Saturday, 27 April 2024
เศรษฐกิจ

‘บิ๊กตู่’ กั๊กตอบชื่อหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ 'รทสช.' แต่ย้ำ!! พรรคเน้นทำงานร่วมกัน เพื่อประโยชน์ส่วนรวม

(1 มี.ค. 66) ที่พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานคณะกรรมการกำหนดแนวทางและนโยบายพรรครวมไทยสร้างชาติ ให้สัมภาษณ์ภายหลังร่วมกิจกรรมเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร รสทช.ว่า เป็นบรรยากาศแห่งมิตรไมตรี และในฐานะประธานคณะกรรมการกำหนดแนวทาและนโยบายพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้มีโอกาสพบปะสมาชิกหลายคนหลายภาคและเป็นครั้งที่ 2 ที่ได้มาสวมเสื้อให้ ถือเป็นเกียรติให้กันและกัน

ตนมีความเชื่อมั่นในบรรดาสมาชิกของพรรคที่มีหลากหลาย หลายกลุ่ม หลายวัย เพราะเราต้องการเดินหน้าทำงานให้คนทุกช่วงวัย รวมถึงกลุ่มเปราะบาง กลุ่มที่มีปัญหาต่าง ๆ เราต้องทำให้ทุกคนได้ประโยชน์สูงสุดจากการทำงานในอนาคต ขอขอบคุณบรรดาสมาชิก ส.ส. และขอบคุณหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค กรรมการบริหารพรรค และผู้ใหญ่ทุกคนที่ทำให้มีวันนี้ ซึ่งเป็นวันที่ตนมีความสุข

ผู้สื่อข่าวถามว่า พรรคมีความพร้อมในการเลือกตั้งแค่ไหน พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า หัวหน้าพรรค และ เลขาธิการพรรคบอกแล้วว่ามีความพร้อม ทันเวลาอย่างแน่นอน ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมายและข้อกำหนดของ กกต. พรรครวมไทยสร้างชาติ ส่งให้ครบ

ผู้สื่อข่าวถามว่าตั้งเป้าได้ ส.ส.อย่างไร พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ถ้าตั้งเป้า แล้วไม่ได้ตามเป้าแล้วจะไปตั้งทำไม เพราะเราเชื่อมั่นว่าจะได้กว่าเป้า ส่วนเป้าที่วางไว้จะเป็นเท่าไหร่นั้นจะยังไม่บอก ทุกคนต่างหวังเช่นนั้น

ผู้สื่อข่าวถามว่าการจะเป็นรัฐบาลได้ ส.ส. จำนวน 250 เสียงขึ้นไป พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า การจัดตั้งรัฐบาลกติกาก็คือจะต้องได้คะแนนเสียงสูง และต้องมีทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล เสียงมากเสียงน้อยก็จะต้องขึ้นอยู่กับบทบาทการพูดคุยต่อไป ว่าเป็นรัฐบาลกันอย่างไร เพราะครั้งที่แล้วก็เป็นแบบนี้ตนก็ผ่านมาแล้ว

‘มูเตลูไทย’ รุ่ง!! ดันกลุ่มธุรกิจความเชื่อเฟื่องฟู พบปี 66 มูลค่าทุนจดทะเบียนทะลุ 100 ล้านบาท

เปิดความปัง‘มูเตลูไทย’เฟื่องฟู ดัน‘ธุรกิจกิจกรรมด้านความเชื่อเพื่อคึกคัก มูลค่าทุนจดทะเบียนทะลุ 100 ล้านบาท

