Monday, 1 July 2024
เศรษฐี

TOP 5 มหาเศรษฐี ปี 2023 !! รวยทุกปี ติดทุกรอบ

‘ฟอร์บส ไทยแลนด์’ เปิด 50 อันดับมหาเศรษฐีไทย ความมั่งคั่งรวมเพิ่มขึ้น 173,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ รับอานิสงส์นักท่องเที่ยวเดินทางเที่ยวไทยคึกคัก หนุนพี่น้องเจียรวนนท์ รั้งเบอร์ 1 มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 1.18 ล้านล้านบาท 

นิตยสาร ฟอร์บส ไทยแลนด์ เปิดเผยผลการจัดอันดับ 50 มหาเศรษฐีไทย ประจำปี 2566 พบว่า ความมั่งคั่งรวมของ 50 มหาเศรษฐีไทยก็เพิ่มขึ้นเกือบ 15% คิดเป็น 173,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นผลจากเศรษฐกิจประเทศไทยฟื้นตัวจากการกลับมาของนักท่องเที่ยว ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประมาณการเติบโต ปี 2566 อยู่ที่ 3.6% 

โดย 10 มหาเศรษฐีไทย มีมูลค่าทรัพย์สินเพิ่มขึ้น ได้แก่ 

อันดับ 1 พี่น้องเจียรวนนท์ กลุ่มเจริญโภคภัณฑ์ มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 34,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็น 1.18 ล้านล้านบาท 

อันดับ 2 นายเฉลิม อยู่วิทยา และครอบครัว เครื่องดื่มชูกำลังกระทิงแดง และกลุ่มธุรกิจ TCP มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 33,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็น 1.16 ล้านล้านบาท 

อันดับ 3 นายเจริญ สิริวัฒนภักดี กลุ่มไทยเจริญคอร์ปอเรชั่น มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 13,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็น 473,000 ล้านบาท

อันดับ 4 ตระกูลจิราธิวัฒน์ กลุ่มธุรกิจเซ็นทรัล กรุ๊ป มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 12,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็น 432,000 ล้านบาท 

อันดับ 5 นายสารัชถ์ รัตนาวะดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการ บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) บริษัทพลังงานขนาดใหญ่ของประเทศ มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 11,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ  คิดเป็น 394,000 ล้านบาท 

อันดับ 6 นายวานิช ไชยวรรณ ประธานกิตติคุณ บมจ.ไทยประกันชีวิต (TLI) และมีแผนเตรียมนำธนาคารไทยเครดิตเพื่อรายย่อย (CREDIT) เข้าตลาดหุ้นในช่วงปลายปี 2566 มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 3,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็น 136,000 ล้านบาท

อันดับ 7 นายแพทย์ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ ผู้ก่อตั้ง-เจ้าของอาณาจักร BDMS ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนที่ใหญ่สุดในไทยถึง 47 แห่ง และยังเป็นเจ้าของสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 3,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 132,000 ล้านบาท 

อันดับ 8 นายอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา และครอบครัว สัญญาณการกลับของธุรกิจท่องเที่ยวในประเทศ สร้างการรับรู้ถึงกลุ่มธุรกิจ King Power กลุ่มบริษัทสินค้าปลอดภาษี และเจ้าของสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ มูลค่าทรัพย์สิน 3,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็น 121,000 ล้านบาท 

อันดับ 9 นายสมโภชน์ อาหุนัย และครอบครัว ดำเนินธุรกิจด้านพลังงานสะอาดแบบครบวงจร มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็น 104,000 ล้านบาท 

และอันดับ 10 ครอบครัวโอสถานุเคราะห์ เจ้าของธุรกิจ บมจ.โอสถสภา (OSP) มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 2,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็น 87,000 ล้านบาท

สำหรับภาพรวมแล้ว มีมหาเศรษฐีไทย 21 คนที่ทรัพย์สินเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา มหาเศรษฐี 2 รายที่มีเปอร์เซ็นต์ความร่ำรวยเพิ่มขึ้น อันเป็นผลมาจากการกลับมาของนักชอปต่างชาติ ได้แก่ นายอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา และครอบครัว ทวงคืนตำแหน่งใน 10 อันดับแรกมหาเศรษฐีไทยมาได้ ส่วนคนที่ 2 รับทรัพย์มหาศาล คือ นางศุภลักษณ์ อัมพุช ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด ธุรกิจค้าปลีก  The Mall Group ซึ่งเป็นเจ้าของห้างสรรพสินค้าชั้นนำมากมายรวมถึง Siam Paragon และ EmQuartier ที่มีความมั่งคั่ง 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มจากเดิมถึง 2 เท่า  

