Saturday, 28 June 2025
Hard News Team

'กรมอนามัย' ร่วมกับเครือข่าย แก้ปัญหาขยะติดเชื้อล้น แนะทิ้งถูกวิธี ลดปัญหาสิ่งแวดล้อม

กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับกรมโรงงานอุตสาหกรรม กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นเทศบาลนครนนทบุรี และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง บูรณาการความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาขยะติดเชื้อล้นแนะทิ้งให้ถูกวิธีตามหลักสุขาภิบาล 

วันนี้ (9 มีนาคม 2565) นายแพทย์อรรถพล แก้วสัมฤทธิ์ รองอธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยภายหลังแถลงข่าว ร่วมกับกรมโรงงานอุตสาหกรรม กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานและเทศบาลนครนนทบุรี บูรณาการความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาประเด็น “การบริหารจัดการและแนวปฏิบัติ ในการจัดการมูลฝอยติดเชื้อภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19” ณ ห้องประชุมสมบูรณ์ วัชโรทัย อาคาร 1 ชั้น 2 กรมอนามัย ว่า อธิบดีกรมอนามัย (นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย) มีความห่วงใยต่อสถานการณ์ปริมาณมูลฝอยติดเชื้อที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 

โดยเฉพาะมูลฝอยติดเชื้อที่เกิดขึ้นในชุมชน ทั้งจากศูนย์แยกกักในชุมชนและการแยกกักที่บ้าน เนื่องจากทุกครอบครัวสามารถซื้อชุดตรวจ ATK เพื่อนำมาใช้ตรวจโควิด-19 ด้วยตัวเองได้ จึงก่อให้เกิดมูลฝอยทั่วไป และมูลฝอยติดเชื้อจากครัวเรือนมากขึ้น โดยคาดการณ์ว่าจะมีปริมาณมูลฝอยติดเชื้อเกิดขึ้นสูงสุดในช่วงเดือนเมษายน 2565 เฉลี่ยประมาณ 789 ตัน/วัน ขณะที่ศักยภาพระบบการกำจัดรวมมูลฝอยติดเชื้อในภาพรวมของประเทศ สามารถกำจัดได้เพียง 342.3 ตัน/วันเท่านั้น จึงส่งผลให้เกิดปัญหาการจัดการมูลฝอยติดเชื้อในหลายพื้นที่ ตั้งแต่ปัญหาการสะสมตกค้าง ณ แหล่งกำเนิด กระบวนการเก็บขนที่มีอยู่ไม่เพียงพอ และไม่สามารถให้บริการได้ครอบคลุม   

นายแพทย์อรรถพล กล่าวต่อไปว่า ขณะนี้กรมอนามัยได้ประสานความร่วมมือกับกรมโรงงานอุตสาหกรรม กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น เทศบาลนครนนทบุรี และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง บูรณาการความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ครอบคลุมตั้งแต่การจัดการที่ต้นทาง กลางทาง และปลายทาง ทำให้สามารถจัดหาสถานที่กำจัดเพิ่มเติม จำนวน 11 แห่ง มีศักยภาพการกำจัด 1,189 ตันต่อวัน เมื่อรวมกับระบบกำจัดมูลฝอยติดเชื้อเดิมทำให้ภาพรวมของประเทศมีศักยภาพของระบบกำจัดมูลฝอยติดเชื้อเพิ่มขึ้นเป็น 1,532 ตันต่อวัน เพียงพอและสามารถรองรับปริมาณมูลฝอยติดเชื้อที่เกิดขึ้นของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

อีกทั้ง การบริหารจัดการมูลฝอยติดเชื้อที่กรมอนามัยจัดทำขึ้น เป็นการบริหารจัดการที่ให้ความสำคัญตั้งแต่ กระบวนการคัดแยก เก็บขน และกำจัดมูลฝอยติดเชื้อ โดยทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องต้องให้ความร่วมมือในการจัดการร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งมีอำนาจและหน้าที่ในการบริหารจัดการมูลฝอยติดเชื้อในพื้นที่รับผิดชอบ

