Wednesday, 24 April 2024
โกงเงิน

ตร.ปทุมฯ รวบ! สาวแสบหลอกขายมือถือออนไลน์ ก่อนเชิดเงินหนี พบเงินหมุนเวียนในบัญชีกว่า 7 ล้านบาท

สถานีตำรวจภูธรสามโคก จังหวัดปทุมธานี พล.ต.ท.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 แถลงจับกุมตัว นางสาวรุ้งไพลิน อินทรพัฒน์ อายุ 23 ปี  ที่อยู่ 390 ถนนคลองเรียน 1 ตำบลหาดใหญ่ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงชลา ตามหมายจับ จำนวน 2 หมาย ดังนี้ 1.หมายจับศาลจังหวัดปทุมธานี ที่ 133/2564 ลงวันที่ 6 ตุลาคม 2564 ซึ่งต้องหากระทำความผิดฐาน “ฉ้อโกง” และ 2.หมายจับศาลจังหวัดฉะเชิงเทรา ที่ 330/2564 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2564 ซึ่งต้องหากระทำความผิดฐาน “ฉ้อโกง” โดยทางเจ้าหน้าที่ตามจับกุม นางสาวรุ้งไพลิน อินทรพัฒน์ อายุ 23ปี  ได้ที่จับกุม หน้าบ้านเลขที่ 429/6 ถนนธรรมนูญวิถี ตำบลหาดใหญ่ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา และในวันที่ 22 ตุลาคม 2564 เวลาประมาณ 14.30 น.ทางเจ้าหน้าที่จึงได้นำตัวมาที่ สถานีตำรวจภูธรสามโคก จังหวัดปทุมธานี

ด้านพล.ต.ท.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 กล่าว่า ตามนโยบายของ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สั่งการให้ระดมกวาดล้างอาชญากรรมที่สร้างความเดือดร้านให้แก่ประชาชนและเป็นภัยต่อสังคม โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ซึ่งมีการหลอกลวงประชาชนโดยใช้สื่อสังคมออนไลน์(Social Media) เป็นจำนวนมาก ตำรวจภูธรภาค 1 ได้สั่งการให้กองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 1 พร้อมชุดสืบสวน สภ.สามโคก ทำการสืบสวนจับกุม ผู้กระทำความผิดตามกฎหมายเกี่ยวกับ ผู้กระทำความผิด โดยการหลอกลวงประชาชน โดยใช้สื่อสังคมอนไลน์(Social Media )

กองบังคับการสืบสวนสอบสวน ตำรวจภูธรภาค 1 พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนสอบสวน ตำรวจภูธรจังหวัดปทุมธานี และเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน สภ.สามโคก ได้ร่วมกันจับกุมตัว น.ส.รุ้งไพลิน อินทรพัฒน์ อายุ 23 ปี  ที่อยู่ 390 ถนนคลองเรียน 1 ตำบลหาดใหญ่ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงชลา ตามหมายจับ จำนวน 2 หมาย ดังนี้

1.หมายจับศาลจังหวัดปทุมธานี ที่ 133/2564 ลงวันที่ 6 ตุลาคม 2564 ซึ่งต้องหากระทำความผิดฐาน “ฉ้อโกง” และ

2.หมายจับศาลจังหวัดฉะเชิงเทรา ที่ 330/2564 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2564 ซึ่งต้องหากระทำความผิดฐาน “ฉ้อโกง”

โดยทางเจ้าหน้าที่ตามจับกุม นางสาวรุ้งไพลิน อินทรพัฒน์ อายุ 23ปี จึงได้นำตัวมาที่ สถานีตำรวจภูธรสามโคก จังหวัดปทุมธานี พฤติการณ์ กล่าวคือ ก่อนเกิดเหตุ น.ส.รุ้งไพลิน อินทรพัฒน์ (ผู้ต้องหา) ได้ประกาศหลอกขายสินค้าโทรศัพท์เคลื่อนที่ ยี่ห้อไอโฟน รุ่น เอ็กซ์อาร์ (Iphone XR) สีดำ ขนาด 64 Gb ในราคาประมาณ 11,000-12,000 บาท ในแอปพลิเคชั่นอินสตาแกรม(Instagram) ที่รับฝากขายสินค้าประเภทไอที ซึ่ง น.ส.รุ้งไพลินฯ ผู้ต้องหา ได้ลงรายละเอียดของข้อมูลสินค้าพร้อมข้อมูลการ ติดต่อซื้อ-ขายสินค้าระหว่างกัน

