Saturday, 5 July 2025
ดร.ปุณกฤษ ลลิตธนมงคล

“Kfir” เครื่องบินรบที่อิสราเอลสร้างจากปฏิบัติการ ‘จารกรรมพิมพ์เขียว’ Mirage ของฝรั่งเศส!!

MIRAGE III ทอ.อิสราเอล

เรื่องราวเกี่ยวกับอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของอิสราเอลที่หาความรู้ด้วยวิธีการที่ว่า "ไม่ได้ด้วยเล่ห์ ก็เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ ก็เอาด้วยคาถา" เลยทีเดียว ในทันทีที่สงคราม 6 วันสิ้นสุดลง ชาร์ล เดอ โกลล์ ประธานาธิบดีฝรั่งเศสในขณะนั้นได้สั่งให้งดขายอาวุธต่าง ๆ รวมทั้งเครื่องบินแบบ Mirage 3-s จำนวน 15 เครื่องให้อิสราเอล ซึ่งอิสราเอลได้จ่ายเงินให้ไปแล้วด้วย อันที่จริงแล้วกองทัพอากาศอิสราเอลได้ยึดติดแน่นอยู่กับระบบต่าง ๆ ของเครื่องบิน Mirage แม้ว่า รัฐบาลอเมริกันได้ยื่นข้อเสนอที่จะขายอาวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ ให้ โดยจะจัดส่งเครื่องบินขับไล่ F-4 PhantomII มาให้ทันที แต่มันก็ไม่ได้แก้ปัญหาได้เลย เพราะอิสราเอลได้พัฒนาอุปกรณ์ต่าง ๆ ไว้สำหรับเครื่องบินแบบ Mirage จนครบหมดแล้ว ด้วยอิสราเอลได้ลงทุนในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ชั้นสูงที่มุ่งจะใช้กับระบบของ Mirage ไปเป็นจำนวนมหาศาล และไม่ได้มีการพัฒนาระบบอื่นเผื่อไว้เลย

F-4 PhantomII ทอ.อิสราเอล

IAI Kfir เป็นเครื่องบินขับไล่-ทิ้งระเบิดไอพ่นแบบแรกที่สร้างในอิสราเอล โดยต้นแบบของ Kfir คือ Mirage 5 ของฝรั่งเศส ในปี ค.ศ. 1969 ฝรั่งเศสงดขายเครื่องบิน Mirage ให้กับอิสราเอล ทำให้เกิดโครงการ Kfir ซึ่งเป็นงานแผนแบบเครื่องบินไอพ่นขับไล่และทิ้งระเบิดในระดับความเร็ว 2 มัค และเป็นความลับสุดยอดของอิสราเอล เครื่องบิน Kfir ต้นแบบก็สำเร็จในปี ค.ศ. 1972 ซึ่งตั้งชื่อว่า Nesher ได้ทำการบินทดสอบ และแก้ไขดัดแปลงหลายส่วน โดยเฉพาะส่วนท้ายที่สันดาปท้ายร้อนจัดจนละลาย และเมื่อทดสอบปรับปรุงใหม่เสร็จ Nesher ก็เปลี่ยนชื่อเป็น Barak การผลิต Barak เริ่มในปี ค.ศ. 1972 และประสบความสำเร็จอย่างสูงในการต่อสู้กับเครื่องบิน MiG ของอาหรับ และนับจากนั้น Barak จึงได้เปลี่ยนชื่อเป็น Kfir เครื่องบินขับไล่-ทิ้งระเบิด Kfir ได้รับการเปิดเผยต่อสาธารณชนอย่างเป็นทางการในวันที่ 14 เมษายน ปี ค.ศ. 1975 

Nesher ต้นแบบของ Kfir

โดย Kfir มีทั้งหมด 4 รุ่นคือ  

>> Kfir C.1 (1975) เป็นรุ่นที่มาจากการปรับปรุง Nesher โดยตรง โดยเพิ่มปีก Canard ขนาดเล็กเข้าไป อิสราเอลผลิต C.1 จำนวน 27 ลำ

และในวันที่ 20 กันยายน ปี ค.ศ. 1976 บริษัท ไอเอไอก็ได้เปิดตัวรุ่นใหม่ชื่อว่า 
>> Kfir C. 2 มีลักษณะแตกต่างจากรุ่นแรกคือ ติดตั้ง Canard หรือปีกเล็ก ๆ ด้านหน้า เหนือช่องรับอากาศ Kfir C.2 (1976) พัฒนามาจากประสบการณ์ในการใช้ C.1 โดยติดตั้งปีก Canard ที่สมบูรณ์ลงไป ปรับปรุงคุณสมบัติด้านอากาศพลศาสตร์ ลดระยะทางที่ต้องใช้ในการขึ้นลง และติดตั้งเก้าอี้ดีดตัว Martin-Baker Mk.10 ติดตั้งเรดาห์ EL/M 2001/2001B ที่อิสราเอลผลิตเอง ติดตั้งคอมพิวเตอร์ควบคุมการบินและจอ HUD และได้ผลิตรุ่น TC.2 ซึ่งเป็นรุ่นสองที่นั่งสำหรับใช้ฝึก โจมตี และปฏิบัติการสงครามอิเล็กทรอนิคส์ โดยอิสราเอลผลิต C.2 และ TC.2 ทั้งหมด 185 เครื่อง

>> Kfir C.7 (1983) เปลี่ยนเครื่องยนต์เป็น J79-GE-17E ซึ่งเพิ่มแรงขับอีก 1,000 ปอนด์ ติดตั้งระบบ Jammer รุ่น EL/L-8202 ซึ่งในรุ่นนี้ Kfir ได้เปลี่ยนภารกิจจากขับไล่สกัดกั้นเป็นโจมตี เนื่องด้วยต้องเหลีกทางให้ F-15 ที่มาทำภารกิจขับไล่แทน (ทำให้สถิติการยิงเครื่องบินศัตรูตกของ Kfir หยุดอยู่ที่ 1 เครื่อง คือ MiG-21 ของซีเรียซึ่งถูกยิงตกโดย Kfir C.2)

>> Kfir C.10 หรือ Kfir 2000 รุ่นสุดท้ายของ Kfir ในรุ่นนี้ได้รับการปรับเปลี่ยนห้องนักบินไปเป็นระบบ Glass cockpit (ติดตั้งจอภาพสี 2 จอแทนมาตรวัดแบบเข็ม) ติดตั้งท่อรับการเติมน้ำมันกลางอากาศ เปลี่ยนคันบังคับเป็นแบบ HOTAS ซึ่งช่วยลดภาระของนักบิน นักบินสวมหมวกบินติดศูนย์เล็ง และเปลี่ยนเรดาห์เป็นรุ่น EL/M-2032

Kfir รุ่นต่าง ๆ

การที่ฝรั่งเศสห้ามขายอาวุธยุทโธปกรณ์กลายเป็นปัญหาระยะสั้นที่ทำให้รัฐบาลและกองทัพอิสราเอลต้องคิดหาทางออกอย่างหนัก ส่วนปัญหาระยะยาวที่จะตามมาอีกคือ จะทำอย่างไรในการซ่อมบำรุงเครื่องบิน Mirage ที่มีอยู่แล้ว ความสามารถในการป้องกันประเทศของอิสราเอลต้องขึ้นอยู่กับอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ได้รับจากประเทศเดียวเท่านั้น ถ้าประเทศนั้นเกิดเปลี่ยนใจไม่ส่งอาวุธมาให้โดยไปเข้ากับศัตรูในขณะที่อิสราเอลเจอกับวิกฤตเช่นนั้น หรือ อิสราเอลจะทำอย่างไร เหมือนยืมจมูกคนอื่นหายใจฉะนั้นหรือ คณะรัฐมนตรีของอิสราเอลในขณะนั้นได้มีมติด่วนให้จัดหางบประมาณให้แก่อุตสาหกรรมเครื่องบินของอิสราเอลเพื่อสร้างเครื่องบินขับไล่ทิ้งระเบิดที่สามารถต่อกรกับเครื่องบินชั้นเยี่ยมของชาติอื่น ๆ มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณาปัญหาต่าง ๆ ที่เผชิญหน้าอยู่

คณะกรรมการสรุปข้อมูลและประเมินสถานการณ์แล้วได้รายงานว่า จะต้องใช้เวลาประมาณ 10 ปี ในการสร้างเครื่องบินสัญชาติอิสราเอลให้ขึ้นบินได้ทั้งนี้ เพราะอิสราเอลจะต้องเริ่มต้นตั้งแต่ A จนถึง Z นอกจากนั้นยังไม่อาจประกันได้ว่าเครื่องบินที่ผลิตออกมานั้นจะสามารถเทียบชั้นกับเครื่องบินของรัสเซีย อังกฤษ อเมริกา หรือฝรั่งเศสได้ วิธีแก้ปัญหานี้ให้ได้รวดเร็ว คือสร้างเครื่องบินที่ลอกแบบ จาก Mirage ซึ่งวิศวกรและนักเทคนิคของอิสราเอลมีความชำนาญและคุ้นเคยอยู่แล้ว แต่วิธีนี้ก็ยังมีปัญหาและอุปสรรคอยู่ดี เนื่องจากเครื่องบินขับไล่สมัยใหม่แต่ละเครื่องมีชิ้นส่วนประมาณ 1 ล้านกว่าชิ้น และทุกชิ้นส่วนได้รับการทดสอบมาแล้วเป็นอย่างดี ถ้าจะลอกแบบจากเครื่องบินจริงย่อมไม่ได้คุณภาพเท่าของแท้ นอกเสียจากจะมีพิมพ์เขียวของวิศวกรผู้สร้าง Mirage เอง ตัวอย่างที่อิสราเอลรู้ดีก็คือ สวิตเซอร์แลนด์ได้ผลิตเครื่องบิน Mirage ภายใต้สิทธิบัตรที่ได้รับอนุญาตจากฝรั่งเศส ซึ่งสามารถใช้แบบพิมพ์เขียวและนักเทคนิคของฝรั่งเศสอีกด้วย แม้กระนั้นยังต้องใช้เวลาถึง 6 ปี เครื่องบิน Mirage ที่สร้างในสวิตเซอร์แลนด์จึงสามารถขึ้นบินได้ 

เดือนธันวาคม ปี 1967 ฝรั่งเศสได้จัดให้มีการประชุมผู้ถือสิทธิบัตรในการผลิตเครื่องบิน Mirage ทั้งลำหรือบางส่วนขึ้นในกรุงปารีส โดยปกติแล้วเครื่องบินหรือเครื่องยนต์ที่ติดตั้งอยู่กับเครื่องบินจะไม่ค่อยเป็นไปตามรายการประกอบแบบ (Specifications) ที่เขียนขึ้น โดยยืนยันสมรรถนะหรือเพื่อประกันความปลอดภัยเครื่องบิน ซึ่ง Mirage เองก็ไม่ได้มีข้อยกเว้น บริษัท Dassault ผู้ผลิตลำตัวเครื่องบินและบริษัท Senikama ผู้ผลิตเครื่องยนต์ ATA-9 ทั้งสองบริษัทเป็นเจ้าภาพร่วมกัน จัดให้มีการประชุมสำหรับผู้ใช้งานเครื่องบิน Mirage ทั้งหลายขึ้น ซึ่งประกอบไปด้วยผู้แทนจากรัฐบาลและอุตสาหกรรมสร้างเครื่องบินของชาติต่าง ๆ ที่เป็นลูกค้า วัตถุประสงค์ก็เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์ โดยออสเตรเลียและสวิตเซอร์แลนด์เป็นผู้ผลิต Mirage ทั้งตัวเครื่องบินและเครื่องยนต์ ส่วนอิสราเอลและเบลเยี่ยมนั้น นำชิ้นส่วนไปประกอบและผลิตชิ้นส่วนบางชิ้นขึ้นเอง ทั้งหมดภายใต้สิทธิบัตรที่ได้รับอนุญาต นอกจากนั้นก็ยังมีแอฟริกาใต้ เลบานอน และเปรู ซึ่งซื้อเครื่องบิน Mirage ที่ประกอบสำเร็จรูปไปใช้

ในการประชุมครั้งนี้อิสราเอลได้ส่งพลจัตวา โดฟ ไซเยียน แห่งกองทัพอากาศอิสราเอลเข้าร่วมประชุม (นายพลไซเยียน เป็นบุตรเขยของนายพล Moshe Dayan (สามีของ Yael Dayan บุตรีของนายพล Moshe) ไซเยียนไม่ได้ออกความเห็นอะไรมากนัก เพราะนั่งติดกับผู้แทนจากเลบานอน ซึ่งถือว่าเป็นศัตรู และอิสราเอลเองยังไม่พอใจฝรั่งเศสที่ไม่ยอมส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ให้ ดังนั้นข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้จากการใช้เครื่องบิน Mirage ในระหว่างสงคราม 6 วันที่เตรียมมาจึงไม่ได้เสนอในที่ประชุมแต่อย่างใด

เครื่องยนต์ ATA-9 ที่ติดตั้งอยู่ใน Mirage

ในการประชุมนั้นผู้ผลิตเครื่องยนต์ ATA-9 บริษัท Senikama ได้รับความกดดันจากลูกค้าที่ใช้ Mirage เป็นอันมาก เพราะต่างผิดหวังกับเครื่องยนต์ ATA-9 ที่ติดตั้งอยู่ใน Mirage โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อัลเฟร็ด ฟรอเอนค์เนทค์ ผู้แทนจากบริษัท Solzer Brothers แห่งสวิตเซอร์แลนด์ซึ่งได้สิทธิบัตรในการสร้าง Mirage ได้วิจารณ์เครื่องยนต์ ATA-9 อย่างหนัก สำหรับไซเยียนแล้วทุกสิ่งที่ฟรอเอนค์เนทค์พูดนั้นได้เกิดขึ้นกับเครื่องบิน Mirage ของอิสราเอลเช่นเดียวกัน หลังการประชุม ไซเยียนได้หาโอกาสพบและรับประทานอาหารกับฟรอเอนค์เนทค์ และได้บอกกับผู้แทนบริษัทสวิสว่า เขาจงใจที่จะไม่เสนอข้อมูลในการใช้งาน Mirage ของอิสราเอลในที่ประชุม

อัลเฟร็ด ฟรอเอนค์เนทค์ ผู้แทนจากบริษัท Solzer Brothers แห่งสวิตเซอร์แลนด์

พลจัตวา ไซเยียน กลับอิสราเอลพร้อมกับข่าวดี โดยฟรอเอนค์เนทค์ได้เปิดเผยกับเขาว่า รัฐบาลสวิสได้สั่งชิ้นส่วน Mirage III จำนวน 100 เครื่อง แต่เนื่องจากราคาพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว รัฐบาลสวิสจึงตัดสินใจสร้างเพียง 53 เครื่อง ชิ้นส่วนที่เหลือนั้นจึงพอที่จะสร้างอีก 47 เครื่องได้อย่างสบาย แถมยังมีแบบพิมพ์เขียวและรายการอย่างละเอียดที่อยู่ในสวิสเซอร์แลนด์อีกด้วย ถ้าอิสราเอลได้เป็นเจ้าของชิ้นส่วนและแบบพิมพ์เขียวเหล่านั้นก็สามารถสร้างเครื่องบิน Mirage ได้อีกประมาณ 50 เครื่อง เพื่อทดแทนจำนวนที่สั่งจากฝรั่งเศส แต่ถูกรัฐบาลฝรั่งเศสสั่งกักเอาไว้ 

มิตรใหม่ทั้งสองติดต่อกันทางจดหมายเรื่อยมา แม้ว่าฟรอเอนค์เนทค์จะไม่ใช่คนยิว แต่ก็มีความเห็นอกเห็นใจยิวอยู่เป็นอันมาก เพราะในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ชาวยิวได้หนีตายจากฮิตเลอร์เข้ามาพึงสวิตเซอร์แลนด์เหมือนหนีร้อนมาพึ่งเย็น แต่สวิตเซอร์แลนด์กลับขับไล่ไสส่งชาวยิวเหล่านั้นให้ไปพบกับความตาย ซึ่งฟรอเอนค์เนทค์ถือว่า เป็นความผิดของสวิตเซอร์แลนด์ที่ไม่อาจล้างบาปได้ ฟรอเอนค์เนทค์เป็นวิศวกรฝ่ายพัฒนาที่อายุเพียง 40 ปี ก็สามารถไต่เต้าขึ้นมาอยู่ในระดับสูงของบริษัท Solzer Brothers แล้ว

อิสราเอลได้พบช่องโหว่ของการรักษาความปลอดภัยที่หนาแน่นของฝรั่งเศสเข้าแล้ว ต่อไปนี้ต้องหาทางทะลุทะลวงช่องโหว่นี้ให้กว้างขึ้น สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือทำให้ฟรอเอนค์เนทค์ภักดีต่ออิสราเอลให้ได้เสียก่อน โดย ไซเยียน และนายทหารอิสราเอลอื่น ๆ ได้ส่งข้อมูลในการปรับแต่งเครื่องยนต์ ATA-9 ให้ฟรอเอนค์เนทค์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ฟรอเอนค์เนทค์ต้องการเป็นอย่างมากอยู่แล้ว ในที่สุดการติดต่อกันทางจดหมายระหว่างฟรอเอนค์เนทค์กับเพื่อนทหารอิสราเอลทำให้มิตรภาพแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

คณะกรรมการชุดหนึ่งได้ถูกตั้งขึ้นเพื่อควบคุมและติดตามกรณีของ ฟรอเอนค์เนทค์ โดยมี นายพลอาฮารอน ยาริฟ หัวหน้าหน่วยสืบราชการลับอิสราเอลเป็นประธาน ประกอบไปด้วยคนของกองทัพอากาศและอุตสาหกรรมสร้างเครื่องบินเป็นกรรมการ ผู้ที่สมควรกล่าวถึงอีกสองคนคือ เมียร์ อมิท อดีตหัวหน้าหน่วยสืบราชการลับ และ อัล ชวิมเม ชาวอเมริกันเชื้อสายยิวผู้ซึ่งได้วางรากฐานของอุตสาหกรรมเครื่องบินในอิสราเอลตั้งแต่ ปี 1947 ร่วมกันรับผิดชอบในด้านปฏิบัติการ

ตอนแรกคณะกรรมการตกลงว่าจะติดต่อกับรัฐบาลสวิสอย่างเปิดเผยผ่านทางฟรอเอนค์เนทค์ก่อน โดย อัล ชวิมเม ได้เสนอกับรัฐบาลสวิสว่า อิสราเอลจะขอซื้อส่วนประกอบของ Mirage จำนวน 47 เครื่อง เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนที่ทางอิสราเอลจะมอบความลับอันสำคัญในการปรับแต่งเครื่องยนต์ ATA-9 ให้แก่รัฐบาลสวิสเป็นการตอบแทน รัฐบาลสวิสจึงได้ติดต่อกับฝรั่งเศสและคำตอบจากฝรั่งเศสนั้นทำให้อิสราเอลผิดหวัง คือไม่ให้สวิสขายชิ้นส่วนให้กับอิสราเอล แต่คณะกรรมการเดาว่า คำตอบน่าจะออกมาในด้านลบอยู่ก่อนแล้ว จึงได้เตรียมแผนสองเอาไว้

วิธีการตามแผนสองก็คือ หน่วยสืบราชการลับของอิสราเอลหรือ MOSSAD ได้จัดตั้งบริษัทบังหน้าขึ้นในสวิสเซอร์แลนด์เพื่อ โดยอาจได้รับการช่วยเหลือจาก Marcel Dassault (นามสกุลเดิม Bloch) เจ้าของบริษัท Dassault ซึ่งมีเชื้อสายยิว และอาจต้องการช่วยเหลืออิสราเอล อีกทางหนึ่งอิสราเอลได้ติดต่อกับ ฟรอเอนค์เนทค์ วิศวกรชาวสวิสเซอร์แลนด์ของบริษัทผู้ได้สิทธิบัตรผลิตเครื่องบิน Mirage โดย MOSSAD ได้จัดหานักจิตวิทยา วางแผนมาเป็นอย่างดีเพื่อที่จะโน้มน้าวให้ฟรอเอนค์เนทค์เห็นอกเห็นใจชาวยิว และยอมช่วยหาพิมพ์เขียวของเครื่องบิน จำนวน 150,000 แผ่น และพิมพ์เขียวเครื่องกล 45,000 แผ่น โดยฟรอเอนค์เนทค์ตกลงและคิดว่า ต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งปีจึงจะทำทุกอย่างสำเร็จ ฟรอเอนค์เนทค์ได้เสนอเจ้านายในบริษัทให้ถ่ายพิมพ์เขียวเข้าไมโครฟิล์ม แล้วจะเผาทำลายแบบต้นฉบับ เพื่อการเก็บรักษาที่ง่าย โดยทุกครั้งที่ทำลายจะมีเจ้าหน้าที่ตรวจสอบอย่างเคร่งครัด แต่ฟรอเอนค์เนทค์ได้ซื้อพิมพ์เขียวเก่า ๆ ของเครื่องบินที่คล้าย ๆ กันมาเผาทำลายแทน 

สายลับ MOSSAD ได้เลือกที่จะตีสนิทกับ ฮานส์ สเตรคเกอร์ ชาวเยอรมันที่ทำงานอยู่กับบริษัทขนส่งสวิสชื่อบริษัทรอทซิงเจอร์ และเสนอเงินจำนวนมากเพื่อให้นำพิมพ์เขียวข้ามชายแดนสวิสเข้าไปเยอรมันให้ได้ โดยใช้ระยะเวลาต่อเนื่องหลายเดือน เมื่อขนเข้าเยอรมัน จะมีเครื่องบินอิตาลีบินมารับ แล้วบินกลับประเทศลงจอดยังสนามบินส่วนตัว และมีเครื่องอิสราเอลมารอรับอยู่ ผ่านไปหลายเดือนการส่งเอกสารพิมพ์เขียวไปแล้วกว่าแสนแผ่น สเตรคเกอร์เกิดทำพลาด ประการแรกเขาทำให้คนเห็นขณะนำกล่องบรรจุพิมพ์เขียวขึ้นรถเบนซ์สีดำ และประการที่สองเขาลืมกล่องอีกหนึ่งกล่องไว้ในโกดัง ซึ่งเป็นที่สังเกตของ คาร์ล รอทซิงเจอร์ เจ้าของบริษัทขนส่งที่ชื่อเดียวกับนามสกุลของเขา คาร์ลจึงได้ดึงแบบออกจากกล่องหนึ่งแผ่น และได้พบกับคำว่า Solzer ซึ่งเป็นชื่อของบริษัทสวิสที่ทำธุรกิจในด้านวิจัย และผลิตเครื่องยนต์สำหรับเครื่องบิน ข้างใต้ชื่อบริษัทเขาพบคำว่า License-Senikama ซึ่งหมายถึงบริษัท Solzer ได้รับสิทธิบัตรจากบริษัท Senikama ของฝรั่งเศส และที่สำคัญคือ ข้อความอีกบรรทัดหนึ่งที่มีความหมายว่า “ตามประมวลกฎหมายอาญา ให้รักษาความลับในทางทหารไว้อย่างสูง” 

คาร์ลได้ทราบจากคนงานที่ทำงานใกล้เคียงว่า สเตรคเกอร์ได้เคลื่อนย้ายกล่องกระดาออกไปเป็นระยะเวลาหลายเดือนมาแล้ว เขาจึงได้แจ้งให้ตำรวจทราบ ฝ่ายอิสราเอลซึ่งได้เฝ้าจับตาดูอยู่ตลอดเวลา เมื่อได้ทราบถึงความหละหลวมและพลาดท่าของสเตรคเกอร์ จึงโทรศัพท์บอกเป็นรหัสว่า “ดอกไม้ได้ร่วงโรยเสียแล้ว” เพื่อให้เวลากับฟรอเอนค์เนทค์ ได้หนีทัน แต่ฟรอเอนค์เนทค์ตัดสินใจไม่หนี เขาต้องติดคุกในระหว่างดำเนินคดี 1 ปีเต็ม ทั้งนี้ก็เพราะว่า ทางการสวิสต้องการทราบว่า ความเสียหายมีมากน้อยขนาดแค่ไหนจึงต้องใช้เวลาในการพิจารณาคดี และในที่สุดได้ข้อสรุปว่า ฟรอเอนค์เนทค์ ได้ส่งแบบพิมพ์เขียวเครื่องบิน Mirage ไปให้อิสราเอลเป็นจำนวน 2,000 แผ่น สำหรับชิ้นส่วนเครื่องยนต์ 80,000-100,000 แผ่น สำหรับ Jigs (เครื่องมือประกอบการผลิตชิ้นส่วน) 35,000-40,000 แผ่น สำหรับเครื่องมือ (Tools) 80-100 แผ่น สำหรับตัวเครื่องบิน 1,500 แผ่น สำหรับรายการประกอบแบบ (Specifications)

วันที่ 23 เมษายน 1971 ศาลสวิตเซอร์แลนด์ได้พิพากษาให้ อัลเฟร็ด ฟรอเอนค์เนทค์ ถูกจำคุก 4 ปี 6 เดือน จากการที่ฟรอเอนค์เนทค์ได้ถูกจองจำระหว่างการดำเนินคดี และประกอบกับการประพฤติตัวดี เขาจึงได้รับอิสรภาพเมื่อ 21 กันยายน 1972 สองปีครึ่งหลังจากที่ออกจากคุก ฟรอเอนค์เนทค์ได้เดินทางไปยังอิสราเอล เพื่อชมการบินของเครื่องบินขับไล่ทิ้งระเบิดความเร็ว 2.2 มัค ชื่อว่า Kfir ซึ่งมีพื้นฐานมาจาก Mirage III และ Kfir ได้เป็นกำลังสำคัญของกองทัพอิสราเอลต่อมา

Kfir C.10 BLOCK60 รุ่นปรับปรุงแล้ว

อิสราเอลเคยเสนอขาย Kfir C.10 BLOCK60 รุ่นปรับปรุงแล้ว ให้กองทัพอากาศไทยในราคาลำละ 20 ล้านเหรียญอเมริกัน (ราว 660 ล้านบาท) Israel Aerospace Industries (IAI) เสนอเครื่องขับไล่ Kfir C.10 Block 60 ที่เป็นการนำเครื่องเก่าที่กองทัพอากาศอิสราเอลปลดประจำการไปแล้วในช่วงปี 1990s มาปรับปรุงใหม่ เป็นเครื่องบินที่ขีดความสามารถสูงทัดเทียบเครื่องบินขับไล่ยุคปัจจุบัน โดย Kfir Block 60 สามารถติดอาวุธได้หนักถึง 5.5 ตัน ทั้งอาวุธปล่อยนำวิถีอากาศสู่อากาศ Python 5 และ Derby อาวุธอากาศสู่พื้นความแม่นยำสูงอย่าง Spice และระบบเครือข่าย Link-16 มีรัศมีทำการรบ 1,000 กิโลเมตร และจะบินได้ไกลขึ้นถ้าเติมเชื้อเพลิงทางอากาศ ความเร็วสูงสุดมากกว่า 2 Mach แต่กองทัพอากาศไทยไม่ได้ให้ความสนใจ ด้วยมีเครื่องบินสำหรับภารกิจนี้มีใช้อยู่แล้ว 3 แบบ คือ F-5E/F, F-16 A/B, ADF และ JAS-39 GRIPPEN หากมี Kfir มาใช้อีกแบบจะยิ่งเพิ่มภาระและปัญหาในการบริหารทรัพยากรทั้งบุคลากร (นักบิน ช่างอากาศ ช่างสรรพาวุธ) ตลอดจนค่าใช้จ่ายในเรื่องระบบอาวุธและการซ่อมบำรุงอีกมากมาย 

Kfir C.10 Columbian Air Force

มีหลายความเห็นว่า การจารกรรมพิมพ์เขียว Mirage ของฝรั่งเศสโดยอิสราเอลไม่ใช่เรื่องจริง แต่เป็นเรื่องของฝรั่งเศสที่แอบช่วยเหลืออิสราเอลอย่างลับ ๆ ด้วย ตระกูล Dassualt เป็นชาวฝรั่งเศสที่มีเชื้อสายยิว แต่เท่าที่ได้ทำการสืบค้นข้อมูลมาพบเพียง Tom Cooper นักเขียนชาวออสเตรเลียเพียงรายเดียวเท่านั้นที่นำเสนอความเชื่อในแนวนี้


ขอบคุณข้อมูลจาก 
คุณ sillfai pantip.com 
http://www.gunsandgames.net/smf/index.php?topic=54947.msg1318617
http://skyfighter-a2z.html
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=skyman&month=08-2006&date=21&group=1&gblog=7
http://www.magnumphotos.com
http://www.geronimohoorspelen.nl/Special/mossad/achtergronden_mossad_luchtmacht.htm


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
- ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
- รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
- สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
- แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

Beethoven’s Ode to Joy “ปีติศังสกานท์” เพลงอมตะแห่งสหภาพยุโรป (Anthem of Europe) จากกวีที่หูหนวก...