ทั้งนี้ การกลับมาของกำลังซื้อของธุรกิจค้าปลีกยังได้พา 2 มหาเศรษฐีหน้าใหม่เข้าสู่ทำเนียบ ได้แก่  นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ที่ครอบครัวของเขาถือหุ้นใน The Mall Group และธุรกิจอื่นๆ ทำให้เขาได้เปิดตัวที่อันดับ 24 ด้วยทรัพย์สิน 1,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนอีกราย คือ นายอนันท์ รักอริยะพงศ์ ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องดื่มที่มีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ Sappe อยู่ที่อันดับ 50 กับมูลค่าทรัพย์สิน 590 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ   

ขณะที่ มหาเศรษฐีที่มีความมั่งคั่งลดลง คือ นายประจักษ์ ตั้งคารวคุณ ที่มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิตกลงมากที่สุดเกือบ 30% เมื่อเทียบกับผู้ติดอันดับในทำเนียบ เนื่องมาจากปัญหาที่เกี่ยวข้องกับบริษัทผู้ผลิตสายไฟและสายเคเบิ้ลของบมจ.สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น (STARK) ที่ลูกชายถือหุ้นอยู่ พังยับเยินและถูกสั่งพักการซื้อขายหลังทางบริษัทไม่สามารถส่งงบการเงินให้กับทางตลาดหลักทรัพย์ได้ในเวลาที่กำหนดดังที่ปรากฏ

'เพจดัง' ชี้!! มีเศรษฐีรวยเงียบ ที่ 'ไม่มีเกียรติแต่มีกิน' รอให้เก็บภาษีอยู่อีกมาก ในจังหวะรายได้รายเดือน (ไม่สูง) จากคนที่อยู่ในระบบ เป็น 'เดอะแบก'

(8 มิ.ย.67) จากข้อความของเพจ 'คนงาม ฟินเน่' ซึ่งได้โพสต์เนื้อหา ระบุว่า...

อย่าดูถูกกัน!! #ไม่มีเกียรติแต่มีกิน ผมเคยเห็นคนขายก๋วยเตี๋ยวป๊อกๆ ใต้ทางด่วน 
ขายได้วันละ 7-8 พัน เดือนนึงกำไรไม่ถึงแสนก็เฉียดแสนต่อเดือน
ผมเคยเห็นคนขายไส้กรอกย่างชิ้นละบาท
ปั่นซาเล้งขายตอนกลางคืนขายได้วันละ 4-5 พัน  กลางวันขับรถคันเป็นล้านไปจ่ายตลาด
ผมเคยเห็น คนเข็นรถผลไม้
ขายได้วันละ 2-3 พัน แต่ขอโทษกำไรพวกนี้ 70%  เดือนๆ นึง มีเก็บเฉียดแสน
ผมเคยเห็นคนขายส้มตำไก่ย่าง
ขี่มอร์ไซค์พ่วงขายกับเมียสองคน
จอดตามไซด์งานก่อสร้าง จอดตามปั๊มน้ำมัน 
วันนึงมีกลับบ้าน 6-7 พัน กำไรครึ่งนึง เดือนนึงเกือบแสน
ผมเคยเห็นคนขายซูชิ 5 บาทตลาดนัด
ซื้อบ้านเงินสดหลังละ 5 ล้านมาแล้ว
ก็เล่นขายได้วันละ1-2 หมื่น จะซื้อไม่ได้ ได้ยังไง
5 บาทก็จริง เลือกไปเลือกมาคนเดียวเกือบร้อย!
คนเหล่านี้ รวยเงียบๆ
แม้ไม่ได้ใส่สูททำงานห้องแอร์
แต่ขอโทษ...พวกนี้เดือนนึงหาเงินได้มากกว่า
พนักงานทั่วไปถึง 10 เท่า
อย่าได้ดูถูกอาชีพเหล่านี้
อย่าได้ดูถูกคนที่เสื้อผ้า และสิ่งที่เห็น
คนพวกนี้ไม่มีหรอกนะบัตรเครดิต เขามีแต่เงินสด! คนพวกนี้มนุษย์เงินสด มนุษย์เงินล้าน 
ถ้าไม่ดีจริง เขาไม่ทิ้งนามาเข็นผลไม้ขายเต็มกรุงเทพหรอก
อย่าดูถูกกัน!! #ไม่มีเกียรติแต่มีกิน
ขอบคุณบทความ สิริทัศน์ สมเสงี่ยม
ขอบคุณภาพประกอบจาก สะพานใหม่

***ขณะที่เพจ 'สานต่อเจตนารมณ์ อาจารย์สมเกียรติ โอสถสภา' ก็ได้แสดงความคิดเห็นต่อข้อความจากโพสต์ดังกล่าว ในมุมของเหล่าเศรษฐีรวยเงียบ ไว้ด้วยว่า...