“ทั้งนี้ มูลฝอยที่เกิดขึ้นในชุมชนที่เกิดจากการแยกกักตัวที่บ้าน หรือ Home Isolation ให้ทำการคัดแยกขยะ เพื่อเป็นการลดปริมาณมูลฝอยติดเชื้อที่ต้องกำจัด โดยคัดแยกเป็น 2 ส่วน คือ 1) มูลฝอยที่ไม่ได้ปนเปื้อนน้ำมูก น้ำลาย หรือ สารคัดหลั่ง เช่น เอกสารกำกับชุดตรวจ และกล่องบรรจุภัณฑ์ เป็นต้น ขยะประเภทนี้ให้เก็บรวบรวมทิ้งถังขยะทั่วไปที่มีฝาปิดมิดชิด 2) มูลฝอยที่ปนเปื้อนน้ำมูก น้ำลาย หรือสารคัดหลั่ง เช่น หน้ากากอนามัย กระดาษทิชชู ภาชนะใส่อาหารพร้อมบริโภค (แบบใช้ครั้งเดียว) และชุดตรวจ ATK (ตลับหรือแผ่นทดสอบ หลอดใส่น้ำยา ฝาหลอดหยด ไม้ Swap) เป็นต้น ถือเป็นมูลฝอยที่มีความเสี่ยงสูง ให้แยกจัดการเป็นมูลฝอยติดเชื้อ เพราะมีโอกาสแพร่กระจายเชื้อโรคได้

‘ยุน ซุกยอล’ คว้าชัยเลือกตั้ง ขึ้นแท่นว่าที่ผู้นำ ‘เกาหลีใต้’ คนใหม่

ยุน ซุกยอล (Yoon Suk-yeol) ผู้สมัครจากพรรคฝ่ายค้านสายอนุรักษนิยม คว้าชัยชนะในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีเกาหลีใต้ด้วยคะแนนเฉียดฉิวไม่ถึง 1% ขึ้นแท่นว่าที่ผู้นำประเทศคนใหม่ในปรากฏการณ์ที่ถูกเรียกว่าเป็น “แผ่นดินไหวการเมือง” สำหรับเกาหลีใต้ ท่ามกลางกระแสความไม่พอใจนโยบายเศรษฐกิจและข่าวคราวอื้อฉาวต่างๆ ของรัฐบาลชุดปัจจุบัน

ชัยชนะของ ยุน นับเป็นจุดพลิกผันครั้งใหญ่สำหรับพรรคพลังประชาชนเกาหลีใต้ (People Power Party) ซึ่งอยู่ในสภาพซวนเซมาโดยตลอด หลังจากที่อดีตประธานาธิบดี พัค กึน-ฮเย ถูกรัฐสภาขับพ้นตำแหน่งเมื่อปี 2017

ยุน ให้คำมั่นสัญญาว่าจะเข้ามาปราบการทุจริตรับสินบน ส่งเสริมความยุติธรรม และสนับสนุนการแข่งขันทางเศรษฐกิจอย่างเปิดกว้าง ขณะเดียวกันก็ประกาศจะ “รีเซต” ความสัมพันธ์กับจีน และแสดงจุดยืนแข็งกร้าวต่อเกาหลีเหนือ

ยุน ยังต้องเตรียมมาตรการรับมือวิกฤตที่ท้าทายหลายอย่าง ทั้งปัญหาช่องว่างระหว่างคนต่างเพศและต่างช่วงวัย, ความไม่เท่าเทียมทางสังคม รวมไปถึงราคาที่พักอาศัยที่พุ่งสูงขึ้น

ศึกเลือกตั้งคราวนี้นับว่าเป็นการแข่งขันที่ดุเดือดและสูสีที่สุดในประวัติศาสตร์เกาหลีใต้ยุคใหม่ โดย ยุน นั้นเฉือนเอาชนะ อี แจ-มยอง (Lee Jae-myung) จากพรรครัฐบาลเดโมเครติกปาร์ตีไปด้วยคะแนน 48.6% ต่อ 47.8% จากผลการนับคะแนนที่ผ่านไปแล้ว 99.8% เมื่อเวลา 5.30 น. ตามเวลาท้องถิ่นวันนี้ (10 มี.ค.)

