Friday, 17 May 2024
แคดเมียม

เปิดข้อมูล 'กากแคดเมียม' อันตรายแค่ไหน? ถึงขั้นต้องประกาศเขตภัยพิบัติหรือไม่?

(11 เม.ย.67) จากเฟซบุ๊ก 'Sompob Pordi' ได้โพสต์ทำความเข้าใจถึงกากแคดเมียมที่พบเจอในไทยและทำให้ผู้คนเกิดความตระหนก ไว้ดังนี้...

กากแคดเมียม 

แคดเมียม (Cd) เป็นธาตุโลหะ ที่ปกติในธรรมชาติจะอยู่ร่วม/ปะปนกับธาตุโลหะอื่นเช่น สังกะสี ตะกั่ว ฯ มีจุดหลอมเหลวที่ 321 เซลเซียส หรืออุณหภูมิสูงกว่านํ้ามันทอดไก่เคเอฟซี 175 เซลเซียสเกือบสองเท่า มีจุดเดือดที่กลายเป็นไอที่ 767 เซลเซียส 

ปัจจุบัน ราคาแคดเมียม 99.99% วิ่งขึ้นลงอยู่ระหว่าง $4 ถึง $5 กว่า ๆ ต่อกก. ดังนั้นแคดเมียม 1 ตันหรือ 1,000 กก. จะมีราคาอย่างตํ่า ๆ ก็ $4,000 หรือเกือบ ๆ แสนห้าหมื่นบาท 

ดังนั้น ข่าวที่ว่ามีการแอบเก็บแคดเมียมที่เป็นอันตรายเป็นพิษต่อสุขภาพเป็นหมื่น ๆ แสน ๆ ตันก็คือการปั่นดี ๆ นี่เอง ไม่ต่างอะไรกับที่เคยปั่นสามกีบเรื่องกัมมันตรังสีจากซีเซียม จนหลอน แตกตื่น ชักดิ้นชักงอ เมื่อปีที่แล้ว 

เพราะแคดเมียมในข่าวเป็นแค่กากแคดเมียม หรือเศษดินหินจากเหมืองที่มีแคดเมียมปะปนอยู่ด้วยในปริมาณที่น้อยมากในรูปของ แคดเมียมซัลไฟด์ หรือ แคดเมียมคาร์บอเนต ซึ่งพบได้ในธรรมชาติ ที่มีปริมาณแคดเมี่ยมน้อยมากจนยังไม่คุ้มที่สกัดแยก/ทำให้บริสุทธิ์เพื่อการพาณิชย์

ส่วนเรื่องความเป็นพิษของแคดเมียมนั้นเป็นความจริง แต่เป็นความจริงที่มีเงื่อนไข คือ แคดเมียมต้องเข้าสู่ร่างกายของเราก่อน ถึงจะเป็นพิษภัยต่อสุขภาพ ถึงจะก่อให้เกิดมะเร็งได้ ซึ่งก็มีแค่สองทางเท่านั้นที่จะเข้าสู่ร่างกายเราได้ คือ การกิน และ การหายใจเข้าไป 

การกิน ก็ตรงไปตรงมา ไม่มีใครกินแคดเมียมหรือกากแคดเมียมแน่นอน เพราะไม่อร่อย หน้าตาไม่น่ากิน ส่วนที่ห่วงว่าอาจจะละลายนํ้าแล้วเผลอกินก็ไม่ต้องห่วง เพราะแคดเมียมคาร์บอเนตไม่ละลายนํ้า และแคดเมียมซัลไฟด์ละลายนํ้าได้น้อยมาก

การหายใจเอาไอแคดเมียมเข้าสู่ร่างกาย ก็ยากไม่แพ้กัน เพราะแคดเมียมจะเป็นไอที่ 767 องศาเซลเซียส โอกาสเดียวคือ ไฟไหม้สถานที่เก็บเท่านั้น แต่ปริมาณที่น้อยนิดและสภาพเศษหินเศษดินที่กล่าวมาแล้วทำให้ความเสี่ยงน้อยลงเป็นทวีคูณ โกดังเก็บแบตเตอรี่และถ่านไฟฉายประเภท นิกเกิลแคดเมียม อันตรายมากกว่าเป็นล้านเท่า