โดยเมื่อผู้เสียหายหลงเชื่อและสนใจซื้อโทรศัพท์เคลื่อนที่ฯที่น.ส.รุ้งไพลินฯ (ผู้ต้องหา) ที่ประกาศเอกสารประชาสัมพันธ์หลอกขาย ผู้เสียหายจะไปติดต่อซื้อโทรศัพท์ฯกับน.ส.รุ้งไพลินฯผู้ต้องหาผ่านทางแอปพลิเคชั่นไลน์(Line)กับตัวน.ส.รุ้งไพลินฯผู้ต้องหา โดยระหว่างที่พูดคุยซื้อ-ขายกันอยู่นั้น น.ส.รุ้งไพลินฯ (ผู้ต้องหา) จะใช้กลอุบายสร้างความน่าเชื่อถือ ว่ามีสินค้าฯจริง และจะแถมอุปกรณ์เสริมจำนวนหลายรายการให้ ซึ่งสร้างความน่าเชื่อถือ และแรงจูงใจ ในการซื้อโทรศัพท์ฯให้กับผู้เสียหาย และเมื่อผู้เสียหายหลงเชื่อ ได้ตกลงราคาซื้อ-ขายแล้วเรียบร้อยแล้ว น.ส.รุ้งไพลินฯ (ผู้ต้องหา) จะส่งบัญชีธนาคารของน.ส.รุ้งไพลินฯ ให้กับผู้เสียหายไว้สำหรับโอนเงินชำระค้าโทรศัพท์ฯ เมื่อผู้เสียหายหลงเชื่อ จึงโอนเงินให้กับน.ส.รุ้งไพลินฯผู้ต้องหาไป น.ส.รุ้งไพลินฯ (ผู้ต้องหา)ไม่ยอมส่งสินค้าโทรศัพท์ฯ ให้กับผู้เสียหาย และเมื่อผู้เสียหายได้ทวงถามน.ส.รุ้งไพลินฯ (ผู้ต้องหา) ก็ได้บ่ายเบี่ยงที่จะส่งสินค้า และจะบล็อกผู้เสียหายทันที จนไม่สามารถติดต่อตัวน.ส.รุ้งไพลินฯ (ผู้ต้องหา)ได้ ต่อมาผู้เสียหายจึงได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อให้ดำเนินคดีกับน.ส.รุ้งไพลินฯ (ผู้ต้องหา) จนกว่าคดีจะถึงที่สุด

ต่อมาพนักงานสอบสวนได้ดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐาน และขออนุมัติหมายจับต่อศาลฯ ตามรายละเอียดข้างต้น เพื่อสืบสวนติดตามตัวน.ส.รุ้งไพลินฯ (ผู้ต้องหา) มาดำเนินคดีตามกฎหมาย ต่อมาวันที่ 22 ตุลาคม 2564 เวลาประมาณ 14.30 น. จากการสืบสวนจนทราบว่า น.ส.รุ้งไพลินฯ (ผู้ต้องหา) ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับฯ ได้หลบหนีมาพักอาศัยอยู่ที่บ้านเลขที่ 469/6 ถนนธรรมนูญวิถี ตำบลหาดใหญ่ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา จึงได้เดินทางไปตรวจสอบ เมื่อไปถึง และพบน.ส.รุ้งไพลินฯ (ผู้ต้องหา) ยืนอยู่บริเวณหน้าบ้านหลังดังกล่าว ทางเจ้าพนักงานตำรวจชุดจับกุม จึงได้เข้าไปแสดงตนเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ โดย น.ส.รุ้งไพลินฯ (ผู้ต้องหา) รับเป็นบุคคลตามหมายจับจริง และยังไม่เคยถูกจับกุมตามหมายจับในคดีนี้มาก่อน จากนั้นเจ้าพนักงานตำรวจชุดจับกุม จึงได้แจ้สิทธิ์และข้อกล่าวหา ตามหมายจับ ให้น.ส.รุ้งไพลินฯผู้ต้องหาทราบ ว่ากระทำความผิดฐาน “ฉ้อโกง” ทางด้าน น.ส.รุ้งไพลินฯผู้ต้องหาทราบและเข้าใจดีแล้ว ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา

 

ตร. เตือน!! สมัครงานออนไลน์ ระวังถูกหลอกเอาบัญชีไปโกงผู้อื่น เสี่ยงถูกดำเนินคดี

วันที่ 10 ม.ค. 2565 พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ตามที่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้มีนโยบายให้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แจ้งเตือนและประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนรู้เท่าทันถึงอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการสืบสวนจับกุมผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอดนั้น

ปัจจุบัน พบว่ามีพี่น้องประชาชนจำนวนมากตกเป็นเหยื่อของอาชญากร อย่างไม่รู้ตัวในรูปแบบของการสมัครงานทางออนไลน์ โดยขอให้นำบัญชีธนาคารของตนเองมาใช้ในการทำงาน สำหรับพฤติการณ์ของคนร้ายเริ่มต้นจาก การประกาศรับสมัครงานผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ อ้างว่าเป็นงานที่รายได้สูง สามารถทำงานจากที่บ้านได้ แค่เพียงมีคอมพิวเตอร์เท่านั้น ซึ่งหากสนใจสมัคร คนร้ายก็จะอธิบายรูปแบบของการทำงาน