อี ได้ออกมาประกาศยอมรับความพ่ายแพ้ และแสดงความยินดีกับคู่แข่งของเขาแล้ว

“ผมทำดีที่สุดแล้ว แต่ไม่สามารถทำได้อย่างที่ทุกคนคาดหวัง” อี ระบุในงานแถลงข่าว พร้อมโทษว่าเป็นเพราะตนเอง “ยังมีข้อบกพร่องอยู่”

ความพ่ายแพ้ของ อี แจ-มยอง ทำให้หลายฝ่ายเริ่มตั้งคำถามว่านโยบายต่างๆ ที่เป็น “มรดก” ของประธานาธิบดี มุน แจอิน จะได้รับการสานต่อหรือไม่ โดยเฉพาะการเจรจากับเกาหลีเหนือ ซึ่งแทบจะหยุดชะงักไปตั้งแต่ปี 2019

ผู้นำเกาหลีใต้คนใหม่จะต้องเตรียมรับมือวิกฤตความสัมพันธ์กับเปียงยาง ซึ่งกระแสข่าวระบุว่ามีแผนจะส่งดาวเทียมสอดแนมขึ้นสู่อวกาศ และคาดว่าผู้นำโสมแดงอาจจะสั่งฟื้นการทดสอบขีปนาวุธพิสัยไกลข้ามทวีป (ICBM) หรืออาวุธนิวเคลียร์ภายในปีนี้ หลังจากที่ระงับไปตั้งแต่ปี 2017

ยุน ประกาศจะสานสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นกับสหรัฐฯ ท่ามกลางภัยคุกคามจากเกาหลีเหนือ และการแข่งขันกับจีนซึ่งเป็นประเทศคู่ค้าอันดับ 1 ของเกาหลีใต้

ด้านทำเนียบขาวได้มีถ้อยแถลงแสดงความยินดีต่อ ยุน พร้อมระบุว่าประธานาธิบดี โจ ไบเดน รอคอยที่จะได้ร่วมงานกับเขาเพื่อสร้างพันธมิตรที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม

ดูยอน คิม ผู้เชี่ยวชาญจากศูนย์เพื่อความมั่นคงอเมริกันใหม่ (Center for a New American Security) ในกรุงโซล ชี้ว่า การก้าวสู่อำนาจของ ยุน “ทำให้คาดหวังได้ว่า ความเป็นพันธมิตรระหว่างสหรัฐฯ กับเกาหลีใต้จะราบรื่นและเข้าขากันมากยิ่งขึ้น ทั้งในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเกาหลีเหนือ จีน ภูมิภาค รวมถึงกิจการระดับโลก”

สำหรับศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีเกาหลีใต้คราวนี้มีผู้ออกมาใช้สิทธิ์ราว 77% จากจำนวนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง 44 ล้านคน แม้สถานการณ์โควิด-19 ในเกาหลีใต้จะยังคงหนักหนาสาหัส โดยมีรายงานผู้ติดเชื้อใหม่สูงถึง 342,446 รายเมื่อวันพุธ (9 ก.พ.) ก็ตาม

ยุน รับปากว่าจะทำงานร่วมกับพรรคฝ่ายค้าน เพื่อเยียวยาการเมืองที่แตกแยกและสร้างความเป็นปึกแผ่นในชาติ

“การแข่งขันได้จบลงแล้ว” ยุน กล่าว พร้อมทั้งฝากถ้อยคำขอบคุณไปยัง อี และผู้สมัครคู่แข่งรายอื่นๆ “เราทุกคนต้องจับมือกัน ร่วมแรงร่วมใจกัน เพื่อประชาชนและประเทศชาติของเรา”

ว่าที่ผู้นำเกาหลีใต้คนใหม่ยังบอกกับบรรดาผู้สนับสนุนว่า การสร้างความสามัคคีภายในชาติคือสิ่งที่รัฐบาลของเขาจะให้ความสำคัญเป็นที่หนึ่ง และประชาชนทุกคนจะต้องได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม โดยไม่แบ่งแยกภูมิภาค ขั้วการเมือง หรือสถานะทางเศรษฐกิจและสังคม

ที่มา: รอยเตอร์
https://mgronline.com/around/detail/9650000023651

‘ไทด์ เอกพันธ์’ เปิดข้อมูลลับแตงโมที่ไม่ถูกเผยแพร่ ‘ใบหน้า-ดวงตา’ ช้ำเหมือนถูกของแข็งกระแทก 

ยังคงเป็นประเด็นที่ถูกตั้งคำถาม ภายใต้การเปิดเผยข้อมูลใหม่ออกมาอย่างต่อเนื่อง สำหรับกรณีของ ‘แตงโม ภัทรธิดา’ หรือ ‘แตงโม นิดา’ กับการจมน้ำเสียชีวิตที่หลายคนยังกังขา

