธอยังคงรักษาคนไข้ใต้แสงตะเกียง จนได้รับการยกย่องว่า “สตรีผู้ถือตะเกียง” (The Lady with the Lamp)

วันนี้เมื่อ 211 ปีก่อน คือ วันถือกำเนิดของแฝดสยามคู่แรกของโลก

ย้อนไปเมื่อ 211 ปีก่อน ในวันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2354 ซึ่งตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ฝาแฝดอิน-จัน ได้ถือกำเนิดในครอบครัวชาวไทยเชื้อสายจีน ที่จังหวัดสมุทรสงคราม โดยมีบิดาเป็นชาวจีนอพยพแต่ครั้งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ชื่อ นายที มารดาเป็นคนไทยชื่อ นางนาก (บันทึกของชาวตะวันตกเรียกว่า นก (Nok)) ซึ่งฝาแฝดคู่นี้สามารถเติบโตและใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติ แตกต่างไปจากแฝดติดกันคู่อื่น ๆ ที่มักเสียชีวิตหลังคลอดได้ไม่นาน 

เนื่องด้วยเกิดที่ประเทศสยาม แฝดอิน-จัน จึงได้รับการขนานนามว่า “แฝดสยาม (Siamese Twins)” ซึ่งมีชื่อเสียงไปทั่วโลก และยังเป็นคำเรียกฝาแฝดที่เกิดมามีตัวติดกันอีกด้วย 

โดยในปี พ.ศ. 2367 นายโรเบิร์ต ฮันเตอร์ พ่อค้าชาวอังกฤษ หรือที่คนไทยสมัยนั้นเรียกว่า "นายหันแตร" ได้พบแฝดคู่นี้กำลังว่ายน้ำเล่นอยู่ ด้วยความประหลาดและน่าสนใจ นายฮันเตอร์จึงคิดที่จะนำฝาแฝดคู่นี้ไปแสดงโชว์ตัวที่สหรัฐอเมริกา จึงเข้าทำความสนิทสนมกับครอบครัวของฝาแฝดอยู่นานนับปี จนพ่อแม่ของทั้งคู่ไว้วางใจ ในที่สุดนายอาเบล คอฟฟิน กัปตันเรือสินค้า เดอะ ชาเคม (The Sachem) ซึ่งขณะนั้นได้เข้ามาทำการค้าในประเทศไทย ได้เป็นผู้นำตัวคู่แฝดออกเดินทางจากประเทศไทยเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2372 ขณะนั้นอิน-จัน อายุได้ 18 ปี จากนั้นเมื่อถึงอเมริกา คู่แฝดได้ออกเดินทางแสดงทั่วอเมริกาและยุโรปนานนับ 10 ปี 

กระทั่ง เมื่ออายุได้ 28 ปี ใน พ.ศ. 2382 (ค.ศ. 1839) ทั้งคู่ก็ได้ลงหลักปักฐานที่หมู่บ้านแทรปฮิลล์ (Traphill) เขตชานเมืองวิลส์โบโร (Wilkesboro) เคาน์ตีวิลส์ ในรัฐนอร์ทแคโรไลนา โดยลงทุนซื้อที่ดิน 11 เอเคอร์ พร้อมกับได้เปลี่ยนชื่อและเปลี่ยนสัญชาติเป็นอเมริกัน โดยใช้ชื่อว่า เอ็ง-ชาง บังเกอร์ (Eng and Chang Bunker) พร้อมกับได้แต่งงานกับหญิงชาวอเมริกัน อินสมรสกับ Sarah Ann Yates (1822 - 1905) และจันสมรสกับ Adelaide Yates Bunker (1823 - 1917) และมีลูกด้วยกันหลายคน จัน 10 คน อิน 11 คน ซึ่งระหว่างที่ทั้งคู่ใช้ชีวิตในต่างประเทศนั้น มีความพยายามหลายครั้งจากหลายบุคคลที่จะทำการผ่าตัดแยกร่างทั้งคู่ออกจากกัน แต่ท้ายที่สุดก็มิได้มีการดำเนินการจริง ๆ

ถ่ายยังไงให้น่ากลัว เทคนิคถ่ายภาพผีด้วย iPhone 13 Pro ใน ‘ผี ตาม คน’ หนังสั้นจากผู้กำกับไทย ‘ภาคภูมิ วงศ์ภูมิ’ 

ที่ผ่านมาแอปเปิล (Apple) จะเข้าไปทำงานร่วมกับช่างภาพ และผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดังในหลากหลายประเทศ เพื่อนำเสนอผลงานทั้งภาพนิ่ง และภาพยนตร์สั้นที่ถ่ายทำด้วย iPhone แสดงให้เห็นถึงความสามารถที่ถูกปรับปรุงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ในคราวนี้ถึงเวลาที่ผลงานของผู้กำกับภาพยนตร์ชาวไทยอย่าง ภาคภูมิ วงศ์ภูมิ ผู้กำกับภาพยนตร์สยองขวัญชื่อดังอย่าง ‘ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ’ ‘แฝด’ ‘สี่แพร่ง’ และ ‘ห้าแพร่ง’ ที่เลือกนำเรื่องราวของผีตาโขน กลับมาถ่ายทอดในอีกมุมมองผ่านเลนส์ของกล้อง iPhone 13 Pro