ทั้งหมดนี้ ไม่ได้บอกว่าการลักลอบเก็บกากแคดเมียมในเขตพื้นที่อยู่อาศัยและการพาณิชย์ตามข่าวเป็นสิ่งที่ดี ที่ควรทำ ที่น่าชื่นชม แต่ต้องการบอกว่า มันไม่ได้เป็นอันตรายใหญ่โตอย่างที่ปั่น ไม่มีความจำเป็นต้องประกาศเป็นเขตภัยพิบัติอย่างที่ทำใด ๆ ทั้งสิ้น แค่ขนย้ายไปเก็บในที่ ๆ เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นโกดังอุตสาหกรรม หรือลานซีเมนต์โล่ง ๆ ในเขตอุตสาหกรรม หรือเร่งให้เจ้าของส่งออกไปตามที่ตั้งใจ ก็จบแล้ว 

ไหน ๆ ก็โพสต์เรื่องพิษภัยของสารเคมีก็แถมให้หน่อยละกัน 

ความเป็นพิษของสารทุกชนิดต่อมนุษย์เราขึ้นกับ...

1. Exposure การได้รับหรือการสัมผัส

2. Concentration ปริมาณ/ความเข้มข้นที่ได้รับหรือสัมผัส

ยกตัวอย่างเช่น...

เกลือทะเล หรือ โซเดียมคลอไรด์ ถ้าเราไปสปา พนักงานเขาทำนํ้าเกลือเข้มข้นให้เราลงไปแช่ตัว หรือเอาเกลือทานวดตัว เหลือไม่สามารถเข้าสู่ร่างกายเราทางผิวหนังได้ ก็ไม่สามารถเป็นพิษภัยอะไร

ถ้าเรากินเกลือในปริมาณปกติ ร่างกายเราก็ได้ประโยชน์ ถ้ากินมากไป นิดหน่อยร่างกายเราก็จะกำจัดและขับถ่ายออกมา แต่ถ้ามากเกินไปมาก ถึงจะเริ่มมีอาการ เริ่มเป็นอันตราย

ดังนั้น อย่ากลัว อย่าตื่นตระหนกจนเกินไป เดี๋ยวชีวิตจะไม่มีความสุข

‘สุกฤษฏิ์ชัย-ปชป.’ แนะ!! ลดใช้แคดเมียม พัฒนาวัสดุทดแทน ชี้!! แม้มีประโยชน์มาก แต่โทษมหันต์ต่อมนุษย์ ถ้าคุมได้ไม่ดี

(11 เม.ย. 67) นายสุกฤษฏิ์ชัย ธีระเริงฤทธิ์ ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า…

ปัจจุบันแคดเมียมถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมเป็นจำนวนมาก มีความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ โดยแร่แคดเมียมเป็นโลหะหนัก ได้มาจากการถลุงแร่สังกะสี ตะกั่วและทองแดง แคดเมียมสามารถนำไปทำประโยชน์ได้ อาทิ การชุบโลหะ เพื่อเพิ่มความทนทานต่อการกัดกร่อน การสึกหรอ ป้องกันสนิม เป็นสารเคลือบ ใช้ในชิ้นส่วนยานยนต์ อุปกรณ์ทางทะเล เม็ดสี ทำแบตเตอรี่ ปุ๋ยและอื่นๆ ซึ่งดูเหมือนแคเมียมจะมีประโยชน์ต่อการผลิตสิ่งต่างๆที่พวกเราต้องใช้งานกันชีวิตประจำวันของทุกคน

แต่เมื่อมีประโยชน์มาก โทษก็เยอะตามมาด้วย หากการบริหารจัดการแร่หรือกากแคดเมียมไม่ดีพอ ไม่เป็นไปตามมาตรฐานและตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งในปัจจุบันมักใช้วิธีฝังกลบกากลงดินในการทำลาย ก็เป็นเหตุให้สามารถปนเปื้อนในดิน น้ำ อากาศในบริเวณโดยรอบได้อย่างง่ายดาย มิหนำซ้ำยังเกิดกรณีการลักลอบขุดกากขึ้นมาขายต่ออีกที่กำลังเป็นข่าว และเกิดขึ้นในหลายจังหวัดรวมถึงเขตบางซื่อ กรุงเทพมหานคร ถือเป็นศูนย์กลางของประเทศ การลักลอบดังกล่าว ก็กระทำโดยผิดกฎหมาย ขาดองค์ความรู้และหลักปฏิบัติที่ถูกต้อง ตลอดจนการเก็บในโกดังหรือคลังสินค้าก็ไม่ได้มาตรการ จึงเป็นความอันตรายและเป็นภัยต่อสังคมโดยองค์รวม