โดยงานดังกล่าวจะเป็นการรับโอนเงิน อ้างว่าเป็นตำแหน่งบัญชี รับเงินจากผู้ซื้อสินค้าออนไลน์ เมื่อมีเงินเข้าบัญชี จะให้โอนเงินต่อไปยังบัญชีที่คนร้ายกำหนด และจะได้รับส่วนแบ่งเป็นเงินตามจำนวนครั้งที่ทำรายการ ซึ่งเงินที่เข้ามาในบัญชีจริง ๆ แล้วเป็นเงินที่ได้จากการหลอกลวงผู้อื่นหรือได้มาจากการกระทำความผิด ส่งผลให้เจ้าของบัญชีถูกแจ้งความดำเนินคดี เนื่องจากเป็นเจ้าของบัญชีธนาคารที่ถูกใช้ในการกระทำความผิด

พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ได้กล่าวต่อไปอีกว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนเป็นอย่างมาก จึงอยากจะประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนให้พี่น้องประชาชนโปรดใช้ความระมัดระวังในการสมัครงานผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์โดยใช้บัญชีธนาคารของท่านในการรับโอนเงินจากผู้อื่น เพราะท่านอาจ ตกเป็นเครื่องมือของคนร้ายในการหลอกลวงผู้อื่น หรือคนร้ายอาจนำบัญชีธนาคารของท่านไปใช้ในการกระทำความผิดอื่น เช่น ความผิดเกี่ยวกับการฉ้อโกง การพนัน ยาเสพติด หรือการกระทำผิดกฎหมายอื่น ๆ เจ้าของบัญชีธนาคารอาจถูกดำเนินคดีอาญาได้ในกรณีดังต่อไปนี้

1.ในฐานะตัวการร่วมในการกระทำความผิด ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83

2.ผู้สนับสนุนในการกระทำความผิด ต้องระวางโทษสองในสามส่วน ของโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86

 

'อดีตนักเรียนเลว' ฉกเงินจัดคอนฯ ไปใช้ส่วนตัว ทำงาน 'T-POP MUSIC EXPO' ล่ม ด้านชาวเน็ตวิจารณ์สนั่น

สะเทือนวงการ ผู้จัด T-POP MUSIC EXPO วัย 18 ปี นักเคลื่อนไหวต้านคอร์รัปชันและอดีตสมาชิก 'นักเรียนเลว' ขโมยเงินการจัดงานไปใช้ส่วนตัว จนต้องประกาศยกเลิกงาน ชาวเน็ตแห่วิจารณ์สนั่น

จากกรณีเพจ T-POP MUSIC EXPO ประกาศจัดคอนเสิร์ต 'T-POP MUSIC EXPO' โดยเป็นการรวมตัวของศิลปิน T-POP จากหลากหลายค่ายที่จะมาส่งความสุขให้กับเหล่าแฟนคลับ ในวันที่ 24-25 ก.ย. แต่ล่าสุด เมื่อวันที่ 8 ก.ย. ทางเพจ T-POP MUSIC EXPO ได้ออกมาแถลงการณ์ยกเลิกคอนเสิร์ต T-POP MUSIC EXPO โดยระบุเหตุผลที่ทางทีมงานต้องประกาศยกเลิกนั่นเป็นเพราะกรรมการผู้มีอำนาจลงนามของบริษัท ในฐานะผู้ดำเนินการจัดงานนั้นได้นำเงินของบริษัทที่เป็นต้นทุนการจัดงานคอนเสิร์ตไปใช้ในประโยชน์ส่วนตัวทำให้ต้องยกเลิกคอนเสิร์ตดังกล่าว โดยทางเพจได้ออกแถลงการณ์ ว่า

“แถลงการณ์เรื่องการยกเลิกคอนเสิร์ต T-POP MUSIC EXPO

สืบเนื่องจากทางทีมงาน T-POP MUSIC EXPO ได้ประกาศและประชาสัมพันธ์ว่าจะจัดงานคอนเสิร์ต ขึ้นในวันที่ 24-25 กันยายน 2565 เวลา 16.00 น. เป็นต้นไป โดยมีศิลปิน T-POP ที่จะมาร่วมงานคอนเสิร์ตมากกว่า 30 ชีวิตต่อมาในวันที่ 8 กันยายน 2565 ทางทีมงานได้ประกาศยกเลิกการจัดงานดังกล่าว ซึ่งการที่บริษัทตัดสินใจประกาศยกเลิกการจัดงาน เพราะกรรมการผู้มีอำนาจลงนามของบริษัท (นายพีรพล ระเวกโสม) แต่เพียงผู้เดียว ในฐานะเป็นผู้ดำเนินการจัดงานดังกล่าวข้างต้น ได้มีการนำเงินของบริษัทที่เป็นต้นทุนในการจัดงานคอนเสิร์ตไปใช้ในทางที่ผิดไปจากวัตถุประสงค์ของบริษัท