มูเตลูไทยเฟื่องฟูสุดๆ ดัน ‘ธุรกิจกิจกรรมด้านความเชื่อเพื่อสนับสนุนการตลาด’ เบียดแซงหน้าขึ้นแท่นธุรกิจดาวเด่น ...เปิดรายได้รวมปลายปีเพิ่มขึ้นกว่า 113% ขณะที่สินทรัพย์ธุรกิจเพิ่มขึ้นกว่า 50% โซเชียลมีเดียและเว็บไซต์เป็นช่องทางหลักในการเข้าถึงข้อมูลและเนื้อหาความเชื่อของผู้บริโภคมากที่สุด ขณะที่การพยากรณ์ดวงชะตาแบบรายวัน รายสัปดาห์ และรายเดือนได้รับความนิยมสูงสุด ส่งผลภาคธุรกิจนำความเชื่อด้านโชคลางไปใช้สนับสนุนการบริหารจัดการทั้งส่งเสริมการตลาดและประชาสัมพันธ์สินค้ามากขึ้น ธุรกิจสายมูส่วนใหญ่ดำเนินกิจการในรูปแบบบุคคลธรรมดา ไม่นิยมจัดตั้งเป็นนิติบุคคล ขอเชิญชวนให้จดทะเบียนจัดตั้งเป็นนิติบุคคลเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและสามารถขยายธุรกิจสู่การให้บริการที่หลากหลายมากขึ้น 

นายสินิตย์ เลิศไกร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า “ตั้งแต่ปี 2563 เข้าสู่ปี 2566 มูเตลู หรือความเชื่อในศาสตร์เร้นลับ การบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ เพื่อเสริมดวงและโชคชะตาในประเทศไทยกำลังได้รับความนิยมเพิ่มสูงขึ้นแบบก้าวกระโดด ผู้นับถือศาสตร์มูเตลู (สายมู) เชื่อว่าการบูชาและศรัทธาในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไสยศาสตร์ เครื่องรางของขลังจะช่วยส่งเสริมด้านการงาน การเงิน โชคลาภ และความรัก ซึ่งเป็นที่พึ่งทางใจและส่งพลังด้านบวกให้ชีวิต ผนวกกับเรื่องของความเชื่อเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยบรรเทาความกังวลและความไม่แน่นอน โดยเฉพาะสถานการณ์ที่เศรษฐกิจมีความผันผวน มีปัจจัยที่ไม่อาจคาดการณ์เกิดขึ้นหลายอย่าง เช่น โรคอุบัติใหม่ โรคระบาด อันตรายจากปัญหาสิ่งแวดล้อม ความเหลื่อมล้ำทางสังคม การศึกษา ความเห็นต่าง รวมทั้ง การไม่สามารถปรับตัวให้ทันเทคโนโลยีสมัยใหม่ และสถานการณ์ต่างๆ ที่ส่งผลต่อชีวิตประจำวัน ทำให้ภาคธุรกิจสบโอกาสที่จะนำความเชื่อในมูเตลูมาใช้สร้างรายได้และผลกำไรมากขึ้น 

เมื่อพิจารณาถึงการบริหารจัดการ พบว่า มีการปรับตัวนำศาสตร์แห่งความเชื่อมาใช้วางแผนกลยุทธ์ทางการตลาด (โดยเฉพาะการตลาดออนไลน์) และประชาสัมพันธ์สินค้า/บริการ โดยจัดแคมเปญให้เข้าถึงผู้บริโภคทุกช่วงอายุมากขึ้น รวมทั้ง ใช้ผู้ทรงอิทธิพลทางความคิด (Influencers) หรือผู้มีชื่อเสียงมาสร้างความน่าเชื่อถือและสร้างประสบการณ์ร่วมด้านอารมณ์/ความรู้สึกกับลูกค้า ส่งผลให้’ ธุรกิจกิจกรรมด้านความเชื่อเพื่อสนับสนุนการตลาด’ มีอัตราการเติบโตเพิ่มสูงขึ้นตลอด 3 ปีที่ผ่านมา

ปี 2563 - 2565 ธุรกิจกิจกรรมด้านความเชื่อเพื่อสนับสนุนการตลาดมีอัตราการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจเพิ่มขึ้น ปี 2563 จดทะเบียนจัดตั้ง 11 ราย ทุนจดทะเบียน 7.59 ล้านบาท ปี 2564 จัดตั้ง 20 ราย (เพิ่มขึ้น 9 ราย หรือร้อยละ 81.8) ทุน 13.41 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 5.82 ล้านบาท หรือร้อยละ 76.7) ปี 2565 จัดตั้ง 24 ราย (เพิ่มขึ้น 4 ราย หรือร้อยละ 20.0) ทุน 27.45 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 14.04 ล้านบาท หรือร้อยละ 104.7)