โดยผลงานเรื่อง ‘ผีตามคน’ นับเป็นภาพยนตร์สั้นเกี่ยวกับผีเรื่องแรกของ Apple และถือเป็นการกลับมากำกับภาพยนตร์อีกครั้งในรอบ 4 ปี เล่าถึงเรื่องราวของ 2 โจรวัยรุ่นที่หนีตำรวจมาพบกับร้านหน้ากากผีตาโขน และนำมาเป็นบทเรียนเกี่ยวกับกฎแห่งกรรม

นอกจากนี้ ภาคภูมิ ยังยกให้ความสามารถของ iPhone 13 Pro ที่สามารถเก็บรายละเอียดในที่แสงน้อย และโหมดภาพยนตร์ (Cinematic) เป็นไฮไลต์เด่นของ iPhone 13 Pro ที่ทำให้ผลงานชิ้นนี้ออกมาได้อย่างประทับใจ แฝงกลิ่นอายความหลอน และน่ากลัวได้เป็นอย่างดี

นอกจากนี้ ใครที่ใช้งาน iPhone แล้วอยากตามไปถ่ายภาพแบบหลอนๆ ลองใช้งานเทคนิค และโหมดพิเศษที่มีอยู่แล้วใน iPhone ไปลองทำตามกันได้แบบง่ายๆ โดยเฉพาะการถ่ายภาพในที่แสงน้อยที่กลายเป็นเอกลักษณ์ของ iPhone 13 Pro

1.) ที่แสงน้อย ใช้มุมกว้างช่วย
ด้วยระบบการถ่ายภาพในที่แสงน้อยของ iPhone 13 Pro ซึ่งถูกออกแบบให้คำนวณสภาพแสงในเวลานั้น และปรับความเร็วชัตเตอร์ในการถ่ายภาพให้เหมาะสม ทำให้การถ่ายภาพในที่แสงน้อยยังสามารถเก็บรายละเอียดได้อยู่ รวมถึงในโหมดถ่ายภาพบุคคลด้วย

ดังนั้น ถ้าใครอยากได้ฟีลบรรยากาศมืดๆ สลัวๆ ลองหยิบ iPhone 13 Pro ขึ้นมา แล้วเลือกปรับลดชดเชยแสงลงสักเล็กน้อย มองหามุมหลอนๆ อย่างการถ่ายภาพผู้หญิงผมยาว ใส่ชุดสีขาว ต้องได้ภาพที่น่าสนใจแน่นอน

ถ้ายังไม่น่ากลัว ลองปรับมุมมองเพิ่มเติมด้วยการใช้เลนส์ Ultra Wide หรือเลนส์มุมกว้าง แล้วถ่ายเสยขึ้น ที่จะทำให้ตัวแบบมีความยิ่งใหญ่ขึ้น ช่วยเปลี่ยนฟีลของภาพให้น่ากลัวขึ้นไปอีก

2.) ถ่ายให้เกิดเงาผีด้วย Long Exposure
อีกลูกเล่นน่าสนใจที่พลาดไม่ได้คือการถ่ายภาพติดวิญญาณ หรือบรรดาภาพถ่ายติดเงาผีทั้งหลาย ที่จะเล่นกับแบบที่มีการเคลื่อนไหว พร้อมนำโหมดอย่าง Long Exposure มาใช้งาน

วิธีการถ่ายก็ง่ายมากๆ แค่ปรับการชดเชยแสงลงให้ได้บรรยากาศสลัวๆ เลือกจับโฟกัสไปในจุดที่ต้องการบันทึกภาพ หลังจากนั้นนับคิวกับแบบให้ขยับในช่วงเวลาที่กดชัตเตอร์

หลังจากนั้น เปิดเข้าไปดูภาพในอัลบั้ม แล้วเปลี่ยนจาก Live view ที่มุมซ้ายบนให้กลายเป็น Long Exposure ก็จะได้ภาพถ่ายติดวิญญาณมาให้ได้เล่นกันแล้ว แน่นอนว่าโหมดนี้ยังสามารถนำไปประยุกต์ถ่ายเส้นสายไฟ หรือน้ำตก เพื่อให้ภาพได้ฟีลที่มีความเคลื่อนไหวเพิ่มเติมได้ด้วย

3.) Cinematic ปรับอารมณ์ให้หลอนขึ้น
ความสามารถใหม่ที่มาใน iPhone 13 Pro เกี่ยวกับการบันทึกวิดีโอ คงหนีไม่พ้นโหมด Cinematic ที่เปิดให้เราสามารถเลือกสลับโฟกัสระหว่างจุดได้อย่างง่ายดาย แม้ในเวลาถ่าย หรือหลังจากถ่ายแล้วก็สามารถปรับแต่งทีหลังได้

แน่นอนว่าเมื่อนำมาถ่ายวิดีโอผีๆ การเลือกปรับจุดโฟกัสที่แนบเนียนจะช่วยเพิ่มบรรยากาศของความหลอนเข้าไปอีก รวมถึงช่วยนำสายตาในการเล่าเรื่องให้น่าสนใจมากขึ้นด้วย ใครยังไม่ได้ลองเล่นโหมดนี้ห้ามพลาด


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top