กล่าวคือไปใช้ในทางประโยชน์ส่วนตัวของกรรมการผู้มีอำนาจลงนามของบริษัท คนดังกล่าว จึงทำให้คอนเสิร์ตดังกล่าวไม่บรรลุตามวัตถุประสงค์ในการจัดงานที่ได้เตรียมไว้โดยบริษัท โก ออน เมเนจเม้นท์ จำกัด ในฐานะ ผู้จัดจึงมีความจำเป็นต้องยกเลิกงานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งนี้บริษัทฯ เสียใจเป็นอย่างยิ่งต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด ทางบริษัทฯ จึงขอเรียนชี้แจงในกรณีดังกล่าวที่เกิดขึ้น โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

1.) บุคลากร หรือบุคคลอื่นใดที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการร่วมจัดงานคอนเสิร์ต ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการที่กรรมการผู้มีอำนาจลงนามของบริษัทคนดังกล่าว นำเงินของบริษัทที่มีวัตถุประสงค์ในการจัดงานครั้งนี้มาใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตัวแต่อย่างใด โดยทีมงานหรือบุคลากรที่ถูกอ้างว่ามีส่วนเกี่ยวข้องดังกล่าวได้รับการว่าจ้างในลักษณะของพนักงานฟรีแลนซ์เท่านั้น

2.) ทางบริษัทกำลังดำเนินการตรวจสอบมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้น และจะดำเนินคดีทางกฎหมายกับบุคคลดังกล่าวต่อไป

3.) การชำระคืนเงิน บริษัทจะเปิดให้ลงทะเบียนเพื่อขอรับเงินคืนในวันที่ 15 กันยายน 2565 เวลา 16.00 น. ผ่าน Google from โดยผู้ที่ซื้อบัตรและประสงค์ขอรับเงินคืน จะต้องเตรียมข้อมูลดังนี้
- ชื่อและนามสกุลที่ปรากฏบน The concert Application
- หมายเลขบัตรที่ปรากฏอยู่หน้าบัตร ในเมนู 'บัตรของฉัน'
- เบอร์โทรศัพท์
- เลขที่บัญชีธนาคาร และ ชื่อธนาคาร สำหรับการคืนเงิน

ทางบริษัทขอขอบคุณทุกการสนับสนุน ความไว้วางใจ และทุกคำแนะนำตลอดมา ทางบริษัทต้องขออภัยเป็นอย่างสูงที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น และทางกรรมการบริษัท ผู้มีอำนาจลงนามยินดีชดใช้ความเสียหายที่จะเกิดขึ้นในอนาคตต่อไป"

อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบเพิ่มเติมจาก กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า บริษัท โก ออน เมเนจเม้นท์ จำกัด จดทะเบียนจัดตั้งเมื่อวันที่ 1 มิ.ย. 2565 มีนายพีรพล ระแวกโสม เป็นกรรมการบริษัท ทุนจดทะเบียน 50,000 บาท นอกจากนี้ นายพีรพล หรือ ฟิวส์ เป็นนักเคลื่อนไหวต่อต้านการคอร์รัปชัน และเป็นหนึ่งในสมาชิกกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า นักเรียนเลว

‘สองผัวเมีย’ ชิ่งหนี!! หลังชวน ‘ออมเพชร’ โกงเงินไปหลายสิบล้าน ล่าสุดได้คืนมาบางส่วน ผู้เสียหายเพียบ คาดมูลค่าอาจถึง 100 ลบ.

เมื่อวันที่ 8 พ.ค. 66 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณี มีผู้เสียหายและพนักงานร้านเพชรชื่อดังย่าน จ.สมุทรสาคร ที่เปิดขายเพชร-ทอง ทั้งหน้าร้านและออนไลน์ ถูกเจ้าของร้านซึ่งเป็นสองสามีภรรยาปิดร้านหนีไปทำให้พนักงานร้านเพชรมืดแปดด้าน มิหนำซ้ำ สองสามีภรรรยายังค้างส่งของเพชรให้ลูกค้ากว่า 300 ราย  รวมมูลค่าความเสียหายหลาย 50 ล้านบาท ตอนนี้ชิ่งหนีหายเข้ากลีบเมฆ พนักงานและผู้เสียหายได้รวมตัวกันร้องดำเนินคดีกับกองบังคับการปราบปรามและร้องขอความช่วยเหลือจากทนายความตามที่ได้นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น