เป็นบทความให้พลังบวกที่อ่านแล้วประทับใจมาก…จนอยากให้สรรพากรหาแนวทางเก็บภาษีจากเศรษฐีรวยเงียบเหล่านี้ซักที

กำไรเป็นแสนต่อเดือนแบบนี้ รายได้ต้องระดับสองแสนต่อเดือน แบบนี้ภาษีเงินได้ขั้น 20% ต้องได้สัมผัสแล้วนะ

ประเทศไทยเป็นประเทศที่หากินเงินภาษีจากคนที่อยู่ในระบบเป็นอย่างมาก ทั้งๆ ที่ส่วนมากแล้วเป็นพนักงานออฟฟิศ ลูกจ้าง ข้าราชการ ที่รายได้ไม่ได้สูงอะไรมากมาย 

เป็นชนชั้นกลางที่ทำงานทั้งเดือนเพื่อรับเงินเดือนมากินสองอาทิตย์แรกของเดือน

เศรษฐกิจใต้ดิน (Black Market) ระดับ 50-70% ของ GDP ของประเทศไทยนี่คือ เงินภาษีอีกมหาศาล 

มีเศรษฐีรวยเงียบรอให้เก็บภาษีอีกเยอะ

‘เกาะอังกฤษ’ เสน่ห์หาย มหาเศรษฐีแห่หอบเงินหนี ผลจากภาวะเศรษฐกิจ - แนวโน้มเปลี่ยนขั้วรัฐบาล

‘สหราชอาณาจักร’ กลายเป็นประเทศในโซนยุโรป ที่มีมหาเศรษฐีย้ายออกมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ในปีนี้ (2024) ที่มีการย้ายออกสุทธิมากถึง 9,500 ราย เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาถึง 2 เท่า และมีแนวโน้มที่จะย้ายออกเพิ่มขึ้นอีกอย่างต่อเนื่อง หลังรู้ผลการเลือกตั้งใหญ่ของอังกฤษในปีนี้ 

จากรายงานการสำรวจการโยกย้ายถิ่นฐานของ The Henley Private Wealth Migration ประจำปี 2024 พบว่าอังกฤษกลายเป็นประเทศที่มหาเศรษฐีอยากจะย้ายออกมาเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากประเทศจีนในปีนี้ แถมมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนอาจเรียกได้ว่าเป็นวิกฤติการย้ายถิ่นแบบ Exodus หรือการทิ้งถิ่นฐานของมหาเศรษฐีจำนวนมากอย่างไม่เคยมีมาก่อน

ซึ่งในปีนี้ มีเศรษฐีในอังกฤษ ย้ายออกไปประเทศอื่นแล้วถึง 9,500 เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว ที่มีเศรษฐีย้ายออก 4,200 ราย นับว่าเพิ่มขึ้นถึงเท่าตัว

ถึงแม้ว่าจีนจะยังคงเป็นประเทศที่มีคนระดับเศรษฐีย้ายออกมากที่สุดในโลก ซึ่งมีตัวเลขการย้ายออกสุทธิอยู่ที่ 15,200 รายในปีนี้ แต่หากเทียบกับตัวเลขในอดีตที่อังกฤษเคยติดอันดับกลุ่มประเทศที่มีมหาเศรษฐีอยากย้ายเข้ามากที่สุด เป็นจุดหมายปลายทางระดับพรีเมียมที่ใครต่อใครสนใจที่จะย้ายถิ่นเข้ามาอยู่ นับว่าเป็นปัญหาที่ไม่ธรรมดาเลยสำหรับอังกฤษ

‘Henley’ บริษัทที่ปรึกษาด้านการย้ายถิ่นฐานระบุว่า ช่วงระหว่างปี 1950 - 2000 ถือเป็นยุคทองของสหราชอาณาจักร ที่ครอบครัวชนชั้นสูง ตระกูลเศรษฐีทั่วทั้งยุโรป, แอฟริกา, เอเชีย และ ตะวันออกกลาง นิยมย้ายถิ่นมาลงหลักปักฐานในอังกฤษเป็นจำนวนมาก 