ล่าสุด ‘ไทด์ เอกพันธ์ บรรลือฤทธิ์’ ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ถึง ‘ข้อมูลลับ’ ในรายการ ‘ดราม่าวันนี้ ช่อง 9’ ซึ่งมี ‘อั๋น ภูวนาท’ เป็นผู้ดำเนินรายการ หลังเจ้าตัวเฝ้ารอมานานถึงการออกมาชี้แจงข้อมูลที่ตนเองทราบขณะเจอร่างของ ‘แตงโม ภัทรธิดา’ แต่ยังไม่ได้ถูกเผยแพร่ ทำให้ตนต้องออกมาพูดให้ทราบ โดยไทด์ชี้ว่า บริเวณใบหน้า ดวงตาของแตงโม มีรอยช้ำเหมือนถูกของแข็งกระแทก 

'อนุสรณ์' โดนจวกยับ หลังแขวะ 'ซีพี' ทำไมขายหน้ากาก? ด้านซีพีแจง!! แจกแล้วกว่า 31 ล้านชิ้น พร้อมทำต่อเนื่อง

10 มี.ค. 65 นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมือง พรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กว่า เหมือนเคยสัญญาว่าจะทำมาแจก? พร้อมเผยแพร่อินโฟกราฟิก ภาพนายธนินท์ เจียรวนนท์ แห่งเครือเจริญโภคภัณฑ์อาหาร (ซีพี) ใต้ภาพมีคำว่า หน้ากาก '7/ 11' แขวนขายทำไม? ไหน 'คำสัญญา' เมื่อเมษา 63 ตั้งโรงงานผลิต แจก 3 ล้านชิ้น/เดือน

หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก เช่น โพสต์แบบนี้ มันบ่งชี้ถึงสติปัญญาที่มีนะครับ / account นี้ท่านอนุสรณ์เล่นเองหรือป่าวค่ะ...รู้สึกผิดหวังมากเลยค่ะ / 1 ใน 50 ที่โทนี่พูดใช่ไหม กินข้าวหรือเปล่า กรุณาใช้สมองคิดสักนิด คุณภาพพรรคก็ตามที่โพสต์ / เขาให้โรงพยาบาล / CPALL สนใจให้ฝ่ายกม.มาดูแลไหมครับ / ผมผิดหวังแบบ 100% เมื่อไหร่พรรคนี้จะหาคนเก่งๆ เข้ามาบ้าง / ตลกมาก พรรคเพื่อไทยอยู่หลังเขา หากิน สร้างเรื่องไปวันๆ หน้ากากโครงการนี้เขาแจกบุคลากรทางการแพทย์ โรงพยาบาล ตอนที่หน้ากากขาดตลาด และแจกคนด้อยโอกาส ไม่มีเงินซื้อหน้ากาก แจกฟรีมากว่า 2 ปี กว่า 30 ล้านชิ้น ถ้าอยากได้ แสดงหลักฐานว่าด้อยโอกาส ขอไปที่เจ้าสัว น่าจะได้นะ

อย่างไรก็ตาม เกี่ยวกับประเด็นนี้ ทางเครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือ ‘ซีพี’ ก็ได้มีการออกแถลงการณ์ชี้แจงทันที โดยระบุว่า... 

ตามที่ปรากฏในกระแสโซเชียลมีเดีย ได้มีการแชร์ข่าวบิดเบือนเกี่ยวกับการแจกจ่าย หน้ากากอนามัยฟรีของเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ซึ่งทำให้เกิดความเข้าใจผิดต่อสังคม โดยในวันที่ 8 มีนาคม 2565 ผู้ใช้นามว่าในเฟซบุ๊กได้ลง ข้อความและภาพประกอบ ระบุว่า “ใครว่าได้บ้าง !!? มาช่วยกันทวง” พร้อมกับแชร์รูป ที่มีการบิดเบือนว่ามีการนำหน้ากากอนามัยแจกฟรีของเครือซีพีไปจำหน่ายในเซเว่นนั้น ขอยืนยันข้อเท็จจริงอีกครั้งว่า ข้อมูลดังกล่าวไม่เป็นความเป็นจริง ซึ่งหน้ากากอนามัยซีพี ยังคงร่วมกับโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย แจกฟรี ให้กับบุคลากรทางแพทย์ และกลุ่มเปราะบางต่อเนื่อง โดยแจกจ่ายไปแล้วกว่า 31 ล้านชิ้น และยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง

'กบฉ.ไฟเขียว' ต่อพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ '3 จ.ใต้' ย้ำ เข้มมาตรการ เฝ้าระวังชายแดน-โควิด-19-งานข่าวในพื้นที่ 

ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน ครั้งที่ 1/2565 มีพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม เข้าร่วม

โดยที่ประชุมเห็นชอบขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในพื้นที่ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ออกไปอีกเป็นระยะเวลา 3เดือน ทั้งนี้ ตั้งแต่ 20 มี.ค.- 19 มิ.ย.65 โดยเป็นการขยายระยะเวลา ครั้งที่ 67 ยกเว้น อ.ศรีสาคร ,อ.สุไหงโก-ลก ,อ.แว้ง ,อ.สุคิริน จ.นราธิวาส  อ.ไม้แก่น ,อ.แม่ลาน จ.ปัตตานีและ อ.เบตง ,อ.กาบัง จ.ยะลา ตามข้อเสนอของ กอ.รมน.ภาค4 ส่วนหน้า เสนอ เพื่อให้การปฏิบัติงานของเจเาหน้าที่เกิดความต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ สามารถดูแลรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่ ต่อไป 

นอกจากนั้น รับทราบผลการปฏิบัติงานตามพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ตั้งแต่ 20 ธ.ค.64-10 ก.พ.65 โดยภาพรวมสถานการณ์การก่อเหตุความรุนแรงในพื้นที่มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง และประชาชนให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่รัฐด้วยดี รวมถึงรับทราบความคืบหน้าผลการดำเนินงานตามแผนปรับลดพื้นที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งมีแนวโน้มที่จะปรับลดพื้นที่เพิ่มขึ้น

‘ท่านใหม่’ เตือนไทย อย่าหลงเชื่อพวกคนแดนไกล ทำลาย ‘สัมพันธ์ - ต่อต้าน’ และถึงขั้นรบกับจีน 

ไม่นานมานี้ ‘ท่านใหม่’ หม่อมเจ้า จุลเจิม ยุคล ได้โพสต์เฟซบุ๊กเตือนสติคนไทยและรัฐบาลไทย หลังจากระยะหลัง เริ่มวางบทบาทที่อาจจะไปกระเทือนความสัมพันธ์อันดีกับประเทศจีน ด้วยการหลงเชื่อกลุ่มประเทศจากแดนไกล ว่า... 

ประเทศไทยต้องไม่เป็นยูเครนสอง

อย่าคิดทำลายมิตรภาพที่ดีระหว่างประเทศจีน และประเทศไทย ไปหลงเชื่อพวกคนแดนไกล

ขณะนี้ประเทศไทย เรา รัฐบาลเรา ก็ประพฤติปฏิบัติอย่างเดียวกันกับยูเครน นั่นคือ ได้ไปทำข้อตกลงกับสหรัฐฯ ก่อตั้งพันธมิตรตามยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก ในการต่อต้านภัยคุกคามจากจีน โดยจะมีญี่ปุ่น, ออสเตรเลีย, เกาหลีใต้ และฟิลิปปินส์เข้ามาผสมโรงด้วย 

พูดง่ายๆ ก็คือเอาประเทศไทยเข้าเป็นพันธมิตรกับอเมริกา ซึ่งเป็นหัวหน้าใหญ่ของนาโต้ และสมุนบริวารเพื่อตั้งตัวเป็นศัตรูกับจีน ‘ต่อต้านจีน’ กระทั่งอาจเตรียมที่จะทำสงครามกับจีนด้วย (หวังว่าคงไม่เป็นเช่นนั้น)

ไปตั้งความตกลงนี้กันอย่างปกปิดเงียบเชียบโดยคนไทยทั้งประเทศไม่มีใครรู้เห็น จนกระทั่งสถานทูตสหรัฐฯ นำข้อตกลงนี้ออกมาเผยแพร่ คนไทยจึงเพิ่งรับรู้กันในระยะไม่กี่วันมานี้ จึงมีการกล่าวขานกันอย่างกว้างขวางว่า “นี่คือการกระทำที่ชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้านอย่างเดียวกันกับยูเครน”