ล่าสุดวันนี้ ผู้สื่อข่าวจ.อุดรธานีได้รับการประสานงานจาก นายภาณุมาศ จิตรวศินกุล หรือ “เฮียเปี๊ยกช่วยด้วย” ว่าสามารถติดตามเพชรของ น.ส.นุจรี ที่ซื้อไว้กับ น.ส.นันทิดา ได้แล้วบางส่วน ที่เป็นแห่งหนึ่งที่สองสามีภรรยาสั่งออเดอร์มาเพื่อนำมาไลฟ์สดเพื่อให้กับลูกค้า แต่สุดท้ายไม่ส่งคืนให้ โดยไปติดตามได้จากน้าสาวที่ จ.อุดรธานี เป็นเลสข้อมือทองคำขาวล้อมด้วยเพชรแท้ จำนวน 4 ชิ้น และแหวนเพชรอีก 4 วง ซึ่งส่วนใหญ่น่าจะเป็นลูกค้าสายมูเป็นเลสข้อมือรูปร่างพญานาคและงู รวมมูลค่าทั้งหมดเกือบ 800,000 บาท

นายภาณุมาศ เปิดเผยว่า ตนได้รับการประสานงานจากทนายไพศาลและคุณนุจรี ผู้เสียหายว่า ร้านเพชรออนไลน์ที่ จ.สมุทรสารคร ของนายเสรี กับนางสาวนันทิดา เจ้าของร้านเพชรชื่อดังที่จังหวัดสมุทรสาคร และมาทำธุรกิจร้านอาหารและร้านกาแฟที่ จ.อุดรธานี ซึ่งหลังจากได้รับการประสานจึงลงพื้นที่ตามหา เพราะเรามีเบาะแสว่าผู้ต้องหาทั้งสองคนมาประกอบธุรกิจร้านอาหารที่ เมื่อเข้าไปสอบถามที่ร้านอาหารพบว่ามีเพียงแต่พนักงานอยู่ และพนักงานแจ้งกลับมาว่าเจ้าของไม่ได้เข้าร้านมาประมาณ 3-4 วัน แล้วพนักงานเองก็ยังไม่ได้เงินเดือนด้วย จึงได้ไปสอบถามไปทางผู้จัดการร้าน ชื่อคุณ “จ” ให้ช่วยประสานญาติแตะติดต่อนัดเจอพูดคุย ซึ่งทางญาติทราบต่อมาว่าเป็นน้าของคุณนันทิดาก็ออกมาพบและเมื่อสอบถามหาผู้ต้องหาทั้ง 2 คน น้าก็ปฏิเสธไม่รู้ว่าอยู่ไหน และส่วนเรื่องเพชรน้าสาวก็เพิ่งรู้ว่าเรื่องนี้เป็นคดีความและเป็นข่าวไปแล้ว

เมื่อสอบถามด้านน้าสาวบอกว่า เคยเห็นเครื่องเพชรแบบนี้ที่ร้านส่งมา ทางน้าสาวก็ตอบกลับมาว่าเครื่องเพชรนี้มีอยู่กับตน โดยตอนนั้นหลานคือนางสาวนันทิดานำมาฝากไว้ แล้วฝากความบอกด้วยว่าเครื่องเพชรจำนวนนี้เป็นขอนุจรี เดี๋ยวนุจรีจะมาเอา จากนั้นหลานก็ไม่กลับมาอีกเลย ตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหน น้าจึงมอบเครื่องเพชรในตนส่งมอบต่อให้คุณนุจรีต่อไป โดยวันนี้ตนจะนำเครื่องเพชรส่งคืนให้เจ้าของต่อไปโดยนัดส่งมอบที่กองปราบที่กรุงเทพฯต่อไป

‘พนักงานปั๊ม’ น้ำตาตก!! ลูกค้าชักดาบค่าน้ำมันกว่าครึ่งหมื่น เผย ตนได้ค่าแรงวันละ 300 ไม่พอชดใช้ วอนลูกค้ากลับมาจ่ายเงิน

(5 ก.ค. 66) พ.ต.ท.ชัยทัต แย้มโพธิ์ใช้ รอง.ผกก.(สอบสวน) สภ.ปลวกแดง ได้รับแจ้งความจาก น.ส.ฐิติรัตน์ แซ่เตียว อายุ 23 ปี พนักงานเสมียนปั๊มเชลล์ ที่หมู่ 5 ตำบลแม่น้ำคู้ อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง ได้รับมอบหมายจากเจ้าของปั๊ม ให้มาแจ้งความ ว่าเมื่อวันที่ 5 ก.ค. เวลา 02.00 น. ถูกลูกค้าชาย ขับรถยนต์เก๋ง ยี่ห้อ โตโยต้า วีออส สีดำ ไม่ทราบแผ่นป้ายทะเบียน เข้ามาเติมน้ำมันใส่ถังสำรอง จำนวน 1 ถัง ที่อยู่ท้ายกระโปรงหลังรถ หลังจากเติมเสร็จ บอกว่าจะสแกนจ่ายเงินยอด 5,000.40 บาท พอเด็กปั๊มหันหลัง สุดท้ายก็รีบขึ้นรถ ขับหนีออกไปโดยไม่จ่ายเงิน จึงนำหลักฐานเป็นกล้องวงจรปิด มาแจ้งความร้องทุกข์กับเจ้าหน้าที่ร้อยเวรเพื่อให้นำตัวลูกค้าคนดังกล่าวมารับผิดชอบและดำเนินคดีตามกฎหมาย
.
จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดจากผู้เสียหาย พบรถยนต์เก๋งสีดำไม่ทราบยี่ห้อ และเลขทะเบียน ขับเข้ามาเติมน้ำมันที่จุดจ่ายที่ 1 โดยมีชายรูปร่างสูงผอม สวมใส่เสื้อสีเหลือง กางเกงขายาวสีดำ เดินลงจากรถฝั่งคนขับ และเดินมาเปิดท้ายกระโปรงหลัง เพื่อให้พนักงานปั๊มเติมน้ำมันลงในถังสำรอง ที่จัดเตรียมมาหลังจากเติมเสร็จก็ขับออกไป ตามที่ผู้เสียหายได้มาแจ้งความ