ภาพถ่ายต้นฉบับของ บทกวี An die Freude (Ode to Joy) ซึ่งประพันธ์โดย Johann Christoph Friedrich (von) Schiller กวีเอกชาวเยอรมัน

Ode to Joy หรือ ปีติศังสกานท์ เป็นคำทั่วไปที่ใช้เรียกเพลงท่อนที่สี่และเป็นท่อนสุดท้ายของ Symphony No. 9 (ซิมโฟนีหมายเลข 9) ของ Ludwig van Beethoven นักประพันธ์เพลงชื่อดังชาวเยอรมัน สำหรับการขับร้อง เพลงนี้ใช้ข้อความจากบทกวี An die Freude (Ode to Joy) ซึ่งประพันธ์โดย Johann Christoph Friedrich (von) Schiller กวีเอกชาวเยอรมันเช่นกัน

Ode หรือ ศังสกานท์ เป็นศัพท์บัญญัติที่คณะอนุกรรมการบัญญัติศัพท์วรรณกรรมบัญญัติขึ้น จากคำ ode ซึ่งหมายถึง บทร้อยกรองประเภทหนึ่ง ที่ประพันธ์ขึ้นเป็นอนุสรณ์ หรือเพื่อสรรเสริญ สดุดี บุคคล สัตว์ สิ่งของ เหตุการณ์ ตลอดจนสิ่งที่เป็นนามธรรม อย่างใดอย่างหนึ่ง ส่วนใหญ่มีความยาวพอสมควร และมีลักษณะสำคัญคือ เป็นบทร้อยกรองที่มีรูปแบบประณีต ซับซ้อน ใช้ภาษาและถ้อยคำที่สูงส่ง สง่างาม มีท่วงทำนองการเขียนเป็นแบบพิธีการ แสดงอารมณ์และความคิดที่สูงส่ง 

คำว่า “ศังสกานท์” เป็นการบัญญัติศัพท์ด้วยวิธีสร้างคำขึ้นใหม่ โดยนำคำภาษาสันสกฤต “ศงฺส”  ซึ่งแปลว่า สรรเสริญ มารวมกับคำ “กานท์” ซึ่งแปลว่าบทกลอน ศังสกานท์ จึงมีความหมายว่า บทกลอนเพื่อสรรเสริญ อย่างไรก็ดี ศัพท์นี้คณะอนุกรรมการบัญญัติศัพท์วรรณกรรมได้คิดขึ้นเพื่อเสนอให้ทดลองใช้กัน ยังไม่ได้ผ่านการรับรองจากคณะกรรมการบัญญัติศัพท์ภาษาไทย
(ที่มา : จดหมายข่าวราชบัณฑิตยสถาน ปีที่ 1 ฉบับที่ 11 พฤศจิกายน 2532)

Ludwig van Beethoven ผู้ประพันธ์เพลง Ode to Joy

Ludwig van Beethoven (17 ธันวาคม พ.ศ. 2313 (ค.ศ. 1770) - 26 มีนาคม พ.ศ. 2370 (ค.ศ. 1827)) เป็นนักประพันธ์เพลงและนักเปียโนชาวเยอรมัน Beethoven ยังคงเป็นหนึ่งในนักประพันธ์เพลงที่ได้รับการยกย่องมากที่สุดในประวัติศาสตร์ดนตรีตะวันตก ผลงานของเขาติดอันดับหนึ่งในละครเพลงคลาสสิกที่มีการแสดงมากที่สุด และขยายช่วงการเปลี่ยนผ่านจากยุคคลาสสิกไปสู่ยุคโรแมนติกในดนตรีคลาสสิก ตามอัตภาพอาชีพของเขาแบ่งออกเป็นช่วงต้น ช่วงกลาง และช่วงปลาย ยุคแรก ๆ ซึ่งเขาเริ่มนำเสนอผลงานนั้น เริ่มจาก พ.ศ. 2345 (ค.ศ. 1802) ถึงราวปี พ.ศ. 2355 (ค.ศ. 1812) ยุค "กลาง" ของเขาแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการส่วนบุคคลจากรูปแบบ "คลาสสิก (Classical)" ตามแบบของ Joseph Haydn และ Wolfgang Amadeus Mozart และบางครั้งก็มีลักษณะของความ "เก่งกล้า (Heroic)" ในช่วงเวลานี้เขาเริ่มมีอาการหูหนวกมากขึ้น ในช่วง "ปลาย" ของเขาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2355 จนกระทั่งถึงแก่กรรมในปี พ.ศ. 2370 เขาได้ขยายนวัตกรรมทางดนตรีของเขาทั้งรูปแบบและการแสดงทางดนตรี

Beethoven ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2370 อายุ 56 ปี

https://www.youtube.com/watch?v=erWU0NHm1Xg

Johann Christoph Friedrich (von) Schiller ผู้ประพันธ์บทกวี An die Freude (Ode to Joy)

Johann Christoph Friedrich (von) Schiller (10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2302 (ค.ศ. 1759) - 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2348 (ค.ศ. 1805)) เป็นนักเขียนบทละคร กวี และปราชญ์ชาวเยอรมัน โดย 17 ปีสุดท้ายของชีวิต Schiller ได้พัฒนามิตรภาพที่มีประสิทธิผลหากค่อนข้างซับซ้อนกับ Johann Wolfgang von Goethe (นักเขียนนิยาย นักเขียนบทละคร นักสิทธิมนุษยชน นักวิทยาศาสตร์ นักปรัชญา และนัการเมืองชาวเยอรมัน) นำไปสู่ช่วงเวลาที่เรียกว่า Weimar Classicism อันเป็นขบวนการวรรณกรรมและวัฒนธรรมของเยอรมัน ซึ่งสังเคราะห์แนวคิดมนุษยนิยมใหม่จากแนวจินตนิยม ลัทธิคลาสสิค และยุคแห่งการรู้แจ้ง สันนิษฐานว่าเป็นการตั้งชื่อตามเมือง Weimar ประเทศเยอรมนี ด้วยนักเขียนชั้นนำของ Weimar Classicism ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ที่นั่น Schiller  และ Goethe ยังทำประพันธ์ผลงานร่วมกันใน Xenien ซึ่งเป็นชุดของบทกวีเสียดสีสั้น ๆ ที่ทั้ง Schiller และ Goethe ต่างท้าทายวิสัยทัศน์เชิงปรัชญาของฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย

อนุสาวรีย์ของ Goethe (ซ้าย) และ Schiller (ขวา) สองเสาหลักแห่งวรรณคดีเยอรมัน

Ode to Joy ตัดตอนจาก ซิมโฟนีหมายเลข 9 ของ Beethoven ซึ่งกล่าวว่า เขาได้รับแรงบันดาลใจในการประพันธ์ซิมโฟนีนี้จากบทกวี  An die Freude (Ode to Joy) ของ Johann Christoph Friedrich (von) Schiller ความพิเศษของ ซิมโฟนีหมายเลข 9 ในช่วงเกิดขึ้นมีหลายเรื่อง ด้วยเป็นผลงานการประพันธ์ซิมโฟนีชิ้นสุดท้ายของ Beethoven การสร้างความประทับใจอย่างมากมายในขณะออกแสดงครั้งแรก ณ กรุงเวียนนาในปี พ.ศ. 2377 (ค.ศ. 1824) ซึ่งขณะนั้น Beethoven ได้สูญเสียการได้ยินไปแล้ว และอีกหนึ่งความพิเศษคือในท่อนที่ 4 ซึ่งเป็นท่อนสุดท้ายของซิมโฟนี Beethoven ได้นำบทกวี  An die Freude มาให้นักร้องขับร้อง โดยให้เสียงร้องมีความสำคัญเท่าเครื่องดนตรีในวง หลังออกแสดงครั้งแรก เพลงนี้ยิ่งมีความหมายต่อทั้งโลกอย่างมากมายจนทุกวันนี้

Ode to Joy ถูกนำมาใช้เป็น "เพลงชาติของยุโรป (Anthem of Europe)" เป็นเพลงชาติที่ใช้โดยสององค์กร ได้แก่ สภายุโรปในปี พ.ศ. 2515 และต่อมาโดยสหภาพยุโรป (EU) ในปีพ.ศ. 2514 รัฐสภาแห่งสภายุโรปได้ตัดสินใจเสนอให้นำบทเพลง "Ode to Joy" จากเพลงซิมโฟนีหมายเลข 9 ของ Beethoven มาใช้เป็นเพลงประจำสภายุโรปในฐานะตัวแทนของยุโรปทั้งหมด โดยนำข้อเสนอแนะของ Richard von Coudenhove-Kalerg นักการเมืองชาวออสเตรียในปี พ.ศ. 2498 โดยทั่วไปแล้วเพลงของ Beethoven ถูกมองว่าเป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับเพลงประจำชาติยุโรป คณะกรรมการรัฐมนตรีของสภายุโรปได้ประกาศเพลงประจำชาติยุโรปอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2515 ณ เมืองสตราสบูร์ก : ท่อนโหมโรงของ "Ode to Joy" อันเป็นท่อนที่ 4 ของซิมโฟนีหมายเลข 9 ของ Ludwig van Beethoven ผู้ควบคุมวง Herbert von Karajan ถูกขอให้เรียบเรียงเพื่อการบรรเลงเครื่องดนตรีสามชุด สำหรับการแสดงเดี่ยวเปียโน, สำหรับเครื่องดนตรีประเภทเครื่องเป่า และสำหรับวงดุริยางค์ซิมโฟนี และเขาได้ดำเนินการการแสดงเพื่อใช้ในการบันทึกเสียงอย่างเป็นทางการ 

Herbert von Karajan

Ode to Joy ในฐานะเพลงประจำชาติยุโรปได้รับการเปิดตัวในวันยุโรปในปี พ.ศ. 2515 (ค.ศ. 1972) ในปี พ.ศ. 2528 (ค.ศ. 1985) ผู้นำรัฐและรัฐบาลของสหภาพยุโรปได้ใช้เพลงนี้เป็นเพลงชาติอย่างเป็นทางการของประชาคมยุโรปในขณะนั้น ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2536 (ค.ศ. 1993) สหภาพยุโรป ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายให้ Ode to Joy แทนที่เพลงชาติของประเทศสมาชิก แต่ใช้เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองค่านิยมที่ชาวยุโรปทั้งหมดมีร่วมกัน ตลอดจนความสามัคคีในความหลากหลาย เป็นการแสดงออกถึงอุดมคติของยุโรปที่รวมกันเป็นหนึ่ง เสรีภาพ สันติภาพ และความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และจะต้องรวมอยู่ในรัฐธรรมนูญยุโรปพร้อมกับสัญลักษณ์อื่น ๆ ของยุโรป

อย่างไรก็ตาม สนธิสัญญาที่ล้มเหลวในการให้สัตยาบัน และถูกแทนที่ด้วยสนธิสัญญา Lisbon ซึ่งไม่ปรากฏสัญลักษณ์ใด ๆ ต่อมาจึงมีการประกาศญลักษณ์แนบมากับสนธิสัญญา ซึ่งประเทศสมาชิกสิบหกประเทศได้รับรองสัญลักษณ์ที่เสนออย่างเป็นทางการ รัฐสภายุโรปจึงตัดสินใจว่าจะใช้เพลงเพลงประจำชาติยุโรปให้มากขึ้น เช่น ในโอกาสที่เป็นทางการ ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2551 รัฐสภาได้เปลี่ยนกฎขั้นตอนเพื่อให้เล่นเพลงประจำชาติยุโรปในพิธีเปิดรัฐสภาหลังการเลือกตั้ง และในการประชุมอย่างเป็นทางการ

https://www.youtube.com/watch?v=Jo_-KoBiBG0

"Ode to Joy" เป็นเพลงประจำสภายุโรป (CoE) และสหภาพยุโรป (EU) ในบริบทของ CoE เพลงนี้ถูกใช้เพื่อเป็นตัวแทนของยุโรปทั้งหมด ในบริบทของสหภาพยุโรป เพลงนี้ใช้เพื่อเป็นตัวแทนของสหภาพและประชาชน ใช้ในโอกาสต่าง ๆ เช่น วันยุโรป และกิจกรรมที่เป็นทางการ เช่น การลงนามในสนธิสัญญา รัฐสภายุโรปพยายามที่จะใช้ประโยชน์จากดนตรีให้มากขึ้น Hans-Gert Pöttering ประธานแห่งรัฐสภายุโรปในขณะนั้นกล่าวว่า เขารู้สึกซาบซึ้งใจเมื่อได้ยินเพลง "Ode to Joy" อันเป็นเพลงประจำรัฐสภายุโรป ในระหว่างการเยือนอิสราเอล และเห็นว่า ควรจะใช้ในยุโรปให้บ่อยขึ้น

Ode to Joy ได้รับการบันทึกเป็นพิเศษโดย Berlin Radio Symphony Orchestra ใน Version ที่มีลักษณะ "สุภาพ เรียบร้อย และเข้มแข็ง"

Deutschlandfunk สถานีวิทยุสาธารณะของเยอรมนี ได้ออกอากาศเพลงประจำชาติยุโรปร่วมกับ Deutschlandlied เพลงชาติของเยอรมนี ก่อนเที่ยงคืนตั้งแต่วันส่งท้ายปีเก่า พ.ศ. 2549 ทั้งสองเพลงได้รับการบันทึกเป็นพิเศษโดย Berlin Radio Symphony Orchestra ใน Version ที่มีลักษณะ "สุภาพ เรียบร้อย และเข้มแข็ง" ในพิธีลงนามสนธิสัญญา Lisbon พ.ศ. 2550 ผู้มีอำนาจเต็มของประเทศสมาชิก 27 ประเทศของสหภาพยุโรปได้เข้าร่วม ในขณะที่มีการบรรเลงเพลง "Ode to Joy" และคณะนักร้องประสานเสียงของเด็ก ๆ ชาวโปรตุเกส 26 คนร้องเพลงต้นฉบับด้วยภาษาเยอรมัน

สาธารณรัฐโคโซโวได้ใช้ "Ode to Joy" เป็นเพลงชาติจนกระทั่งมีเพลง “Europe” เป็นเพลงชาติของตัวเอง

ในปี พ.ศ. 2551 (ค.ศ. 2008) สาธารณรัฐโคโซโวได้ใช้ "Ode to Joy" เป็นเพลงชาติจนกระทั่งมีเพลง “Europe” เป็นเพลงชาติของตัวเอง และเล่นเพลงนี้เมื่อมีการประกาศเอกราช เพื่อเป็นการแสดงถึงบทบาทของสหภาพยุโรปในการที่โคโซโวได้รับเอกราชจากเซอร์เบีย "Ode to Joy" ที่เรียบเรียงในเจ็ดรูปแบบที่แตกต่างกัน ถูกนำมาใช้ในวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2558 (ค.ศ. 2015) ระหว่างพิธีเฉลิมฉลองผู้เป็นสมาชิกสภาวิจัยแห่งยุโรป (European Research Council : ERC) คนที่ 5,000 เพื่อแสดงถึงความสำเร็จของการวิจัยของยุโรป "Ode to Joy" ถูกใช้เป็นเพลงประจำกอบการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปปี พ.ศ. 2559 (ค.ศ. 2016) และการแข่งขันฟุตบอลฟุตบอลโลก พ.ศ. 2561 (ค.ศ. 2018) รอบคัดเลือกของยุโรปเมื่อเริ่มต้นของทุกนัดการแข่งขัน ในปี พ.ศ. 2560 สมาชิกรัฐสภาแห่งสหราชอาณาจักรจากพรรคแห่งชาติสก็อตแลนด์ได้ผิวปากก่อน แล้วร้องเพลง "Ode to Joy" ระหว่างการลงคะแนนที่รัฐสภาเพื่อประท้วง Brexit ในปี พ.ศ. 2561 (ค.ศ. 2018) เพลงชาติญี่ปุ่นและ "Ode to Joy" เพลงประจำชาติแห่งสหภาพยุโรป ได้ถูกบรรเลงระหว่างการลงนามอย่างเป็นทางการของข้อตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจสหภาพยุโรป-ญี่ปุ่น ณ กรุงโตเกียว "Ode to Joy" เพลงประจำชาติยุโรปมักจะถูกนำมาบรรเลงเมื่อมีการลงนามในข้อตกลงทางเศรษฐกิจหรือการเมืองอย่างเป็นทางการระหว่างสหภาพยุโรปกับรัฐบาลต่างประเทศ 

https://www.youtube.com/watch?v=E9dLGDCdg3g

"Rise, O Voices of Rhodesia" เพลงชาติของอดีตสาธารณรัฐโรดีเซีย และอดีตสาธารณรัฐซิมบับเวโรดีเซีย (สาธารณรัฐซิมบับเวในปัจจุบัน) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2517 (ค.ศ. 1974) ถึง พ.ศ. 2522 (ค.ศ. 1979) ก็ใช้ทำนองเพลง "Ode to Joy" ด้วย 

"Rise, O Voices of Rhodesia" เพลงชาติของอดีตสาธารณรัฐโรดีเซีย (สาธารณรัฐซิมบับเวในปัจจุบัน) ก็ใช้ทำนองเพลง "Ode to Joy" ด้วย

https://www.youtube.com/watch?v=fd9ndlieJxg


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ว่าด้วย “ข่าวลือ” (Rumor) เนื้อหาใน ‘แง่ลบ’ ที่มักจะแพร่กระจายได้ดีกว่า ‘แง่บวก’ ?

ข่าวลือ คือ "เรื่องเล่าที่มีการอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากคนสู่คน และเกี่ยวข้องกับวัตถุ เหตุการณ์ หรือประเด็นที่เป็นประเด็นสาธารณะ" หรืออีกความหมายหนึ่งคือ ข่าวที่พูดกันไปทั่ว แต่ไร้หลักฐานยืนยัน

โลกใบนี้ ข่าวลือสามารถแพร่หลายได้เร็วและไกลมากกว่าข่าวจริง อย่าว่าแต่บ้านเราเลย แม้ในประเทศที่เจริญสุดขีดอย่างสหรัฐอเมริกาก็ยังมีข่าวลือที่เรียกว่า ทฤษฏีสมคบคิด (Conspiracy theories) เกิดขึ้นมากมาย

ในทางสังคมศาสตร์ ข่าวลือเกี่ยวข้องกับรูปแบบของคำแถลงของความจริงที่ไม่ได้รับการยืนยันอย่างรวดเร็วหรือไม่เคยปรากฏมาก่อน นอกจากนี้มีนักวิชาการบางคนระบุว่า ข่าวลือเป็นส่วนหนึ่งของการโฆษณาชวนเชื่อ การศึกษาทางสังคมวิทยา จิตวิทยา และการสื่อสารจึงมีคำจำกัดความของคำว่า ข่าวลือ ที่แตกต่างหลากหลาย

ข่าวลือยังมักถูกกล่าวถึงเกี่ยวกับ "ข้อมูลที่ผิด" และ "การบิดเบือนข้อมูล" (อดีตมักถูกมองว่าเป็นเท็จและหลังถูกมองว่าเป็นเท็จโดยจงใจ แม้ว่ามักจะมาจากแหล่งข่าวของรัฐบาลที่มอบให้กับสื่อหรือรัฐบาลต่างประเทศ) ข่าวลือจึงมักถูกมองว่าเป็นรูปแบบเฉพาะของแนวคิดในการสื่อสารในรูปแบบอื่น ๆ 

German William Stern

การวิจัยทางสังคมศาสตร์ของฝรั่งเศสและเยอรมันเกี่ยวกับข่าวลือเพื่อหาคำจำกัดความทางวิชาการสมัยใหม่ งานวิจัยบุกเบิกของ German William Stern ในปี พ.ศ. 2445 (ค.ศ. 1902) Stern ทำการทดลองเรื่องของข่าวลือกับ "กลุ่มตัวอย่าง" ที่ทำการถ่ายทอดเรื่องราวจาก "ปากต่อปาก" โดยไม่มีสิทธิ์พูดซ้ำหรืออธิบาย เขาพบว่า เรื่องราวสั้นลงและเปลี่ยนแปลงไปเมื่อถึงจุดสิ้นสุดของห่วงโซ่ ลูกศิษย์ของเขาซึ่งเป็นผู้บุกเบิกในศาสตร์ด้านนี้อีกคนหนึ่งคือ Gordon Allport การทดลองนี้คล้ายกับ "เกมกระซิบต่อกันจากหัวแถวถึงท้ายแถวสำหรับเด็ก"

"จิตวิทยาแห่งข่าวลือ" ("A Psychology of Rumour") ตีพิมพ์โดย Robert H. Knapp ในปี พ.ศ. 2487 (ค.ศ. 1944) รายงานการวิเคราะห์ข่าวลือมากกว่าหนึ่งพันครั้งในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งตีพิมพ์ในคอลัมน์ "Rumour Clinic" ของ Boston Herald ได้ให้นิยามข่าวลือว่า

"ข้อเสนอสำหรับความเชื่อเกี่ยวกับการอ้างอิงเฉพาะที่เผยแพร่ โดยไม่มีการตรวจสอบอย่างเป็นทางการ ข่าวลือที่มีคำจำกัดความอย่างน่ากลัวจึงเป็นเพียงกรณีพิเศษของการสื่อสารทางสังคมที่ไม่เป็นทางการ ซึ่งรวมถึงตำนาน เรื่องบอกเล่าสืบต่อกันมา และอารมณ์ขันในปัจจุบัน จากตำนานและเรื่องบอกเล่าสืบต่อกันมา มีความโดดเด่นด้วยการเน้นที่หัวข้อที่มีอารมณ์ขันจากการออกแบบมาเพื่อกระตุ้นเสียงหัวเราะ ข่าวลือใช้ในการทำให้เกิดความเชื่อ

Knapp ได้ระบุลักษณะพื้นฐานสามประการที่ใช้กับข่าวลือ คือ

1.) ถ่ายทอดแบบปากต่อปาก

2.) ให้ "ข้อมูล" เกี่ยวกับ "บุคคล เหตุการณ์ หรือเงื่อนไข" และแสดงและสนอง "ความต้องการทางอารมณ์ของชุมชน"

3.) สิ่งสำคัญสำหรับคำจำกัดความนี้และลักษณะเฉพาะคือ การเน้นที่การถ่ายทอด (คำพูดจากปากต่อปาก ซึ่งต่อมาได้ยินและรายงานในหนังสือพิมพ์) เกี่ยวกับเนื้อหา ("เฉพาะเรื่อง" หมายความว่าสามารถแยกแยะได้จากเรื่องเล็กน้อยและเรื่องส่วนตัวหรือประเด็นสาธารณะ) และการรับ ("ความต้องการทางอารมณ์ของชุมชน" แสดงให้เห็นว่า ถึงแม้ว่าจะได้รับข่าวลือจากบุคคลที่เป็นปัจเจก แต่ก็ปัจเจกบุคคลก็ไม่ได้เข้าใจในรายละอียด ทั้งตัวชุมชน หรือเงื่อนไขทางสังคม)

จากการศึกษาคอลัมน์หนังสือพิมพ์ Knapp ได้แบ่งข่าวลือออกเป็นสามประเภท

1.) ข่าวลือเรื่องเพ้อฝัน (Pipe dream rumors) สะท้อนความปรารถนาของสาธารณชนและผลลัพธ์ที่ต้องการ เช่น น้ำมันสำรองของญี่ปุ่นมีน้อย และสงครามโลกครั้งที่สองกำลังจะสิ้นสุดลงในไม่ช้า

2.) ข่าวลือเรื่องสะพรึงกลัวหรือสะท้อนถึงผลลัพธ์ที่น่ากลัว (Bogie or fear rumors) เช่น การโจมตีโดยไม่คาดคิดของศัตรูกำลังจะเกิดขึ้น

3.) ข่าวลือที่ยั่วยุให้เกิดการบ่อนทำลายความจงรักภักดีของกลุ่ม หรือความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล (Wedge-driving rumors) เช่น ชาวอเมริกันคาทอลิกกำลังพยายามหลีกเลี่ยงร่างกฎหมายบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับศาสนา ชาวเยอรมัน-อเมริกัน, อิตาเลียน-อเมริกัน, ญี่ปุ่น-อเมริกัน ไม่ภักดีต่อสหรัฐอเมริกา

Knapp ยังพบว่าข่าวลือเชิงลบมีแนวโน้มที่จะแพร่กระจายมากกว่าข่าวลือเชิงบวก ประเภทเหล่านี้ยังแยกความแตกต่างระหว่างข่าวลือเชิงบวก (pipe dream) และเชิงลบ (Bogie และ Wedge-driving rumors)

ในการศึกษาปี พ.ศ. 2490 (ค.ศ. 1947) The Psychology of Rumour, Gordon Allport และ Leo Postman ได้สรุปว่า "ในขณะที่ข่าวลือแพร่สะพัด ข่าวลือนั้นก็สั้นลง กระชับขึ้น เข้าใจ และบอกได้ง่ายขึ้น" ข้อสรุปนี้มีพื้นฐานมาจาก การทดสอบการแพร่กระจายข้อความระหว่างบุคคล ซึ่งพบว่าประมาณ 70% ของรายละเอียดในข้อความหายไปในการส่งต่อแบบปากต่อปากใน 5-6 ครั้งแรก

ในการทดลอง ผู้เข้าร่วมการทดลองได้แสดงภาพประกอบ และให้เวลาในการดู จากนั้นพวกเขาถูกขอให้อธิบายฉากจากความทรงจำไปยังตัวแบบทดสอบที่สอง จากนั้นให้ผู้ทดสอบคนที่ 2 อธิบายฉากนี้กับคนที่สาม เป็นต้น บันทึกการบอกต่อของแต่ละคน กระบวนการนี้ถูกทำซ้ำแล้วซ้ำอีก โดยมีภาพประกอบต่างกันโดยมีการตั้งค่าและเนื้อหาต่างกันมาก

Allport และ Postman ใช้คำศัพท์สามคำเพื่ออธิบายความเคลื่อนไหวของข่าวลือ ได้แก่ การปรับระดับ การลับคม และการดูดกลืน การปรับระดับหมายถึงการสูญเสียรายละเอียดในระหว่างกระบวนการส่ง เพิ่มความคมชัดในการเลือกรายละเอียดบางอย่างที่จะส่ง และการดูดซึมไปสู่การบิดเบือนในการส่งข้อมูลอันเป็นผลมาจากแรงจูงใจในจิตใต้สำนึก

มีการสังเกตการซึมซับเมื่อผู้ทดลองบรรยายภาพประกอบ ตามที่ควรจะเป็น แต่ไม่เป็นที่พวกเขาเป็นจริง ตัวอย่างเช่น ในภาพประกอบที่แสดงฉากการต่อสู้ ผู้ทดสอบมักจะรายงานรถพยาบาลอย่างไม่ถูกต้องในพื้นหลังของภาพประกอบว่า บรรทุก "เวชภัณฑ์" โดยที่จริงแล้ว มันคือ กล่องที่มีเครื่องหมาย "TNT (102)" อย่างชัดเจน"

การรับรู้ทางสังคม ในปี พ.ศ. 2547 Prashant Bordia และ Nicholas DiFonzo ได้ตีพิมพ์หนังสือ Problem Solving in Social Interactions on the Internet : Rumor As Social Cognition และพบว่าการส่งข่าวลือน่าจะสะท้อนถึง "กระบวนการอธิบายโดยรวม" ข้อสรุปนี้มีพื้นฐานมาจากการวิเคราะห์ กระดานข้อความที่เก็บถาวรซึ่งมีการเข้ารหัสและวิเคราะห์คำสั่ง พบว่า 29% (ส่วนใหญ่) ของข้อความในการอภิปรายเหล่านี้สามารถเข้ารหัสเป็นข้อความ "สร้างความรู้สึก" ซึ่งเกี่ยวข้องกับ "ความพยายามในการแก้ปัญหา" มีข้อสังเกตว่าการสนทนาที่เหลือสร้างขึ้นจากข้อความเหล่านี้ เป็นการตอกย้ำแนวคิดในการแก้ปัญหาร่วมกัน นักวิจัยยังพบว่า ข่าวลือแต่ละอันผ่านรูปแบบการพัฒนาสี่ขั้นตอน ซึ่งมีการแนะนำข่าวลือเพื่อการอภิปราย ข้อมูลได้รับการอาสาและอภิปราย และในที่สุดก็มีการลงมติหรือหมดความสนใจ

สำหรับการศึกษานี้ มีการรวบรวมการสนทนาที่เก็บถาวรเกี่ยวกับข่าวลือบนอินเทอร์เน็ตและเครือข่ายคอมพิวเตอร์อื่น ๆ เช่น BITnet ตามกฎแล้ว การสนทนาแต่ละครั้งจะมีการโพสต์ข้อความอย่างน้อยห้าข้อความในช่วงเวลาอย่างน้อยสองวัน ถ้อยแถลงถูกเข้ารหัสให้เป็นหนึ่งในสิ่งต่อไปนี้ : รอบคอบ วิตกกังวล ตรวจสอบ สอบปากคำ การให้ข้อมูล ความเชื่อ ความไม่เชื่อ การแสดงความรู้สึก พูดนอกเรื่อง หรือไม่สามารถเข้ารหัสได้ การอภิปรายข่าวลือแต่ละครั้งได้รับการวิเคราะห์ตามระบบการเข้ารหัสนี้ ระบบการเข้ารหัสที่คล้ายคลึงกัน ซึ่งอิงจากการวิเคราะห์ทางสถิติถูกนำไปใช้กับการอภิปรายแต่ละครั้งโดยรวม และรูปแบบสี่ขั้นตอนดังกล่าวของการอภิปรายข่าวลือก็ปรากฏขึ้น

4 องค์ประกอบในการจัดการข่าวลือ

>> ประการแรก ความวิตกกังวล (สถานการณ์และบุคลิกภาพ) คือเมื่อคนที่มีบุคลิกวิตกกังวลมากกว่า หรือคนที่ อยู่ในสถานการณ์ที่วิตกกังวลมีแนวโน้มที่จะสร้างข่าวลือเพื่อบรรเทาความไม่มั่นคงของพวกเขา

>> องค์ประกอบที่สองของการจัดการข่าวลือคือความคลุมเครือ ความคลุมเครือคือการที่ใครบางคนไม่แน่ใจว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นพวกเขาจึงลงเอยที่เลวร้ายที่สุด

>> องค์ประกอบที่สามคือความสำคัญของข้อมูล ข้อมูลเป็นกุญแจสำคัญ และหากข้อมูลนั้นไม่น่าสนใจหรือไม่สนใจผู้คน ก็จะไม่มีข่าวลือ แต่ข้อมูลมักจะเป็นเท็จ ข้อมูลยังสามารถคลุมเครือได้

>> องค์ประกอบสุดท้ายของการจัดการข่าวลือคือ ความน่าเชื่อถือ ข่าวลือมักแพร่กระจายโดยแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ ข่าวลือนั้นไม่น่าเชื่อถือเว้นแต่จะได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นความจริง นั่นคือเหตุผลที่คนบอกว่าอย่าไว้ใจหนังสือพิมพ์

กลยุทธ์การสื่อสารทางการเมือง ข่าวลือมีบทบาทสำคัญในการเมืองมาโดยตลอด โดยข่าวลือเชิงลบเกี่ยวกับฝ่ายตรงข้ามมักจะมีประสิทธิภาพมากกว่าข่าวลือเชิงบวกเกี่ยวกับด้านของตัวเอง "การโฆษณาชวนเชื่อ ถูกกำหนดอย่างเป็นกลางว่าเป็นรูปแบบการโน้มน้าวใจอย่างมีจุดมุ่งหมาย อย่างเป็นระบบ ซึ่งพยายามโน้มน้าวอารมณ์ทัศนคติความคิดเห็นและการกระทำของกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ เพื่อวัตถุประสงค์ทางอุดมการณ์การเมืองหรือเชิงพาณิชย์ ผ่านการส่งข้อความด้านเดียวที่มีการควบคุม (ซึ่งอาจจะใช่ หรืออาจจะไม่ใช่ข้อเท็จจริง) ผ่านช่องทางสื่อมวลชนและสื่อทางตรง องค์กรโฆษณาชวนเชื่อจ้างนักโฆษณาชวนเชื่อที่มีส่วนร่วมในการโฆษณาชวนเชื่อ - การสร้างและเผยแพร่รูปแบบการโน้มน้าวใจดังกล่าว" Richard Alan Nelson, A Chronology and Glossary of Propaganda in the United States, พ.ศ. 2539