แต่ในวันนี้กลับไม่ใช่แล้ว กลุ่มคนที่มีทรัพย์สินมั่งคั่งในอังกฤษเริ่มมองหาประเทศทางเลือกอื่น ๆ ในการย้ายถิ่นที่อยู่ใหม่ เห็นได้ชัดเจนจากตัวเลขประชากรระดับเศรษฐีของอังกฤษลดลงถึง 8% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา สวนทางกับจำนวนประชากรเศรษฐีในประเทศเศรษฐกิจหลักของกลุ่มชาติตะวันตกในช่วงเวลาเดียวกัน อาทิ เยอรมัน ที่มีจำนวนเศรษฐีเพิ่มขึ้นถึง 15% ในขณะที่สหรัฐอเมริกา มีจำนวนเศรษฐีเพิ่มมากถึง 62% 

แต่อะไรเป็นสาเหตุและปัจจัยที่ทำให้เสน่ห์ของประเทศอังกฤษหายไป ไม่ชวนดึงดูดกลุ่มเศรษฐี นักลงทุนให้มาอยู่ได้อย่างที่แล้วมา?

แรกที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือ ผลพวงจากผลประชามติ Brexit ซึ่งในช่วงปี 2017 - 2023 หลังจากที่อังกฤษออกจากการเป็นสมาชิกภาพของสหภาพยุโรปแล้ว มีตัวเลขประชากรเศรษฐีในอังกฤษย้ายถิ่นไปแล้วถึง 16,500 ราย และตัวเลขการย้ายถิ่นของคนกลุ่มนี้ยังเพิ่มสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดดทุกปี 

แต่นั่นไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่ทำเศรษฐีอังกฤษหอบเงินหนี ‘ฮานนาห์ ไวท์’ CEO ของสถาบันวิเคราะห์ยุทธศาสตร์รัฐบาล เผยว่าการย้ายถิ่นครั้งใหญ่ของเศรษฐีจะยิ่งเร่งสปีดเร็วขึ้นกว่าเดิมหลังรู้ผลการเลือกตั้งใหญ่ของอังกฤษในเดือนกรกฎาคมที่จะถึงนี้

จากผลโพลหลายสำนักในอังกฤษชี้ตรงกันว่าพรรคแรงงาน ฝ่ายซ้าย ที่เป็นฝ่ายค้านในปัจจุบันมีคะแนนนำเหนือพรรคอนุรักษ์ฝ่ายรัฐบาล ถึง 46% ต่อ 21% มีโอกาสคว้าชัยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลใหม่สูงมาก 

โดยพรรคแรงงานมีนโยบายการจัดเก็บภาษีที่เข้มงวด โดยเน้นการเก็บภาษีเพิ่มในกลุ่มคนต่างด้าว ลดช่องทางการหลีกเลี่ยงภาษี ยกเลิกการลดหย่อนภาษีสำหรับโรงเรียนเอกชน และเพิ่มภาษีสำหรับการซื้ออสังหาริมทรัพย์โดยบุคคลที่ไม่ได้ถือวีซ่าผู้อาศัยในอังกฤษ อีกทั้งขึ้นภาษีที่ดินเป็น 40% สำหรับที่ดินที่มีราคาสูงกว่า 325,000 ปอนด์ เพื่อนำภาษีเหล่านั้นมาลงให้กับกองทุนสวัสดิการสังคมต่าง ๆ ของชาวอังกฤษ 

ด้วยปัจจัยด้านนโยบายในการจัดเก็บภาษีคนรวย บวกกับสภาพเศรษฐกิจตกต่ำ ภาวะเงินเฟ้อในประเทศ และ การถูกยกเลิกสิทธิพิเศษจากการเป็นสมาชิก EU ทำให้เศรษฐีในอังกฤษตัดสินใจย้ายออกอย่างมากมายในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

นับเป็นความท้าทายที่สาหัสทีเดียวสำหรับรัฐบาลชุดใหม่ของอังกฤษ ในการฟื้นฟูประเทศ เรียกบรรยากาศที่เคยดึงดูดกลุ่มเศรษฐีมีเงินทั่วโลก ที่เคยหอบทรัพย์สินหลั่งไหลมาตั้งถิ่นฐานใน ‘ดินแดนแห่งผู้ดี’ เช่นในอดีต


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top