ผลประกอบการธุรกิจ โดยรายได้รวมของธุรกิจ ปี 2562 อยู่ที่ 24.28 ล้านบาท สินทรัพย์ 49.54 ล้านบาท กำไร 1.12 ล้านบาท ปี 2563 รายได้รวม 28.76 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 4.48 ล้านบาท หรือร้อยละ 18.5) สินทรัพย์ 47.31 ล้านบาท (ลดลง 2.23 ล้านบาท หรือร้อยละ 4.5) กำไร 1.52 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 0.40 ล้านบาท หรือร้อยละ 35.7) และ ปี 2564 รายได้รวม 61.28 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 32.52 ล้านบาท หรือร้อยละ 113.1) สินทรัพย์ 71.07 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 23.76 ล้านบาท หรือร้อยละ 50.22) ขาดทุน 1.86 ล้านบาท (ลดลง 3.38 ล้านบาท หรือร้อยละ 222.4) ทั้งนี้ ปี 2564 มีรายได้รวมและสินทรัพย์เพิ่มขึ้นจากปี 2563 แต่มีผลประกอบการขาดทุน แสดงถึงแนวโน้มของธุรกิจอยู่ในช่วงขยายการลงทุนรองรับการเติบโตหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคโควิด-19 คลี่คลายลง

‘พรรคเพื่อไทย’ รวมพลมือฉมัง ตั้ง ‘ทีมเศรษฐกิจ’ ชู ‘หมอพรหมินทร์’ นั่งประธาน ‘เศรษฐา’ ที่ปรึกษา

(3 มี.ค. 66) นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ลงนามคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจ โดยมี นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เป็นประธาน นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ เป็นรองประธาน พร้อมผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจด้านต่างๆ ได้แก่ นายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ อดีตที่ปรึกษาด้านนโยบาย 3 นายกรัฐมนตรี, นายเศรษฐา ทวีสิน นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์, นายศุภวุฒิ สายเชื้อ นักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำของประเทศ, นายปานปรีย์ พหิทธานุกร อดีตผู้แทนการค้า และที่ปรึกษานายกด้านเศรษฐกิจและการต่างประเทศมาร่วมเป็นที่ปรึกษา

ด้าน นพ.พรหมินทร์ กล่าวว่า วิกฤตเศรษฐกิจของประเทศไทยหลังการระบาดของโรคโควิด-19 และภาวะสงครามรัสเซีย-ยูเครน ตลอดจนสงครามเศรษฐกิจจีน-สหรัฐอเมริกา ส่งผลทำให้ประชาชนไทยทุกข์ยากต่อเนื่องมากขึ้นตลอดหลายปีที่ผ่านมา จึงถือเป็นความท้าทายของพรรคการเมืองที่จะนำพาประเทศและประชาชนฝ่าพ้นวิกฤตครั้งนี้ให้จงได้ พรรคเพื่อไทย จึงได้เชิญบุคคลผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจชั้นนำของประเทศในด้านต่างๆ มาให้คำปรึกษา และร่วมเป็นกรรมการ โดยคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจของพรรคจะเป็นแกนกลางในการระดมความรู้ ความสามารถและความร่วมมือในการกอบกู้เศรษฐกิจของเราต่อไป เราจะบริหารให้เศรษฐกิจของประเทศดีขึ้น

ชำแหละอเมริกา!! ‘อัษฎางค์’ เบิกเนตรคนไทยเรื่องอเมริกา กางทุกปัญหาเศรษฐกิจ-สังคม ของประเทศมหาอำนาจ

(4 มี.ค.66) นายอัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘เอ็ดดี้ อัษฎางค์ ยมนาค’ ในหัวข้อ ‘เบิกเนตรคนไทยเรื่องอเมริกา’ โดยพูดถึงเรื่องปัญหาเศรษฐกิจและสังคมในอเมริกา มีเนื้อหาดังนี้