ในอดีต การวิจัยเกี่ยวกับข่าวลือส่วนใหญ่มาจากแนวทางทางจิตวิทยา (ตามข้อสรุปของ Allport และ DiFonzio ข้างต้น) โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมุ่งเน้นที่ข้อความเกี่ยวกับความจริงที่น่าสงสัย (เป็นเท็จอย่างยิ่งต่อหูของผู้ฟังบางคน) หมุนเวียนด้วยวาจาจากคนสู่คน นักวิชาการให้ความสนใจข่าวลือทางการเมืองอย่างน้อยซึ่งเก่าแก่พอ ๆ กับสำนวนโวหารของ Aristotle อย่างไรก็ตาม ไม่นานมานี้มีความสนใจอย่างต่อเนื่องและการพัฒนาแนวความคิดมุ่งไปที่การใช้ข่าวลือทางการเมือง นอกเหนือบทบาทในสถานการณ์สงคราม แทบไม่มีการดำเนินการใด ๆ จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ว่าสื่อรูปแบบต่าง ๆ และเงื่อนไขทางประวัติศาสตร์-วัฒนธรรมอาจเอื้อต่อการแพร่กระจายของข่าวลือได้อย่างไร

การเกิดขึ้นของอินเทอร์เน็ตในฐานะเทคโนโลยีสื่อใหม่ได้แสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ใหม่ ๆ สำหรับการแพร่กระจายข่าวลืออย่างรวดเร็วในขณะที่เว็บไซต์ debunking (ข้อเท็จจริงหักล้าง) เช่น snopes.com, urbanlegend.com และ factcheck.org แสดงให้เห็น ก่อนหน้านี้ยังไม่มีการวิจัยใดที่พิจารณาถึงรูปแบบหรือรูปแบบของข่าวลือที่จงใจเลือกโดยเจตนาเพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมืองในสถานการณ์เฉพาะ (แม้ว่าความสนใจอย่างมีนัยสำคัญต่อพลังของข่าวลือสำหรับการโฆษณาชวนเชื่อสงครามที่เผยแพร่โดยสื่อมวลชนนั้นเป็นที่นิยมตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ส่วนหนึ่งของศตวรรษที่ 21 นักวิชาการด้านกฎหมายบางคนได้ให้ความสำคัญกับการใช้ข่าวลือทางการเมือง แม้ว่าแนวความคิดของพวกเขาจะยังคงเป็นเรื่องเกี่ยวกับจิตวิทยาทางสังคม และเป็นการแก้ปัญหาของพวกเขาเนื่องจากปัญหาสาธารณะมาจากมุมมองของนักวิชาการด้านกฎหมาย ซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับกฎหมายหมิ่นประมาทและความเป็นส่วนตัว และความเสียหายต่อชื่อเสียงส่วนตัว

Jayson Harsin

Jayson Harsin ผู้ซึ่งทำการศึกษาการสื่อสารทางการเมืองในปี พ.ศ. 2549 นำเสนอแนวคิดของ "ระเบิดข่าวลือ (ข่าวลือที่แพร่กระจายอย่างรวดเร็วและกว้างขวาง)" เพื่อตอบสนองต่อปรากฏการณ์เชิงประจักษ์ที่แพร่หลายของการสื่อสารที่ลือชื่อในความสัมพันธ์ร่วมสมัยระหว่างสื่อและการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายในการบรรจบกันที่ซับซ้อน สื่อหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่โทรศัพท์มือถือและอินเทอร์เน็ต วิทยุ ทีวี และสิ่งพิมพ์ Harsin เริ่มต้นด้วยคำจำกัดความที่แพร่หลายของข่าวลือว่า เป็นคำกล่าวอ้างที่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับความจริง และมักไม่มีที่มาที่แน่ชัด แม้ว่าต้นกำเนิดและเจตนาของลัทธิหรือพรรคพวกจะชัดเจนก็ตาม จากนั้นเขาก็ถือว่ามันเป็นกลยุทธ์เชิงโวหารเฉพาะในบริบทปัจจุบันของสื่อและการเมืองในหลากหลายสังคม สำหรับ Harsin "ระเบิดข่าวลือ" ขยายคำจำกัดความของข่าวลือไปสู่แนวคิดการสื่อสารทางการเมืองด้วยคุณสมบัติดังต่อไปนี้

>> วิกฤตของการตรวจสอบอาจเป็นแง่มุมที่สำคัญและเป็นอันตรายทางการเมืองมากที่สุดของข่าวลือ Berenson (1952) ให้คำจำกัดความข่าวลือว่าเป็นข้อความโน้มน้าวใจที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ขาด 'มาตรฐานของหลักฐานที่ปลอดภัย' (Pendleton 1998)

>> บริบทของความไม่แน่นอนหรือความวิตกกังวลของสาธารณชนเกี่ยวกับกลุ่ม บุคคล หรือสาเหตุทางการเมือง ซึ่งข่าวลือแพร่สะพัดหรือส่งต่อไปยังฝ่ายตรงข้าม

>> การเข้าข้างอย่างชัดเจนแม้ว่าจะมีแหล่งที่ไม่ระบุชื่อ (เช่น "ที่ปรึกษาประธานาธิบดีที่ไม่เผยนาม") ซึ่งแสวงหาผลประโยชน์ทางการเมืองจากการแพร่กระจายของข่าวลือ

>> การแพร่กระจายอย่างรวดเร็วผ่านสังคมสื่อกลางทางอิเล็กทรอนิกส์ที่พัฒนาอย่างมากจนข้อมูลข่าวสารสามารถเดินทางได้อย่างรวดเร็ว

ข่าวลวง ข่าวลือ มลพิษทางข้อมูลในโซเชียลมีเดีย และเว็บ จาก การสำรวจร่วมสมัยเกี่ยวกับ ความทันสมัย ​​ความท้าทาย และโอกาส

นอกจากนี้ Harsin ยังพบ "ระเบิดข่าวลือ" ในรูปแบบการสื่อสารอื่น ๆ เช่น การบิดเบือนข้อมูล (ข้อมูลเท็จโดยเจตนา) และการโฆษณาชวนเชื่อ ขณะที่ข่าวลือถูกคนอื่นดู อย่างไรก็ตาม เขาได้ทำการแยกความแตกต่างจากแนวคิดเหล่านี้เช่นกัน เนื่องจากข้อมูลเท็จมักเกี่ยวข้องกับรัฐบาลมากจนเกินไป และการโฆษณาชวนเชื่อคือความพยายามที่จะควบคุมความคิดเห็นโดยไม่คำนึงถึงจริยธรรมและความถูกต้องของข้อความ ในทำนองเดียวกัน "ลูกข่าง" ("Spin") เป็นศัพท์ทั่วไปสำหรับการสื่อสารทางการเมืองเชิงกลยุทธ์ที่พยายามวางกรอบหรือจัดโครงสร้างใหม่ให้กับเหตุการณ์หรือคำแถลงในลักษณะที่สร้างผลประโยชน์ทางการเมืองให้กับฝ่ายหนึ่ง แล้วเป็นอันตรายต่ออีกฝ่ายหนึ่ง แม้ว่าโดยพื้นฐานแล้วมันอาจเป็นเพียงข้อมูลที่ถูกทำให้เข้าใจผิด (Red herring )

นอกจากนี้ "การรณรงค์หาเสียง" ยังเป็นคำที่หมายถึงความพยายามร่วมกันเพื่อโจมตีตัวบุคคลอย่างหลวม ๆ "ระเบิดข่าวลือ" ไม่เหมือนกับ "การรณรงค์หาเสียง" ระเบิดข่าวลือไม่จำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับการทำให้เสียชื่อเสียง (เช่นในกรณีเช่นในการอ้างสิทธิ์ในการบุกอิรักและ 9/11 หรืออาวุธทำลายล้างสูงที่ถูกย้ายไปซีเรีย) "ลูกข่าง" ยังหมายถึงเหตุการณ์และการจัดฉากใหม่อีกด้วย ตัวข่าวลือก็อาจพยายามสร้างเหตุการณ์ขึ้นมาเองก็เป็นได้

ระเบิดข่าวลือ สามารถถูกมองว่า มีลักษณะบางอย่างของแนวคิดทั่วไปเหล่านี้ แต่ระเบิดข่าวลือเกิดขึ้นในเงื่อนไขทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ที่เฉพาะเจาะจงมาก และไม่ได้เกี่ยวข้องกับข่าวลือระหว่างบุคคลเลยแบบปากต่อหู เนื่องจากมีการวิจัยข่าวลือที่น่าสนใจมาก พวกเขาเริ่มต้นในสายสัมพันธ์ระหว่าง "ผู้บิดเบือนข้อมูล" โดยเจตนากับสื่อ ไม่ว่าจะเป็นข่าวทางโทรทัศน์ ทอล์คโชว์ หนังสือพิมพ์ วิทยุ หรือเว็บไซต์ จากนั้นพวกเขาก็แพร่กระจายไปทั่วสื่อเหล่านี้ แต่อาจไม่จำเป็นต้องส่งผลให้เกิดการแพร่กระจายข่าวลือแบบปากต่อหูระหว่างบุคคล

Harsin แยกแยะข่าวลือข่าวลือออกจากแนวคิดทั่วไปอื่น ๆ ของข่าวลือ โดยเน้นการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เทคโนโลยีสื่อ และวัฒนธรรม Harsin กล่าวว่า ข่าวลือทางการเมืองมีอยู่เสมอ แต่การเปลี่ยนแปลงเมื่อเร็ว ๆ นี้ได้สร้างสภาพแวดล้อมที่สุกงอมสำหรับข่าวลือทางการเมืองรูปแบบใหม่ : สื่อใหม่ "วัฒนธรรมการบรรจบกัน" ซึ่งข้อมูลที่ผลิตบนอินเทอร์เน็ตสามารถมีอิทธิพลต่อการผลิตเนื้อหาสื่อในรูปแบบอื่น ๆ  เทคโนโลยีสื่อใหม่และค่านิยมทางธุรกิจที่เน้นความเร็วและการหมุนเวียนที่ผสมผสานกับคุณค่าความบันเทิงในข่าว การตลาดทางการเมือง และความปรารถนาของสาธารณชนต่อข่าวแท็บลอยด์ที่สะท้อนความบันเทิงประเภทอื่น ๆ

ข่าวลือเรื่อง "อาวุธอานุภาพทำลายล้างสูง (WMD)" และข้อกล่าวหาการเคลื่อนย้าย WMD ไปยังประเทศอื่น" John Kerry เป็นชาวฝรั่งเศส" OBAMA เป็นมุสลิม John McCain มีลูกผิวสีนอกสมรส ทั้งหมดนี้ เกี่ยวข้องกับข้อความที่เป็นความจริงในคำถามหรือที่เป็นเท็จ ข้อความอื่น ๆ อาจมีลักษณะคลุมเครือ ซึ่งทำให้ดึงดูดต่อผู้ที่มีความคิดที่แตกต่างกัน ซึ่งอาจตีความพวกเขาในลักษณะเฉพาะและเผยแพร่ให้พวกเขาได้รับความเสื่อมเสียชื่อเสียง Harsin สรุปจากการวิจัยข่าวลือที่เน้นการรับรู้ทางสังคมและการแพร่กระจายของการโฆษณาชวนเชื่อ เขาขยายงานของ Prashant และ Difonzio โดยเฉพาะ เนื่องจากพวกเขาพยายามแยกแยะข่าวลือออกจากเรื่องซุบซิบ (Gossip) โดยข่าวลือดังกล่าวเป็นข่าวลือเกี่ยวกับประเด็นสาธารณะ และการนินทาเป็นเรื่องส่วนตัวและไม่สำคัญ การเกิดขึ้นของสาระบันเทิงและแท็บลอยด์โดยเฉพาะในอเมริกาและข่าวของอังกฤษได้ทำลายความแตกต่างนั้น เนื่องจากตอนนี้การเมืองเป็นเพียงการนำความเป็นส่วนตัวไปสู่มุมมองจากสาธารณะ เช่นเดียวกับเรื่องอื้อฉาวของ Clinton-Lewinsky ที่มีความชัดเจนมาก ๆ

การสื่อสารเชิงกลยุทธ์ คล้ายกับลักษณะที่ปรากฏและยังทำหน้าที่ในการสื่อสารทางการเมือง ซึ่งข่าวลือสามารถนำไปใช้กับผลกระทบที่เป็นอันตราย (ระเบิดข่าวลือ) หรืออาจก่อให้เกิดภยันตรายร้ายแรงต่อผู้สมัครรับตำแหน่งทางการเมือง ข่าวลือยังมีบทบาทสำคัญในการสื่อสารเชิงกลยุทธ์ การสื่อสารเชิงกลยุทธ์เป็นกระบวนการสร้างข้อความเพื่อสนับสนุนเป้าหมายขององค์กรอย่างเฉพาะเจาะจง และมักเกี่ยวข้องกับรัฐบาล กองทัพ และองค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) การสื่อสารเชิงกลยุทธ์ที่ชาญฉลาดต้องเข้าใจในเรื่องราว แนวโน้ม และ memes (การแพร่กระจายของไอเดีย หรือข้อมูลทางวัฒนธรรมที่ถูกส่งต่อกันไปเป็นทอด ๆ โดยไม่ใช่การส่งผ่านทางพันธุกรรมด้วยการเลียนแบบ) ซึ่งยังคงหมุนเวียนอยู่ในกระแสของวัฒนธรรมตามแต่ละยุคสมัย

หนังสือ Narrative Landmines : Rumours, Islamist Extremism and the Struggle for Strategic Influence โดย Daniel Bernardi, Pauline Hope Cheong, Chris Lundry และ Scott W. Ruston

ข่าวลือสามารถมองได้ว่า เป็นเรื่องราวที่ดูเหมือนมีเหตุผล แต่แฝงไปด้วยความคาดเดา เกี่ยวข้องกับภูมิทัศน์การเล่าเรื่องบางอย่าง (การแสดงออกทางวัฒนธรรมมากมายที่หมุนเวียนอยู่ภายในชุมชนหรือภูมิภาค) ในหนังสือ Narrative Landmines : Rumours, Islamist Extremism and the Struggle for Strategic Influence โดย Daniel Bernardi, Pauline Hope Cheong, Chris Lundry และ Scott W. Ruston ได้ประดิษฐ์คำศัพท์ "IED" เพื่อช่วยอธิบายการทำงานและอันตรายของข่าวลือใน บริบทการสื่อสารเชิงกลยุทธ์ ข่าวลือในฐานะ IED (Improvised explosive device) หรือ ระเบิดข่าวลือแสวงเครื่อง ซึ่งถูกบรรยายว่า เป็นอาวุธในการสื่อสารที่มีเทคโนโลยีต่ำและต้นทุนต่ำ ซึ่งทุกคนสามารถใช้เพื่อขัดขวางความพยายามในการสื่อสาร กิจการพลเรือน หรือการรณรงค์เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ เช่น รัฐบาลที่ดำเนินการในสถานการณ์ตอบโต้วิกฤต หรือกองทัพในการก่อความไม่สงบ ดังที่ Bernardi ตั้งข้อสังเกตว่า "เกือบทุกคนสามารถสร้างและเป็นผู้แพร่ข่าวลือ ราวกับข่าวของญาติตัวเองที่ถูกระเบิดได้ สามารถจำกัดทรัพยากร แต่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตสำหรับผู้ที่เกี่ยวข้องในทางตรง และสามารถทำให้เกิดความกลัวเพิ่มมากขึ้นได้เรื่อย ๆ"

Daniel Bernardi


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“ตลาดนัดหาคู่ นครเซี่ยงไฮ้” (Shanghai marriage market) เมื่ออยากช่วยลูก ’สละโสด’ !! พ่อแม่จีนจึงโปรดให้...

เรื่องของการมีครอบครัว มีชีวิตคู่ ถือเป็นเรื่องใหญ่ของชาวโลกตะวันออก โดยเฉพาะชาวจีน ซึ่งครอบครัวมักห่วงอาทรในเรื่องของมีชีวิตคู่ของบุตรหลานอยู่เสมอ จึงทำให้เกิด “ตลาดนัดหาคู่ นครเซี่ยงไฮ้ (Shanghai marriage market)” ขึ้น จึงขอนำมาเล่าในบทความประจำสัปดาห์นี้ครับ

ตลาดนัดหาคู่ เป็นสถานที่จัดขึ้นเพื่อหาคู่แต่งงาน ณ People's Park ในนครเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน โดยผู้ปกครองของหนุ่มสาวที่ยังไม่ได้แต่งงานต่างก็แห่แหนกันไปยังสวนสาธารณะ People's Park ในทุกวันเสาร์และอาทิตย์ ตั้งแต่เที่ยงวันถึงห้าโมงเย็น เพื่อนำเสนอ แลกเปลี่ยน ข้อมูลเกี่ยวกับบุตรหลานของตน ซึ่งยังครองตัวเป็นโสดอยู่

ตลาดนัดคนโสด ณ People's Square มีมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 มีค่าใช้จ่ายประมาณ $3.20 USD สำหรับโฆษณาที่แสดงเป็นเวลาห้าเดือน และมีนายหน้าหาคู่แต่งงานโดยสามารถเข้าถึงหมายเลขโทรศัพท์อย่างเต็มรูปแบบ โดยมีค่าธรรมเนียมการลงทะเบียน $16.00 ตลาดนัดคนโสดที่จัดขึ้นเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2547 ณ สวนสาธารณะ Longtan กรุงปักกิ่ง ผู้เกษียณที่ไปสวนสาธารณะเพื่อออกกำลังกายตอนเช้ามักพบว่าในการสนทนามีเด็กที่ยังไม่แต่งงานในวัยยี่สิบกลางถึงปลาย ด้วยความกระวนกระวายที่จะแต่งงานกับลูก ๆ ของพวกเขา ผู้อาวุโสเริ่มจัดงานจับคู่ที่พวกเขานำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับลูก ๆ ของพวกเขา และมองหาการจับคู่ที่เป็นไปได้ ตั้งแต่นั้นมา สวนสาธารณะในเมืองใหญ่ ๆ เช่น เซินเจิ้น หวู่ฮั่น เซี่ยงไฮ้ หางโจว และเทียนจิน ก็กลายเป็นสถานที่จับคู่อย่างไม่เป็นทางการ

ตลาดนัดหาคู่ เป็นการรวมตัวของคนโสด แต่ส่วนมากจะเป็น พ่อ แม่ ที่กังวลว่า ลูกชาย ลูกสาวของตนจะไม่มีคู่ จึงมารวมตัวกัน จับคู่ หาคู่แต่งงานให้กับลูก ๆ ของตน มีการตั้งป้าย บอกคุณลักษณะ รูปร่างหน้าตา ฐานะ การศึกษา การงาน ไม่ต่างจากโปรไฟล์ที่พบเห็นตามเว็ปไซต์นัดเดทเลยแม้แต่น้อย 

ป้ายบอกคุณลักษณะในตลาดนัดหาคู่

เป้าหมายหลักในการเข้าร่วมตลาดนัดหาคู่ คือ ให้พ่อแม่หาคู่ครองที่เหมาะสมสำหรับลูก ๆ ของตน มาตรฐานในการหาคู่ที่ใช่อาจขึ้นอยู่กับ (แต่ไม่จำกัดเฉพาะ) อายุ ส่วนสูง งาน รายได้ การศึกษา ค่านิยมของครอบครัว ราศีจีน และบุคลิกภาพ ผู้สูงอายุที่เกิดระหว่างปี 1950 ถึง 1960 มักจะเป็นพ่อค้า แม่ค้า ของตลาดนัดแห่งนี้ ผู้สูงอายุเหล่านี้ต่างพากันโฆษณาคุณสมบัติของลูก ๆ ที่ยังไม่แต่งงาน ซึ่งเกิดในช่วงทศวรรษ 1970 ถึง 1990 โดยในตลาดนี้ ข้อมูลทั้งหมดนี้จะถูกเขียนไว้บนกระดาษแผ่นหนึ่ง ซึ่งจากนั้นจะแขวนไว้บนเชือกสายยาวท่ามกลางโฆษณาบรรดาบุตรหลานของผู้ปกครองคนอื่น ๆ 

ป้ายโฆษณานำเสนอบุตรหลานแขวนไว้บนเชือกสายยาวท่ามกลางโฆษณาบรรดาบุตรหลานของผู้ปกครองคนอื่น ๆ

โฆษณานำเสนอบุตรหลานยังติดอยู่ตามถุงกระดาษ ติดตามต้นไม้ ติดกับร่ม หรือวางบนพื้นตรงข้ามสวน People's Park ผู้ปกครองเดินไปรอบ ๆ เพื่อพูดคุยกับผู้ปกครองคนอื่น ๆ เพื่อดูว่า หนุ่มสาวมีความเหมาะสมคล้องจองกันหรือไม่ หลังจากที่มาตรฐานของลูก ๆ หนุ่มสาวตรงกันแล้วก็จะมีการนัดเจอกัน

โฆษณานำเสนอบุตรหลานยังติดอยู่ตามถุงกระดาษ ติดตามต้นไม้ ติดกับร่ม หรือวางบนพื้น

ตลาดนัดคนโสดมีสองโซนหลัก : เขตปลอดอากร และ โซนจับคู่สมัครเล่น 

เขตปลอดอากร เป็นที่ซึ่งผู้ปกครองของหนุ่มสาวมองหาคู่ที่มีเหมาะสมสำหรับลูกชายหรือลูกสาวคนเดียวของพวกเขา นอกจากนี้ยังมีคนรุ่นใหญ่บางคนซึ่งกำลังมองหาคู่ของตัวเอง ภายในเขตปลอดอากรมีโซนย่อยมากมายที่ผู้ปกครองสามารถติดโปสเตอร์ของบุตรหลานได้ โซนย่อยบางโซนจะแบ่งตามปีเกิด เช่น โซนทศวรรษ 1970, 1980 และ 1990 โซนอื่น ๆ ได้แก่ โซนต่างประเทศ โซน “เซี่ยงไฮ้ใหม่” เขตหย่าร้าง โซนมุสลิม และโซนภูมิภาค 

เขตจับคู่สมัครเล่น ผู้จับคู่มืออาชีพหรือแบบสมัครใจจะแบ่งปันรายชื่อผู้สมัครที่มีเหมาะสมให้กับผู้ปกครองที่เข้าร่วม มีนักจับคู่มืออาชีพในตลาดที่คิดค่าธรรมเนียมการให้คำปรึกษา 100-200 หยวนสำหรับหญิง และไม่มีค่าธรรมเนียมสำหรับชาย กล่าวกันว่า ความไม่สมดุลนี้เกิดจากหญิงในตลาดคนโสดมีมากกว่า ตามรายงานของสื่อท้องถิ่น นักจับคู่มืออาชีพเหล่านี้มักจะกลายเป็นนักเล่นกลที่หายตัวไปหลังจากได้รับค่าธรรมเนียมจากเหล่าบรรดาผู้ปกครองที่ต้องการหาคู่ให้กับลูก ๆ ของตน

ร่มสำหรับโฆษณา ผู้ปกครองหลาย ๆ คนไม่ได้รับความยินยอมจากลูก ๆ ให้เข้าร่วมงานนี้ และได้รับการอธิบายว่า ใช้บริการ "match.com จะตรงใจกว่า" ด้วยอัตราความสำเร็จต่ำ ในสายตาของผู้ปกครองหลาย ๆ คน การรวมตัวเพื่อจับคู่ลูก ๆ ของพ่อแม่ เช่น ตลาดนัดหาคู่ในนครเซี่ยงไฮ้ เป็นวิธีเดียวที่จะรักษารูปแบบการออกเดทแบบดั้งเดิมสำหรับลูก ๆ ของพวกเขาในประเทศจีนสมัยใหม่ ประเพณีในอุดมคติอันยาวนานของจีนในการสืบสานสายเลือดของครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญมากในวัฒนธรรมจีนตามนโยบายลูกคนเดียว เมื่อเริ่มเข้าสู่วัยแต่งงานทั่วไป "ตลาดหาคู่" ของจีนจึงมีเสถียรภาพที่สั่นคลอน โดยเฉพาะสำหรับชายในจีน มหาวิทยาลัย Kent คาดการณ์ว่าภายในปี 2021 ชายจีนราว 24 ล้านคนจะยังไม่ได้แต่งงานและไม่สามารถหาภรรยาได้

โดยทั่วไปแล้ว ผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ในพื้นที่จะรวมตัวกันด้วยความสมัครใจ

รูปแบบของตลาดนัดหาคู่ ตลาดเหล่านี้ไม่มีผู้จัดงานอย่างเป็นทางการ โดยทั่วไปแล้ว ผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ในพื้นที่จะรวมตัวกันด้วยความสมัครใจ อย่างไรก็ตาม ตลาดนัดหาคู่มีแนวโน้มที่จะมีลักษณะที่คล้ายคลึงกัน ประการแรก อัตราส่วนทางเพศมักเป็นการจะมองหาฝ่ายชายมากกว่า แม้ว่าในประเทศจีนจะมีจำนวนประชากรชายมากกว่าประชากรหญิงก็ตาม ในสวนจงซานของปักกิ่ง ผู้ปกครอง 80% มองหาสามีสำหรับลูกสาวคนเดียวของพวกเขา ฝ่ายหญิงที่ถูกส่งเข้าร่วมหาคู่ในตลาดส่วนใหญ่เป็นหญิงสาวที่มีการศึกษาระดับวิทยาลัย ซึ่งมีงานทำ และเติบโตในเซี่ยงไฮ้ สาว ๆ ในเมืองเหล่านี้เป็นตัวแทนของชนชั้นกลางคนใหม่ของจีน แต่มักถูกจัดอยู่ในประเภท "หญิงสาวที่เหลือ" ในตลาดนัดหาคู่ ผู้ปกครองจะใช้กลยุทธ์ต่าง ๆ ในการทำการตลาดให้บุตรหลานของตน เช่น ทักษะที่มี การบริการลูกค้า และการเจรจาต่อรองที่ดี การออกแบบ ป้าย โปสเตอร์ อย่างรอบคอบ และการแต่งกายที่ดีเพื่อแสดงถึงการอบรมเลี้ยงดูที่ดี

แม้ว่าจะไม่มีข้อกำหนดที่เป็นทางการสำหรับการโฆษณาในตลาด แต่ลักษณะบางอย่างถือเป็นที่ต้องการมาก สำหรับฝ่ายหญิง คือ อายุน้อย รูปร่างหน้าตาดี การศึกษาดี หัวอ่อน เชื่อฟัง จะเป็นที่ต้องการ สำหรับชาย การมีระดับการศึกษาที่สูงขึ้น การงานที่ดี และรายได้สูง เป็นสิ่งสำคัญ ด้วยคาดว่า ฝ่ายชายจะเป็นเจ้าของอพาร์ตเมนต์และรถยนต์ การมีทะเบียนบ้านในเซี่ยงไฮ้ (Hukou) มีความสำคัญอย่างมากสำหรับผู้เข้าร่วมในตลาดนัดหาคู่ทุกคน

ตัวอย่างข้อความโฆษณา “สาวสวย เกิดปี พ.ศ. 2524 สูง 162 เซนติเมตร จบการศึกษาปริญญาตรี ทำงานเป็น Project director ของบริษัทต่างชาติ เงินเดือนมากกว่า 10,000 หยวน (ราว 52,000 บาท) ต้องการหาชายที่เกิดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2517-2526 จบปริญญาตรีหรือสูงกว่า และเป็นคนที่มีความรับผิดชอบต่อครอบครัว”

การวิจัยชาติพันธุ์วิทยาเพื่อศึกษาแรงจูงใจของผู้ปกครองในการเข้าร่วมตลาดนัดหาคู่ในนครเซี่ยงไฮ้ พบว่า ตลาดนัดหาคู่ในเซี่ยงไฮ้มีอัตราความสำเร็จต่ำ และผู้ปกครองส่วนใหญ่ยอมรับว่าไม่น่าจะพบคู่ที่ตรงกัน แต่ผู้ปกครองมักจะกลับมาที่ตลาดเพื่อโฆษณาบุตรหลานของตนต่อไป งานวิจัยชิ้นหนึ่งอธิบายว่าตลาดตอบสนองต่อความวิตกกังวลโดยรวมของสังคมจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เกิดในปี 1950 และ 1960 ผู้คนรุ่นนี้เป็นพ่อแม่ของลูกคนเดียว เพื่อที่จะรักษาทะเบียนบ้านในเขตเมือง หลายคนยังคงเป็นโสดในวัยสามสิบ เมื่อพวกเขากลับบ้านเกิด รัฐต้องเข้าไปแทรกแซงจัดการนัดพบเพื่อแก้ปัญหานี้ แหล่งที่มาของความวิตกกังวลของผู้ปกครองอีกประการหนึ่งคือ ความรู้สึกที่ครอบคลุมถึงความผันผวนและความไม่มั่นคงตั้งแต่การปฏิรูปเศรษฐกิจในประเทศจีน ผู้ปกครองกังวลเรื่องความมั่นคงทางการเงินของบุตรหลาน ที่พักอาศัยในย่านใจกลางเมืองที่มีราคาแพงอย่างรวดเร็ว เช่น นครเซี่ยงไฮ้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากไม่มีระบบสวัสดิการสังคมที่แข็งแกร่งในการจัดหาที่อยู่อาศัยและความมั่นคง 

ด้วยเหตุนี้ ผู้ปกครองเหล่านี้จึงกังวลว่า ลูกเพียงคนเดียวของพวกเขาจะเติบโตขึ้นมาใช้ชีวิตที่ยากลำบาก และมีชีวิตแต่งงานที่ไม่มีความสุข ตลาดนัดหาคู่จึงเป็นช่องทางสำหรับผู้ปกครองที่จะแบ่งปันความกังวลส่วนตัวของพวกเขาในที่สาธารณะ ซึ่งเป็นสิ่งที่วัฒนธรรมจีนดั้งเดิมเห็นว่า ไม่เหมาะสมในสภาพแวดล้อมอื่น ๆ ดังนั้น หน้าที่หลักของตลาดคือ การสร้างการชุมนุมทางสังคมสำหรับผู้สูงอายุเพื่อแบ่งปันความกังวลร่วมกันในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงของนครเซี่ยงไฮ้ แรงจูงใจอื่น ๆ ในการไปตลาดนัดหาคู่รวมถึงการเน้นที่การรักร่วมเพศ เนื่องจากผู้ปกครองจำนวนมากพิจารณาเฉพาะผู้สมัครที่มีภูมิหลังทางเศรษฐกิจและสังคมที่คล้ายคลึงกันเท่านั้น และความสงสัยเกี่ยวกับความสามารถของลูกของตนในการหาคู่ครองที่เหมาะสม

หน้าที่หลักของตลาดคือ การสร้างการชุมนุมทางสังคมสำหรับผู้สูงอายุเพื่อแบ่งปันความกังวลร่วมกันในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงของนครเซี่ยงไฮ้

การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการแต่งงาน เมื่อเร็ว ๆ นี้ หญิงที่มีการศึกษาดีและมีอาชีพการงานที่มั่นคงในประเทศจีน ต่างก็ไม่รีบร้อนที่จะแต่งงาน พวกเธอมีทางเลือกมากกว่าหญิงในรุ่นก่อน ๆ และไม่กลัวที่จะให้ความสำคัญกับอาชีพของตนเป็นอันดับแรก การเปลี่ยนแปลงในอุดมคติในการแต่งงานทำให้หญิงอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่า และมีอำนาจทางสังคมมากขึ้นจากเดิมที่ชายเคยครอบงำตามประเพณี ปัจจุบันมีหญิงจำนวนมากขึ้นที่พยายามหาชายที่มีความรับผิดชอบและมีความซื่อสัตย์ แทนที่จะเป็นแค่งานที่ได้ค่าตอบแทนสูง

อัตราการแต่งงานในจีนมีแนวโน้มลดลง โดยเฉพาะหญิงที่มีการศึกษาดีและมีอาชีพการงานที่มั่นคง

เช่นกันมาตรฐานของชายหลายคนเปลี่ยนไปตามความก้าวหน้าของสถานภาพของหญิงตามหน้าที่การงานเช่นกัน พวกเขาคาดหวังจะได้ภรรยาเป็นหญิงที่ได้รับการศึกษาและอยู่ในเส้นทางอาชีพที่ดี แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างมากคือมุมมองของคนรุ่นก่อนในเรื่องนี้ พวกเขาเห็นด้วยกับคนรุ่นใหม่ โดยคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดสองประการในภรรยาคือ "ความสง่างามและเส้นทางอาชีพที่ดี" ค่อนข้างเปลี่ยนจาก "ความขยันหมั่นเพียรและความตั้งใจเป็น แบกรับภาระแห่งชีวิต"

ตลาดนัดหาคู่ในเซี่ยงไฮ้ยังเป็นการตอบสนองต่อความเป็นปัจเจกบุคคลอย่างรวดเร็วในประเทศจีนตั้งแต่ยุคปฏิรูปตลาด การเปิดตลาดและการถอนตัวของรัฐจากบริการทางสังคมจำนวนมากทำให้เกิดความจำเป็นในการขัดเกลาทางสังคมมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้สูงอายุในรุ่นนั้น ดังนั้นตลาดนัดหาคู่จึงเป็นการตอบสนองต่อความวิตกกังวลทางสังคมของชาวจีนที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

คนเราจะมี ‘เพื่อน’ ได้มากที่สุดกี่คน ? “Dunbar’s Number” (ตัวเลขของดันบาร์) ความสัมพันธ์ที่จำกัดจากสมองมนุษย์

มนุษย์คนหนึ่ง ๆ จะสามารถมีเพื่อนจำนวนเท่าใดจึงพอเหมาะต่อการที่จะรู้จักคุ้นเคย รักใคร่ชอบพอกันจนสนิทชิดเชื้อ และสามารถรักษาความเป็นเพื่อนไว้ได้เป็นอย่างดี ? คำตอบนี้ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า Dunbar’s Number ขึ้น และตัวเลขจำนวนนี้มีความหมายโยงใยไปถึงหลายเรื่องในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นขนาดของธุรกิจ ขนาดของกลุ่มออกค่าย ขนาดของหน่วยรบ ขนาด Network ของ Social Media ฯลฯ 

ในปี พ.ศ. 2535 ‘Robin Dunbar’ ผู้เป็นศาสตราจารย์ทางมานุษยวิทยาแห่งมหาวิทยาลัย Oxford ได้นำเสนอตัวเลขจำนวนนี้ต่อสาธารณะ จากการศึกษาทั้ง การแพทย์ จิตวิทยา ประวัติศาสตร์ และมานุษยวิทยา เพื่อหาจำนวนของความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่สมองของมนุษย์คนหนึ่งสามารถจัดการได้เป็นอย่างดี Dunbar พบว่ามนุษย์มีทางโน้มที่สามารถจัดการกลุ่มของตน (Self-organize) เองได้ดีเมื่อกลุ่มของตนมีจำนวนไม่เกิน 150 คน ดังนั้นตัวเลข 150 นี้จึงเป็นที่รู้จักกันดีในวงวิชาการและถูกเรียกว่า Dunbar’s Number 

Robin Dunbar ปัจจุบันอายุ 74 ปี ชาวอังกฤษ จบปริญญาตรีด้านจิตวิทยาและปรัชญาที่มหาวิทยาลัย Oxford และเรียนจบปริญญาเอกด้านมานุษยวิทยาจากมหาวิทยาลัยแห่ง Bristol จากนั้นทำงานวิจัยและสอนให้กับมหาวิทยาลัยหลายแห่งในอังกฤษก่อนที่จะมีชื่อเสียงเพราะการการนำเสนอทฤษฏี Dunbar’s Number

คำจำกัดความอย่างเป็นทางการของ Dunbar’s Number คือ “ตัวเลขของจำนวนคนที่ทำให้เกิดข้อจำกัดเชิงการใช้ความคิดที่บุคคลหนึ่งสามารถทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนได้” พูดง่าย ๆ คือ จำนวนตัวเลขที่สร้างข้อจำกัดในการทำงานของสมองของมนุษย์คนหนึ่ง ที่จะสามารถรักษาความสัมพันธ์กับคนอื่น ๆ ได้เป็นอย่างดี 

Dunbar ไม่ได้ยกเมฆตัวเลขจำนวนนี้ขึ้นเอง หากแต่ได้ทำการศึกษาในเชิงสังคมวิทยาอย่างรอบคอบ บทความของเขาใน Journal of Human Evolution ในปี พ.ศ. 2535 ได้อธิบายว่า การที่คนเรามีสมองขนาดใหญ่ขึ้นทำให้สามารถแก้ไขปัญหาทางสังคมได้ดียิ่งขึ้น การอยู่อาศัยเป็นกลุ่มของมนุษย์ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ทำให้เกิดประโยชน์มหาศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการป้องกันภัยจากศัตรู อย่างไรก็ดีการอยู่ร่วมกันเป็นเรื่องยากเพราะสมาชิกมักแย่งชิงอาหารและเพศตรงข้ามกัน ต่างต้องระวังการถูกโกงและการถูกกดขี่ข่มเหง แต่ในขณะเดียวกันต่างก็หาช่องทางที่จะข่มขู่และกดขี่คนอื่นเพื่อการอยู่รอดอีกด้วย 

สัตว์เผ่าพันธุ์ Primates

เมื่อขนาดของกลุ่มใหญ่ขึ้น ขนาดของข้อมูลที่สมองของสัตว์เผ่าพันธุ์ Primates ซึ่งครอบคลุมลิงและมนุษย์จะต้องประมวลก็มากขึ้นเป็นเงาตามตัว กลุ่มที่มีคน 5 คน มี 10 คู่ของความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิก ถ้ากลุ่มเป็น 20 ก็มี 190 ถ้ากลุ่มเพิ่มเป็น 50 ก็มี 1,225 เมื่อความซับซ้อนของความสัมพันธ์มากขึ้นเช่นนี้สมองก็จำเป็นต้องมีขนาดใหญ่ขึ้น และมีหลากหลายชั้นของเซลล์สมองเพื่อจัดการความสัมพันธ์ซึ่งสมองเป็นเครื่องมือสำคัญ Dunbar ใช้โมเดลคณิตศาสตร์เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างขนาดของ Neocortex (ส่วนสำคัญของสมอง) ของแต่ละประเภท Primates กับขนาดของกลุ่มที่อยู่ร่วมกัน ยิ่ง Neocortex ใหญ่เท่าใดขนาดของกลุ่มที่สามารถจัดการปัญหาของตนเองได้ก็ใหญ่ขึ้น แม้แต่มนุษย์ซึ่งเป็น Primate ที่ฉลาดที่สุด ก็ไม่สามารถอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มที่มีขนาดใหญ่อย่างไม่มีที่สิ้นสุดได้ 

Dunbar พบว่า สำหรับลิงประเภทต่าง ๆ มีขนาดของกลุ่มที่อยู่ด้วยกันตั้งแต่ 5 ถึง 80 ตัว ส่วนลิงเอป (Ape) หรือลิงไม่มีหาง มีขนาดของกลุ่มประมาณ 5 ตัว และขนาดของกลุ่มของมนุษย์คือ 147.8 คน และ Dunbar ยังพบข้อมูลจากประวัติศาสตร์ว่า ขนาดของกลุ่มทหารโรมัน กลุ่มทหารในศตวรรษที่ 16 กลุ่มชนที่เดินทางเร่ร่อนในสมัยโบราณ กลุ่มชนที่อาศัยในถิ่นต่าง ๆ ล้วนมีจำนวนประมาณ 150 คน เช่นเดียวกับที่เขาคำนวณได้จากโมเดลทางคณิตศาสตร์ งานศึกษาของ Dunbar จนได้ตัวเลข 150 สร้างความฮือฮาในทางวิชาการในทศวรรษ 1990’s จนถึงปัจจุบัน มีคนนำไปประยุกต์ใช้ในทางการทหาร ทางธุรกิจโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่อง Social Media

กองทัพสหรัฐอเมริกาได้ลองผิดลองถูกกับขนาดของหน่วยรบที่มีประสิทธิภาพที่สุดมายาวนานและใช้ตัวเลข 150 เป็นจำนวนของทหารหนึ่งกองร้อยของหน่วยรบในปัจจุบัน สำหรับบริษัทใหญ่ ๆ ในสหรัฐอเมริกา เช่น Gore-Tex นั้น หากสาขามีจำนวนลูกจ้างถึง 150 คน ก็จะแยกออกเป็นอีกสาขาหนึ่ง และสำหรับชุมชนปกครองตนเองในสหรัฐอเมริกา (เช่น พวก Hutterites ซึ่งคล้ายพวก Amish ซึ่งยึดการใช้ชีวิตแบบโบราณดั้งเดิม) หากสมาชิกเกิน 150 คน ก็จะแยกออกเป็นอีกชุมชนหนึ่ง

ชาว Hutterites

ในโลกของ Social Media นั้น Dunbar’s Number ถูกนำมาทดสอบเพื่อยืนยันจำนวนเพื่อนที่สมาชิกคนหนึ่งสามารถมีความสัมพันธ์ได้อย่างยั่งยืน ตัวเลขนี้มีความสำคัญเพราะเป็นขนาดของ Network ที่จะต้องนำเอามาออกแบบเชิงธุรกิจ Facebook สนใจ Dunbar’s Number เช่นเดียวกับ Path ซึ่งช่วยให้สมาชิกโพสต์รูปและความเห็นผ่านสมาร์ทโฟนตลอดจนบอกเวลานอนและตื่นได้อีกด้วย ผู้บริหาร Path พบว่า แต่ละ Network ไม่ควรมีขนาดใหญ่กว่า 150 คน Path ประสบความสำเร็จจากการใช้จำนวนนี้จนปัจจุบันมีสมาชิกกว่า 5 ล้านคน

ข้อโต้แย้งเกี่ยวกับ Dunbar’s Number ปัจจุบัน มีนักวิชาการ/นักวิจัยซึ่งทำการวิจัยได้โต้แย้งการสังเกตเชิงประจักษ์ของขนาดกลุ่มมนุษย์พบว่า มีจำนวนประมาณ 150 คนโดยเฉลี่ย โดยนำเสนอการสังเกตเชิงประจักษ์ของขนาดกลุ่ม ซึ่งบ่งชี้ถึงจำนวนอื่น ๆ ที่หลากหลาย (กลุ่มอายุ 46-53) ดังนั้นการวิจัยเชิงนิเวศวิทยาเกี่ยวกับสังคมของ ความเป็นเอกลักษณ์ของความคิดของมนุษย์และการสังเกตเชิงประจักษ์ ล้วนบ่งชี้ว่าไม่มีข้อจำกัดด้านความรู้ความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับสังคมมนุษย์ การวิเคราะห์ใหม่ของเราให้หลักฐานชิ้นสุดท้ายที่จำเป็นต่อการเพิกเฉยต่อ 'Dunbar's number' โดยสรุปการอนุมานขีดจำกัดการรับรู้ของมนุษย์จากการถดถอยของข้อมูล Primates ที่ไม่ใช่มนุษย์นั้นมีค่าจำกัด ด้วยเหตุผลทั้งทางทฤษฎีและเชิงประจักษ์ เป็นความหวังของเรา แม้ว่าอาจจะไร้ประโยชน์ แต่การศึกษาครั้งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นในการยุติการใช้ 'Dunbar’s Number' ในวิทยาศาสตร์ และในสื่อยอดนิยมต่าง ๆ ว่า 'Dunbar's number' เป็นแนวคิดที่มีพื้นฐานทางทฤษฎีที่จำกัด ซึ่งยังคงขาดข้อมูลเชิงประจักษ์ในการสนับสนุน ด้วยมนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่ต้องการมีความสัมพันธ์ที่ดีและมีความต่อเนื่องกับมนุษย์คนอื่น ๆ ถ้ามีจำนวนน้อยเกินไปก็จะไม่เกิดประโยชน์เต็มที่ แต่หากมีมากจนเกินไปก็ไม่สามารถรักษาความสัมพันธ์อย่างดีไว้ได้อย่างยั่งยืน ตัวเลข 150 ของ Dunbar จึงอาจเหมาะสมพอดีกับวัฒนธรรมตะวันตกซึ่งมีลักษณะเฉพาะในการรักษาความสัมพันธ์อันแตกต่างจากวัฒนธรรมอื่น ๆ ก็เป็นได้ ในสังคมตะวันออกโดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา การให้ความสำคัญแก่พิธีกรรมเป็นพิเศษเพื่อสร้างและรักษาความสัมพันธ์ก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายมิใช่น้อย (เช่น ของฝาก การไปร่วมงานพิธีต่าง ๆ ของขวัญฯ) จึงมีความเป็นไปได้ที่จำนวนตัวเลข 150 นี้อาจไม่ถูกต้องตามบริบทของสังคมตะวันออกก็เป็นได้


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“โฮมีโอพาธีย์ (Homeopathy)” ศาสตร์การแพทย์ทางเลือก หนามยอกเอาหนามบ่ง !!

การระบาดของไวรัส COVID-19 อย่างหนักในบ้านในเมืองของเราเวลานี้ การรักษาโดยกระบวนการทางการแพทย์แผนปัจจุบันอย่างเดียวคงจะไม่พอเพียงและทันต่อเหตุการณ์แล้ว การรักษาด้วยกระบวนการแพทย์ทางเลือก (Alternative Medicine) ด้วยวิธีการรักษาแบบผสมผสาน (Complementary Medicine) จึงเป็นทางเลือกอีกกระบวนการหนึ่งซึ่งน่าสนใจ และควรที่จะนำมาใช้ในการรักษาภายใต้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้

National Center of Complementary and Alternative Medicine (NCCAM) ของสหรัฐอเมริกา ได้มีการจำแนกตามกลุ่มของการแพทย์ทางเลือกออกเป็น 5 กลุ่ม

การแพทย์ทางเลือกที่นำไปใช้เสริมหรือใช้ร่วมกับการแพทย์แผนปัจจุบัน เรียกว่า “Complementary Medicine” ส่วนการแพทย์ทางเลือกที่สามารถนำไปใช้ทดแทนการแพทย์แผนปัจจุบันได้ โดยไม่ต้องอาศัยการแพทย์แผนปัจจุบัน เรียกว่า “Alternative Medicine” โดย ศูนย์สุขภาพเสริมและสุขภาพเชิงบูรณาการแห่งชาติ เป็นหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาที่กำกับดูแลการแพทย์ทางเลือก ก่อตั้งขึ้นครั้งแรกในชื่อว่า สำนักงานการแพทย์ทางเลือก (Office of Alternative Medicine : OAM) และเปลี่ยนชื่อเป็น ศูนย์การแพทย์ผมผสานและการแพทย์ทางเลือก (National Center for Complementary and Alternative Medicine : NCCAM) 

ก่อนที่จะได้รับชื่อปัจจุบันคือ ศูนย์สุขภาพเสริมและสุขภาพเชิงบูรณาการแห่งชาติ (The National Center for Complementary and Integrative Health : NCCIH) เป็นหนึ่งใน 27 ศูนย์และสถาบันที่ประกอบเป็น สถาบันสาธารณสุขแห่งชาติ (National Institutes of Health : NIH) ภายใต้กระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์ (Department of Health and Human Services) ของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา เมื่อปี พ.ศ. 2548 ได้จำแนกออกเป็น 5 กลุ่มดังนี้ 

Alternative Medical Systems คือ การแพทย์ทางเลือกที่มีวิธีการตรวจรักษาวินิจฉัยและการบำบัดรักษาที่มีหลากหลายวิธีการ ทั้งด้านการให้ยา การใช้เครื่องมือมาช่วยในการบำบัดรักษาและหัตถการต่าง ๆ เช่น การแพทย์แผนโบราณของจีน (Traditional Chinese  Medicine) การแพทย์แบบอายุรเวชของอินเดีย เป็นต้น

Mind-Body Interventions คือ วิธีการบำบัดรักษาแบบใช้กายและใจ เช่น การใช้สมาธิบำบัด โยคะ ชี่กง เป็นต้น

Biologically Based Therapies คือ วิธีการบำบัดรักษาโดยการใช้ สารชีวภาพ สารเคมีต่าง ๆ เช่น สมุนไพร วิตามิน Chelation Therapy Ozone Therapy หรือแม้กระทั่งอาหารสุขภาพ เป็นต้น โฮมีโอพาธีย์ (Homeopathy) จัดอยู่ในอยู่ในกลุ่มนี้

Manipulative and Body-Based Methods คือ วิธีการบำบัดรักษาโดยการใช้ หัตถการต่าง ๆ เช่น การนวด การดัด การจัดกระดูก Osteopathy Chiropractic เป็นต้น

Energy Therapies คือ วิธีการบำบัดรักษาที่ใช้พลังงานในการบำบัดรักษาที่สามารถวัดได้และไม่สามารถวัดได้ในการบำบัดรักษา เช่น การสวดมนต์บำบัด พลังกายทิพย์ พลังจักรวาล เรกิ โยเร เป็นต้น

ในการพิจารณาเลือกใช้การแพทย์ทางเลือก ต้องคำนึงถึงหลัก 4 ประการ คือ

ความน่าเชื่อถือ (Rational) โดยดูจากวิธีการหรือองค์ความรู้ด้านการแพทย์ทางเลือกชนิดนั้น ประเทศต้นกำเนิดให้การยอมรับหรือไม่ หรือมีการใช้แพร่หลายหรือไม่ ใช้มาเป็นเวลานานเพียงใด มีการบันทึกไว้หรือไม่ อย่างไร เป็นต้น

ความปลอดภัย (Safety) เป็นเรื่องสำคัญมากว่า จะส่งผลกับสุขภาพของผู้ใช้อย่างไร การเป็นพิษแบบเฉียบพลันมีหรือไม่ พิษแบบเรื้อรังมีเพียงใด อันตรายที่จะเกิดขึ้นในระยะยาวมีหรือไม่ หรือวิธีการนั้นทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายหรือไม่ เป็นต้น

การมีประสิทธิผล (Efficacy) เป็นเรื่องที่จะต้องพิสูจน์หรือมีข้อพิสูจน์มาแล้วว่าสามารถใช้ได้จริง มีข้อมูลยืนยันได้ว่าใช้แล้วได้ผล ซึ่งอาจต้องมีจำนวนมากพอหรือใช้มาเป็นเวลานานจนเป็นที่ยอมรับจากการศึกษาวิจัยหลากหลายวิธีการ เป็นต้น

ความคุ้มค่า (Cost - Benefit - Effectiveness) โดยเทียบว่าค่าใช้จ่ายที่เกิดด้วยวิธีนั้น ๆ คุ้มค่ากับการรักษาโรคที่ผู้ป่วยต้องทนทุกข์ทรมานหรือไม่ โดยอาจเทียบกับฐานะทางการเงินของผู้ป่วยแต่ละคน เป็นต้น

โฮมีโอพาธีย์ (Homeopathy) เป็นการแพทย์ทางเลือกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งถือกำเนิดขึ้นในปี พ.ศ. 2339 โดย Christian Friedrich Samuel Hahnemann แพทย์ชาวเยอรมัน ผู้ซึ่งเชื่อว่าสารที่ทำให้เกิดอาการของโรคในคนที่มีสุขภาพดีสามารถรักษาอาการคล้ายคลึงกันในคนป่วย ความเชื่อพื้นฐานตามหลักการนี้เรียกว่า similia similibus curentur หรือ "เหมือนการรักษาเหมือน" (like cures like) หรืออาจจะเปรียบได้ว่า เป็นการรักษาแบบ “หนามยอกเอาหนามบ่ง” กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ สิ่งที่ทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยในคนที่มีสุขภาพดี สามารถรักษาด้วยการใช้เชื้อของโรคที่มีอาการคล้ายคลึงกันได้ในขนาดที่เล็กมาก สิ่งนี้มีขึ้นเพื่อกระตุ้นการป้องกันตามธรรมชาติของร่างกาย การเตรียม Homeopathic เรียกว่าการเยียวยา และทำโดยการเจือจาง Homeopathic ในกระบวนการนี้ สารที่เลือกจะถูกเจือจางซ้ำ ๆ จนกว่าผลิตภัณฑ์ขั้นสุดท้ายจะแยกไม่ออกจากตัวเจือจางทางเคมี มักไม่มีแม้แต่โมเลกุลเดียวของสารดั้งเดิมที่สามารถคาดหวังให้คงอยู่ในผลิตภัณฑ์ได้ ระหว่าง Homeopaths การเจือจางแต่ละครั้งอาจกระทบและ/หรือเขย่าผลิตภัณฑ์ โดยอ้างว่าสิ่งนี้ทำให้ตัวเจือจางจำสารเดิมได้หลังจากกำจัด 

ทฤษฏีนี้กล่าวว่า การเตรียมการดังกล่าวเมื่อรับประทานเข้าไปสามารถรักษาหรือรักษาโรคได้ ซึ่งอธิบายได้ดังนี้ : หลักการโฮมีโอพาธีย์ในการผลิตยาปกติสำหรับบำบัด รักษาผู้ที่ได้รับความเจ็บป่วยในอาการเดียวกัน โดยใช้สารที่ก่อให้เกิดความเจ็บป่วยในคนหนึ่งส่วนมาเจือจางกับน้ำหรือแอลกอฮอล์อีก 9 หรือ 99 ส่วน พร้อมทั้งเขย่าขึ้นลงในแนวตั้ง 10 หรือ 100 ครั้งตามสัดส่วนที่เจือจางซึ่งเรียก ขนาดความแรง เป็น 1D หรือ 1C จากนั้นนำสาร 1D หรือ 1C มาเจือจางต่ออีก 1:10 หรือ 1:100 พร้อมเขย่าเช่นเดิม 10 หรือ 100 ครั้ง จะเรียก ขนาดความแรง 2D หรือ 2C ทำไปเรื่อย ๆ จะมีความแรงในการบำบัดรักษาเพิ่มขึ้นตามความแรงที่เพิ่มขึ้น อันที่จริง ยาเหล่านี้จำนวนมากไม่มีโมเลกุลของสารดั้งเดิมเหลืออยู่อีกต่อไป ยาโฮมีโอพาธีย์มีอยู่ในหลายรูปแบบลักษณะ เช่น ของเหลว ครีม เจล และยาเม็ด โดยระหว่างการรักษา แพทย์ Homeopathic (Homeopaths)จะถามคำถามหลายข้อเกี่ยวกับสุขภาพจิต อารมณ์ และร่างกายของคนไข้ เพื่อจะกำหนดวิธีการรักษาที่ตรงกับอาการของคนไข้มากที่สุด จากนั้นจะมีการปรับแต่งกระบวนการรักษาสำหรับคนไข้ตามแต่อาการเฉพาะราย

อาร์นิกา (ARNICA) เป็นสมุนไพร ดอกสีเหลือง มีสรรพคุณในการฆ่าเชื้อโรค และช่วยการฟื้นฟูของเนื้อเยื่อ

ตัวอย่างเช่น หอมแดงทำให้ดวงตามีน้ำ นั่นเป็นเหตุผลที่ใช้ในการรักษาโรคภูมิแพ้ทางชีวจิต การรักษาโรคอื่น ๆ ด้วยตัวยาจากไม้เลื้อยพิษ สารหนูสีขาว ผึ้งทั้งตัวบด และสมุนไพรที่เรียกว่า อาร์นิกา (ARNICA) เป็นดอกสีเหลือง มีสรรพคุณในการฆ่าเชื้อโรค และช่วยการฟื้นฟูของเนื้อเยื่อ เป็นที่นิยมสำหรับบรรเทาอาการปวดที่เกิดจากรอยฟกช้ำหรืออักเสบ นอกจากนั้นยังมีคนไข้สมบัติต่อต้านอนุมูลอิสระ (anti-aging) และช่วยลดอาการบวมอีกด้วย

การรักษาด้วยกระบวนการโฮมีโอพาธีย์ (Homeopathy) สามารถแก้ปัญหาสุขภาพที่หลากหลาย รวมถึงโรคเรื้อรังบางอย่าง 
>> โรคภูมิแพ้
>> ไมเกรน
>> อาการซึมเศร้า
>> โรคอ่อนเพลียเรื้อรัง
>> ข้ออักเสบรูมาตอยด์
>> อาการลำไส้แปรปรวน
>> กลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือน
นอกจากนี้ยังสามารถใช้สำหรับปัญหาเล็กน้อย เช่น รอยฟกช้ำ รอยถลอก ปวดฟัน ปวดหัว คลื่นไส้ ไอ และหวัด

ร้านขายยาสไตล์ละตินอเมริกันคาริเบียน (การแพทย์สเปนและโปรตุเกสแบบดั้งเดิม) ซึ่งอาจมีลักษณะเหมือนร้านขายยาที่มีพื้นฐานจากวิทยาศาสตร์ ความแตกต่างที่ไม่ได้อยู่ในลักษณะที่ปรากฏ แต่ขึ้นอยู่กับพื้นฐานของความเชื่อที่ว่า ยามีผลต่อการรักษา

การทำงาน ? การวิจัยมีความหลากหลาย การศึกษาบางชิ้นแสดงให้เห็นว่าการรักษาด้วยกระบวนการโฮมีโอพาธีย์ (Homeopathy) มีประโยชน์ด้วยการรักษาที่การรักษาแบบอื่นไม่ทำกัน นักวิจารณ์กล่าวถึงประโยชน์ของยาหลอก นั่นคือเวลาที่อาการดีขึ้นเพราะคนไข้เชื่อว่าการรักษานั้นได้ผล ไม่ใช่เพราะมันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ สิ่งนี้สามารถกระตุ้นสมองให้ปล่อยสารเคมีที่ช่วยบรรเทาอาการปวดหรืออาการอื่น ๆ ได้ชั่วครู่ แต่ทฤษฎีบางอย่างที่โฮมีโอพาธีย์ (Homeopathy) นำมาใช้อ้างอิงนั้นไม่สอดคล้องกับหลักการของเคมีและฟิสิกส์ โดยเหตุผลตามหลักวิทยาศาสตร์คือ ยาที่ไม่มีสารออกฤทธิ์ (ยาหลอก) ไม่ควรมีผลกับร่างกาย

ความเสี่ยงคืออะไร ? สำนักงานอาหารและยาของสหรัฐฯ (U.S Food & Drug Administration (FDA) ได้กำกับดูแลการรักษาด้วยกระบวนการโฮมีโอพาธีย์ (Homeopathy) แต่จะไม่ตรวจสอบเพื่อดูว่าปลอดภัยหรือมีประสิทธิภาพหรือไม่ โดยทั่วไปแล้วพบว่า ส่วนใหญ่รับยาและดื่มน้ำน้อยจนไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงใด ๆ แต่มีข้อยกเว้น กรณียาที่อาจมีสารออกฤทธิ์จำนวนมาก เช่น โลหะหนัก ซึ่งอาจเป็นอันตรายได้ กรณีตัวอย่าง : ในปี พ.ศ. 2559 FDA ได้ออกคำเตือนเกี่ยวกับการใช้ยาเม็ดและเจลสำหรับการรักษาตามกระบวนการโฮมีโอพาธีย์ (Homeopathy) เนื่องจากความเสี่ยงต่อสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นกับทารกและเด็ก หากคนไข้กำลังพิจารณาที่จะลองใช้วิธีการรักษาทางเลือกเหล่านี้  ต้องปรึกษาแพทย์ประจำตัวก่อน เพื่อความมั่นใจว่า ปลอดภัยและจะไม่มีผลต่อยาอื่น ๆ ที่คนไข้กำลังใช้อยู่

จากการศึกษาวิจัยด้านการแพทย์ทางเลือกในบ้านเราพบว่า ศาสตร์ที่คนไทยรู้จัก และให้ความศรัทธาและมีความนิยมใช้จำนวน 25 ศาสตร์ ดังนี้ 

1.) สมุนไพร 2.) การนวด 3.) สมาธิ/โยคะ 4.) การนวดศีรษะ 5.) การรำมวยจีน/ไทเก็ก 6.) พลังรังสีธรรม 7.) สมาธิหมุน 8.) ชีวจิต 9.) พลังจักรวาล/โยเร 10.) การฝังเข็ม 11.) การฟังดนตรี 12.) การสวดมนต์/ภาวนา 13.) อบสมุนไพร 14.) การใช้เครื่องหอม/ยาดม 15.) การใช้วิตามิน/เกลือแร่/อาหารปลอดสารพิษ 16.) ดื่มน้ำผัก/ผลไม้ 17.) การสวนล้างพิษ 18.) การดูหมอ/รดนำมนต์ 19.) ศิลปะบำบัด 20.) การผ่อนคลายแบบ Biofeedback 21.) การใช้คาถา/เวทมนต์ 22.) การเพ่งโดยการใช้แสง สี เสียง 23.) การเข้าทรงนั่งทางใน 24.) การใช้เก้าอี้แม่เหล็กไฟฟ้า 25.) การใช้วิชาธรรมจักร 

นอกจากนี้ยังมีการนำศาสตร์การแพทย์ทางเลือกรูปแบบต่าง ๆ ไปใช้ในกลุ่มผู้ป่วยเรื้อรังต่าง ๆ ร่วมกับการแพทย์แผนปัจจุบัน ตัวอย่างเช่น มีการนำเอาการแพทย์ทางเลือกทั้งในรูปแบบของอาหารสุขภาพ การนั่งสมาธิ การใช้หินบำบัด ฯลฯ มาใช้ร่วมกันในการรักษาในกลุ่มผู้ป่วยมะเร็งเป็นต้น