ในส่วนของความเสี่ยงต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพจากแคดเมียมนั้น มีหลายผลกระทบมาก ไม่ว่าจะเป็น การปนเปื้อนในดินและน้ำ หากยิ่งใกล้แหล่งน้ำไม่ว่าจะเป็นห้วย หนอง คลอง แม่น้ำ ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงในการแพร่กระจาย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ ลดความอุดมสมบูรณ์ของดิน ลดความหลากหลายทางชีวภาพ ปนเปื้อนห่วงโซ่อาหาร ส่งผลต่อระบบสืบพันธุ์ของสัตว์และสุขภาพของประชาชนในบริเวณโดยรอบ มลพิษทางอากาศ ที่อาจเกิดขึ้นจากการขนย้ายกากอย่างไม่ได้มาตรฐานอาจปล่อยฝุ่นละออง เกิดการฟุ้งกระจาย ส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจของประชาชนได้ การสัมผัสหากมีปริมาณเกินไป ร่างกายจะสะสมพิษได้นานหลายปี มีผลร้ายต่อระบบต่างๆ ของร่างกาย เช่น มีปฏิกิริยากับระบบไต ปอด กระดูกพรุน ก่อให้เกิดมะเร็ง ระบบสืบพันธุ์รวมถึงโรคอิไต อิไตด้วย

จากที่กล่าวมาทั้งหมด ควรมีการลดใช้แคดเมียม ด้วยการเร่งพัฒนาวัสดุและเทคโนโลยีใหม่ขึ้นมาทดแทน ภาครัฐควรออกมาตรการควบคุมให้ธุรกิจรับซื้อของเก่า เศษเหล็ก, เศษพลาสติก, พอลิเมอร์ เพื่อนำไปรีไซเคิลหรือผ่านกระบวนการเพื่อนำกับมาใช้ซ้ำใช้ใหม่ รวมถึงโรงงานหลอมโลหะในทุกที่ทั่วราชอาณาจักร มีมาตรฐาน มีความปลอดภัย มีกฎหมายออกมาบังคับเฉพาะ เพื่อเป็นการป้องปรามผู้กระทำความผิดในอนาคต ภาคเอกชนต้องให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม บำบัดน้ำเสียก่อนปล่อยสู่สาธารณะ ส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ภาคประชาชนร่วมกันสอดส่องดูแลความเป็นไปในพื้นที่ และที่สำคัญที่สุดคือให้ความรู้แก่ประชาชน ทางสาธารณสุข สุขอนามัย หลีกเลี่ยงการสัมผัส การอยู่ใกล้ หากมีความจำเป็นต้องเข้าใกล้ ควรใส่หน้ากากป้องกันสารพิษ หลีกเลี่ยงอาหารที่มาจากแหล่งที่มาไม่ชัดเจน เพราะแคดเมียมเป็นโลหะหนักที่ขยับเข้าใกล้ตัวเรามากขึ้นทุกที อาจปนเปื้อนในอาหารที่เรากำลังรับประทาน ในน้ำที่เรากำลังดื่มหรือในอากาศที่เรากำลังหายใจอยู่ก็เป็นได้

‘ปทส.’ เผย ความคืบหน้าคดี ‘กากแคดเมียม’ ยัน!! ขณะนี้พบ 1.25 หมื่นตันแล้ว จาก 1.3 หมื่นตัน

(12 เม.ย.67) ที่กองปราบปราม ถ. พหลโยธิน แขวงจอมพล เขตจตุจักรกรุงเทพมหานคร พล.ต.ต.วัชรินทร์ พูสิทธิ์ ผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ผบก.ปทส.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าคดีกากแคดเมียมว่า