“ท่านเคยทราบหรือไม่ว่า!” สหรัฐอเมริกามหาอำนาจอันดับ 1 ของโลกก็มีปัญหาเศรษฐกิจและสังคมเหมือนกันกับเมืองไทย” ทำไมประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐฯ กลับมีจำนวนคนไร้บ้านแตะ 6 แสนคน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีกเรื่อย ๆ ปัญหาคนไรบ้านสะท้อนถึงเรื่องอะไรบ้าง

สหรัฐเป็นประเทศที่ให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชน การมีที่อยู่อาศัยเป็นสิทธิมนุษยชนหลัก แต่คนหลายล้านคนยังไม่มีสิทธิพื้นฐานเหล่านี้ ซึ่งรวมไปถึงปัญหาการเหยียดผิว มีสถิติของทางสหรัฐอเมริกาเองระบุว่า ชาวอเมริกันผิวดำเป็นคนไร้บ้านมากกว่าผิวขาวถึงสามเท่า ชาวอเมริกันในหมู่เกาะแถบฮาวายและชนพื้นเมือง Native Americans ก็มีอัตราส่วนไร้บ้านมากกว่าคนผิวขาว การหาซื้อหรือเช่าบ้านของชนกลุ่มน้อยในอเมริกาก็มักโดนกีดกัน

นอกจากนี้ 30% ของคนอเมริกันไร้บ้านมีปัญหาเรื่องปัญหาทางจิตและ 38% ติดสิ่งเสพติดรวมทั้งแอลกอฮอล์ 26% ติดยาเสพติดแบบรุนแรง เมื่อมีปัญหาทางสุขภาพจิตและติดยาก็ทำให้โดนรังเกียจเมื่อไปหาบ้านเช่า ซึ่งมันคือปัญหาแบบงูกินหาง

“ท่านเคยทราบหรือไม่ว่า!” สหรัฐเป็นประเทศที่ให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชน แต่ความเสมอภาคทางเพศยังเป็นสิ่งที่ต้องปรับปรุงในอเมริกาอีกมาก เช่น กลุ่ม LGBTQ+ ไม่ได้รับการยอมรับเท่าเมืองไทยด้วยซ้ำ

ไทยเนื้อหอม!! 5 อันดับต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในไทยมากที่สุด (ม.ค. 66)

1. ญี่ปุ่น 14 ราย (ร้อยละ 27) เงินลงทุน 3,588 ล้านบาท
2. สิงคโปร์ 6 ราย (ร้อยละ 12) เงินลงทุน 410 ล้านบาท
3. สหรัฐอเมริกา 6 ราย (ร้อยละ 12) เงินลงทุน 9 ล้านบาท
4. สหราชอาณาจักร 5 ราย (ร้อยละ 10) เงินลงทุน 98 ล้านบาท
5. จีน 3 ราย (ร้อยละ 6) เงินลงทุน 548 ล้านบาท

นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตัวเลขการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว เดือนมกราคม ปี 2566 ได้อนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 จำนวน 52 ราย โดยเป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว จำนวน 22 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว จำนวน 30 ราย เงินลงทุนทั้งสิ้น 5,129 ล้านบาท จ้างงานคนไทย 298 คน

1. ญี่ปุ่น 14 ราย (ร้อยละ 27) เงินลงทุน 3,588 ล้านบาท
2. สิงคโปร์ 6 ราย (ร้อยละ 12) เงินลงทุน 410 ล้านบาท
3. สหรัฐอเมริกา 6 ราย (ร้อยละ 12) เงินลงทุน 9 ล้านบาท
4. สหราชอาณาจักร 5 ราย (ร้อยละ 10) เงินลงทุน 98 ล้านบาท
5. จีน 3 ราย (ร้อยละ 6) เงินลงทุน 548 ล้านบาท

นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตัวเลขการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว เดือนมกราคม ปี 2566 ได้อนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 จำนวน 52 ราย โดยเป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว จำนวน 22 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว จำนวน 30 ราย เงินลงทุนทั้งสิ้น 5,129 ล้านบาท จ้างงานคนไทย 298 คน