ภาพรวมจากรายละเอียดและข้อมูลต่าง ๆ จะพบว่า การแพทย์ทางเลือกในบ้านเรามีอัตราการขยายตัวสูงมากขึ้นเรื่อย ๆ และกำลังเป็นที่สนใจของประชาชนในสังคมเป็นอย่างยิ่ง ดังกระทรวงสาธารณสุขจึงมีภารกิจเร่งด่วนที่ต้องเร่งจัดการและทำการศึกษาองค์ความรู้ด้านการแพทย์ทางเลือกต่าง ๆ เพื่อเผยแพร่ข้อมูลได้อย่างถูกต้องแก่ประชาชนต่อไป โดยเฉพาะการระบาดของไวรัส COVID-19 อย่างหนักในบ้านเมืองของเราเวลานี้ จำเป็นต้องเร่งให้ทำการศึกษาและเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจในการใช้สมุนไพรต่าง ๆ อาทิ ฟ้าทะลายโจร กระชายขาว สมุนไพรต่าง ๆ ตลอดจนศาสตร์ทางเลือกต่าง ๆ รวมทั้งการรักษาด้วยกระบวนการโฮมีโอพาธีย์ (Homeopathy) ด้วย ซึ่งต่อทำคู่ขนานกันไปในภาวะวิกฤตเช่นนี้ ทั้งนี้ทั้งนั้นผู้ที่รับการรักษาด้วยวิธีการตามกระบวนการแพทย์ทางเลือกจะเป็นผู้ที่ให้ข้อมูลที่ดีและเป็นประโยชน์มากที่สุดในอันที่จะพัฒนาต่อยอดการรักษาด้วยการแพทย์ทางเลือกให้มีประสิทธิภาพ และเกิดประสิทธิผลต่อแนวทางการรักษาด้วยศาสตร์ของการแพทย์ทางเลือกต่อไป


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

โทษหนักเป็นเบา ‘California Proposition 47’ กฎหมายลดความผิดจากโทษทางอาญา เป็นความผิดลหุโทษ แต่กลายเป็นสาเหตุของอาชญากรรมที่เพิ่มมากขึ้น

เหรียญมีสองด้านเสมอ เช่นเดียวกับกฎหมายฉบับนี้ California Proposition 47 ซึ่งเป็นกฎหมายปรับการกระทำความผิดบางเรื่องจากความผิดที่มีโทษทางอาญาให้กลายเป็นความผิดที่ถือเป็นลหุโทษ กฎหมายฉบับนี้เป็นกฎหมายใช้เฉพาะภายในรัฐ California เพราะออกโดยรัฐสภาแห่งรัฐ California ไม่ใช่กฎหมายที่ออกโดยรัฐสภาแห่งสหรัฐอเมริกา California Proposition 47 ฉบับนี้เป็นกฎหมายที่ส่งผลกระทบมากมายต่อสังคมของรัฐ California ดังที่จะเล่าให้ทราบต่อไปนี้

Proposition 47 หรือที่รู้จักในชื่อ การลงคะแนนว่าด้วยโทษอาญา อันเป็นธรรมนูญแห่งความคิดริเริ่ม เป็นการลงประชามติที่ผ่านกฎหมายโดยผู้มีสิทธิเลือกตั้งในรัฐ California เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 (ค.ศ. 2014) ผู้ที่ลงคะแนนสนับสนุนยังเรียกมาตรการนี้ว่า รัฐบัญญัติว่าด้วยความปลอดภัยละแวกบ้านและโรงเรียน โดยได้จัดประเภทความผิดที่ไม่รุนแรงบางอย่างใหม่ให้เป็นความผิดลหุโทษ แทนที่จะเป็นความผิดทางอาญา ตามที่เคยได้จัดประเภทไว้ก่อนหน้านี้

การกระทำความผิดหรืออาชญากรรมที่ได้รับผลกระทบ คือ 
- การขโมยของตามร้าน โดยที่มูลค่าทรัพย์สินที่ถูกขโมยไป ไม่เกิน $950
- การโจรกรรม โดยที่มูลค่าทรัพย์สินที่ถูกขโมยไป ไม่เกิน $950
- การรับทรัพย์สินที่ถูกขโมย (การรับของโจร) โดยมีมูลค่าทรัพย์สิน ไม่เกิน $950
- การปลอมแปลง โดยที่มูลค่าของเช็คปลอม พันธบัตร หรือเอกสาร ไม่เกิน $950
- การฉ้อโกง โดยที่มูลค่าของเช็ค ดราฟต์ หรือการกระทำที่เป็นการฉ้อโกง ไม่เกิน $950
- การจ่ายเช็คไม่มีเงิน โดยที่มูลค่าของเช็ค ไม่เกิน $950
- การใช้ยาโดยส่วนตัวที่ผิดกฎหมาย ซึ่งปริมาณ / น้ำหนักในการครอบครอง / ใช้น้อยกว่าเกณฑ์ที่กำหนด

ผลกระทบหลักของมาตรการตาม California Proposition 47 คือการเปลี่ยนความผิดที่ไม่รุนแรงหลายอย่าง เช่น ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดและทรัพย์สิน จากที่เป็นความผิดทางอาญากลายเป็นความผิดลหุโทษ ความผิดเหล่านี้รวมถึงการขโมยของในห้างร้านต่าง ๆ การใช้เช็คโดยเจตนาที่ผิดกฎหมาย และการครอบครองยาที่ผิดกฎหมาย มาตรการดังกล่าวยังกำหนดให้เงินค่าปรับอันเป็นผลมาจากมาตรการดังกล่าว จะต้องใช้ใน "การป้องกันการละทิ้งโรงเรียน และป้องกันการไม่ให้ออกโรงเรียนกลางคัน ชดใช้เยียวยาเหยื่ออาชญากรรม และการบำบัดผู้ติดยาเสพติด ตลอดจนโปรแกรมอื่น ๆ ที่ออกแบบมาเพื่อกันผู้กระทำความผิดให้พ้นคุกและไม่ติดคุก" 

มาตรการดังกล่าวรวมถึงข้อยกเว้นสำหรับความผิดที่เกี่ยวข้องกับ มากกว่า $950 และอาชญากรที่มีประวัติความรุนแรงหรือความผิดทางเพศ ตัวอย่างเช่น ก่อนหน้านี้การปลอมแปลงเป็นความผิดที่อัยการอาจตั้งข้อหาว่า เป็นความผิดทางอาญา ด้วยเจตนารมย์ของ California Proposition 47 อัยการไม่สามารถตั้งข้อหาปลอมแปลง ที่เกี่ยวข้องกับความเสียหายที่น้อยกว่า $950 ว่าเป็นความผิดทางอาญาได้ เว้นแต่จำเลยมีประวัติอาชญากรรม ส่งผลกระทบต่อการตัดสินลงโทษในอนาคต และอนุญาตให้บุคคลที่ถูกจองจำในคดีอาญาซึ่ง California Proposition 47 ครอบคลุม สามารถยื่นคำร้องให้พิพากษาอีกครั้ง

ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2558 รายงานของโครงการ Stanford Justice Advocacy ซึ่งเขียนโดย Michael Romano ผู้ร่วมเขียน California Proposition 47 พบว่า Prop 47 สามารถลดจำนวนนักโทษในเรือนจำของรัฐ California ลง 13,000 คน และจะช่วยรัฐ California ประหยัดงบประมาณลงได้ประมาณ 150 ล้านดอลลาร์ในปีนั้น ในส่วนของบทบัญญัติที่อนุญาตให้ผู้กระทำความผิดในอดีตสามารถยื่นคำร้องต่อการพิจารณาโทษหมดอายุในวันที่ 4 พฤศจิกายน 2560 โดย Jerry Brown ผู้ว่าการรัฐ California ได้อนุมัติร่างกฎหมายซึ่งขยายกำหนดเวลาไปจนถึงวันที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565 กองบรรณาธิการของ The New York Times ยกย่อง  Prop 47 ว่าเป็นวิธีการลดความแออัดในเรือนจำของรัฐ นอกจากนี้กองบรรณาธิการของ Los Angeles Times ซึ่งสรุปว่า Prop 47 เป็น "มาตรการที่ดีและทันเวลา ซึ่งสามารถช่วยให้รัฐใช้ความยุติธรรมทางอาญาและทรัพยากรในการกักขังได้อย่างชาญฉลาดยิ่งขึ้น" และ The American Civil Liberties Union (ACLU) ยังสนับสนุน Prop 47 และบริจาคเงิน 3.5 ล้านดอลลาร์เพื่อสนับสนุนมาตรการตาม Prop 47 ด้วย

Mark A. Peterson อัยการเขตของ Contra Costa County ระบุก่อนที่จะมี Prop 47 ว่า มาตรการตาม Prop 47 "จะทำให้ละแวกใกล้เคียงและโรงเรียนของเราปลอดภัยน้อยลง"

ผู้ต่อต้านมาตรการตาม Prop 47 รวมถึง Mark A. Peterson อัยการเขตของ Contra Costa County ผู้ซึ่งระบุก่อนที่จะมี Prop 47 ว่า มาตรการตาม Prop 47 "จะทำให้ละแวกใกล้เคียงและโรงเรียนของเราปลอดภัยน้อยลง" นอกจากนี้ยังได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จาก Nancy E. O'Malley อัยการเขตของ Alameda County ซึ่งกล่าวว่า "จะทำให้ชาว California ได้รับอันตรายอย่างมีนัยสำคัญ" และเรียกมันว่า "ม้าโทรจัน" 

ข้อโต้แย้งที่โดดเด่นที่สุดเกี่ยวกับกฎหมายคือ การครอบครองยา Rohypnol ที่มักถูกนำไปใช้ในการมอมสตรีเพื่อจะข่มขืนภายใต้มาตรการตาม Prop 47 จะได้รับการลงโทษเป็นความผิดลหุโทษมากกว่าเป็นความผิดทางอาญา ซึ่งนักวิจารณ์อธิบายว่าเป็น "การลงโทษที่ไม่มีผลต่อผู้ต้องโทษ" นักวิจารณ์ยังโต้แย้งว่า การที่ไม่สามารถใช้การกักขังเพื่อบังคับให้ผู้ใช้ยาเข้ารับการบำบัดได้ จะทำให้ผู้ใช้ยาเข้าสู่โปรแกรมการบำบัดรักษาได้ยากขึ้น

Nancy E. O'Malley อัยการเขตของ Alameda County กล่าวว่า "มาตรการตาม Prop 47 จะทำให้ชาว California ได้รับอันตรายอย่างมีนัยสำคัญ"

George Gascón อัยการเขตของ San Francisco กล่าวว่า Prop 47 "ทำให้ผู้กระทำความผิดเรื่องยาเสพติดหลีกเลี่ยงโปรแกรมการรักษาที่ได้รับคำสั่งได้ง่ายขึ้น" (ปัจจุบัน George Gascón อัยการเขตของนคร Los Angeles)

ผลกระทบต่ออัตราการเกิดอาชญากรรม ในปี พ.ศ. 2558 (ค.ศ. 2015) Los Angeles Times รายงานว่า "บรรดาเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายตำหนิ Prop 47 ที่ยอมให้ผู้กระทำผิดซ้ำ ถูกดำเนินคดีโดยมีผลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น" นอกจากนี้แล้วในปีนั้นเอง George Gascón อัยการเขตของนคร San Francisco กล่าวว่า Prop 47 "ทำให้ผู้กระทำความผิดเรื่องยาเสพติดหลีกเลี่ยงโปรแกรมการรักษาที่ได้รับคำสั่งได้ง่ายขึ้น" Eric Garcetti นายกเทศมนตรีนคร Los Angeles ยังเสนอว่า Prop 47 อาจอธิบายได้ว่าทำไมอัตราการเกิดอาชญากรรมในเมืองของเขาจึงเปลี่ยนจากการลดลงเป็นเพิ่มขึ้น 

Eric Garcetti นายกเทศมนตรีนคร Los Angeles เสนอว่า Prop 47 อาจอธิบายได้ว่าทำไมอัตราการเกิดอาชญากรรมในเมืองของเขาจึงเปลี่ยนจากการลดลงเป็นเพิ่มขึ้น

Shelley Zimmerman หัวหน้าตำรวจของนคร San Diego ได้อธิบายใน The Washington Post ว่า Prop 47 เป็น "เสมือนบัตรสำหรับออกจากคุก" (ปัจจุบันเธอเป็น ศาสตราจารย์พิเศษ มหาวิทยาลัย National)

ในปี พ.ศ. 2558 (ค.ศ. 2015) เช่นกัน Shelley Zimmerman หัวหน้าตำรวจของนคร San Diego ได้อธิบายใน The Washington Post ว่า Prop 47 เป็น "เสมือนบัตรสำหรับออกจากคุก" เธอและหัวหน้าตำรวจคนอื่น ๆ ยังแสดงความกังวลเกี่ยวกับปรากฏการณ์ที่เพิ่มขึ้นของอาชญากร "ผู้เร่ร่อน" ซึ่งใช้ประโยชน์จาก Prop 47 เพื่อก่ออาชญากรรม ตัวอย่างเช่น อาชญากรรายหนึ่งถูกกล่าวหาว่า นำเครื่องคิดเลขเข้ามาในร้านเพื่อหลีกเลี่ยงการขโมยสินค้ามูลค่ากว่า 950 ดอลลาร์ แต่ ACLU ตอบโต้ด้วยการออกรายงานซึ่งกล่าวว่า ผู้ที่เชื่อมโยง Prop 47 กับอาชญากรรมกำลัง "แสดงข้อความที่ขาดความรับผิดชอบและไม่ถูกต้อง" Michael Romano ผู้อำนวยการโครงการ Stanford Justice Advocacy และผู้ร่วมเขียน Prop 47 กล่าวในเดือนพฤศจิกายน 2015 ว่า ในแง่ของ Prop 47 "ในระยะยาว การจัดสรรทรัพยากรใหม่ควรนำมาปรับปรุงความปลอดภัยสาธารณะอย่างมีนัยสำคัญ" Romano จึงเขียนผลการศึกษาที่สนับสนุนข้อสรุปของเขา

Michael Romano ผู้อำนวยการโครงการ Stanford Justice Advocacy และผู้ร่วมเขียน Prop 47 กล่าวว่า ในแง่ของ Prop 47 "ในระยะยาว การจัดสรรทรัพยากรใหม่ควรนำมาปรับปรุงความปลอดภัยสาธารณะอย่างมีนัยสำคัญ"

รายงานประจำเดือนมีนาคม พ.ศ. 2559 (ค.ศ. 2016) ที่เผยแพร่โดยศูนย์กลางเยาวชนและความยุติธรรมทางอาญาได้สรุปว่า ยังเร็วเกินไปที่จะตัดสินว่า Prop 47 มีผลกระทบต่ออัตราการเกิดอาชญากรรมในรัฐ California หรือไม่ การศึกษาในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2561 โดยสถาบันนโยบายสาธารณะแห่งแคลิฟอร์เนียพบหลักฐานว่า Prop 47 อาจมีส่วนทำให้เกิดการโจรกรรมและการโจรกรรมสิ่งของในรถยนต์เพิ่มขึ้น การศึกษาระบุพบว่า การกระทำผิดซ้ำลดลง และไม่มีหลักฐานว่าอาชญากรรมรุนแรงเพิ่มขึ้นเมื่อเชื่อมโยงกับ Prop 47 อย่างไรก็ตาม การศึกษาในปี พ.ศ. 2561 โดยมหาวิทยาลัย California, Irvine ระบุว่า Prop 47 ไม่ใช่ "ตัวขับเคลื่อน" สำหรับการเพิ่มขึ้นของอาชญากรรม โดยอิงจากการเปรียบเทียบข้อมูลจากมลรัฐต่าง ๆ อาทิ New York Nevada Michigan และ New Jersey (รัฐที่มีความคล้ายใกล้เคียงกับรัฐ California เป็นอย่างมาก) แนวโน้มอาชญากรรม พ.ศ. 2513 (ค.ศ. 1970) ถึง พ.ศ. 2558 (ค.ศ. 2015) แต่ "สิ่งที่มาตรการตาม Prop 47 ทำให้อันตรายและความทุกข์ต่อผู้ถูกตั้งข้อหาก่ออาชญากรรมนั้นลดลง"

Prop 47 ทำให้โจรกรรมที่มีมูลค่าต่ำกว่า $950 กลายเป็นลหุโทษ ทำให้การขโมยสินค้าข้าวของตามห้างร้านต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้นจาก 15% เป็นมากกว่า 50% พนักงานรักษาความปลอดภัยทำได้แต่เพียงการบันทึกภาพและคลิป VDO

สื่อหลายแห่งยังคงรายงานการเพิ่มขึ้นของการโจรกรรมร้านค้าปลีกที่เกี่ยวข้องกับ Prop 47 ผู้ค้าปลีกรายใหญ่ Safeway, Target, Rite Aid และ CVS เครือข่ายร้านขายยารายงานในปี พ.ศ. 2559 ว่าการขโมยของในร้านเพิ่มขึ้น (ในบางกรณี) จาก 15% เป็น มากกว่า 50% ตั้งแต่ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งอนุมัติ Prop 47 โดย Los Angeles Times รายงานในปี พ.ศ. 2560 ว่า ศาลฎีกาแห่งรัฐ California ตัดสินว่า บุคคลที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานขโมยรถอาจมีความผิดลดลงเป็นความผิดลหุโทษ หากยานพาหนะมีมูลค่าไม่เกิน $950 และในปี พ.ศ. 2561 นักวิจัยพบว่า Prop 47 มีส่วนทำให้เกิดการโจรกรรมในรถยนต์ การขโมยของตามร้าน และการโจรกรรมอื่น ๆ San Francisco Chronicle รายงานในปี พ.ศ. 2561 ว่า Prop 47 นำไปสู่อัตราการโจรกรรมที่เพิ่มขึ้นประมาณ 9% เมื่อเทียบกับอัตราที่เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2557

Prop 47 ทำให้โจรกรรมที่มีมูลค่าต่ำกว่า $950 กลายเป็นลหุโทษ ทำให้การขโมยสินค้าข้าวของตามห้างร้านต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้นจาก 15% เป็นมากกว่า 50% พนักงานรักษาความปลอดภัยทำได้แต่เพียงการบันทึกภาพและคลิป VDO

Prop 47 ทำให้โจรกรรมที่มีมูลค่าต่ำกว่า $950 กลายเป็นลหุโทษ ทำให้การขโมยสินค้าข้าวของตามห้างร้านต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้นจาก 15% เป็นมากกว่า 50% พนักงานรักษาความปลอดภัยทำได้แต่เพียงการบันทึกภาพและคลิป VDO

ภายในปี พ.ศ. 2562 มีการโจรกรรมในร้านค้าปลีกเพิ่มขึ้น ตำรวจและเจ้าของร้านค้าอ้างว่า เป็นเพราะ Prop 47 สถานีโทรทัศน์ Fox News รายงานว่า กรณี Prop 47 ทั้งโจรที่ขโมยสินค้าข้าวของตามห้างร้าน และผู้ที่รับของโจรที่ดำเนินการอย่างเปิดเผยจะไม่ต้องรับโทษ โดยทั้งอาชญากรและเจ้าของร้านตระหนักดีว่า นโยบายบังคับใช้แบบคัดเลือกหมายความว่า ตำรวจส่วนใหญ่ต่างเพิกเฉยต่อรายงานการขโมยของในห้างร้าน หรือตอบสนองช้าเกินไป Rachel Michelin ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกแห่งรัฐ California กล่าวว่า โจรจะนำเครื่องคิดเลขมาเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่เกินวงเงิน $950 และ “คน ๆ หนึ่งจะไปที่ร้านหยิบฉวยเอาสินค้าข้าวของเติมกระเป๋าเป้ ขนออกมา ทิ้งไว้ข้างนอก แล้วกลับเข้าไปทำใหม่ซ้ำอีกครั้ง” นอกจากนี้ เธอยังรายงานด้วยว่า เครือข่ายกลุ่มอาชญากรนอกรัฐ California ยังใช้เด็กทำความผิด เนื่องจากพวกเขามีโอกาสถูกดำเนินคดีน้อยกว่า และแม้ว่าตำรวจจะทำการจับกุม อัยการเขตก็แจ้งข้อกล่าวหาที่อ่อนหรือถูกลดระดับตาม Prop 47

Prop 47 ทำให้โจรกรรมที่มีมูลค่าต่ำกว่า $950 กลายเป็นลหุโทษ ทำให้การขโมยสินค้าข้าวของตามห้างร้านต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้นจาก 15% เป็นมากกว่า 50% พนักงานรักษาความปลอดภัยทำได้แต่เพียงการบันทึกภาพและคลิป VDO

คนไม่ได้ขโมยอาวุธปืนไปเพื่อการสะสม แต่เขาขโมยไปเพื่อก่ออาชยากรรมอื่น ๆ รวมทั้งฆาตกรรม

กฎหมายของรัฐ California ว่าด้วยการโจรกรรมย่อย การโจรกรรม และการขโมยของตามห้างร้านต่าง ๆ ฝ่ายนิติบัญญัติของรัฐ California ให้คำจำกัดความการโจรกรรมว่า เป็นการขโมยทรัพย์สินโดยการลักขโมย การเสแสร้งหลอกลวง หรือการยักยอกทรัพย์สินโดยมีเจตนาที่จะนำทรัพย์สินไปเสียจากเจ้าของทรัพย์สินอย่างถาวร การลักขโมยคือการยึดเอาทรัพย์สินของผู้อื่นโดยเจตนาและไม่ชอบด้วยกฎหมาย การขโมยโดยการเสแสร้งหลอกลวงเป็นการได้มาซึ่งทรัพย์สินของผู้อื่นโดยการหลอกลวง การฉ้อฉลเกิดขึ้นเมื่อการครอบครองทรัพย์สินดั้งเดิมของผู้ต้องหานั้นชอบด้วยกฎหมาย แต่ต่อมาผู้ต้องหาได้แปลงทรัพย์สินนั้นไปใช้โดยมิชอบด้วยกฎหมาย สำหรับความผิดเกี่ยวกับการโจรกรรมอื่น ๆ กฎหมายว่า ด้วยการโจรกรรมของรัฐ California ยังรวมถึงความผิดเฉพาะอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการโจรกรรม อาทิ การไม่คืนทรัพย์สินที่เช่าหรือยืมมา การปลอมแปลงข้อมูลเพื่อขายสินค้าให้โรงรับจำนำ การโอนเงินทุนเพื่อการบริการ แรงงาน หรือวัสดุโดยมิชอบด้วยกฎหมาย การฉ้อโกงโครงการบ้านจัดสรร การขายหรือโอนหรือใช้บัตรเดบิตหรือบัตรเครดิตอย่างผิดกฎหมาย และ การยึดเอาทรัพย์สินที่เก็บได้ โดยไม่ต้องพยายามตามหาเจ้าของตามสมควร

Walgreens ต้องปิดร้านค้าในนคร San Francisco เนื่องจากการขโมยของในร้านเพิ่มมากขึ้นจนรับไม่ไหว การโจรกรรมข้าวของในร้านค้าของนคร San Francisco เพิ่มมากขึ้นอย่างน่าตกใจ 

Thomas Fuller ผู้สื่อข่าว / นักเขียนประจำมลรัฐ California ของ The New York Times

Thomas Fuller ผู้สื่อข่าว/นักเขียนประจำมลรัฐ California ของ The New York Times ได้เล่าว่า ไม่นานหลังจากผมย้ายไปนคร San Francisco ในปี พ.ศ. 2559 ผมเดินเข้าไปในห้าง Walgreens ในเขต North Beach เพื่อซื้อแปรงสีฟันไฟฟ้า ขณะที่ผมจ่ายเงินอยู่ ชายคนหนึ่งเดินเข้าไปในร้าน หยิบเนื้อเค็มแท่ง (Beef jerky) หนึ่งกำมือแล้วเดินออกไป ผมมองไปยังพนักงานคนหนึ่งที่ยักไหล่ จากนั้นผมก็ไปที่ Safeway ข้างบ้านเพื่อซื้อของชำ และผมเห็นชายคนหนึ่งใส่ไวน์สามขวดใส่กระเป๋าเป้ และเดินไปที่ทางออกอย่างสบาย ๆ ระหว่างทางออกไป เขาหยิบขนมอีกห่อ ผมถามเสมียน Safeway เกี่ยวกับการโจรกรรมครั้งนี้ “ผมยังใหม่กับ Francisco” ผมพูดว่า “ที่นี่สามารถเลือกจ่ายสิ่งของได้หรือไม่” ห้าปีต่อมา การแพร่ระบาดของการขโมยของในร้านใน San Francisco ยิ่งเลวร้ายลงมากขึ้น ตัวแทนจาก Walgreens กล่าวว่าการโจรกรรมที่ร้านค้าในนคร San Francisco นั้นสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วประเทศของเครือสี่เท่า และได้ปิดร้าน 17 แห่ง ส่วนใหญ่เป็นเพราะจำนวนของการโจรกรรมมากจนธุรกิจไม่สามารถที่จะอยู่รอดได้

ร้านขายยาของเครือร้านขายยา CVS Health

Brendan Dugan ผู้อำนวยการแผนกอาชญากรรมค้าปลีกเครือร้านขายยา CVS Health เรียก นคร San Francisco ว่า “หนึ่งในศูนย์กลางของการก่ออาชญากรรมในร้านค้าปลีก” และกล่าวว่าพนักงานได้รับคำสั่งไม่ให้ไล่ตามผู้ต้องสงสัยขโมย เนื่องจากการเผชิญหน้านั้นอันตรายเกินไป “เรามีเหตุการณ์ที่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของเราถูกทำร้ายเป็นประจำในนคร San Francisco” Dugan กล่าว ผู้บริหารร้านค้าปลีกและเจ้าหน้าที่ตำรวจเน้นย้ำถึงบทบาทขององค์กรอาชญากรรมในการโจรกรรม และพวกเขาบอกผู้บังคับบัญชาว่า Prop 47  ซึ่งเป็นมาตรการจากลงคะแนนเสียงในปี พ.ศ. 2557 ที่จัดประเภทการโจรกรรมอย่างไม่รุนแรงเป็นความผิดลหุโทษ หากสินค้าที่ถูกขโมยมีมูลค่าน้อยกว่า $950 “แนวโน้มเดียวที่เราเห็นคือความรุนแรงและทวีความรุนแรงมากขึ้น และกล้ามากขึ้น” Raj Vaswani หัวหน้าสำนักงานสืบสวนของกรมตำรวจนคร San Francisco กล่าว “เราพบเห็นผู้กระทำผิดซ้ำหลายครั้ง” นคร San Francisco ได้รับความเดือดร้อนในหลาย ๆ ด้านในช่วงการระบาดใหญ่ของ COVID-19 เมืองนี้มีการใช้ยาเกินขนาดที่ทำให้เสียชีวิตได้มากเป็นสองเท่าของการเสียชีวิตจาก COVID-19 กระโจมคนไร้บ้านตั้งเรียงรายตลอดช่วงการ Lock down แต่การพิจารณาคดีเมื่อสัปดาห์ที่แล้วมุ่งเน้นไปที่บางสิ่งบางอย่างที่แสนจะธรรมดากว่ามาก 

Raj Vaswani หัวหน้าสำนักงานสืบสวนของกรมตำรวจนคร San Francisco กล่าว “เราพบเห็นผู้กระทำผิดซ้ำหลายครั้ง”


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“The Roof Koreans” เมื่อชาวอเมริกันเชื้อสายเกาหลี ต้องจับปืนป้องกันตัวบนดาดฟ้า จากการจลาจลครั้งใหญ่ใน LA

Roof Koreans หรือที่เรียกว่า Rooftop Koreans เป็นศัพท์สแลงที่หมายถึงเจ้าของธุรกิจชาวเกาหลี-อเมริกันที่ปกป้องอาคารร้านค้าของพวกเขาในระหว่างการจลาจลในนครลอสแองเจลิส ในปี พ.ศ. 2535 ภาพของเจ้าของธุรกิจชาวอเมริกันเชื้อสายเกาหลีที่ยืนถืออาวุธปืนอยู่บนหลังคาถูกเผยแพร่อย่างกว้างขวางในสื่อต่าง ๆ ทำให้พวกเขาได้กล่าวถึงในความกล้าและห้าวหาญ โดยคนอเมริกันเชื้อสายเกาหลีพร้อมอาวุธปืนขึ้นไปตั้งหลักบนหลังคาดาดฟ้าอาคารที่พวกตนประกอบธุรกิจอยู่ เพื่อป้องกันอาคารร้านค้าตลอดจนทรัพย์สินให้พ้นจากการปล้นโดยผู้ก่อการจลาจล ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน และชาวอเมริกันเชื้อสายฮิสปานิก จากเหตุการณ์จลาจลกรณีตำรวจผิวขาวของกรมตำรวจแห่งนครลอสแองเจิลลิส (LAPD) 4 นายรุมทุบตี Rodney King ชายผิวสี และมีการการจลาจลในนครลอสแอนเจลิส ในปี พ.ศ. 2535 อันเป็นการก่อความไม่สงบที่เกิดขึ้นในเขตพื้นที่เทศมณฑลลอสแอนเจลิส ระหว่างเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2535 

โดยความไม่สงบเริ่มขึ้นในวันที่ 29 เมษายน เมื่อมีคำพิพากษาให้ตำรวจ 4 นายพ้นผิดจากข้อหากระทำการเกินกว่าเหตุและทำร้ายร่างกายขณะจับกุม Rodney King ชายผิวสีที่ก่อเหตุเมาแล้วขับ การจลาจลดำเนินอยู่ 6 วันก่อนจะจบลงในวันที่ 4 พฤษภาคม มีผู้เสียชีวิต 63 คน ทรัพย์สินเสียหายคิดเป็นมูลค่ามากกว่าหนึ่งพันล้านดอลลาร์สหรัฐ (มูลค่าในขณะนั้น)

ภาพเหตุการณ์ที่ตำรวจผิวขาวของ Los Angeles Police Department (LAPD) 4 นายรุมทุบตี Rodney King ชายผิวสี จนทำให้เกิดการการจลาจลในนครลอสแอนเจลิส ในปี พ.ศ. 2535

Latasha Harlins (ซ้าย) เด็กสาวผิวสีวัย 15 ปี เสียชีวิตหลังจากถูก Soon Ja Du (ขวา) ยิง

การจลาจลในลอสแอนเจลิส ปี พ.ศ. 2535 เป็นผลพวงมาจากหลายสาเหตุ เดือนมีนาคม พ.ศ. 2534 ความขัดแย้งทางเชื้อชาติระหว่างชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันกับชาวอเมริกันเชื้อสายเกาหลีเพิ่มสูงขึ้นเมื่อ Soon Ja Du เจ้าของร้านค้าผู้มีเชื้อสายเกาหลียิง Latasha Harlins เด็กสาวผิวสีวัย 15 ปีจนเสียชีวิตหลัง Soon Ja Du กล่าวหาว่า Harlins พยายามขโมยของในร้าน เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2534 คณะลูกขุนมีความเห็นให้ดูมีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา (Voluntary manslaughter) มีโทษสูงสุดคือจำคุก 16 ปี แต่จอยซ์ คาร์ลิน ผู้พิพากษาตัดสินให้ Soon Ja Du ถูกคุมประพฤติ 5 ปี บำเพ็ญงานสาธารณประโยชน์ 400 ชั่วโมง และปรับ 500 ดอลลาร์สหรัฐ