นายสมยศ พนักงานปั๊มในคลิป ให้การณ์ว่า ได้มีลูกค้าชายขับรถยนต์เก๋งเข้ายี่ห้อ โตโยต้า วีออส สีดำ จอดที่จุดจ่ายที่แรก บอกตนว่าขอเติมน้ำมัน ดีเซล 5,000 บาท ใส่ถังสำรองด้านหลัง ตนก็เอะใจทำไมรถเก๋งเติมน้ำมันดีเซล ปกติเคยเห็นแต่รถกระบะมาเติม พอตนเติมให้เต็มถัง ลูกค้าก็ไม่จ่ายเงินและก็ขับหนีไป อยากวอนให้ลูกค้าสงสารตน ช่วยมาจ่ายเงินด้วย เพราะตนโดนทางปั๊มหักเงิน ต้องชดใช้เอง ค่าแรงตนแค่ 300 กว่าบาท กี่วันถึงจะชดใช้หมด

ด้านเจ้าหน้าที่ร้อยเวรรับแจ้งความ พร้อมตรวจสอบกล้องวงจรปิดจากผู้เสียหาย เพื่อดูลักษณะรูปพันสันฐานผู้ก่อเหตุ และประสานชุดสืบตรวจสอบกล้องวงจรปิดตามจุดต่างๆ เพื่อติดตามตัวผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

‘อ๊อฟ ชนะพล’ โพสต์เดือด ฝากถึงคนโกงเงิน-เบี้ยวเงิน เตือน!! เตรียมตัวชดใช้กรรม หลังตนใจเย็นมานานนับปี

(10 ส.ค.66) ออกมาโพสต์เดือดสุด ๆ สำหรับนักแสดงหนุ่ม ‘อ๊อฟ ชนะพล สัตยา’ กลางเฟซบุ๊กส่วนตัว คาดถูกเบี้ยวเงินค่าจ้าง ทั้งที่โทรไปตามแล้ว แต่อีกฝ่ายทั้งไม่รับและไม่คุย จนเจ้าตัวหัวร้อนสุด ๆ โดย ‘อ๊อฟ’ ได้โพสต์ระบุว่า... 

“ใครที่โกงผม ใครที่เบี้ยวเรื่องเงินผม เตรียมตัวได้เลยครับ ต้องชดใช้กรรม #ไม่ได้ร้ายเเต่อย่าให้ร้าย #ไอ้พวกไม่รับไม่คุยไม่โทรไม่จ่ายไม่ผ่อน” 

ซึ่งใต้โพสต์มีแฟนคลับเข้ามาให้กำลังใจแน่น อาทิ ใจเย็นพี่ชาย, ต้องเอาครับ เราทำงานมา เหนื่อยยาก กว่าจะได้เงิน, สู้ ๆ เราเต็มที่กับงานเราก็ต้องได้สิ่งตอบแทนที่ดีลกันไว้ พวกเอาเปรียบคนไม่โอเค, จัดหนักเลยค่ะพี่อ๊อฟ ฯลฯ ซึ่งนักแสดงหนุ่มได้ตอบกลับเช่นกันว่า ตนใจเย็นมาเป็นปีแล้วเช่นกัน

มหากาพย์โกงในตลาดหุ้น อดีต - ปัจจุบัน ผู้บริหารหอบเงินเสวยสุข - ทิ้งนักลงทุนน้ำตาตก