‘เพื่อไทย’ ระดมสมอง ประชุมทีม ศก.นัดแรก หารือนโยบาย กำหนดทิศทางประเทศ ลุยงานเชิงรุก

(7 มี.ค. 66) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรค พท. ฐานะกรรมการเลขานุการและโฆษกคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจพรรค พท. กล่าวว่า วันนี้ได้มีการประชุมคณะกรรรมการด้านเศรษฐกิจของพรรค พท. นำโดย นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ประธานกรรมการ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองประธานกรรมการ พร้อมด้วยนายเศรษฐา ทวีสิน, นายพันศักดิ์ วิญญรัตน์, นายศุภวุฒิ สายเชื้อ และนายปานปรีย์ พหิทธานุกร ที่ปรึกษา

โดยที่ประชุมได้หารือถึงนโยบายเศรษฐกิจของพรรค พท.ที่ใช้สำหรับการเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็นนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท, นโยบายเงินเดือนปริญญาตรี 25,000 บาท, นโยบายด้านการบริหารจัดการหนี้ของประชาชน, นโยบายด้านเศรษฐกิจดิจิทัล, นโยบายเขตธุรกิจใหม่, นโยบาย 1 ครอบครัว 1 ศักยภาพ ซอฟท์ พาวเวอร์ และนโยบายด้านการเกษตรแบบครบวงจร เป็นต้น

นายเผ่าภูมิ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ยังได้หารือกรอบสำคัญในการกำหนดทิศทางประเทศ ไม่ว่าจะเป็น ทิศทางการสร้างงาน การค้าระหว่างประเทศ รวมถึงจุดยืนด้านข้อตกลงทางการค้า ภาคการเกษตรเพื่อความมั่งคั่งของเกษตรกร ภาคบริการด้านสุขภาพเพื่อสร้างรายได้เข้าประเทศ ความมั่นคงทางการคลัง การดึงดูดแรงงานทักษะสูง และการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ เป็นต้น

ค้าง่าย ขายคล่อง!! ‘รัฐบาล’ เร่งพัฒนากรอบความร่วมมือแม่โขง - ล้านช้าง ดัน 9 ภารกิจ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจข้ามพรมแดน

(8 มี.ค. 66) น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมครม. เมื่อวันที่ 7 มี.ค. 66 เห็นชอบร่างแผนพัฒนาระยะ 5 ปี (พ.ศ.2566 – 2570) สำหรับสาขาความร่วมมือเศรษฐกิจข้ามพรมแดน ภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง – ล้านช้าง ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ กรอบความร่วมมือแม่โขง - ล้านช้าง (Mekong-Lancang Cooperation : MLC) จัดตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2558 มีสมาชิก 6 ประเทศ ได้แก่ จีน กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม และไทย ซึ่งตกลงร่วมส่งเสริมความร่วมมือ 6 สาขา ได้แก่

1.) สาขาความเชื่อมโยง
2.) สาขาการพัฒนาศักยภาพในการผลิต
3.) สาขาความร่วมมือทรัพยากรน้า
4.) สาขาการเกษตร
5.) สาขาการลดความยากจน
6.) สาขาความร่วมมือเศรษฐกิจข้ามพรมแดน สำหรับแผนพัฒนาระยะ 5 ปี (พ.ศ.2566 – 2570)

นโยบายครอบคลุม ‘ปชป.’ เดินหน้าปล่อยนโยบายก๊อก 2 เพิ่ม 8 เรื่อง เอื้อประโยชน์ให้ด้านการเกษตร เพื่อดันเศรษฐกิจไทย

‘ปชป.’ เปิดนโยบายก๊อก 2 เพิ่ม 8 เรื่อง อินเตอร์เน็ตฟรี 1 ล้านจุด เรียนฟรีถึงปริญญาตรี 12 สาขา เอื้อความต้องการตลาดแรงงาน เดินหน้ารักษาฟรี ตรวจสุขภาพฟรี บัตรประชาชนใบเดียวไม่ต้องเสีย 30 บาท พร้อมจัดเต็มต่อ SME ลืมตาอ้าปาก พร้อมปลดล็อกกองทุน กบข.ซื้อบ้านได้ เพิ่มเงิน อกม. 1 พันบาทต่อเดือน  