ในเดือนเดียวกันกับที่ Soon Ja Du ก่อเหตุ Rodney King และเพื่อนอีก 2 คนถูกตำรวจจับกุมจากหลังเมาแล้วขับและพยายามหลบหนีการจับกุม King และเพื่อนถูกตำรวจรุมทำร้ายระหว่างการจับกุม ซึ่งมีผู้บันทึกวิดีโอเหตุการณ์ไว้ได้แล้วส่งไปให้สำนักข่าวท้องถิ่น KTLA เดือนเมษายน พ.ศ. 2535 หลังอัยการเขตเทศมณฑลลอสแอนเจลิสตั้งข้อหาตำรวจ 4 นายว่ากระทำการเกินกว่าเหตุและใช้กำลังประทุษร้าย คณะลูกขุนที่ส่วนใหญ่เป็นชาวอเมริกันผิวขาวมีความเห็นให้ตำรวจทั้ง 4 นายไม่มีความผิด หลังจากตีความเหตุการณ์ในวิดีโอว่า King พยายามขัดขืนการจับกุม

ตำรวจ 4 นายที่ร่วมกันทำร้าย King โดย 2 นายได้รับโทษจำคุก 30 เดือน ฐานละเมิดสิทธิพลเมือง ส่วนอีก 2 นายถูกไล่ออกจากกรมตำรวจลอสแอนเจลิส

หลังมีคำพิพากษาในวันที่ 29 เมษายน จึงเกิดการชุมนุมที่หน้ากรมตำรวจลอสแอนเจลิส และชาวผิวสีบางกลุ่มที่โกรธแค้นเริ่มไล่ทำร้ายชาวอเมริกันผิวขาวในนครลอสแอนเจลิสโซนใต้ ก่อนที่วันต่อมามีการประกาศเคอร์ฟิว และความรุนแรงแผ่ขยายไปเป็นการวางเพลิงและปล้นทรัพย์ในนครลอสแอนเจลิสโซนกลาง รวมถึงการปะทะกันระหว่างชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันกับชาวอเมริกันเชื้อสายเกาหลีเมื่อมีผู้ก่อการจลาจลบุก Korea Town 

วันที่ 1 พฤษภาคม Rodney King เรียกร้องให้มีการยุติการจลาจล มีการเคลื่อนกำลังทหารจากรัฐแคลิฟอร์เนียและรัฐบาลกลางรวมกว่า 10,000 นาย เข้ามาในเมือง วันที่ 4 ของการจลาจล (2 พฤษภาคม) มีการเพิ่มกำลังเสริมรวมเป็น 13,500 นาย ทำให้ลอสแอนเจลิสกลายเป็นเมืองที่ถูกกองประจำการสหรัฐยึดครองมากที่สุดนับตั้งแต่การจลาจลในวอชิงตัน ดี.ซี. พ.ศ. 2511 การจลาจลจบลงในวันที่ 4 พฤษภาคม เมื่อกองกำลังรัฐบาลควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ และมีการยกเลิกเคอร์ฟิว แต่ให้คงกำลังทหารไว้จนถึงวันที่ 27 พฤษภาคม

หลังเหตุการณ์สงบ มีผู้เสียชีวิต 63 คน บาดเจ็บ 2,383 คน และถูกจับกุม 12,111 คน อาคารบ้านเรือนถูกเผาทำลายกว่า 3,767 แห่ง กรมตำรวจลอสแอนเจลิสถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึงบทบาทในการควบคุมและจัดการสถานการณ์ที่ผิดพลาด จน แดริล เกตส์ ผู้บัญชาการของกรมตำรวจลอสแอนเจลิสต้องประกาศลาออก ส่วนคดี Rodney King ได้รับการพิจารณาใหม่ในปี พ.ศ. 2536 นำไปสู่การตัดสินโทษตำรวจ 4 นายที่ร่วมกันทำร้าย King โดย 2 นายได้รับโทษจำคุก 30 เดือนฐานละเมิดสิทธิพลเมือง ส่วนอีก 2 นายถูกไล่ออกจากกรมตำรวจลอสแอนเจลิส ส่วน King ได้รับเงินชดเชย 3.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

Korea Town นครลอสแอนเจลิส

เหตุการณ์นี้ทำให้เกิด The Roof Koreans (The Rooftop Koreans) ด้วยนครลอสแอนเจลิสเป็นที่พำนักอาศัยของชาวเกาหลีกว่า 300,000 คน เป็นหนึ่งในศูนย์กลางที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ของผู้อพยพชาวเกาหลี หลายคนมาถึงในช่วงทศวรรษ 1970 และ 1980 เมื่อสภาพทางเศรษฐกิจของเกาหลีใต้ในขณะนั้นมีความแตกต่างอย่างมากกับเกาหลีใต้ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เนื่องจากขาดโอกาสในการทำงานและเงินทุนที่จำกัด ชาวเกาหลีจำนวนมากจึงซื้อร้านค้าในพื้นที่ของคนผิวสีเป็นส่วนใหญ่ มักจะมาจากเจ้าของสีขาวย้ายออก นอกจากนี้ราคาค่าเช่าในพื้นที่เหล่านี้ยังถูกมากจนสามารถที่จะเปิดทำธุรกิจได้ด้วยเงินทุนไม่มากนัก

นครลอสแอนเจลิสกลายเป็นอนาธิปไตยอย่างรวดเร็ว มีทั้ง การลอบวางเพลิง การฆาตกรรม และการอาละวาดปล้นสะดม ตำรวจนครลอสแอนเจลิสละทิ้งย่าน Korea Town ตลาดแคลิฟอร์เนีย นครลอสแอนเจลิส ในระหว่างการจลาจลในปี 1992

เมื่อเกิดการประท้วงในเรื่องของการพ้นผิดของตำรวจที่รุมทำร้าย Rodney King นครลอสแอนเจลิสกลายเป็นอนาธิปไตยอย่างรวดเร็ว มีทั้งการลอบวางเพลิง การฆาตกรรม และการอาละวาดปล้นสะดม ความตึงเครียดทางชาติพันธุ์เริ่มก่อตัวขึ้นในชุมชนเกาหลี ชาวเกาหลีจำนวนมากถูกทำร้ายจนบาดเจ็บตายล้มตายระหว่างการปล้นตามร้านค้าต่าง ๆ และการจลาจลในนครลอสแอนเจลิสเริ่มเลวร้ายลง ชาวเกาหลีรู้แล้วว่าพวกเขาจะต้องทำอะไรบางอย่าง สถานีวิทยุเกาหลีในนครลอสแอนเจลิสเริ่มเรียกร้องให้อาสาสมัครชาวเกาหลีออกมาช่วยเจ้าของธุรกิจชาวเกาหลี ซึ่งไม่นานก็นำไปสู่กลุ่มอาสาสมัครที่บรรทุกทุกอย่างตั้งแต่อาวุธทำเองไปจนถึงปืนเล็กยาวจู่โจม ในช่วงเริ่มต้นของการจลาจล กรมตำรวจลอสแอนเจลิสได้รับคำร้องเรียนจากเจ้าของธุรกิจชาวเกาหลี โดยไม่ได้ให้ความช่วยเหลือใด ๆ และตำรวจส่วนใหญ่ล่าถอยออกจากทุกเรื่องเมื่อสถานการณ์ต่าง ๆ เลวร้ายลงเรื่อย ๆ และเมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้น ต้องใช้เวลาเกือบหนึ่งสัปดาห์ก่อนที่เจ้าของธุรกิจชาวเกาหลีที่ถูกปิดล้อมจะได้เห็นการบังคับใช้กฎหมายทุกรูปแบบ พวกเขาจึงเริ่มมาตรการปกป้องตนเอง ดังนั้นเรื่องของ The Roof Koreans จึงถือกำเนิดขึ้น

หนึ่งในตัวอย่างที่โดดเด่นที่สุดของหลังคาของชาวเกาหลีอยู่ที่ย่าน Korea Town ตลาดแคลิฟอร์เนียในนครลอสแอนเจลิส นักธุรกิจเจ้าของร้าน เสริมความแข็งแกร่งให้อาคารร้านค้าของเขา ด้วยการติดอาวุธปืนให้พนักงานครบทั้ง 20 คนผูกผ้าคาดหัวแบบเกาหลี ภาพลักษณ์นี้กลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ที่โดดเด่นที่สุดของ The Roof Koreans

Chang Lee ชาวเกาหลี-อเมริกัน กำปืนและตะโกนใส่ผู้ลักขโมยข้าวของจากดาดฟ้าของห้างสรรพสินค้าเล็ก ๆ ที่เขายืนอยู่ ชายวัย 35 ปีคนนี้ไม่เคยถือปืนมาก่อนการจลาจลในนครลอสแอนเจลิส Lee ได้กลิ่นไฟที่ลุกโชนในย่าน Korea Town ของนครลอสแอนเจลิส "ตำรวจอยู่ที่ไหน ตำรวจอยู่ที่ไหน" Lee กระซิบซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากหลังคาร้านของเขา Lee จะไม่เห็นการบังคับใช้กฎหมายเป็นเวลาสามวัน มีเพียงเพื่อนชาวเกาหลี-อเมริกันเท่านั้นที่ถูกสำนักข่าวถ่ายภาพไว้ ซึ่งดูเหมือนทหารที่ติดอาวุธดูราวกับเป็นสงครามกองโจรบนท้องถนน วันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2535 เมืองแห่งทูตสวรรค์ได้ถูกโหมกระหน่ำด้วยการปล้นสะดม เป็นวันที่สองของการโจมตีด้วยอาวุธและการลอบวางเพลิง ภายหลังการพ้นผิดของเจ้าหน้าที่ตำรวจของกรมตรวจนครลอสแอนเจลิสผิวขาวสี่นาย เนื่องจากใช้ความรุนแรงด้วยการทุบตี Rodney King ระหว่างการจับกุม

เพื่อนบ้านของ Chang Lee ออกมาช่วยเขาทำความสะอาดหลังจากที่ปั๊มน้ำมันของเขาถูกไฟไหม้

การจลาจลที่กินเวลานานเกือบสัปดาห์และคร่าชีวิตผู้คนไป 63 คน บาดเจ็บมากกว่า 1,000 คน และสร้างความเสียหายประมาณ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งประมาณครึ่งหนึ่งเป็นธุรกิจที่ชาวอเมริกันเชื้อสายเกาหลีเป็นเจ้าของ ความขัดแย้งทางวัฒนธรรมที่คุกรุ่นมายาวนานระหว่างเจ้าของธุรกิจชาวอเมริกัน-เกาหลีผู้อพยพและลูกค้าชาวแอฟริกัน-อเมริกันที่มีอำนาจเหนือกว่า คำตัดสินของ Rodney King และการจลาจลที่ตามมามักถูกมองว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำหรับการบังคับใช้กฎหมายและชุมชนชาวแอฟริกัน-อเมริกัน Edward Taehan Chang ศาสตราจารย์ด้านชาติพันธุ์ศึกษา และผู้ก่อตั้ง Young Oak Kim Center for Korean American Studies แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ริเวอร์ไซด์ กล่าวว่า งานดังกล่าวยังเป็นงานสมัยใหม่ที่สำคัญที่สุดเพียงงานเดียวสำหรับชาวเกาหลี-อเมริกัน “แม้ว่าพ่อค้าชาวเกาหลี-อเมริกันจะตกเป็นเหยื่อ แต่ไม่มีใครได้รับการดูแล เพราะขาดทั้งการมองเห็นและอำนาจทางการเมืองของเรา” Chang กล่าว “ผู้อพยพชาวเกาหลีจำนวนมากที่มาถึงในช่วงปลายทศวรรษ 1970 และต้นทศวรรษ 80 ได้เรียนรู้ความสำเร็จทางเศรษฐกิจเพียงลำพัง แต่จะไม่รับประกันตำแหน่งของพวกเขาในสังคมอเมริกัน เมื่ออะไรเริ่มเปลี่ยนไป อัตตลักษณ์ของเกาหลี-อเมริกันจึงถือกำเนิดขึ้น” และ “การจลาจลแอลเอคราวนั้น กลายเป็นเสียงปลุกอย่างโหด ๆ ให้ชาวอเมริกันเชื้อสายเกาหลีตื่นจากการหลับใหลและตื่นตัวขึ้นจากการนิ่งเฉยรอ

Richard Rhee เจ้าของร้านถือปืนพกและพกโทรศัพท์มือถือ ยืนเฝ้าระวังบนหลังคาร้านขายของชำของเขาในย่าน Korea Town ของนครลอสแองเจลิสเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2535

การจลาจลทำให้ย่าน Korea Town ตกเป็นเป้าของถูกทั้งเหล่าพวกแก๊งอันธพาลและพวกก่อการจลาจลในนครลอสแองเจลิสเล็งเอาไว้อย่างเจาะจง ด้วยหวังจะเข้าปล้นชิงฉกฉวยหาประโยชน์ระหว่างที่เกิดความวุ่นวายโกลาหล ในสภาพที่เวลานั้นทั้งกรมตำรวจนครลอสแองเจลิส (Los Angeles Police Department : LAPD) และทหารกองกำลังพิทักษ์ชาติต่างปฏิบัติภาระหน้าที่กันจนสุดกำลังอยู่แล้ว ชาวอเมริกันเชื้อสายเกาหลีเหล่านี้ซึ่งถูกปล่อยทิ้งไว้ให้ต้องหาทางป้องกันพวกเขากันเอง พวกเขาจึงใช้สิทธิของพวกเขาตามที่ระบุเอาไว้ในบทแก้ไขที่ 2 (Second Amendment) ของรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ด้วยการจัดตั้งกองกำลังอาสาสมัคร (Militia) ขึ้นมา โดยจัดวางกำลังคนติดอาวุธเข้ายึดที่มั่นเพื่อการป้องกันตัวตามยอดตึกดาดฟ้าหลังคาอาคาร ตลอดจนบริเวณรอบ ๆ อาคารห้างร้านอันเป็นที่ตั้งธุรกิจทั้งหลายของพวกเขา และได้สมญานามว่า “Roof Koreans” (ชาวเกาหลีบนดาดฟ้า/หลังคา/ยอดตึก)

ชาวอเมริกันเชื้อสายเกาหลียืนหยัดรักษาที่มั่น ณ ลานดาดฟ้าบนตึกของพวกเขาเอาไว้ และเริ่มต้นยิงตอบโต้กลับไปในทันทีที่พวกแก๊งอันธพาลและพวกก่อจลาจลเริ่มบุกเข้ามาปล้นชิงข้าวของ

พลเมืองในพื้นที่ 150 ช่วงตึกของ Korea Town แม้จะถูกปล่อยทิ้งโดยกรมตำรวจนครลอสแองเจลิส (Los Angeles Police Department : LAPD) และทหารกองกำลังพิทักษ์ชาติ ซึ่งพวกเขาได้รับแจ้งให้ขนข้าวของต่าง ๆ และอพยพออกจากพื้นที่ไปเสีย และผู้อพยพจำนวนมากซึ่งหลบหนีจากไปภายหลังก็พบว่า ธุรกิจของพวกเขาถูกเผาจบราบเรียบไปเสียแล้ว แต่ยังมีชาวอเมริกันเชื้อสายเกาหลีอื่น ๆ ที่ปฏิเสธไม่ยอมตกเป็นเหยื่อรับเคราะห์ และตัดสินใจที่จะอยู่จับอาวุธขึ้นมาปกป้องทรัพย์สินของพวกเขา และ “ปกป้องและรับใช้” กันและกันภายในชุมชนของพวกเขา ถึงแม้มีจำนวนน้อยกว่าพวกก่อจลาจลที่ติดอาวุธ ซึ่งพยายามเข้าปล้นชิงข้าวของจากธุรกิจต่าง ๆ ของ Korea Town แต่ชาวอเมริกันเชื้อสายเกาหลีเหล่านี้ก็ยังคงยืนหยัดรักษาที่มั่น และลานดาดฟ้าบนตึกของพวกเขาเอาไว้ และเริ่มต้นยิงตอบโต้กลับไป ในทันทีที่พวกแก๊งอันธพาลและพวกก่อจลาจลเริ่มบุกเข้ามาปล้นชิงข้าวของสมาชิกของ Roof Koreans ก็เริ่มต้นยิงปืนใส่ทันที

ชาวอเมริกันเชื้อสายเกาหลียืนหยัดรักษาที่มั่นบนตึกของพวกเขาเอาไว้ จนกลายเป็นตำนาน Roof Koreans

ชายอเมริกันเชื้อสายเกาหลีสมาชิกของ Korea Town เหล่านี้จำนวนมากทีเดียวเคยเป็นทหารผ่านศึกที่ประจำการอยู่ในกองทัพสหรัฐฯ หรือไม่ก็เป็นอดีตทหารเกณฑ์ในกองทัพเกาหลีใต้ ทั้งนี้เกาหลีใต้กำหนดให้ชายทุกคนต้องรับราชการเป็นทหารเป็นเวลา 2 ปี รวมทั้งชาวอเมริกันเชื้อสายเกาหลีด้วย ด้วยสภาวะขาดแคลนกำลังคน อาวุธปืนที่ชาวอเมริกันเชื้อสายเกาหลีเหล่านี้มีอยู่ในครอบครองมีทั้งพวกปืนเล็กยาวในรูปลักษณ์แบบปืนเล็กยาวแบบ AK-pattern, ปืนพก Glock 17, ปืนเล็กยาว Ruger Mini-14, ปืนเล็กสั้นแบบ SKS carbines, ปืนเล็กยาว AR-15, ปืนพกกึ่งอัตโนมัติ TEC-9, ปืนพกกึ่งอัตโนมัติแบบปืนกลมือ Uzi-pattern, ปืนลูกซอง Remington 870, ปืนเล็กยาวแบบ Bolt-action, ปืนพกนานาชนิด, และปืนเล็กสั้นกึ่งอัตโนมัติแบบ Daewoo K-1 ซึ่งเป็นอาวุธปืนประจำกายของทหารเกาหลีใต้ในสมัยนั้น

Charles Whitman มือปืนชาวอเมริกันที่เป็นฆาตกรสังหารหมู่ 18 ศพ (รวมทั้งตัว Whitman เอง) ซึ่งได้รับฉายาอันไม่น่าอภิรมย์ว่า “นักฆ่าแห่งตึกสูงของเท็กซัส” (Texas Tower Sniper)

ถึงแม้ข้อเท็จจริงปรากฏว่า พวกชาวบ้านซึ่งเป็นอเมริกันเชื้อสายเกาหลีของ Korea Town ถูกทอดทิ้ง โดยตำรวจของกรมตำรวจนครลอสแองเจลิสที่ทำตัวเหนียมราวกับลูกแกะเชื่อง ๆ แต่สื่อมวลชนกลับเสนอข่าวเกี่ยวกับกองกำลัง Roof Koreans ในเชิงวิพากษ์โจมตี โดยการกระทำของพวกเขาถูกระบุว่าเป็น “การก่อกวนความสงบเรียบร้อย” รวมทั้ง Roof Koreans ยังถูกนำไปเปรียบเทียบกับ Charles Whitman มือปืนชาวอเมริกันที่เป็นฆาตกรสังหารหมู่ซึ่งได้รับฉายาอันไม่น่าอภิรมย์ว่า “นักฆ่าแห่งตึกสูงของเท็กซัส” (Texas Tower Sniper) แต่ที่เลวร้ายยิ่งไปกว่านี้ก็คือ เมื่อในที่สุดกำลังตำรวจของ กรมตำรวจนครลอสแองเจลิสกลับเข้ามาหลังจากเรื่องราวต่าง ๆ สงบเงียบเรียบร้อยลงแล้ว ตำรวจได้จับกุมคุมขังสมาชิก Roof Koreans เอาไว้เป็นจำนวนมาก รวมทั้งยึดอาวุธปืนต่าง ๆ ของพวกเขาไปด้วย อย่างไรก็ตาม ผู้คนจำนวนมากยังคงยกย่องชมเชยสมาชิก Roof Koreans ในเรื่องความกล้าหาญและความยืดหยุ่นในระหว่างที่เกิดการจลาจลโกลาหลอลหม่านครั้งนั้น และภาพของกลุ่มชายถืออาวุธบนดาดฟ้ายอดอาคารห้างร้านต่าง ๆ ก็กลายเป็นภาพหนึ่งที่ได้รับการเชิดชูให้เป็น ICON อย่างถาวรของการจลาจลในนครลอสแองเจลิส ปี พ.ศ. 2535 และ Roof Koreans ยังคงเป็นที่รู้จักจดจำในคนรุ่นต่อ ๆ มา ทั้งถูกนำไปใช้ผลิตเป็นสินค้าที่ระลึกมากมาย

Roof Koreans ยังคงเป็นที่รู้จักจดจำในคนรุ่นต่อ ๆ มา ทั้งถูกนำไปใช้ผลิตเป็นสินค้าที่ระลึกมากมาย


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

โศกนาฏกรรม “โคเรียนแอร์ไลน์” (Korean Air Lines) เที่ยวบิน 007 ปริศนา? หายนะกลางอากาศ

มีผู้อ่านท่านหนึ่งเขียน In box ใน Facebook ดร.โญ มีเรื่องเล่า ว่า “ สวัสดีครับอาจารย์ ผมอยากได้ข่าวเก่า ๆ อดีตสหภาพโซเวียตส่งเครื่องบินรบไล่ยิงเครื่องบินโดยสารเกาหลีใต้ อยากทราบว่ายิงทำไมครับ ? ” เรื่องนี้ ถือเป็นโศกนาฏกรรมระดับโลกในยุคนั้น (พ.ศ. 2526) เลย ขอจัดให้ในบทความนี้ ซึ่งผนวกเรื่องราวเช่นนี้ที่เคยเกิดขึ้นกับเครื่องบินโดยสารของ Korean Air Lines และโดยเครื่องบินรบของสหภาพโซเวียตแบบเดียวกันเมื่อ 5 ปี ก่อนหน้าเหตุโศกนาฏกรรมครั้งนี้จะเกิดขึ้น

เครื่องบินโดยสารแบบ Boeing 747-230B (HL-7442) ลำดังกล่าว

ข่าวใหญ่ระดับโลกที่โด่งดังมากที่สุดในปี พ.ศ. 2526 คือ ข่าวโศกนาฏกรรม Korean Air เที่ยวบิน 007 ซึ่งถูกเครื่องบินขับไล่ของสหภาพโซเวียตในขณะนั้นยิงตก ทำให้ลูกเรือและผู้โดยสารบนเครื่องบินโดยสารแบบ Boeing 747-230B (HL-7442) เสียชีวิตทั้งหมด ถึง 269 ราย และมีคนไทยรวมอยู่ด้วย 5 ราย

เครื่องบินโดยสารของ Korean Air แบบ Boeing 707 (HL-7429) ลำที่ถูกยิง

เหตุการณ์เครื่องบินขับไล่ของโซเวียต ยิงเครื่องบินโดยสารของ Korean Air ครั้งนี้ ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดขึ้น โดย 5 ปีก่อนหน้านี้เมื่อวันที่  20 เมษายน พ.ศ. 2521 ก็มีเหตุเครื่องบินขับไล่ของสหภาพโซเวียตยิงเครื่องบินโดยสารของ Korean Airเที่ยวบินที่ 902 (KAL 902 หรือ KE 902) มาแล้ว ครั้งนั้นเป็นเครื่องบินโดยสารแบบ Boeing 707 (HL-7429) จากกรุงปารีส ฝรั่งเศส มุ่งหน้าสู่ท่าอากาศยานนานาชาติคิมโพ กรุงโซล เกาหลีใต้ โดยมีกำหนดแวะพักเติมน้ำมันที่ท่าอากาศยานนานาชาติเทด สตีเวนส์ เมืองแองคอเรจ มลรัฐอะแลสกา สหรัฐอเมริกา มีผู้โดยสาร 97 คน ลูกเรือ 12 คน

เครื่องบินสอดแนมแบบ Boeing RC-135 ซึ่งพัฒนาจากเครื่องบิน Boeing 707

เหตุการณ์ Korean Air เที่ยวบินที่ 902 มีผู้โดยสารเสียชีวิต 2 คน เครื่องบินถูกบังคับให้ลงจอดฉุกเฉินบนทะเลสาบน้ำแข็ง Korpijärvi ทางทิศใต้ของเมืองเมอร์มานส์ ใกล้ชายแดนฟินแลนด์

เครื่องบินโดยสาร Korean Air เที่ยวบินที่ 902 หลังจากถูกบังคับให้ลงจอดฉุกเฉินบนทะเลสาบน้ำแข็ง Korpijärvi

ต่อมาเมื่อ 38 ปีก่อน เครื่องบินโดยสารแบบ Boeing 747 -230B เที่ยวบิน KAL 007 สายการบิน Korean Air ของเกาหลีใต้ถูกสหภาพโซเวียตยิงตก หลังจากที่พลัดหลงเข้ามาในเขตน่านหวงห้ามของโซเวียต ถึง 2 ครั้ง ในช่วงเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง และทั้ง 269 ชีวิตบนเครื่องเสียชีวิต โดยหาศพไม่เจอ และกระทั่งถึงปัจจุบันก็ยังสรุปไม่ได้แน่ชัดว่าใครผิดใครถูก ระหว่างโซเวียตที่เป็นคนยิง เกาหลีใต้ที่เป็นเจ้าของและผู้บังคับเครื่องบิน หรือสหรัฐอเมริกา เที่ยวบิน KAL 007 บินจากนครนิวยอร์กสู่กรุงโซล โดยแวะพักที่เมืองแองเคอเรจ มลรัฐอะแลสกา และในวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2526 เครื่องบินโดยสารเที่ยวบินดังกล่าวถูกเครื่องบินสกัดกั้น SU-15 ของสหภาพโซเวียตยิงตกใกล้เกาะโมเนรอน ทางตะวันตกของเกาะซาฮาลิน ในทะเลญี่ปุ่น นักบินของเครื่องบินสกัดกั้นลำนั้น คือ นาวาอากาศตรี Gennadiy Osipovich โดยผู้โดยสารและลูกเรือทั้ง 269 คนบนเครื่องเสียชีวิตทั้งหมด รวมทั้ง Larry McDonald สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ จากรัฐจอร์เจีย เครื่องบินลำดังกล่าวกำลังอยู่ในเส้นทางจากเมืองแองเคอเรจสู่กรุงโซลเมื่อบินผ่านน่านฟ้าโซเวียตซึ่งเป็นเขตหวงห้ามในเวลาไล่เลี่ยกับภารกิจของเครื่องบินสอดแนมสหรัฐฯ

โดยตอนแรก สหภาพโซเวียตปฏิเสธการรู้เห็นในเหตุการณ์ดังกล่าว แต่ภายหลังยอมรับว่า เครื่องบินขับไล่ของโซเวียตเป็นผู้ยิง โดยอ้างว่าเครื่องบินโดยสารลำดังกล่าวอยู่ระหว่างภารกิจสอดแนม คณะตรงโปลิตบูโรแถลงว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นการยั่วยุโดยเจตนาของสหรัฐ เพื่อทดสอบความพร้อมทางทหารของสหภาพโซเวียต หรือกระทั่งยั่วยุให้เกิดสงคราม ทำเนียบขาวก็กล่าวหาสหภาพโซเวียตว่า ขัดขวางปฏิบัติการค้นหาและกู้ภัย กองทัพโซเวียตระงับการค้นหาหลักฐานขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) เพื่อใช้ในการสอบสวนสาเหตุ โดยเฉพาะ เครื่องบันทึกข้อมูลการบิน หรือกล่องดำ ซึ่งสุดท้ายก็มีการเผยแพร่ในแปดปีหลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียต เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นช่วงเวลาที่ตึงเครียดที่สุดขณะหนึ่งของสงครามเย็นและส่งผลให้การต่อต้านโซเวียตทวีความเข้มข้นมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐฯ มุมมองตรงข้ามต่อเหตุการณ์ไม่เคยยุติอย่างสมบูรณ์ ต่อมามีอีกหลาย ๆ กลุ่มได้ดำเนินการเกี่ยวกับรายงานอย่างเป็นทางการในกรณีพิพาทและเสนอทฤษฎีทางเลือกของเหตุการณ์นี้ มีการเผยแพร่เอกสารต่าง ๆ และข้อมูลเครื่องบันทึกของเที่ยวบิน KAL 007 ภายหลังโดยสหพันธรัฐรัสเซียซึ่งได้เปิดเผยรายละเอียดบางอย่างซึ่งยังไม่เคยเปิดเผยมาก่อน

ระบบ GNSS ของกองทัพสหรัฐฯ ซึ่งยังเป็นความลับอยู่ในขณะนั้น (พ.ศ. 2526)

ผลของเหตุการณ์ สหรัฐอเมริกามีการเปลี่ยนวิธีดำเนินการติดตามเครื่องบินที่บินออกจากมลรัฐอะแลสกา พัฒนาโปรแกรมต่อประสานนักบินอัตโนมัติที่ใช้ในสายการบินโดยได้รับการออกแบบใหม่ให้สมบูรณ์มากขึ้น นอกเหนือจากนี้แล้วเหตุการณ์ดังกล่าวยังเป็นเหตุการณ์เดี่ยวที่สำคัญที่สุดเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้รัฐบาลของประธานาธิบดี Reagan อนุญาตให้ทั่วโลกเข้าถึงระบบ GNSS ของกองทัพสหรัฐฯ ซึ่งยังเป็นความลับอยู่ในขณะนั้น ปัจจุบันระบบดังกล่าวรู้จักกันอย่างกว้างขวางในชื่อว่า GPS (Global Positioning System)

เครื่องบินของ Korean Air เที่ยวบินที่ 007 คือ เครื่องบินพาณิชย์แบบ Boeing 747-230B ส่งมอบเมื่อวันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2515 เลขทะเบียน CN20559/186 และ D-ABYH ซึ่งให้บริการโดยสายการบิน Condor ก่อนจะมาจดทะเบียนเป็น HL7442 ของ Korean Air KAL 007 ออกจากประตูที่ 15 ของท่าอากาศยานนานาชาติ จอห์น เอฟ. เคนเนดี นครนิวยอร์ก เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2526 มุ่งหน้าสู่ท่าอากาศยานนานาชาติคิมโพ ในเขตกังเซโอ กรุงโซล โดยออกเดินทางช้ากว่ากำหนด 35 นาที จากกำหนดเดิม 23:50 เขตเวลาตะวันออก (03:50 UTC ของวันที่ 31 สิงหาคม) เที่ยวบินนี้บรรทุกผู้โดยสาร 246 คนและลูกเรือ 23 คน หลังจอดเติมน้ำมันที่ท่าอากาศยานนานาชาติแองเคอเรจ ในเมืองแองเคอเรจ มลรัฐอะแลสกาแล้ว เครื่องบินดังกล่าว ซึ่งกัปตันของผลัดนี้คือ กัปตัน Chun Byung-in จึงได้ออกเดินทางสู่กรุงโซลเมื่อเวลา 04:00 ตามเวลาอะแลสกา (13:00 UTC) ของวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2526