‘การลงทุน’ ให้เงินงอกเงยนั้น เป็นสิ่งที่คนทั่วไปต่างคาดหวัง ขณะที่ ‘ตลาดหุ้น’ คือ แหล่งลงทุนที่คนส่วนใหญ่เลือก แต่ทว่าไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ที่จะได้กำไรเสมอไป เพราะมีความเสี่ยงหลาย ๆ อย่างที่เราไม่สามารถคาดการณ์ได้ และหากเป็นการขาดทุนจากภาวะปกติของการดำเนินธุรกิจของบริษัทที่เรานำเงินเข้าไปลงทุนก็คงไม่น่าเจ็บใจนัก แต่ถ้าเกิดจากการทุจริตของผู้บริหารจนทำให้บริษัทขาดทุนล้มละลาย แบบนี้เป็นเรื่องยากที่นักลงทุนจะทำใจได้

ที่ผ่านมา มีกรณีที่ผู้บริหารบริษัทในตลาดหลักทรัพย์กระทำการทุจริต จนทำให้เกิดความเสียหาย ส่งผลให้นักลงทุนสูญเสียเงินมาแล้วหลายกรณี บางกรณีผู้บริหารโกง พร้อมหอบเงินหนีคดีไปเสวยสุขในต่างประเทศหลายราย 

สำหรับหายนะครั้งล่าสุดที่สร้างความเสียหายให้กับนักลงทุนอย่างมาก เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อปี 2566 ที่ผ่านมานี่เอง นั่นก็คือ ใน บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK ซึ่งเป็นมหากาพย์การโกงที่สร้างความเสียหายหลายหมื่นล้านบาท ซึ่งจากข้อมูลของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) พบว่า คดีทุจริตในบริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น มีการโกงเงินไปกว่า 2 หมื่นล้านบาท จากข้อมูลทางการสืบสวนสอบสวน ชี้ว่า ‘นายชนินทร์ เย็นสุดใจ’ อดีตประธาน STARK หนึ่งในผู้ต้องหาที่หลบหนีอยู่ต่างประเทศ โยกเงินไปอยู่ที่อังกฤษอีกประมาณ 8,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ กรณีอดีตผู้บริหาร STARK ที่เผ่นหนีออกนอกประเทศ ไม่ใช่ผู้บริหารของบริษัทจดทะเบียนรายแรกที่หอบเงินหนีคดีไปอยู่ต่างประเทศ 

ย้อนไปเมื่อปี 2551 นายสมพงษ์ วิทยารักษ์สรรค์ อดีตประธานกรรมการบริษัท เอส อี ซี ออร์โต้เซลล์ แอนด์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ SECC ผู้นำเข้าและจำหน่ายรถหรูรายใหญ่ ได้ทุจริตยักยอกทรัพย์ทำให้บริษัทได้รับความเสียหายกว่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งหนีคดีหอบเงินนับร้อยล้านเผ่นออกต่างประเทศ จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่สามารถตามตัวกลับมารับโทษได้

นอกจากนี้ ยังมีกรณีสุดอื้อฉาวของวงการตลาดหุ้นไทย เมื่อนายสุริยา ลาภวิสุทธิสิน อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ หนีคดีหุ้นบริษัท ปิคนิค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PICNIC ซึ่งโยงใยในการยักยอกทรัพย์บริษัท เวิลด์แก๊ส (ประเทศไทย) จำกัด นักลงทุนที่เจ๊งกันระนาว รวมถึงบรรดา สส. และนักการเมืองที่ได้รับการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุน ต่างน้ำตาตกไปตาม ๆ กัน เพราะก่อนที่หุ้นเพิ่มทุน PICNIC จะเข้าทำการซื้อขาย เริ่มมีข่าวลือร้าย ๆ ออกมา ทำให้ราคาหุ้นรูดชนิดกู่ไม่กลับ และสุดท้ายนายสุริยา ได้เผ่นหนีคดี จนป่านนี้ยังไม่รู้อยู่แห่งหนใด

อีกหนึ่งกรณีการโกงที่สร้างความเจ็บปวดที่หลายคนยังจำได้ดี เพราะสร้างความเสียหายในวงกว้างนั่นก็คือ บริษัท แคลิฟอร์เนีย ว้าว เอ็กพีเรียนซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ CAWOW เจ้าของแคลิฟอร์เนียฟิตเนส ซึ่งไม่เพียงแต่สร้างความเสียหายให้กับนักลงทุนเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงลูกค้าที่จ่ายเงินค่าสมาชิกไปล่วงหน้าอีกมากมาย 

สำหรับ บริษัท แคลิฟอร์เนีย ว้าวฯ ก่อตั้งโดยนายเอริค มาร์ค เลอวีน ชาวสหรัฐฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ปลายปี 2548 ในราคาหุ้นละ 6 บาท และสามารถแสดงผลประกอบการที่มีกำไรได้เพียงปีเดียวคือ ปี 2549 ก่อนจะขาดทุนต่อเนื่อง จนกระทั่งถูกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยสั่งฟื้นฟูกิจการ และพักการซื้อขายในปี 2554 จากนั้นได้ทยอยปิดสาขาลงจนหมด และสุดท้ายนายเอริค ก็หอบเงินที่โกงจากสมาชิกและปล้นจากนักลงทุนในตลาดหุ้น หนีเข้ากลีบเมฆ กลับไปเสวยสุขในบ้านเกิดตัวเอง และจนถึงปัจจุบันกฎหมายไทยยังไม่สามารถจัดการกับฝรั่งจอมโกงรายนี้ได้