สำหรับกากแคดเมียมที่ตรวจพบแล้วกว่า 1.2 หมื่นตันนั้นขณะนี้ บก.ปทส. อยู่ระหว่างการขออนุญาตสอบสวนจากกองบัญชาการสอบสวนกลาง เมื่อได้รับอนุญาต จะดำเนินการตรวจสอบการขนย้ายตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง เกี่ยวกับการชั่งน้ำหนัก

ส่วนเหตุผลที่ยังไม่แจ้งข้อกล่าวหา นายเจษฎา เก่งรุ่งเรืองชัย กรรมการบริษัท เจ แอนด์ บี เมททอล จำกัด นั้น เพราะ บริษัท เจ แอนด์ บีฯ ได้รับอนุญาตให้เป็นที่ปลายทางที่ลงของกากแคดเมียม ดังนั้น การดำเนินการเรื่องครอบครองวัตถุอันตรายฯ จึงต้องดูเจตนาก่อน เพราะต้องประกอบด้วย 4 พ.ร.บ. ได้แก่ พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร, พ.ร.บ.แร่, พ.ร.บ.สาธารณสุข, พ.ร.บ.ส่งเสริมรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม เท่ากับว่าตอนนี้จะสามารถแจ้งข้อกล่าวหาได้แค่ ผิด พ.ร.บ.โรงงาน เท่านั้น

นอกจากนี้ ในการขนกากแคดเมียมดังกล่าว เชื่อว่าจะต้องมีเจ้าหน้าที่รัฐให้ความร่วมมือ ซึ่งเชื่อได้ว่าทำกันเป็นขบวนการ โดยตอนนี้ต้องรอให้มีการร้องทุกข์กล่าวโทษกับอุตสาหกรรมจังหวัดก่อน แต่ก่อนหน้านี้ทีมสอบสวนได้มีการลงพื้นที่จังหวัดตาก เพื่อข้อมูลเอกสารต่าง ๆ แล้ว แต่ทางกระทรวงอุตสาหกรรม ประสงค์ที่จะตรวจสอบข้อมูลทั้งหมดเอง โดยผ่านการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน ซึ่งหากคณะกรรมการชุดนี้ได้รวบรวมเอกสารแล้ว ทางตำรวจก็จะขอนำมาดำเนินการตรวจสอบว่ามีเจ้าหน้าที่คนไหนบกพร่อง และจะประสาน บก.ปปป. ดำเนินคดีต่อไป

ส่วนกากแคดเมียมที่เหลือ ที่ยังตรวจไม่พบนั้น หากอิงจากข้อมูลการขนส่งที่ระบุว่า มีทั้งหมด 1.3 หมื่นตัน แต่ขณะนี้พบแล้วกว่า 1.25 หมื่นตัน ซึ่งถือว่าใกล้เคียงมากแล้ว ซึ่งอาจจะครบแล้วเพราะการที่เข้าไปตรวจดู ก็เป็นการประมาณการณ์จากถุงที่บรรจุ ไม่ได้ชั่งจริง ดังนั้น จึงต้องรอให้มีการตรวจสอบตาชั่ง ตรวจสอบการขนให้ชัดเจน 

'รมว.ปุ้ย' ตรวจเข้มเที่ยวแรก ขนกากแคดเมียม 254 ตัน กลับหลุมฝังตาก ยัน!! ใช้มาตรการขนย้ายขั้นสูงสุด ขอ ปชช.เชื่อมั่นในความปลอดภัย

เมื่อวานนี้ (29 เม.ย.67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่พร้อมด้วยนายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานคณะทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาและขนย้ายกากตะกอนแคดเมียม, นายเดชา จาตุธนานันท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานคณะกรรมการอำนวยการการขนย้ายกากแคดเมี่ยมและกากสังกะสี และคณะ เข้าตรวจความพร้อมเพื่อเตรียมการขนย้ายกากแคดเมียมจาก บริษัท เจ แอนด์ บี เมทอล จำกัด ซอยกองพนันพล ถนนเอกชัย หมู่ที่ 2 ตำบลบางน้ำจืด อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร ไปยังต้นทางหลุมฝังกลบที่ จังหวัดตาก โดยมีนายชัยวัฒน์ ตุนทกิจ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร, นายพุทธิกรณ์ วิชัยดิษฐ อุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรสาคร และผู้แทนจากป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดสมุทรสาคร กรมควบคุมมลพิษ สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดสมุทรสาคร, เจ้าหน้าที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ปทส.), กรมควบคุมโรค, สาธารณสุขจังหวัด, ขนส่งจังหวัด, กรมการปกครอง, สส.จังหวัดสมุทรสาคร ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการเตรียมความพร้อมในครั้งนี้ด้วย