Larry McDonald สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ จากมลรัฐจอร์เจีย หนึ่งในผู้โดยสาร

เที่ยวบินนี้มีสัดส่วนลูกเรือต่อผู้โดยสารสูงผิดปกติ โดยมีลูกเรือที่โดยสารแบบไม่เสียค่าใช้จ่าย (Deadheading) 6 คนบนเครื่อง ผู้โดยสาร 12 คนอยู่ในห้องผู้โดยสารชั้นหนึ่งส่วนบน ขณะที่ที่นั่งชั้นธุรกิจมีผู้โดยสาร 24 ที่นั่ง ในชั้นประหยัดว่างราว 80 ที่นั่ง บนเครื่องมีเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี 22 คน ผู้โดยสาร 130 คนมีกำหนดการบินเชื่อมไปยังจุดหมายอื่น เช่น กรุงโตเกียว นครฮ่องกง และกรุงไทเป Larry McDonald สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯจากมลรัฐจอร์เจีย ซึ่งขณะนั้นยังเป็นประธานคนที่สองของสมาคม John Birch Society อยู่บนเครื่องด้วย โซเวียตยืนยันว่า อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ ริชาร์ด นิกสันจะนั่งติดกับ Larry McDonald บน KAL 007 แต่ CIA ได้เตือนไม่ให้ไป จากข้อมูลของ นิวยอร์กโพสต์ และสื่อของสหภาพโซเวียต แต่นิกสันปฏิเสธข่าวดังกล่าว

จุดอ้างอิงในเส้นทางการบิน R-20

หลังจากบินขึ้นจากท่าอากาศยานนานาชาติแองเคอเรจ เที่ยวบิน KAL 007 ได้รับคำสั่งจากการควบคุมจราจรทางอากาศ (ATC) ให้เลี้ยวหันหน้าไป 220 องศา ประมาณ 90 วินาทีต่อมา ATC สั่งให้เที่ยวบิน "มุ่งหน้าตรงสู่เบเธลเมื่อทำได้" เมื่อมาถึงเบเธล รัฐอะแลสกา เที่ยวบินที่ 007 จะเข้าสู่เหนือสุดของเส้นทางการบินกว้าง 80 กิโลเมตร ที่เรียก เส้นทาง NOPAC (แปซิฟิกเหนือ) ซึ่งเชื่อมชายฝั่งอะแลสกากับญี่ปุ่น เส้นทางการบินของ KAL 007 คือ R-20 (โรมีโอ 20) ผ่านห่างจากน่านฟ้าโซเวียตนอกชายฝั่งคัมชัตกาเพียง 28.2 กิโลเมตร ระบบนักบินอัตโนมัติที่ใช้ในขณะนั้นทำงานควบคุมระบบพื้นฐานสี่อย่าง ได้แก่ HEADING, VOR/LOC, ILS, และ INS สภาวะ HEADING รักษาเส้นทางแม่เหล็กคงที่ตามที่นักบินเลือก สภาวะ VOR/LOC รักษาเครื่องบินให้อยู่ในเส้นทางเฉพาะ การส่งสัญญาณจาก VOR ภาคพื้นดินหรือเครื่องบอกตำแหน่ง Localizer ตามที่นักบินเลือก สภาวะ ILS (ระบบลงจอดด้วยเครื่อง) ทำให้เครื่องบินติดตามทั้งเครื่องบอกตำแหน่งเส้นทางแนวตั้งและแนวระนาบ ซึ่งนำไปสู่ทางวิ่ง (Runway) ที่นักบินเจาะจงเลือกสภาวะ INS (Inertial navigation system : ระบบเดินอากาศยานเฉื่อย) ทำหน้าที่รักษาเครื่องให้อยู่ในเส้นทางแนวระนาบระหว่างพิกัดจุด (Waypoint) ตามแผนการบินที่เลือกที่ตั้งโปรแกรมเข้าสู่คอมพิวเตอร์ของระบบ INS

อุปกรณ์ HEADING Mode

ประมาณ 10 นาทีหลังจากเครื่องขึ้น โดยบินหันหัวทาง 245 องศา KAL 007 เริ่มเบี่ยงไปทางขวา (เหนือ) ของเส้นทางที่กำหนดไปยังเบเธล และยังคงบินต่อไปอีกห้าชั่วโมงครึ่ง การจำลองและวิเคราะห์เครื่องบันทึกข้อมูลการบินของ ICAO ระบุว่า การเบี่ยงเบนนี้อาจเกิดจากระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติของเครื่องบินที่ทำงานในโหมด HEADING หลังจากจุดที่ควรเปลี่ยนเป็นโหมด INS ตามที่ ICAO ระบุ นักบินอัตโนมัติไม่ทำงานในโหมด INS เนื่องจากนักบินไม่ได้เปลี่ยนระบบอัตโนมัติเป็นโหมด INS หรือพวกเขาเลือกโหมด INS แต่คอมพิวเตอร์ไม่ได้เปลี่ยนการนำทางไปที่โหมด INS เนื่องจากเครื่องบินได้เบี่ยงเบนออกนอกเส้นทางเกินพิกัดความเผื่อ 7.5 ไมล์ (12.1 กม.) ที่อนุญาตโดยคอมพิวเตอร์ INS ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม นักบินอัตโนมัติยังคงอยู่ในโหมด HEADING และนักบินไม่ได้พบปัญหา

หลังจากบินขึ้น 28 นาที เรดาร์ของพลเรือนที่คาบสมุทร Kenai บนชายฝั่งตะวันออกของ Cook Inlet และด้วยเรดาร์ที่ครอบคลุมพื้นที่ 175 ไมล์ (282 กม.) ทางตะวันตกของแองเคอเรจ ติดตาม KAL 007 5.6 ไมล์ (9.0 กม.) ทางเหนือของจุดที่ควรจะเป็น เมื่อ KAL 007 ไม่ถึงเบเธลในเวลา 50 นาทีหลังจากเครื่องบินขึ้น เรดาร์ของกองทัพสหรัฐฯที่ King Salmon รัฐอะแลสกา ได้ติดตาม KAL 007 ที่ระยะทาง 12.6 ไมล์ทะเล (23.3 กม.) ทางเหนือของจุดที่ควรจะเป็น ไม่มีหลักฐานที่บ่งชี้ว่า ผู้ควบคุมการจราจรทางอากาศพลเรือนหรือเจ้าหน้าที่ทหารประจำเรดาร์ที่ฐานทัพอากาศ Elmendorf (ซึ่งอยู่ในฐานะที่จะรับผลการวิเคราะห์จากเรดาร์ King Salmon) ทราบถึงความเบี่ยงเบนของ KAL 007 แบบเรียลไทม์ จึงสามารถเตือนได้ เครื่องบิน เพราะเกินค่าเบี่ยงเบนสูงสุดที่คาดไว้ถึงหกเท่า ข้อผิดพลาด 2 ไมล์ทะเล (3.7 กม.) เป็นค่าเบี่ยงเบนสูงสุดที่คาดหวังจากเส้นทางหาก INS (ระบบนำทางเฉื่อย) เปิดใช้งาน

ด้วย KAL 007 ไม่สามารถส่งตำแหน่งผ่านคลื่นความถี่สูงมาก (VHF) ที่มีช่วงสั้นกว่า ดังนั้นจึงขอให้ KAL 015 ซึ่งกำลังเดินทางไปยังกรุงโซลถ่ายทอดรายงานไปยังศูนย์ควบคุมการจราจรทางอากาศ KAL 007 ขอให้ KAL 015 ถ่ายทอดตำแหน่งสามครั้ง เมื่อเวลา 14:43 (UTC) KAL 007 ได้ส่งการเปลี่ยนแปลงเวลาที่ประมาณการมาถึงโดยตรงไปยังสถานีบริการเที่ยวบินระหว่างประเทศที่แองเคอเรจ แต่ได้ส่งผ่านคลื่นความถี่สูง (HF) ที่มีพิสัยไกลกว่า แทนที่จะเป็น VHF การส่งสัญญาณ HF สามารถไปได้ไกลกว่า VHF แต่เสี่ยงต่อการรบกวนทางแม่เหล็กไฟฟ้าและไฟฟ้าสถิต VHF มีความชัดเจนกว่าและมีสัญญาณรบกวนน้อยกว่า การที่ไม่สามารถติดต่อสื่อสารทางวิทยุโดยตรงเพื่อให้สามารถส่งตำแหน่งได้โดยตรง เพื่อเตือนนักบินของ KAL 007 ทราบถึงการเบี่ยงออกนอกเส้นทางที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งไม่ถือว่าผิดปกติโดยผู้ควบคุมการจราจรทางอากาศ ระยะครึ่งทางระหว่างเบเธลและจุดอ้างอิง NABIE KAL 007 ได้บินผ่านส่วนใต้ของเขตกันชนของหน่วยบัญชาการป้องกันการบินและอวกาศอเมริกาเหนือ โซนนี้อยู่ทางเหนือของเส้นทางการบิน Romeo 20 และจำกัดเฉพาะเครื่องบินพลเรือน หลังจากออกจากน่านฟ้าอเมริการะยะหนึ่ง KAL Flight 007 ได้บินข้ามเส้นแบ่งวันที่สากล วันที่ท้องถิ่นจึงเปลี่ยนจาก 31 สิงหาคม พ.ศ. 2526 เป็น 1 กันยายน พ.ศ. 2526 KAL 007 เดินทางต่อไป โดยความเบี่ยงเบนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนออกนอกเส้นทาง 60 ไมล์ทะเล (110 กม.) ที่จุดอ้างอิง NABIE และออกนอกเส้นทาง 100 ไมล์ทะเล (190 กม.) ที่จุดอ้างอิง NUKKS และออกนอกเส้นทางถึง 160 ไมล์ (300 กม.) ณ จุดอ้างอิง NEEVA จนกระทั่งบินถึงคาบสมุทรคัมชัตกา ซึ่งเป็นพื้นที่อันตรายและเป็นเขตหวงห้ามที่สำคัญที่สุดของสหภาพโซเวียตในเขตตะวันออกไกล

หมู่เรือในการซ้อมรบทางทะเล FleetEx '83 ระหว่างวันที่ 29 มีนาคม ถึง 17 เมษายน พ.ศ. 2526

ด้วยช่วงเวลานั้น ไม่ใช่ช่วงเวลาปกติ แต่เป็นช่วงระหว่างสงครามเย็นระหว่างเสรีนิยมกับสังคมนิยมกำลังตึงเครียดอย่างมาก จากการที่สหรัฐฯ นำขีปนาวุธ Pershing II มาประจำการในยุโรป การซ้อมรบทางทะเล FleetEx '83 ที่เป็นการซ้อมรบขนาดใหญ่ในแปซิฟิกเหนือ โดยเครื่องบินจากเรือบรรทุกเครื่องบินสหรัฐฯ USS Midway และ USS Enterprise บินเข้ามาในลักษณะยั่วยุถึงเขตที่มั่นทางการทหารของโซเวียตบนเกาะคูริลในช่วงการซ้อมรบดังกล่าว จนสหภาพโซเวียตสั่งปลดนายทหารที่รับผิดชอบด้านการป้องกันพื้นที่ที่ไม่สามารถยิงเครื่องบินสหรัฐให้ตกได้ ดังนั้นโซเวียตจึงต้องป้องกันน่านฟ้าของตนอย่างเต็มที่ และในวันเดียวกับที่เกิดเหตุ สหภาพโซเวียตก็มีแผนจะซ้อมยิงขีปนาวุธ จึงมีการเตือนภัยทั่วเขตคาบสมุทรคัมชัตกา ขณะที่สหรัฐฯ ก็ส่งเครื่องบินแบบ RC-135 ออกสอดแนม (เหมือนกับกรณี Korean Air เที่ยวบินที่ 902)

15:51 น. (UTC) KAL 007 ได้เข้าสู่น่านฟ้าหวงห้ามของคาบสมุทรคัมชัตกา ซึ่งห่างจากน่านฟ้าเขตชายฝั่ง 200 กิโลเมตร และตำแหน่งที่อีก 80 กิโลเมตร KAL 007 จะเข้าสู่น่านฟ้าของคาบสมุทรคัมชัตกา โซเวียตจึงได้ส่งเครื่องบินขับไล่ MiG-23 ลำหนึ่ง และ SU-15 Flagon อีก 3 ลำเข้าสกัด แต่ฝ่ายโซเวียตมีปัญหามากมาย ทั้งเรื่องการบัญชาการ เรื่องทางเทคนิค รวมถึงเรื่องสภาพอากาศ ทำให้ทั้ง 4 ลำไม่สามารถทำอะไรเครื่องบินโดยสารได้ จนกระทั่งมันออกจากน่านฟ้าของคัมชัตกา เข้าสู่น่านน้ำสากลโดยไม่มีปัญหาแต่ประการใด หลังจากพิจารณาถึงเส้นทางการบินของ KAL 007 ฝ่ายโซเวียตเห็นว่า KAL 007 น่าจะบินฝ่าเข้ามายังน่านฟ้าหวงห้ามของโซเวียตอีกครั้ง น่าจะเป็นบริเวณเกาะซาคาลิน จึงสั่งการให้เครื่องบินขับไล่จัดการทำลาย KAL 007 แม้ว่า KAL 007 จะอยู่ในเขตน่านฟ้าสากล หากสามารถแน่ใจว่า บนเครื่องบินไม่มีผู้โดยสาร แต่นายทหารระดับสูงอีกคนกลับบอกว่า ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์อะไรกันอีกแล้วกับเครื่องบินที่ละเมิดน่านฟ้าของโซเวียตถึง 2 ครั้ง เมื่อ KAL 007 รุกล้ำน่านฟ้าเป็นครั้งที่ 2 โซเวียตได้ส่งเครื่องบินขับไล่ MiG-23 ลำหนึ่ง และ SU-15 Flagon อีก 3 ลำแบบเดิม รวม 4 ลำขึ้นไปเพื่อหาทางสื่อกับนักบิน KAL 007 แต่การติดต่อทางวิทยุ ไม่ประสบผล เพราะนักบินเกาหลีไม่ตอบกลับ เครื่อง บิน SU-15 ที่นำฝูง ก็ได้ยิงปืนเตือนไป 243 นัด แต่ก็ไม่มีการตอบสนอง ซึ่งกระสุนดังกล่าวเป็นกระสุนเจาะเกราะธรรมดา ไม่ใช่กระสุนส่องวิถี นักบิน KAL 007 จึงอาจจะไม่ทราบเรื่องการยิงเตือน

ในระหว่างนั้น กัปตัน KAL 007 ได้ติดต่อไปยังศูนย์ควบคุมการบินของญี่ปุ่น เพื่อขอเพิ่มเพดานบิน เพราะจะทำให้เครื่องบินประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง และเมื่อเพิ่มเพดานบินแล้ว พวกเขาจึงต้องลดความเร็วลงกะทันหัน แต่สำหรับนักบินเครื่องบินขับไล่ที่ติดตามอยู่ กลับเห็นว่าเป็นความพยายามในการหลบหนี เพราะทำให้เครื่องบินรบที่บินเร็วกว่า ต้องบินเลย KAL 007 ออกไป ขณะเดียวกันก็มีคำสั่งจากหน่วยบัญชาการให้จัดการกับ KAL 007 ก่อนที่ KAL 007 จะออกไปพ้นน่านฟ้าของโซเวียตเป็นครั้งที่ 2 นักบินจึงต้องบินวนกลับมาด้านหลังของ KAL 007 อีกครั้ง ด้วยการสั่งการ 6 ขั้นของสายการบังคับบัญชา หลังจาก KAL 007 รุกล้ำน่านฟ้าโซเวียตกว่า 2 ชั่วโมง ในเวลา 18.26 น. (UTC) เครื่องบินรบแบบ SU-15 ที่บินนำฝูง โดยนาวาอากาศตรี Gennadiy Osipovich ก็ได้ยิงขีปนาวุธแบบอากาศสู่อากาศ Kaliningrad K-8  จำนวน 2 ลูกใส่บริเวณส่วนหางของเครื่องบิน (เพราะกระสุนปืนถูกใช้ไปหมดแล้ว)  ทำให้เครื่องบินไม่สามารถควบคุมทิศทางได้ และที่สุดก็ตกลงในทะเลญี่ปุ่น ในเวลาต่อมา นาวาอากาศตรี Gennadiy Osipovich ได้เล่าถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นว่า เขารู้แน่ว่า KAL 007 เป็นเครื่องบินโดยสารแบบ Boeing จากหน้าต่าง 2 แถว และรู้ว่า KAL 007 เป็นเครื่องบินพลเรือน แต่สำหรับเขาแล้วเรื่องนี้ไม่มีความหมายอะไร เพราะสามารถดัดแปลงเครื่องบินพลเรือนเป็นเครื่องบินทางการทหารได้ไม่ยาก รายละเอียดสัญชาติของผู้โดยสารและลูกเรือเที่ยวบิน : ออสเตรเลีย 4 ฮ่องกง 12 แคนาดา 8 สาธารณรัฐโดมินิกัน 1 อินเดีย 1 อิหร่าน 1 ญี่ปุ่น 28 มาเลเซีย 1 ฟิลิปปินส์ 16 เกาหลีใต้ 105 สวีเดน 1 ไต้หวัน 23 ไทย 5 สหราชอาณาจักร 2 สหรัฐอเมริกา 62 เวียดนาม 1 รวม 269 เป็นผู้โดยสาร 76 คน ลูกเรือ 23 คน และลูกเรือที่โดยสารแบบไม่เสียค่าใช้จ่าย (Deadheading) 6 คน

หลังเครื่องบินหายไป หลายฝ่ายก็มีการออกค้นหาซากเครื่องบินและศพผู้เสียชีวิต แต่โซเวียตก็ไม่ให้ความร่วมมือกับนานาชาติในการค้นหาภายในเขตของโซเวียตด้วย ในส่วนของการค้นหาในเขตน่านน้ำสากล เกาหลีใต้ในฐานะเจ้าของเครื่องบินมอบหมายให้ญี่ปุ่นและสหรัฐฯเป็นผู้ค้กนหาซากเครื่องบิน ในทางปฏิบัติก็เท่ากับว่าสหรัฐฯสามารถยิงฝ่ายโซเวียตได้ หากเข้ามาขโมยซากเครื่องบินในเขตน่านน้ำสากล ทำให้ทั้งสองฝ่ายส่งเรือรบเข้ามาในเขตมากมายราวกับเตรียมจะทำสงครามกัน นอกจากนั้นทั้งสองฝ่ายก็มีการก่อกวนยั่วยุกันตลอด แต่ในเขตน่านน้ำสากลไม่พบชิ้นส่วนอะไร ส่วนในฝั่งโซเวียตก็ไม่มีการแจ้งว่าพบอะไรบ้าง แต่ในปี พ.ศ. 2533 (ค.ศ. 1991) มีการเปิดเผยว่า ด้วยความช่วยเหลือของเครื่องมือที่ทันสมัย เจ้าหน้าที่ค้นหาของโซเวียตพบซากเครื่องบินอยู่ใกล้กับเกาะโมเนรอนที่ระดับความลึก 174 เมตร แต่เมื่อส่งประดาน้ำลงไปในอีก 2 สัปดาห์ต่อมา ก็ไม่พบว่ามีซากศพติดอยู่ภายในซากเครื่องบินแต่อย่างใด เท่าที่ฝ่ายโซเวียตพบก็มีเพียงแค่เศษซากชิ้นส่วนของมนุษย์ชิ้นเล็ก ๆ เท่านั้น

รองเท้าและเสื้อผ้าของผู้เสียชีวิต

8 วันต่อมาหลังการตก ศพผู้เสียชีวิตเริ่มลอยมายังญี่ปุ่น แต่อยู่ในสภาพชิ้นเล็กชิ้นน้อย และไม่สามารถพิสูจน์ทราบได้ว่าเป็นชิ้นส่วนของใคร และ 26 วันหลังการตกของ KAL 007 โซเวียตได้นำรองเท้าและเสื้อผ้าของผู้เสียชีวิตที่เก็บได้ส่งคืนให้ตัวแทนสหรัฐ – ญี่ปุ่น เมื่อรวมกับที่ค้นพบในน่านน้ำสากล รองเท้า เสื้อผ้าเหล่านี้เป็นของผู้ที่อยู่บนเครื่องบิน 213 คน ด้วยคำแนะนำจากรัฐมนตรีมหาดไทย ในเบื้องต้น ยูริ อังโดรปอฟ เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์โซเวียตในฐานะผู้นำประเทศ ปฏิเสธที่จะยอมรับว่าโซเวียตเป็นผู้ยิงเครื่องบิน KAL 007 เพราะเชื่อว่า คงไม่มีใครพิสูจน์เรื่องนี้ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ สหรัฐฯซึ่งเป็นคู่อริจึงใช้เรื่องนี้เป็นประเด็นในการโจมตีโซเวียต โดยการนำเทปบันทึกเสียงติดต่อของนักบินโซเวียตกับฐานที่ดักฟังได้ ไปเปิดในคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ เมื่อเจอเรื่องแบบนี้เข้าฝ่ายโซเวียตจึงต้องออกมายอมรับ แต่ในขณะเดียวกัน ก็แฉกลับว่า จนทำให้โลกรู้เป็นครั้งแรกว่า สหรัฐฯได้ส่งเครื่องบินลาดตระเวนแบบ RC-135 เข้ามาสอดแนมในน่านฟ้าของโซเวียต และเส้นทางการบินก็อยู่ในแนวเดียวกับ KAL 007 ที่ถูกยิงตก

ท่าทีของประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน ผู้นำสหรัฐ ซึ่งจ้องจะเอาผิดกับโซเวียตในเรื่องนี้ยิ่งทำให้ฝ่ายโซเวียตเชื่อว่าเหตุการณ์ทั้งหลายทั้งปวงเป็นเจตนาร้ายและเป็นการวางแผนของฝ่ายตะวันตกโดยเฉพาะสหรัฐฯ ขณะที่สหรัฐฯเดินหน้าตอบโต้ฝ่ายโซเวียตต่อไป โดยการห้ามสายการบินแอโรฟล็อตบินเข้าสหรัฐฯ ทำให้รัฐมนตรีต่างประเทศโซเวียตต้องยกเลิกการเดินทางมาสหประชาชาติ และจากการที่สหรัฐฯไม่ยอมให้เครื่องบินของเจ้าหน้าที่โซเวียตที่จะมาร่วมประชุมสหประชาชาติลงจอด ซึ่งเป็นการละเมิดกฎบัตรสหประชาชาติ โซเวียตก็จึงแก้เผ็ดโดยการจุดประเด็นว่า ควรย้ายสำนักงานใหญ่สหประชาชาติไปที่อื่นน่าจะดีกว่า และเมื่อคณะมนตรีความมั่นคงจะมีมติประณามโซเวียตเรื่องการยิงเครื่องบิน โซเวียตจะใช้อำนาจ VETO ในการบล็อคมติดังกล่าวทุกครั้งไป

Gennadiy Osipovich ผู้ยิงขีปนาวุธแบบอากาศสู่อากาศ Kaliningrad K-8  จำนวน 2 ลูกใส่ KAL 007 จนตก

หลังสรุปเหตุการณ์ต่าง ๆ แล้ว ฝ่ายโซเวียตกล่าวหาว่า เป็นแผนการต่าง ๆ ของสหรัฐ ทั้งการซ้อมรบ การนำขีปนาวุธมาไว้ในยุโรป และอื่น ๆ บ่งบอกว่ากรณีแบบ KAL 007 จะต้องเกิดขึ้นแน่ โซเวียตบอกว่า ภารกิจของ KAL 007 คือการสอดแนม เป็นการยั่วยุของฝ่ายสหรัฐฯ และเพื่อทดสอบความพร้อมทางการทหารของโซเวียต หรือไม่ก็หวังให้เกิดสงครามขึ้น รัฐบาลโซเวียตขอแสดงความเสียใจต่อการสูญเสียชีวิต แต่ไม่ขอโทษ และไม่ชดเชยต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น นอกจากนั้นก็ยังตำหนิ CIA กลับไปด้วย โดยบอกว่า เรื่องที่เกิดขึ้นนั้นเหลือเชื่อมาก เพราะจากการตรวจสอบข้อมูลโดยผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงจากนักบินที่เคยบินกับเครื่องบิน Boeing เป็นพัน ๆ ชั่วโมง ต่างก็บอกว่า เครื่องคอมพิวเตอร์ 3 เครื่องบนเครื่องบิน ไม่น่าจะเสียได้ในเวลาเดียวกันได้  เช่นเดียวกับเครื่องส่งสัญญาณวิทยุทั้ง 5 เครื่อง จึงไม่ต้องสงสัยอะไรอีกเกี่ยวกับความตั้งใจของ KAL 007 ลำนี้ 

ส่วนนักบินที่บินขึ้นสกัดนั้น ก็อาจไม่รู้ว่าแน่ชัดว่า KAL 007 เป็นเครื่องบินพลเรือน เพราะ KAL 007 บินโดยไม่มีไฟนำร่อง ท่ามกลางสภาพทัศนวิสัยการมองเห็นที่ไม่ดี และการไม่ตอบสนองต่อสัญญาณวิทยุ ในรายงานของ ICAO ที่ตรวจสอบเรื่องนี้ สรุปในปีปลายปี พ.ศ. 2526 ว่า เรื่องนี้เป็นอุบัติเหตุ โดยมีสาเหตุมาตจากการใช้งานระบบ Auto pilot ของนักบิน แต่อีก 10 ปีต่อมา ICAO ก็ออกมาประณามโซเวียตที่ตอนแรกแจ้งว่า ไม่พบกล่องดำ แต่ต่อมามีการเปิดเผยเอกสารที่ระบุว่า โซเวียตพบกล่องดำของ KAL 007 และผลจากการตกของเครื่องบิน KAL 007 ทำให้สหรัฐฯต้องปรับเปลี่ยนวิธีการติดตามเฝ้าดูเครื่องบินที่บินออกจากน่านฟ้าของมลรัฐอลาสกา ในส่วนของเครื่องบินโดยสารเองก็มีการออกแบบหน้าปัดของระบบ Auto pilot ใหม่เพื่อให้มองเห็นความผิดพลาดได้ง่ายขึ้น นอกจากนั้น ประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน ยังสั่งให้มีการพัฒนาระบบ GPS สำหรับกิจการพลเรือน เพื่อว่าจะได้ไม่เกิดความผิดพลาดในการนำร่องเช่นที่เกิดกับเที่ยวบิน KAL 007 อีกครั้ง

เส้นทางการบิน R-20 (เส้นประ) เส้นทางการบิน KAL 007 เส้นทึบ

องค์การบริหารการบินแห่งชาติ (FAA) ได้ปิดเส้นทางการบิน R-20 ชั่วคราว ซึ่งเป็นเส้นทางเดินทางอากาศที่ Korean Air Flight 007 ตั้งใจจะบิน ในวันที่ 2 กันยายน สายการบินต่าง ๆ คัดค้านการปิดเส้นทางยอดนิยมนี้อย่างดุเดือด ด้วยเป็นทางเดินอากาศที่สั้นที่สุดในห้าทางเดินอากาศระหว่างมลรัฐอลาสกากับตะวันออกไกล FAA จึงเปิดให้บริการอีกครั้งในวันที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2526 หลังจากมีการตรวจสอบความปลอดภัยและอุปกรณ์ช่วยนำทางแล้ว ต่อมา NATO ได้ตัดสินใจภายใต้แรงผลักดันของฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีเรแกน ในการปรับใช้ขีปนาวุธ Pershing II และขีปนาวุธร่อนในเยอรมนีตะวันตก โดยการติดตั้งขีปนาวุธเหล่านี้นี้จะทำให้ขีปนาวุธอยู่ห่างจากกรุงมอสโกเพียง 6-10 นาที การสนับสนุนการปรับใช้กำลังถูกสั่นคลอนและน่าสงสัยว่าจะดำเนินการได้หรือไม่ แต่เมื่อสหภาพโซเวียตยิงเครื่องบิน KAL 007 ตก สหรัฐฯ ก็สามารถกระตุ้นการสนับสนุนทั้งในประเทศและต่างประเทศได้อย่างเพียงพอเพื่อให้การติดตั้งและใช้งานขีปนาวุธดำเนินต่อไปได้

มีการเปิดเผยข้อมูลการสื่อสารที่ถูกเฝ้าฟังโดยสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน เปิดเผยให้เห็นข้อมูลจำนวนมากเกี่ยวกับระบบข่าวกรองและความสามารถของพวกเขา ต่อมาสมาคมเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย KAL 007 อเมริกัน ภายใต้การนำของ Hans Ephraimson ประสบความสำเร็จในการเรียกร้องให้รัฐสภาแห่งสหรัฐฯและอุตสาหกรรมการบินยอมรับข้อตกลงที่จะรับประกันว่า ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของเหตุการณ์ของสายการบินในอนาคตจะได้รับการชดเชยอย่างรวดเร็วและเป็นธรรม โดยการเพิ่มค่าตอบแทนและค่าชดเชย ภาระการพิสูจน์การประพฤติมิชอบของสายการบิน กฎหมายฉบับนี้ส่งผลกระทบในทางบวกต่อผู้ที่ตกเป็นเหยื่อจากภัยพิบัติเครื่องบินต่อ ๆ มาเป็นอย่างมาก สหรัฐฯ ตัดสินใจใช้เรดาร์ทางทหารเพื่อขยายความครอบคลุมเรดาร์ควบคุมการจราจรทางอากาศจาก 200 ถึง 1,200 ไมล์ (320 ถึง 1,930 กม.) จากแองเคอเรจ โดย FAA ยังได้จัดตั้งระบบเรดาร์สำรอง (ATCBI-5) บนเกาะเซนต์พอล  ในปี พ.ศ. 2529 สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และสหภาพโซเวียตได้จัดตั้งระบบควบคุมการจราจรทางอากาศร่วมกันเพื่อตรวจสอบเครื่องบินที่บินเหนือมหาสมุทรแปซิฟิกเหนือ ซึ่งทำให้สหภาพโซเวียตมีความรับผิดชอบอย่างเป็นทางการในการตรวจสอบการจราจรทางอากาศของพลเรือน และตั้งค่าความเชื่อมโยงการสื่อสารโดยตรงระหว่างผู้ควบคุมการจราจรทางอากาศของทั้งสามประเทศ