...ไม่สำเหนียกเลยว่าประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ไทย-จีน นั้นมีแต่ความเป็นพี่น้องกัน 
...ไม่มีครั้งไหนที่ไทยเดือดร้อนแล้วจีนจะไม่ให้ความช่วยเหลือ 
...ไม่ว่าจากศึกเหนือเสือใต้หรือจากภัยพิบัติ หรือจากปัญหาเศรษฐกิจ จีนก็เอื้อเฟื้อช่วยเหลือตลอดมา 
...ไม่เคยกระทำการใดๆ ที่เป็นภัยต่อประเทศไทยเลย 

แม้กระนั้นก็มิได้สำนึกในบุญคุณ กลับทรยศต่อมิตรไปคบคิดกับคนแดนไกล (อเมริกา) มาก่อความขัดแย้งใหญ่ขึ้นในภูมิภาค ในพระราชอาณาจักรเรา ที่มีแต่ความสงบสุข มาเป็นเวลากว่า ร้อยๆ ปี

'โฆษกรัฐบาล' เผย ไทยเตรียมพร้อมมาตรการรองรับการเปลี่ยนผ่านการระบาดของโรคโควิด-19 สู่โรคประจำถิ่น สอดคล้องกับระดับสถานการณ์และมาตรฐานองค์การอนามัยโลก - นายกฯ เน้น ให้ประชาชนดำรงชีวิตได้เป็นปกติใหม่ภายใต้หลัก Universal Prevention 

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึง ความพร้อมสำหรับมาตรการรองรับการเปลี่ยนผ่านการระบาดของโรคโควิด - 19 สู่โรคประจำถิ่น เป็นไปตามนโยบายและข้อสั่งการของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อให้ประเทศไทยมีความพร้อมสอดคล้องกับระดับสถานการณ์ โดยคำนึงถึงทั้งสุขภาพของคนไทย รวมทั้งการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ   โดยนายกรัฐมนตรีเน้นบริหารจัดการ เตรียมความพร้อมในทุกมิติ ครอบคลุมทั้งการเฝ้าระวังสำหรับผู้เดินทางเข้าประเทศ การบริหารจัดการวัคซีน มาตรการป้องกันและควบคุมโรค คู่ขนานไปการรักษาระบบเศรษฐกิจสร้างรายได้เข้าประเทศ เพี่อให้ประชาชนสามารถประกอบอาชีพและดำรงชีวิตได้เป็นปกติใหม่ภายใต้หลัก Universal Prevention 

สำหรับมาตรการเตรียมความพร้อมเข้าสู่โรคประจำถิ่นมีแผนดำเนินการที่ครอบคลุมทุกมิติ โดยอัตราความรุนแรงของโรคจะต้องสามารถควบคุมได้ มีสถานพยาบาลที่สามารถรองรับผู้ป่วยได้อย่างเพียงพอ ประชาชนสามารถเข้าถึงระบบการรักษาได้อย่างรวดเร็ว ประกอบกับจำนวนผู้เสียชีวิตอยู่ภายใต้อัตราส่วนของสากล สอดคล้องกับมาตรฐานองค์การอนามัยโลก ทั้งนี้  ประชาชนยังต้องปฏิบัติตามมาตรฐานป้องกันโรคอย่างเคร่งครัด และการได้รับวัคซีนครบถ้วน รวมทั้งวัคซีนเข็มกระตุ้น เพี่อช่วยลดอัตราความรุนแรงของโรคได้

ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ ตรวจการฝึก ของหมู่เรือฝึกช่วยเหลือและบรรเทาสาธารณภัย กองทัพเรือ 65

ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการและคณะ ได้เดินทางไปตรวจการฝึก ของหมู่เรือฝึกช่วยเหลือและบรรเทาสาธารณภัย กองทัพเรือ 65 บนเรือหลวงอ่างทองซึ่งออกเรือฝึก บริเวณอ่าวไทยตอนล่าง โดยได้รับฟังการบรรยายแผนการฝึก และ ชมการสาธิตการปฏิบัติการทางทหาร ร่วมกับเรือหลวงมกุฎราชกุมาร อากาศยาน และชุดปฏิบัติการพิเศษ เพื่อเตรียมความพร้อมของเรือ กำลังพล ยุทโธปกรณ์ และทีมแพทย์ สำหรับการออกไปช่วยเหลือประชาชนกรณีหากเกิดภัยพิบัติ

สดุดีตำรวจกล้า!! กองปราบฯ สดุดี ‘ด.ต.อนันต์ มีแสง’ หลังไล่ล่าคนร้ายกลางเมืองลุง ก่อนถูกยิงเสียชีวิต

ตำรวจสอบสวนกลางโพสต์ข้อความสดุดี ด.ต.อนันต์ มีแสง ผู้บังคับหมู่ กองกำกับการ 6 กองบังคับการปราบปราม ที่ถูกยิงเสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่จับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับข้อหาฆ่าผู้อื่น ที่จังหวัดพัทลุงเมื่อวานนี้ (9 มี.ค.)