สำหรับกระบวนการได้เริ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงเช้า โดยเจ้าหน้าที่ได้แสดงตัวอย่างวิธีการขนย้ายกากแคดเมียม เริ่มจากการใช้รถยก ยกถุงกากแคดเมียม และซ้อนทับด้วยถุงบิ๊กแบ็กอีกชั้น มัดปาก ชั่งน้ำหนัก แล้วยกขึ้นรถบรรทุก ซึ่งวันแรกนี้จะใช้รถบรรทุกจำนวน 4 คัน โดยแต่ละคันจะบรรทุกได้ 20 ถุง รวม 80 ถุง น้ำหนักรวมสุทธิ 112.61 ตัน จากนั้นเมื่อนำขึ้นรถแล้วก็จะปกคลุมด้วยผ้าใบอีกหนึ่งขั้นตอนเพื่อความปลอดภัย ก่อนจะเดินทางออกจากจังหวัดสมุทรสาครในช่วงเวลาประมาณ 21.00 น. 

โดยมีรถตำรวจทางหลวงนำ และปิดท้ายด้วยรถตำรวจ บก.ปทส. เพื่อไปสมทบกับขบวนของโรงงานที่บางซื่อ กรุงเทพมหานคร ที่ใช้รถบรรทุกจำนวน 6 คัน บรรทุกได้ 99 ถุง น้ำหนักรวมสุทธิ 141.39 ตัน ซึ่งเมื่อรวมของทั้ง 2 แห่ง คิดเป็นน้ำหนักทั้งสิ้น 254 ตัน (น้ำหนักที่หายไปจากประมาณการ 270 ตัน เนื่องจากมีการชั่งโดยละเอียด) ซึ่งทั้งสองขบวน จะนัดรวมเป็นขบวนเดียวกันที่ ดูโฮม จ.นนทบุรี เพื่อเดินทางต่อไป ยังจังหวัดตาก ในเวลาประมาณ 22.00 น.คาดว่าจะใช้เวลาเดินทางทั้งสิ้น 7 ชั่วโมง และจะถึงจังหวัดตาก ในช่วงเช้ามืดของวันที่ 30 เมษายน 2567  

นางสาวพิมพ์ภัทรา กล่าวว่า ในเบื้องต้นจะทำการขนย้ายกากตะกอนแคดเมียมจาก จังหวัดสมุทรสาคร และกรุงเทพมหานคร ไปยังจังหวัดตากก่อน ส่วนที่จังหวัดชลบุรี ยังต้องรอกระบวนการทางกฎหมาย เนื่องจากอยู่ระหว่างการสอบสวน โดยการขนย้ายจะใช้เส้นทางสายเอเชีย ซึ่งจะมีตำรวจทางหลวงของแต่ละพื้นที่นำขบวน และมีการส่งต่อเป็นจังหวัด ๆ หยุดพักเท่าที่จำเป็น ไม่มีการแวะเติมน้ำมัน และมีแผนฉุกเฉินกรณีเกิดอุบัติเหตุไว้เรียบร้อยแล้ว 

ทั้งนี้ เมื่อถึงจังหวัดตาก จะนำกากตะกอนแคดเมียมไปเก็บไว้ที่อาคารพักคอยในพื้นที่โรงงานที่ได้ทำการปูพื้นด้วยแผ่น HDPE และดินเหนียวสังเคราะห์ (GCL) แล้ว ในระหว่างที่เร่งปรับปรุงบ่อเก็บกากแคดเมียมให้มั่นคงปลอดภัยตามมาตรการ EIA โดยมีเจ้าหน้าที่จากสำนักงานอุตสาหกรรมตาก และจังหวัดสมุทรสาคร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำกับดูแลการขนย้ายกากตะกอนแคดเมียมอย่างใกล้ชิด ตลอดการดำเนินงาน