(11 มี.ค.66) เมื่อเวลา 10.10 น. ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วย นายนิพนธ์ บุญญามณี รองหัวหน้าพรรค นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรค นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ รองหัวหน้าพรรค และนายพิสิฐ ลี้อาธรรม ประธานนโยบายพรรค ร่วมกันแถลงนโยบายพรรคที่จะใช้ในการหาเสียงเลือกตั้ง

โดย นายจุรินทร์ ได้นำแถลงเปิดตัวชุดนโยบายของพรรคว่า หลังจากพรรคประชาธิปัตย์เปิดตัว 1 ชุด 8 นโยบาย เมื่อวันที่ 13 ม.ค.ที่ผ่านมา ภายใต้กรอบยุทธศาสตร์สร้างเงิน สร้างคน สร้างชาติ วันนี้จึงถือเป็นชุดที่ 2 ที่จะเปิดอีก 8 นโยบาย ได้แก่ 

1.อินเตอร์เน็ตฟรี 1 ล้านจุด ทุกหมู่บ้าน ทุกชุมชน ทุกห้องเรียน ซึ่งหมายถึงชุมชนในเขตเมือง เทศบาล องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และชุมชนในกทม. ด้วย

2. นโยบายเรียนฟรีถึงปริญญาตรีในสาขาที่ตลาดต้องการ จากการสำรวจเบื้องต้นโดยกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) พบว่า ตลาดมีความต้องการประมาณ 1.8 แสนคน โดยประมาณ ใน 12 สาขาสำคัญ ซึ่งหากพรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นแกนตั้งรัฐบาล จะสนับสนุนให้มีการเรียนฟรีในสาขาเหล่านี้ เพื่อที่เรียนจบจะได้มีงานทำได้ทันที 

3. นโยบายตรวจสุขภาพฟรี รักษาฟรี โดยใช้บัตรประชาชนใบเดียว ซึ่งมี 2 เรื่องในนโยบายเดียวกัน คือ รักษาฟรี และตรวจสุขภาพฟรี เป็นการต่อยอดนโยบายเดิมของพรรคที่ทำมาตั้งแต่สมัยนายชวน หลีกภัย เป็นรมว.สาธารณสุข (สธ.) ในปี 2531 และตนเป็นเลขานุการรมว.สธ. ต่อมาเมื่อตนเป็นรมว.สธ ในปี 2553 ตนได้ริเริ่มนโยบายบัตรประชาชนใบเดียวรักษาฟรี 48 ล้านคน โดยไม่ต้องเสีย 30 บาท ซึ่งดำเนินการได้อย่างราบรื่น วันนี้จึงเป็นการต่อยอดจากสิ่งที่เคยทำสำเร็จมาแล้ว 

EA ร่วมมือรัฐบาลแห่ง สปป.ลาว เซ็น MOA เพิ่มขีดความสามารถพลังงานสะอาด และพัฒนาระบบขนส่ง EV เชิงพาณิชย์ครบวงจร ยกระดับ สปป.ลาว สู่สังคมไร้มลพิษ

เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2566  ได้มีการจัดงานพิธีลงนามบันทึกข้อตกลง (Memorandum of Agreement) ว่าด้วย ความร่วมมือเพื่อการลงทุนในธุรกิจด้านพลังงานและกิจกรรมที่เกี่ยวข้องร่วมกับรัฐบาลแห่ง สปป.ลาว โดยกระทรวงการเงิน(กระทรวงการคลัง) แห่ง สปป.ลาว จัดตั้งบริษัทร่วมทุนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางด้านพลังงานสะอาด โครงสร้างสายส่ง และพัฒนาระบบขนส่ง EV เชิงพาณิชย์ของ สปป.ลาว อย่างครบวงจร เพื่อยกระดับสู่สังคมไร้มลพิษ ได้รับเกียรติจาก ฯพณฯ ท่านสะเหลิมไซ กมมะสิด รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ ของ สปป. ลาว เป็นประธานในพิธี โดยมี ดร. ภูทนูเพชร ไซสมบัตร รองรัฐมนตรีกระทรวงการเงิน (กระทรวงการคลัง) และนายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน)  ร่วมในพิธีลงนาม ณ โรงแรม ลาว พลาซ่า นครหลวงเวียงจันทน์ สปป. ลาว 