นี่เป็นเพียงบางส่วนของมหากาพย์การโกงในตลาดหุ้นไทย ซึ่งเกิดจากตัวผู้บริหารที่ทำการทุจริตบริษัทตัวเอง เป็นการปล้นนักลงทุนผ่านตลาดหุ้นแล้วก็หอบเงินหนีไปเสวยสุข ซึ่งเชื่อว่าจะยังมีกรณีเช่นนี้เกิดขึ้นอีกอย่างแน่นอน ตราบใดที่ผู้บริหารไร้ซึ่งธรรมาภิบาลและยังมีความโลภครอบงำ

แต่อย่างไรก็ดี เมื่อเกิดเหตุการณ์โกงแบบหน้าด้าน ๆ แล้ว สิ่งที่นักลงทุนหรือผู้ที่ได้รับความเสียหายต้องการอย่างยิ่ง คงหนีไม่พ้นการชดใช้ และนำตัวคนผิดมาลงโทษตามกฎหมาย แต่ดูเหมือนว่า หน่วยงานที่รับผิดชอบกลับไม่สามารถนำตัวคนกระทำผิดมาดำเนินคดีได้เลย 

นอกจากนี้ ตลาดทุนไทยกำลังเผชิญกับอีกหนึ่งปัญหาที่กำลังสร้างผลกระทบอย่างมากในขณะนี้ นั่นก็คือ การผิดนัดชำระหนี้ ‘หุ้นกู้’ จากข้อมูลของสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) ระบุว่า ชำระหนี้หุ้นกู้ในปี 2566 มีมูลค่ารวมทัั้งหมด 16,363 ล้านบาท ประกอบด้วย

บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ALL ทั้งหมด 7 รุ่น รวม 2,334 ล้านบาท
บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK ทั้งหมด 9 รุ่น รวม 9,198 ล้านบาท 
บริษัท ช ทวี จำกัด (มหาชน) หรือ CHO ทั้งหมด 4 รุ่น 409 ล้านบาท
บริษัท เดซติเนชั่น รีสอร์ทส์ จำกัด หรือ DR ทั้งหมด 2 รุ่น 1,210 ล้านบาท
บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ JKN ทั้งหมด 7 รุ่น 3,212 ล้านบาท

แน่นอนว่า ในบรรดาบริษัทที่ผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ในปีที่ผ่านมา ที่ฮือฮามากที่สุดก็คงหนีไม่พ้น JKN ของแอน-จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดี ที่ลอยหน้าลอยตาท่องคาถาการใช้เงินผิดประเภท (Mismatch Fund) ผ่านสื่อ แต่ฉับพลันก็ขอเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูเพื่อใช้เงื่อนกฎหมายสะกดเจ้าหนี้

ทั้ง ๆ ที่นักลงทุนและเจ้าหนี้ทั้งหลายต่างทราบกันดีว่า ลำพัง Mismatch Fund ไม่อาจเข้าเงื่อนไขฟื้นฟูแต่อย่างใด ได้ยินมาว่าเจ้าหนี้กำลังคอยให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เข้ามาตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินที่ผิดปกติ (Forensic Accounting) เพื่อจะได้ประจักษ์ความจริงว่ามีสิ่งแปลกปลอมอะไรบ้างในงบของ JKN

จากเหตุการณ์ผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมา ซึ่งดูเหมือนจะเป็นโดมิโน่ที่สร้างผลกระทบต่อระบบตลาดทุนและความเชื่อมั่นของนักลงทุนอย่างหนัก หากรัฐบาลและหน่วยงานกำกับไม่เข้ามาดูแลจัดการอย่างจริงจัง สุดท้ายแล้ว จะส่งผลเสียต่อโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต เพราะบริษัทจดทะเบียนจะระดมทุนผ่านการออกหุ้นกู้ได้ยากขึ้น

และเพียงเริ่มต้นปีไม่ถึงครึ่งเดือน ก็ยังมีข่าวว่า บริษัทรับเหมาก่อสร้างรายใหญ่กำลังมีปัญหาเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้เงินกู้ออกมา ให้นักลงทุนและเจ้าหนี้หนาว ๆ ร้อน ๆ ชนิดที่ต้องลุ้นติดตามข่าวกันทุกวัน 

อย่างไรก็ดี ขอเป็นกำลังใจผู้บริหารที่กำลังพบกับปัญหาต่าง ๆ ‘ไม่หนี และ ผ่าฟันอุปสรรค’ ให้กลับมายิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top