“ขอให้ประชาชนมั่นใจว่า กระทรวงอุตสาหกรรม ได้เตรียมความพร้อมขั้นสูงสุดในการขนย้ายกากตะกอนแร่แคดเมียมจากต้นทางที่จังหวัดสมุทรสาคร และกรุงเทพมหานคร การขนย้ายระหว่างทาง จนถึงปลายทางที่จังหวัดตาก โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนเป็นสำคัญ ส่วนเรื่องของปริมาณน้ำหนักนั้น จากที่ตรวจพบในขณะนี้แม้จะยังขาดอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มากนักหากนำมาคำนวณกับค่าความชื้นที่สูญเสียไป ดังนั้นต้องรอให้การเคลื่อนย้ายทั้งหมดเสร็จสิ้นลงก่อน จึงจะสรุปได้ว่าพบกากตะกอนแคดเมียมครบทั้งหมดแล้วหรือยัง อย่างไรก็ตามเวลานี้ เจ้าหน้าที่ก็ยังไม่หยุดค้นหายังคงค้นหาในพื้นที่ ๆ คาดว่าจะกระจายไปแม้ว่าจะค้นหาเกือบครบสมบูรณ์แล้วก็ตาม ซึ่งทุกขั้นตอนเราต้องรีบทำให้แล้วเสร็จโดยเร็วเพื่อให้ทันกับฝนที่อาจจะตกลงมาได้ตลอดเวลา” รมว.อุตสาหกรรม กล่าว 

ส่วนในเรื่องของคดีความนั้น นางสาวพิมพ์ภัทรา กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อหาผู้ที่เกี่ยวข้องที่ทำให้เกิดปัญหานี้ขึ้นมา และมีการตั้งประเด็นการสอบสวน เพื่อจะได้ระบุตัวบุคคลที่จะต้องเรียกมาสอบข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าว ทั้งผู้ที่เกี่ยวข้องตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง

‘รมว.ปุ้ย’ อัปเดตปมขนย้าย ‘กากแคดเมียม’ ชี้ ดำเนินการถึง จ.ตากแล้ว จำนวน 8 คัน

(7 พ.ค. 67) ที่ทำเนียบรัฐบาล นางสาวพิมพ์ภัทรา​ วิชัยกุล​ รัฐมนตรี​ว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม​ กล่าวถึงการขนย้ายกากแคดเมียม​ ว่า​ ตนเป็นห่วงเรื่องฝน​ ขณะนี้พยายามขนกากแคดเมียมที่อยู่นอกอาคารเข้าไปเก็บในอาคาร​ และพยายามให้เป็นไปตามแผน​อันไหนที่ปรับเพื่อคลายความกังวลของประชาชนก็ทำ​ เช่น​ เรื่องรถขนส่ง เปลี่ยนมาใช้ตู้คอนเทนเนอร์​ทั้งหมด​ โดยเมื่อวานนี้ออกจากจังหวัดสมุทรสาครไปแล้ว​ 8 คัน ถึงที่หมายจังหวัดตากเป็นที่เรียบร้อยแล้ว​ และตอนนี้กำลังเคลื่อนถุงลงจากรถ​

ส่วนจำนวนรถเพียงพอต่อการขนย้ายหรือไม่​ นางสาวพิมพ์​ภัทรา​ กล่าวว่า​ เราพยายามทำตามกำหนดการ ถ้ามีรถเพิ่มขึ้นก็จะดีที่สุด​

เมื่อถามถึงกรณีเหตุไฟไหม้โรงงานอุตสาหกรรม​บ่อยครั้ง​ นางสาวพิมพ์​ภัทรา​กล่าวว่า​ ส่วนหนึ่งมาจากอากาศ​ ซึ่งตอนนี้มีการเฝ้าระวัง​ ล่าสุดคณะกรรมการ​สิ่งแวดล้อมแห่งชาติ​ ที่มีพลตำรวจเอกพัชรวาท​ วงษ์​สุวรรณ​ รองนายก​รัฐมนตรี​และ​รัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวง​ทรัพยากรธรรมชาติ​และ​สิ่ง​แวดล้อม​ เป็นประธาน​ โดยได้สั่งการให้แต่ละจังหวัด​ และทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง​ ออกสำรวจพื้นที่​โรงงานที่มีความเสี่ยง​ ภายใน​ 20 วัน​ และนำรายชื่อเข้าคณะกรรมการ​และกระทรวง​อุตสาหกรรม​เอง​โดยทางกรมโรงงานได้แบ่งคณะไปตรวจเหมือนกัน​ แต่เรื่องนี้คงต้องระมัดระวัง​ ไม่ว่าจะเป็นคนในพื้นที่หรือหน่วยงานต้องช่วยกัน​