ดร. ภูทนูเพชร ไซสมบัตร รองรัฐมนตรีกระทรวงการเงิน (กระทรวงการคลัง) สปป. ลาว ได้กล่าวว่า ความร่วมมือในครั้งนี้ จะเป็นขีดหมายสำคัญระหว่างภาครัฐและเอกชน ในการยกระดับและพัฒนาขีดความสามารถทางด้านพลังงานและระบบขนส่งด้วยยานยนต์ไฟฟ้า รวมถึงอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องของ สปป.ลาว ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น 

นายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) (EA) เปิดเผยว่า บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) เป็นหนึ่งในบริษัทผู้นำด้านเทคโนโลยีพลังงานสะอาด และระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าแบบครบวงจรในภูมิภาคอาเซียน มีความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์ และสิทธิบัตรที่หลากหลายในธุรกิจพลังงานหมุนเวียน ธุรกิจน้ำมันชีวภาพ ธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าเชิงการพาณิชย์แบบครบวงจรทั้งทางบกและทางน้ำ ธุรกิจสถานีอัดประจุไฟฟ้า รวมถึงธุรกิจแบตเตอรี่และระบบกักเก็บพลังงานที่ทันสมัย โดยพัฒนานวัตกรรม Ultra Fast Charge Technology ที่สามารถอัดประจุไฟฟ้ายานยนต์ทุกชนิด 80% ในระยะเวลาเพียง 15-20 นาที บริษัทฯ มีความมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าความร่วมมือระหว่างบริษัทฯกับรัฐบาลแห่ง สปป.ลาว จะประสบความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม ส่งเสริมให้ สปป.ลาว ก้าวสู่สังคมไร้มลพิษในอนาคตอันใกล้”

‘กรณ์’ ชี้!! วิกฤต Credit Suisse กระทบไทยน้อย ยัน!! ฐานะทางบัญชีธนาคารไทย ‘เข้มแข็ง’

(16 มี.ค. 66) นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงกรณี มูลค่าหุ้นของธนาคาร เครดิต สวิส (Credit Suisse) ซึ่งเป็นธนาคารยักษ์อันดับ 2 ของประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ร่วงลงไปถึง 24% ภายในวันเดียวในช่วงค่ำวันที่ 15 มีนาคม 2566 ทำให้สำนักงานกำกับตลาดการเงินและธนาคารแห่งชาติสวิตเซอร์แลนด์ ออกแถลงการณ์ร่วมกัน เพื่อลดความกังวลที่อาจจะเกิดขึ้น ว่า ธนาคาร Credit Suisse อยู่ในสถานการณ์วิกฤต หลังจากที่วันนี้ ผู้ถือหุ้นใหญ่ Saudi National Bank ประกาศว่าไม่สามารถสนับสนุนทุนเพิ่มให้ได้อีกต่อไป

นายกรณ์ กล่าวว่า ธนาคาร Credit Suisse ประสบปัญหาจากการบริหารจัดการที่ไม่ดีมานาน ราคาหุ้นในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาปรับลดลงต่อเนื่องถึง -90% ทางผู้บริหารอ้างว่าทุนเพียงพอ แต่หากมีการแห่ถอนเงินออก เชื่อว่ารัฐบาลสวิสคงไม่ปล่อยให้เป็นไปตามชะตากรรม ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ขณะนี้ปรับตัวลง 600 จุด ในขณะที่เงินทุนไหลเข้าตลาดพันธบัตรรัฐบาล ทั้งนี้ประเด็นเรื่อง Credit Suisse เป็นคนละประเด็นปัญหากับ SVB และ Signature ของสหรัฐ แต่ความเปราะบางความเชื่อมั่นในขณะนี้จะทำให้ทุกปัญหาถูกขยายผลจนกลายเป็นวิกฤติได้” นายกรณ์ กล่าว


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top