วันนี้ (10 มี.ค.) เฟซบุ๊ก "ตำรวจสอบสวนกลาง" ของกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ได้โพสต์ข้อความสดุดีตำรวจกล้า จากเหตุยิงปะทะคนร้ายที่แยกไฟแดงเขาชัยสน จ.พัทลุง ระบุว่า จากเหตุปะทะกันระหว่างเข้าปิดล้อมจับกุมคนร้ายที่ ต.โคกม่วง อ.เขาชัยสน จ.พัทลุง ในวันที่ 9 มีนาคม 2565 ซึ่งทางคนร้ายได้ขับรถหลบหนี และใช้อาวุธปืนยิงปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ส่งผลทำให้ ด.ต.อนันต์ มีแสง ผู้บังคับหมู่ กองกำกับการ 6 กองบังคับการปราบปราม (ผบ.หมู่ กก.6 บก.ป.) เสียชีวิตในขณะปฏิบัติหน้าที่ และ ด.ต.ชัชชัย พันธอู ผบ.หมู่ กก.6 บก.ป. ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งในส่วนของคนร้าย ทางเจ้าหน้าที่สามารถวิสามัญฆาตกรรมคนร้ายได้ 1 คน คือ นายวัชระ และในส่วนของคนร้ายที่ยังคงหลบหนีการจับกุมอยู่ ขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำกำลังลงพื้นที่เร่งติดตามจับกุมตัวมาให้ได้โดยเร็ว

‘บิ๊กตู่’ ยัน ส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงานสตรี เร่ง แก้กม.ลาคลอด จ่ายค่าจ้างให้ครบ 98 วัน

เมื่อวันที่ 10 มี.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่เครือข่ายสตรี มีข้อเรียกร้องถึง พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ในวันสตรีสากล 8 มี.ค.ที่ผ่านมา เกี่ยวกับสิทธิของลูกจ้าง เรื่องวันลาคลอดบุตร ที่ปัจจุบันให้ลาได้ 98 วัน แต่จ่ายค่าจ้างเพียง 90 วัน เนื่องจากข้อกฎหมายที่บังคับใช้อยู่ กำหนดให้นายจ้างมีหน้าที่จ่ายค่าจ้างตลอดระยะเวลาที่ลูกจ้างลา แต่ไม่เกิน 45 วัน โดยค่าจ้างอีกครึ่งหนึ่ง (45 วัน) ลูกจ้างรับจากสำนักงานประกันสังคม (สปส.) ของค่าจ้างเฉลี่ย 90 วัน โดยวันลา 8 วัน ที่เพิ่มขึ้น ลูกจ้างยังไม่ได้รับความคุ้มครองในเรื่องค่าจ้าง

น.ส.รัชดา กล่าวว่า นายกฯ รับข้อเรียกร้อง และติดตามการปรับปรุงข้อกฎหมาย เพื่อให้นายจ้าง และสปส. ร่วมกันจ่ายค่าจ้างให้ครอบคลุมวันลาทั้งหมด ขณะนี้กระทรวงแรงงาน อยู่ระหว่างดำเนินการให้สปส.เสนอปรับแก้ไขกฎหมาย เพิ่มสิทธิให้กับลูกจ้าง โดยจะปรับเพิ่มประโยชน์ทดแทนให้ผู้ประกันตน จากร้อยละ 50 ของค่าจ้างเฉลี่ย 90 วัน เป็นร้อยละ 50 ของค่าจ้างเฉลี่ย 98 วัน จะมีผลให้ลูกจ้างได้รับค่าจ้างในวันลาเพิ่มขึ้นจากสิทธิเดิม อีก 4 วัน ในส่วนของค่าจ้างในวันลาเพื่อคลอดบุตร อีก 4 วัน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจะนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะทำงานประเมินผลสัมฤทธิ์กฎหมาย เพื่อปรับแก้ไขพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 เพิ่มสิทธิให้กับลูกจ้างต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top