ส่วนที่กรรมาธิการ​การอุตสาหกรรม​สภาผู้แทนราษฎร​ วิเคราะห์ว่าเป็นการวางเพลิง​ เพื่อเลี่ยงกฎหมายใหม่ที่จะมาบังคับใช้​ นางสาวพิมพ์​ภัทรา​ กล่าวว่า​ คิดได้หลายมุม​ อันดับแรกกฎหมายบังคับแล้ว​ว่าจะต้องเคลียร์กากตะกอนสารเคมีออกจากโรงงาน​ ถ้าคิดในมุมไม่ดี​ ไม่ว่าจะเจตนาหรือไม่​ การเผาไม่ต้องเสียค่ากำจัด​ ซึ่งผู้ประกอบการต้องยอมรับด้วยว่าการกระทำแบบนี้มีผลกระทบต่อประชาชน​โดยรอบจำนวนมาก​ เรื่องนี้คงเป็นเรื่องการวางเพลิงไม่ได้​ จะต้องยกระดับความรุนแรง​ ปฏิบัติการแบบนี้หมายถึงความมั่นคงแล้ว​ ตนจึงขอความช่วยเหลือจากฝ่ายความมั่น​คง​ ไม่ว่าตำรวจหรือดีเอสไอ​ เข้าไปดูแลเรื่องนี้ด้วย​

นางสาวพิมพ์​ภัทรา​ ยังกล่าวอีกว่า​ โรงงานที่ถูกศาลสั่งให้คืนพื้นที่และต้องจัดการ กับการสารเคมีทราบว่ามีกี่เจ้า​ เพียงแต่เวลาทำไม่ดีทำได้ง่ายกว่า​ คนที่ไม่รับผิดชอบทำง่ายกว่าคนที่รับผิดชอบ​ ซึ่งขณะนี้มีโรงงานในลักษณะ​ดังกล่าว​ 6-10 โรงงาน​

ส่วนจะเอาผิดโรงงานเหล่านี้ได้หรือไม่​ นางสาวพิมพ์​ภัทรา​ กล่าวว่า​ วันนี้ที่ทำควบคู่กันไปคือ​กรมโรงงานอุตสาหกรรม​เสนอแก้กฎหมายเพิ่มโทษ​ พร้อมย้ำว่า​ เรื่องนี้เป็นภัยความมั่นคง​ ที่ชาวบ้านโดยรับได้รับผลกระทบ​ เราไม่ได้มองแค่เรื่องไฟไหม้​ แต่ยังมองไปถึงสภาพอาการที่ชาวบ้านต้องเจอ​ ส่วนที่เริ่มเข้าฤดูฝน​ขณะนี้มีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ​และ​สิ่ง​แวดล้อม​มามอร์​นิเตอร์เรื่องสารเคมีลงสู่แหล่งน้ำ​ ตนเข้าใจว่าประชาชนในพื้นที่เจอปัญหามากที่สุด​ พร้อมระบุว่า ยืนยันได้ลำบากว่าน้ำจะปนเปื้อนสารเคมีจากโรงงานลงสู่แหล่งน้ำหรือไม่​ อย่างที่จังหวัดระยองและพระนครศรีอยุธยา​ ขณะนี้ได้ขอให้กรมป้องกัน​และ​บรรเทา​สาธารณภัย​ หรือ​ ปภ.​สร้างพนังกั้นน้ำ​ แต่ต้องดูว่าจะสามารถทำได้หรือไม่​ พร้อมยอมรับว่ามีความกังวล

นางสาวพิมพ์​ภัทรา​ กล่าวทิ้งท้ายว่า​ ช่วงนี้ กรธ.การอุตสาหกรรมเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในกระทรวงไปชี้แจงทุกสัปดาห์​ ซึ่งสัปดาห์นี้หาไม่ติดธุระ​ ตนก็จะไป


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top