ประธานาธิบดีเรแกนประกาศเมื่อวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2526 ว่า ระบบกำหนดตำแหน่งบนโลก (GPS) จะพร้อมใช้งานสำหรับพลเรือนโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเมื่อการติดตั้งระบบเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดในการนำทางที่คล้ายกันในอนาคต นอกจากนี้อินเทอร์เฟซของนักบินอัตโนมัติที่ใช้กับเครื่องบินโดยสารขนาดใหญ่ได้รับการปรับปรุงเพื่อให้ชัดเจนยิ่งขึ้นไม่ว่าจะทำงานในโหมด HEADING หรือโหมด INS มีการเปิดเส้นทางการบินปกติระหว่างกรุงโซลและกรุงมอสโกเริ่มขึ้นในเดือนเมษายน พ.ศ. 2533 อันเป็นผลมาจากนโยบาย Nordpolitik ของเกาหลีใต้ ซึ่งดำเนินการโดยสายการบิน Aeroflot และKorean Air ในขณะเดียวกัน เส้นทางยุโรปทั้ง 9 เส้นทางของ Korean Air จะเริ่มบินผ่านน่านฟ้าของโซเวียต ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เครื่องบินของ Korean Air ได้รับอนุญาตให้บินผ่านน่านฟ้าของโซเวียตอย่างเป็นทางการ

ในปี พ.ศ. 2558 กระทรวงการต่างประเทศของญี่ปุ่นได้ยกเลิกการจัดประเภทเอกสารทางการทูต ซึ่งเปิดเผยว่าสองเดือนหลังจากเหตุการณ์ KAL 007 เจ้าหน้าที่ระดับสูงของฝ่ายบริหารของสหรัฐฯ ได้แจ้งกับนักการทูตของญี่ปุ่นอย่างไม่เป็นทางการ ว่าสหภาพโซเวียตได้เข้าใจผิดว่า เครื่องบิน KAL 007 เป็นเครื่องบินลาดตระเวนแบบ RC-135 ของกองทัพสหรัฐฯ ปัจจุบัน Korean Air ยังคงให้บริการเส้นทางการบินจากท่าอากาศยานนานาชาติ จอห์น เอฟ. เคนเนดี นครนิวยอร์ก ไปยังกรุงโซล อย่างไรก็ตาม เที่ยวบินไม่ได้แวะหยุดที่แองเคอเรจหรือบินไปยังท่าอากาศยานนานาชาติคิมโพอีกต่อไป โดยตอนนี้ทำการบินตรงไปยังท่าอากาศยานนานาชาติอินชอน เที่ยวบินหมายเลข 007 ถูกยกเลิกตั้งแต่นั้นมา โดยใช้หมายเลขเที่ยวบินสำหรับสองเที่ยวบินแยกกันเป็นเส้นทางการบินจากท่าอากาศยานนานาชาติ จอห์น เอฟ. เคนเนดี นครนิวยอร์กไปยังกรุงโซล (KAL/KE 82, 85 และ 250)


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

‘Checkpoint Charlie’ (เช็กพอยท์ชาลี) จุดตรวจต่างแดน ตัวแทนการแบ่งแยก ในยุคสงครามเย็น

ในยุคสงครามเย็นมีเรื่องราวของ Checkpoint Charlie มากมายด้วยจุดตรวจผ่านแดนในอดีต ที่กั้นประชาชนชาวเยอรมัน 2 ฝ่าย คือฝั่งเสรีประชาธิปไตย (ฝั่งของเยอรมันตะวันตก) และฝ่ายคอมมิวนิสต์ (ฝั่งของเยอรมันตะวันออก) ซึ่งอยู่ภายใต้สหภาพโซเวียต ปัจจุบันเมื่อรวมเป็นเยอรมันเดียวตั้งแต่ปี พ.ศ. 2534 แล้ว Checkpoint Charlie จึงกลายเป็น Landmark ของกรุง Berlin ที่นักท่องเที่ยวต้องไปเยี่ยมชม เลยขอนำมาเขียนเป็นบทความนี้ครับ

Walter Ulbricht ผู้นำเยอรมันตะวันออกในขณะนั้นได้รับความเห็นชอบจากสหภาพโซเวียต ให้สร้างกำแพงเบอร์ลินในปี พ.ศ. 2504 (ค.ศ. 1961)

Checkpoint Charlie เป็นจุดตรวจผ่านแดนที่รู้จักกันดีที่สุดระหว่างเบอร์ลินตะวันออก และเบอร์ลินตะวันตกในช่วงสงครามเย็น (พ.ศ. 2490-2534) ตามที่พันธมิตรตะวันตกตั้งชื่อ Checkpoint Charlie เกิดจากการที่ Walter Ulbricht ผู้นำเยอรมันตะวันออกในขณะนั้นได้รับความเห็นชอบจากสหภาพโซเวียตให้สร้างกำแพงเบอร์ลินในปี พ.ศ. 2504 (ค.ศ. 1961) เพื่อยุติการอพยพ และการหลบหนีไปเยอรมันตะวันตก เป็นการป้องกันการหลบหนีข้ามพรมแดนจากเบอร์ลินตะวันออกไปยังเบอร์ลินตะวันตก 

Checkpoint Charlie จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของสงครามเย็น ซึ่งเป็นตัวแทนของการแบ่งแยกระหว่างเยอรมันตะวันออกกับเยอรมันตะวันตก รถถังโซเวียตและอเมริกันเคยเผชิญหน้ากันในช่วงเวลาสั้น ๆ ณ จุดนี้ในช่วงวิกฤต Berlin ปี พ.ศ. 2504 (ค.ศ. 1961) และเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2506 ประธานาธิบดี John F. Kennedy แห่งสหรัฐอเมริกาได้เยี่ยมชม Checkpoint Charlie และมองเข้าไปใน Berlin ตะวันออกจากแท่นบนกำแพง Berlin

ชาวเยอรมันตะวันออกหลบหนีออกจาก Berlin ตะวันออกด้วยวิธีการต่างๆ

ในช่วงต้นทศวรรษ 1950 วิธีการจำกัดการย้ายถิ่นฐานของสหภาพโซเวียตได้รับการเลียนแบบโดยกลุ่มตะวันออกที่เหลือส่วนใหญ่ รวมทั้งเยอรมนีตะวันออกด้วย อย่างไรก็ตามในเยอรมนีที่ถูกยึดครองจนถึงปี พ.ศ. 2495 (ค.ศ. 1952) เส้นแบ่งระหว่างเยอรมนีตะวันออกกับเขตที่ถูกยึดครองทางตะวันตกส่วนใหญ่ยังคงสามารถข้ามไปมาได้อย่างง่ายดาย ต่อมาพรมแดนเยอรมันชั้นในระหว่างสองประเทศในเยอรมนีถูกปิด และมีการสร้างรั้วลวดหนามขึ้น

พรมแดนของเขต Berlin จึงเป็น "ช่องโหว่" ที่ประชาชนเยอรมันตะวันออกยังสามารถใช้หลบหนีได้

แม้หลังจากปิดพรมแดนเยอรมันชั้นในอย่างเป็นทางการในปี ปี พ.ศ. 2495 (ค.ศ. 1952) เขตแดนของเมือง Berlin ตะวันออกและ Berlin ตะวันตกยังคงสามารถข้ามไปมาได้ง่ายกว่าพรมแดนอื่น ๆ ที่เหลือ เนื่องจากถูกปกครองโดยพันธมิตรทั้งสี่ (สหรัฐฯ อังกฤษ ฝรั่งเศส และ สหภาพโซเวียต) ดังนั้น Berlin จึงกลายเป็นเส้นทางหลักที่ชาวเยอรมันตะวันออกออกอพยพเข้าเยอรมันตะวันตก ดังนั้นพรมแดนของเขต Berlin จึงเป็น "ช่องโหว่" ที่ประชาชนเยอรมันตะวันออกยังสามารถใช้หลบหนีได้

ทหารเยอรมันตะวันออก หลบหนีออกจาก Berlin ตะวันออก

ชาวเยอรมันตะวันออก 3.5 ล้านคน ที่อพยพออกมาในปี พ.ศ. 2504 คิดเป็นจำนวนรวมประมาณ 20% ของประชากรชาวเยอรมันตะวันออกทั้งหมด ผู้อพยพโยกย้ายถิ่นมักเป็นเยาวชนและผู้ที่มีการศึกษาดี ความสูญเสียดังกล่าวเกิดขึ้น ทำให้จำนวนผู้เชี่ยวชาญ วิศวกร ช่างเทคนิค แพทย์ ครู ทนายความ และช่างฝีมือ ไม่สมส่วนและขาดแคลน สภาวะสมองไหลของผู้เชี่ยวชาญได้ทำลายความน่าเชื่อถือทางการเมืองและความอยู่รอดทางเศรษฐกิจของเยอรมนีตะวันออกอย่างมาก จำเป็นต้องจัดตั้งด่านและระบบการควบคุมชายแดนตามแบบสหภาพโซเวียต ระหว่างปี พ.ศ. 2492 (ค.ศ. 1949)  ถึง พ.ศ. 2504 (ค.ศ. 1961) ชาวเยอรมันตะวันออกกว่า 2.5 ล้านคน หลบหนีไปยังเยอรมันตะวันตก และจำนวนเพิ่มขึ้นในช่วงสามปีก่อนที่กำแพง Berlin จะถูกสร้างขึ้น โดยมีจำนวน 144,000 คน ในปี พ.ศ. 2502 (ค.ศ. 1959), และ 199,000 คน ในปี พ.ศ. 2503 (ค.ศ. 1960) และ 207,000 คน ในช่วงเจ็ดเดือนแรกของปี พ.ศ. 2504 (ค.ศ. 1961) เศรษฐกิจของเยอรมันตะวันออกได้รับความเดือดร้อน และเสียหายอย่างมาก

กำแพงลวดหนามกลายเป็นกำแพงที่แยก Berlin ตะวันออกและตะวันตกออกจากกัน ถูกสร้างขึ้นโดยเยอรมันตะวันออก

วันที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2504 กำแพงลวดหนามกลายเป็นกำแพง ซึ่งแยก Berlin ตะวันออกและตะวันตกออกจากกัน ถูกสร้างขึ้นโดยเยอรมันตะวันออก สองวันต่อมาวิศวกรของตำรวจและกองทัพเริ่มสร้างกำแพงคอนกรีตถาวรขึ้นตลอดแนวเขตแดนยาว 830 ไมล์ (1336 กม.) ข้างกำแพงนั้นกว้าง 3.5 ไมล์ (5.6 กม.) ทางด้านเยอรมันตะวันออกในบางส่วนของเยอรมนี โดยมีรั้วตาข่ายเหล็กสูงทอดยาวไปตาม "แถบมรณะ" ที่ล้อมรอบด้วยทุ่นระเบิด เช่นเดียวกับช่องทางไถดินเพื่อชะลอการหลบหนี และแสดงรอยเท้าได้ง่ายขึ้น

Checkpoint Charlie เป็นจุดผ่านแดนของกำแพง Berlin ซึ่งตั้งอยู่บริเวณทางแยก Friedrichstraße กับ Zimmerstraße และ Mauerstraße (ซึ่งด้วยเหตุผลทางประวัติศาสตร์ที่เก่ากว่านั้นบังเอิญหมายถึง 'Wall Street') อยู่ในย่าน Friedrichstadt โดย Checkpoint Charlie ถูกกำหนดให้เป็นจุดข้ามแห่งเดียว (ด้วยการเดินเท้าหรือโดยรถยนต์) สำหรับชาวต่างชาติและสมาชิกของกองกำลังพันธมิตร (สมาชิกของกองกำลังพันธมิตรไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้จุดผ่านแดนจุดอื่น ๆ ที่กำหนดไว้สำหรับใช้โดยชาวต่างชาติ เช่น สถานีรถไฟ Friedrichstraße)

ชื่อ Charlie มาจากตัวอักษร C ตามอักษรรหัสของ NATO ในทำนองเดียวกันสำหรับด่านอื่น ๆ ของฝ่ายสัมพันธมิตรบน Autobahn จากตะวันตก เรียกว่า Checkpoint Alpha ที่ Helmstedt และ Checkpoint Bravo ที่เทียบเท่ากันที่ Drelinden, Wannsee ตรงมุมตะวันตกเฉียงใต้ของ Berlin และ โซเวียตเรียกว่า จุดผ่านแดน KPP Fridrikhshtr ชาวเยอรมันตะวันออกเรียก Checkpoint Charlie อย่างเป็นทางการว่า Grenzübergangsstelle ("Border Crossing Point") Friedrich-/Zimmerstraße

Cafe Adler ("Eagle Café") ตั้งอยู่ที่จุดตรวจ เป็นจุดชมวิวที่ยอดเยี่ยมที่สุดในการชม Berlin ตะวันออกขณะรับประทานอาหารและดื่มเครื่องดื่ม

Checkpoint Charlie เป็นจุดตรวจที่กำแพง Berlin ที่มองเห็นได้ชัดเจนที่สุด จึงปรากฏในภาพยนตร์และหนังสือ ร้านกาแฟที่มีชื่อเสียงและจุดชมวิวของเจ้าหน้าที่ฝ่ายสัมพันธมิตร กองกำลังติดอาวุธ และผู้มาเยือน Cafe Adler ("Eagle Café") ตั้งอยู่ที่จุดตรวจ เป็นจุดชมวิวที่ยอดเยี่ยมที่สุดในการชม Berlin ตะวันออก ขณะรับประทานอาหารและดื่มเครื่องดื่ม

Checkpoint Charlie มีความไม่สมดุลอย่างน่าประหลาด ในช่วงที่ใช้งาน 28 ปี โครงสร้างพื้นฐานทางฝั่งตะวันออก ได้ขยายให้ครอบคลุมไม่เพียงแค่กำแพง หอสังเกตการณ์ และแนวซิกแซกเท่านั้น แต่ยังมีโรงจอดรถหลายช่องทางสำหรับตรวจสอบรถยนต์และผู้โดยสาร อย่างไรก็ตามผู้มีอำนาจฝ่ายสัมพันธมิตรไม่เคยสร้างอาคารถาวรใด ๆ เลย และสร้างขึ้นเป็นเพิงไม้ที่มีชื่อเสียง ซึ่งถูกแทนที่ในช่วงทศวรรษ 1980 ด้วยโครงสร้างโลหะที่ใหญ่ขึ้น ซึ่งปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์พันธมิตรใน Berlin เหตุผลของพวกเขา คือพวกเขาไม่ได้ถือว่าเขตแดนของ Berlin ชั้นในเป็นพรมแดนระหว่างประเทศ

รถถังโซเวียตและอเมริกันเคยเผชิญหน้ากันในช่วงเวลาสั้น ๆ ณ จุดนี้ในช่วงวิกฤต Berlin ปี พ.ศ. 2504 (ค.ศ. 1961)

ไม่นานหลังจากการก่อสร้างกำแพง Berlin ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2504 เกิดการเผชิญหน้ากันระหว่างรถถังสหรัฐและโซเวียตที่ด่านชาร์ลีทั้งสองด้าน เริ่มเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม จากข้อโต้แย้งว่า เจ้าหน้าที่รักษาชายแดนของเยอรมันตะวันออกได้รับอนุญาตให้ตรวจสอบเอกสารการเดินทางของนักการทูตสหรัฐฯ ที่อยู่ใน Berlin ตะวันตกชื่อ Allan Lightner มุ่งหน้าไปยัง Berlin ตะวันออกเพื่อชมการแสดงโอเปร่าที่นั่นหรือไม่ เนื่องจากตามข้อตกลงระหว่างทุกฝ่าย สี่มหาอำนาจฝ่ายพันธมิตรที่ยึดครองเยอรมนี จะต้องอนุญาตให้กองกำลังพันธมิตรในกรุง Berlin เดินทางได้อย่างอิสระเสรี และไม่มีกองกำลังทหารเยอรมัน จากทั้งเยอรมนีตะวันตกหรือเยอรมนีตะวันออกมาประจำการในตัวเมือง และยิ่งไปกว่านั้นสหรัฐอเมริกา (ในขั้นต้น) ไม่ได้ยอมรับความเป็นรัฐตะวันออกของเยอรมนี และสิทธิที่จะคงอยู่ในเมืองหลวง Berlin ตะวันออกที่ประกาศตนเอง ในทางกลับกัน ชาวอเมริกันยอมรับเพียงอำนาจของโซเวียตเหนือเบอร์ลินตะวันออก มากกว่าความเป็นเยอรมันตะวันออก 

วันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2504 รถถังโซเวียตสิบคันและรถถังอเมริกันจำนวนเท่ากันจอดห่างกัน 100 หลา ณ จุดตรวจทั้งสองฝั่ง การเผชิญหน้าครั้งนี้สิ้นสุดลงด้วยความสงบในวันที่ 28 ตุลาคม หลังจากการทำความเข้าใจระหว่างสหรัฐฯ-โซเวียตในการถอนรถถังและลดความตึงเครียด การเจรจาระหว่างรัฐมนตรียุติธรรม (อัยการสูงสุด) ของสหรัฐอเมริกา Robert F. Kennedy และหัวหน้า KGB Georgi Bolshakov มีส่วนอย่างสำคัญในการบรรลุข้อตกลงนี้โดยปริยาย

พลเมืองของเยอรมันตะวันออกได้ขับรถฝ่าสิ่งกีดขวางด้วยรถเปิดประทุน โดยถอดกระจกบังลมออกก่อน และพุ่งลอดใต้ที่กั้น

กำแพง Berlin ถูกสร้างขึ้นอย่างรวดเร็วโดยรัฐบาลเยอรมันตะวันออกในปี พ.ศ. 2504 แต่มีวิธีการหลบหนีมากมายที่ไม่คาดคิด ตัวอย่างเช่น Checkpoint Charlie ในขั้นต้นถูกปิดกั้นโดยประตูเท่านั้น และพลเมืองของเยอรมันตะวันออกได้ขับรถฝ่าผ่านเข้าไปเพื่อหลบหนี จึงมีการสร้างเสาที่แข็งแรงมั่นคง ผู้หลบหนีอีกคนหนึ่งพยายามฝ่าสิ่งกีดขวางด้วยรถเปิดประทุน โดยถอดกระจกบังลมออกก่อน และพุ่งลอดใต้ที่กั้น สิ่งนี้ถูกทำซ้ำในอีกสองสัปดาห์ต่อมา ดังนั้นเยอรมันตะวันออกจึงลดความสูงของเครื่องกั้น และเพิ่มเสากั้นให้มากขึ้น

เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2505 Peter Fechter วัยรุ่นชาวเยอรมันตะวันออกถูกยิงที่กระดูกเชิงกรานโดยทหารเยอรมันตะวันออกขณะพยายามหลบหนีจาก Berlin ตะวันออก ร่างของเขาติดอยู่ในรั้วลวดหนาม และเลือดออกจนตาย ในมุมมองของสื่อทั่วโลกทหารอเมริกันไม่สามารถช่วยชีวิตเขาได้ เพราะเขาอยู่ในเขตโซเวียตไม่กี่เมตร ทหารรักษาการณ์ชายแดนของเยอรมันตะวันออกไม่เต็มใจที่จะเข้าไปช่วยเขา เพราะเกรงว่าจะเป็นการยั่วยุทหารฝั่งตะวันตก ซึ่งหนึ่งในนั้นได้ยิงตำรวจชายแดนของเยอรมันตะวันออกเมื่อไม่กี่วันก่อน อีกกว่าหนึ่งชั่วโมงต่อมาร่างของ Fechter ก็ถูกทหารเยอรมันตะวันออกนำออกมา การประท้วงเกิดขึ้นเองที่จุดตรวจฝั่งอเมริกัน เป็นการประท้วงต่อต้านการกระทำของตะวันออกและความเฉยเมยของตะวันตก

อนุสรณ์สถานสงครามโซเวียต ซึ่งตั้งอยู่ใน Tiergarten ในเขตของอังกฤษ (ในขณะนั้น)

สองสามวันต่อมา ฝูงชนขว้างก้อนหินใส่รถบัสของสหภาพโซเวียตที่ขับไปยังอนุสรณ์สถานสงครามโซเวียต ซึ่งตั้งอยู่ใน Tiergarten ในเขตของอังกฤษ โซเวียตซึ่งพยายามคุ้มกันรถบัสด้วยรถหุ้มเกราะ (APCs) หลังจากนั้น โซเวียตได้รับอนุญาตให้ข้ามได้เฉพาะทางข้ามสะพาน Sandkrug (ซึ่งใกล้ Tiergarten ที่สุด) และห้ามมิให้นำรถหุ้มเกราะ (APCs) เข้ามา หน่วยทหารเยอรมันตะวันตกถูกส่งไปปฏิบัติการในตอนกลางดึกของต้นเดือนกันยายน พร้อมอาวุธยุทโธปกรณ์และยานพาหนะเพื่อบังคับใช้คำสั่งห้าม

คืนวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2532 (ค.ศ. 1989) ส่วนหนึ่งของกำแพง Berlin ถูกเปิดออก

ในคืนวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2532 (ค.ศ. 1989) ส่วนหนึ่งของกำแพง Berlin ถูกเปิดออก แม้ว่ากำแพง Berlin จะถูกรื้อทุบในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2532 และ ส่วนที่กำบังของ Checkpoint Charlie ถูกรื้อออกเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2533 เพิงตรวจของ Checkpoint Charlie ยังคงเป็นจุดผ่านแดนอย่างเป็นทางการสำหรับชาวต่างชาติและนักการทูต จนกระทั่งการรวมชาติเยอรมันสำเร็จในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2533 Checkpoint Charlie ได้กลายเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวหลักของกรุง Berlin ที่ซึ่งเศษชิ้นส่วนของจุดผ่านแดนดั้งเดิมบางส่วนผสมกับชิ้นส่วนที่สร้างขึ้นใหม่ เป็นอนุสรณ์สถานและสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการท่องเที่ยว อาคารหลังที่สองในฝั่งอเมริกันถูกย้ายออกไปในปี พ.ศ. 2533 (ค.ศ. 1990) 

เพิงตรวจปัจจุบันจัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง ของพิพิธภัณฑ์พันธมิตรใน Berlin-Zehlendorf ป้อมยามจำลองและป้ายที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นจุดผ่านแดนถูกสร้างใหม่ในภายหลัง ในขนาดเดียวกันโดยคร่าว ๆ คล้ายกับเรือนยามหลังแรกที่สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2504 โดยอยู่หลังแนวกั้นกระสอบทราย ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ป้อมนี้ถูกแทนที่หลายครั้งด้วยป้อมยามที่มีขนาดและรูปแบบต่างกัน ที่ถูกรื้อออกระหว่างปี พ.ศ. 2533 (ค.ศ. 1990) มีขนาดใหญ่กว่าอันแรกมาก และไม่มีกระสอบทราย นักท่องเที่ยวเคยสามารถถ่ายรูปได้โดยเสียค่าธรรมเนียม โดยมีนักแสดงที่แต่งตัวเป็น ตำรวจ ทหารฝ่ายพันธมิตรยืนอยู่หน้าป้อม แต่ทางการ Berlin ได้สั่งห้ามในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2562 (ค.ศ. 2019) โดยระบุว่านักแสดงได้เอาเปรียบนักท่องเที่ยวด้วยการเรียกร้องเงินเพื่อถ่ายรูป

ชิ้นส่วนและเศษซากของกำแพง Berlin ถูกนำมาตั้งแสดง

เส้นทางของกำแพงและชายแดนเดิม ตอนนี้ถูกทำเครื่องหมายไว้ที่ถนนด้วยหินปูถนน การจัดแสดงกลางแจ้งเปิดขึ้นในช่วงฤดูร้อนปี พ.ศ. 2549 ผนังห้องแสดงภาพตามถนน Friedrichstraße และ Zimmerstraße แสดงข้อมูลเกี่ยวกับความพยายามในการหลบหนี การขยายจุดตรวจ และความสำคัญในช่วงสงครามเย็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเผชิญหน้าของรถถังโซเวียตและอเมริกาในปี พ.ศ. 2504 (ค.ศ. 1961) นอกจากนี้ยังมี Gallery รวมภาพของอนุสรณ์สถานและพิพิธภัณฑ์ที่สำคัญอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับการแบ่งประเทศเยอรมนีและกำแพง Berlin

Checkpoint Charlie ในปี พ.ศ. 2543 (ค.ศ. 2000)

บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ได้มีการรื้อถอนหอสังเกตการณ์ของเยอรมันตะวันออกในปี พ.ศ. 2543 (ค.ศ. 2000) เพื่อเปิดทางสำหรับสำนักงานและร้านค้าต่าง ๆ หอสังเกตการณ์เป็นอาคารสุดท้ายของ Checkpoint Charlie ดั้งเดิมที่ยังหลงเหลืออยู่ เทศบาลกรุง Berlin พยายามรักษาหอคอยไว้แต่ล้มเหลว เนื่องจากไม่ได้ถูกจัดให้เป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ กระนั้น โครงการพัฒนานั้นก็ไม่เคยเกิดขึ้นจริงจนถึงทุกวันนี้ พื้นที่ระหว่าง Zimmerstraße และ Mauerstraße/Schützenstraße (จุดผ่านแดนทางฝั่งเยอรมันตะวันออก) ยังคงว่างอยู่ทำให้มีพื้นที่สำหรับนักท่องเที่ยวและอนุสรณ์สถานชั่วคราวจำนวนมาก แผนใหม่ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560 บนเว็บไซต์สำหรับโครงการโรงแรมทำให้เกิดการถกเถียงทางการเมืองเกี่ยวกับการพัฒนาพื้นที่อย่างเหมาะสม หลังจากการขึ้นทะเบียนสถานที่สุดท้ายให้เป็นพื้นที่มรดกที่ได้รับการคุ้มครองในปี พ.ศ. 2561 แผนต่าง ๆ ได้เปลี่ยนไปในแนวทางที่เป็นมิตรต่อความเป็นมรดกที่ได้รับการคุ้มครองมากขึ้น

นิทรรศการ “BlackBox Cold War”

นิทรรศการ “BlackBox Cold War” ได้จุดประกายให้กับรัฐบาลเยอรมันและนคร Berlin ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555 การจัดแสดงกลางแจ้งฟรี นำเสนอส่วนกำแพง Berlin ดั้งเดิม และข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ทางประวัติศาสตร์ อย่างไรก็ตาม การจัดแสดงในร่มแสดงให้เห็นประวัติศาสตร์ร่วมสมัยของ Berlin ด้วยสถานีสื่อ 16 แห่ง โรงภาพยนตร์ วัตถุสิ่งของ และเอกสารต้นฉบับ (ซึ่งต้องเสียค่าเข้าชม) ดำเนินการโดย NGO Berliner Forum fuer Geschichte und Gegenwart e.V.

พิพิธภัณฑ์ Haus am Checkpoint Charlie

พิพิธภัณฑ์ Checkpoint Charlie ใกล้กับที่ตั้งของป้อมยามคือ Haus am Checkpoint Charlie " พิพิธภัณฑ์ Haus am Checkpoint Charlie" เปิดเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2506 ใกล้กับกำแพง Berlin แสดงให้เห็นภาพถ่าย และเรื่องราวของการแบ่งแยกเยอรมนี ป้อมชายแดนและ "ความช่วยเหลือของผู้มีอำนาจที่ปกป้อง" แสดงไว้ นอกจากภาพถ่ายและเอกสารประกอบความพยายามในการหลบหนีที่ประสบความสำเร็จแล้ว ยังมีการจัดแสดงอุปกรณ์หลบหนี เช่น บอลลูนลมร้อน รถหนีภัย ลิฟต์เก้าอี้ และเรือดำน้ำขนาดเล็ก ตั้งแต่ตุลาคม พ.ศ. 2547 ถึงกรกฎาคม พ.ศ. 2548 มีอนุสรณ์สถานเสรีภาพ (The Freedom Memorial) ซึ่งประกอบด้วยส่วนผนังดั้งเดิมและไม้กางเขนที่ระลึก 1,067 อันตั้งอยู่บนพื้นที่ (เช่า) พิพิธภัณฑ์ Haus am Checkpoint Charlie ดำเนินการโดยสมาคม Arbeitsgemeinschaft 13 สิงหาคม สมาคมจดทะเบียนก่อตั้งโดย Dr. Rainer Hildebrandt ผู้จัดการคือ Alexandra Hildebrandt ภรรยาม่ายของผู้ก่อตั้ง พิพิธภัณฑ์ตั้งอยู่ในอาคาร "House at Checkpoint Charlie" โดยสถาปนิก Peter Eisenman ด้วยผู้เข้าชม 850,000 คนในปี พ.ศ. 2550 พิพิธภัณฑ์ Haus am Checkpoint Charlie จึงเป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ที่มีผู้เข้าชมมากที่สุดของนคร Berlin และเยอรมนี 

ไม้กางเขนที่ระลึก 1,067 อัน ใน The Freedom Memorial

Checkpoint Charlie มีบทบาทในการจารกรรมในยุคสงครามเย็นและนวนิยายและภาพยนตร์ทางการเมือง ตัวอย่างบางส่วน ได้แก่ 

James Bond (แสดงโดย Roger Moore) กับ Checkpoint Charlie

- James Bond (แสดงโดย Roger Moore) เดินผ่าน Checkpoint Charlie ในภาพยนตร์ 007 ตอน Octopussy (1983) จากเยอรมันตะวันตกไปเยอรมันตะวันออก

- Checkpoint Charlie เป็นจุดเด่นในฉากเปิดของภาพยนตร์ปี 1965 เรื่อง The Spy Who Came in from the Cold (นำแสดงโดย Richard Burton และ Claire Bloom) ซึ่งสร้างจากนวนิยายของ John le Carré ที่มีชื่อเดียวกัน

Francis Gary Powers (ซ้าย) กับ Rudolf Abel (ขวา)

- ในภาพยนตร์ Bridge of Spies นักศึกษาชาวอเมริกัน Frederic Pryor ที่ถูกคุมขังได้รับการปล่อยตัวที่ Checkpoint Charlie โดยเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงเพื่อแลกเปลี่ยนตัว Francis Gary Powers นักบินของ U-2 กับ Frederic Pryor โดยแลกกับ Rudolf Abel สายลับโซเวียตที่ถูกตัดสินว่ามีความผิด การปล่อยตัวไพรเออร์เกิดขึ้นนอกจอในขณะที่การแลกเปลี่ยน Francis Gary Powers กับ Rudolf Abel เกิดขึ้นที่สะพาน Glienicke

เกมอินดี้ Papers Please โดย Lucas Pope

- Checkpoint Charlie เป็นแรงบันดาลใจให้กับเกมอินดี้ Papers Please โดย Lucas Pope ที่ซึ่งผู้เล่นทำหน้าที่ของหน่วยยามชายแดนสำหรับเวอร์ชั่นสมมติของ Berlin ตะวันออก

ฉากเปิดตัวของ The Man from U.N.C.L.E ณ Checkpoint Charlie

- นอกจากนี้ยังปรากฎในฉากเปิดตัวของ The Man from U.N.C.L.E ที่ออกฉายในปี พ.ศ. 2558 (ค.ศ. 2015) อีกด้วย


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top