Tuesday, 14 May 2024
ฮุนเซน

'ฮุน เซน' ประกาศวางตัวลูกชายคนโต หนุนสืบทอดตำแหน่งผู้นำกัมพูชา

นายกรัฐมนตรีฮุน เซน ของกัมพูชาที่ครองอำนาจมานาน 36 ปี ประกาศชัดเจนเมื่อวันพฤหัสบดีว่า เขาสนับสนุนพลเอกฮุน มาเนต ลูกชายคนโต สืบทอดตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อจากเขา

รายงานเอเอฟพีเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2564 กล่าวว่า มีการคาดเดากันมานานว่า ฮุน เซน วัย 69 ปี กำลังฟูมฟักลูกชายคนโตซึ่งเป็นนายทหารที่สำเร็จการศึกษาจากสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ ให้สืบทอดอำนาจต่อจากเขา ในคำปราศรัยต่อสาธารณะในพิธีการหนึ่งที่จังหวัดพระสีหนุวิลล์ 

วันเดียวกันนี้ นายกฯ ฮุน เซน กล่าวว่า "ฮุน มาเนต เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และเขาได้รับการสนับสนุนจากพ่อของเขา"

ฮุน เซน กล่าวว่า ลูกชายวัย 44 ปีของเขา ซึ่งดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการทหารสูงสุดและผู้บัญชาการทหารบกกัมพูชา จะต้องเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้ง

'แอนโทนี บลิงเคน' นัดคุยนอกรอบผู้นำฝ่ายค้านกัมพูชา  ถกปัญหา ปชต.ในเขมร ก่อนเลือกตั้งใหญ่ปีหน้า 

แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ได้เดินทางมาถึงกัมพูชาแล้ว เพื่อเข้าร่วมงานประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนครั้งที่ 55 ที่จัดขึ้นในกรุงพนมเปญ

ซึ่งการเดินทางมากัมพูชาในครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของกำหนดการเยือนต่างประเทศเป็นเวลา 10 วัน ของ บลิงเคน ซึ่งได้เลือกแลนด์ดิ้งที่กัมพูชาเป็นประเทศแรก ก่อนที่จะเดินทางต่อไปยังฟิลิปปินส์, แอฟริกาใต้, คองโก, รวันดา ตามลำดับ 

โดยรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ได้เข้าพบกับสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เพื่อหารือกันในหลายประเด็น ตั้งแต่สถานการณ์ในพม่า ความมั่นคงด้านสาธารณสุขของอาเซียน การสนับสนุนด้านความมั่นคงของสหรัฐฯ ในภูมิภาคนี้ อีกทั้งยังย้ำถึงบทบาทของอาเซียนในการร่วมประณามรัสเซียในวิกฤติสงครามยูเครน รวมถึงความโปร่งใสของรัฐบาลกัมพูชา ในความร่วมมือด้านการทหารกับจีนในการพัฒนาฐานทัพเรือที่เมืองเรียม 

และนอกจากประเด็นเหล่านี้ บลิงเคน ยังได้หยิบยกเอาเรื่องของ นาง เธียรี เส็ง นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนชาวกัมพูชา ที่ถือสัญชาติสหรัฐฯ ขึ้นมาพูดคุยกับนายกรัฐมนตรี ฮุน เซน ด้วย 

ซึ่ง ตอนนี้ เธียรี่ เส็ง ถูกตัดสินจำคุกนาน 6 ปีในข้อหากบฏ หลังจากที่ออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลของ นาย ฮุน เซน โดย บลิงเคน กล่าวย้ำว่าต้องการให้รัฐบาลปล่อยตัวนาง เธียรี เส็ง โดยไว และให้รัฐบาลกัมพูชาเคารพในหลักสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพของชาวกัมพูชาในการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองได้อย่างอิสระ

บลิงเคน กับ ฮุน เซน ยังได้มีการพูดคุยเรื่องปัญหาการเมืองภายในประเทศอีกด้วย หลังจากตอนนี้มีนักการเมืองฝ่ายค้าน และนักเคลื่อนไหว ถูกตัดสินในความผิดข้อหากบฏ ขายชาติไปแล้วกว่า 60 คน ซึ่งบลิงเคนมองว่า เป็นสิ่งที่กัดเซาะหลักการด้านสิทธิมนุษยชน และประชาธิปไตยในกัมพูชา

‘ฮุนเซนฯ’ ปลื้มสัมพันธ์ ‘ไทย-กัมพูชา’ แน่นแฟ้น พร้อมผลักดันข้อหารืออย่างต่อเนื่องในทุกระดับ

‘บิ๊กตู่’ หารือ ‘สมเด็จฮุนเซนฯ’ ย้ำความสัมพันธ์แน่นแฟ้นทั้งในระดับทวิภาคีและพหุภาคี พร้อมร่วมเดินหน้าแก้ไขปัญหาขบวนการหลอกลวงทางโทรศัพท์ข้ามชาติ

(10 พ.ย. 65) ตามเวลาท้องถิ่น ณ กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หารือกับ สมเด็จอัคคมหาเสนาบดีเดโชฮุน เซน นายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรกัมพูชา ในช่วงการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 40 และ 41 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้องเพื่อกระชับความสัมพันธ์หลังจากผู้นำทั้งสองว่างเว้นจากการพบปะหารือกันมากว่าสามปี เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 และเพื่อติดตามความคืบหน้าและหารือประเด็นสำคัญต่าง ๆ ในระดับทวิภาคี

นายกรัฐมนตรี กล่าวยินดีต่อความสำเร็จในการปฏิบัติหน้าที่ประธานอาเซียนของกัมพูชา พร้อมขอบคุณที่ตอบรับคำเชิญเข้าร่วมการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ในฐานะแขกพิเศษ โดยนายกรัฐมนตรียินดีกับทิศทางความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างไทย-กัมพูชาที่แน่นแฟ้น ราบรื่น ซึ่งต้องขอบคุณนายกรัฐมนตรีกัมพูชาที่ให้ความใส่ใจและสนับสนุนอย่างเต็มที่ด้วยตนเอง จนทำให้มีความร่วมมือที่ดีในทุกด้านที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน และหวังว่าจะได้กระชับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นไปในทุกระดับ 

“ไทยชื่นชมและสนับสนุนความพยายามของกัมพูชา ในฐานะประธานอาเซียน กับการรับมือกับสถานการณ์โควิด-19 และการร่วมมือกันในการฟื้นฟูเศรษฐกิจสังคม รวมถึงการผลักดันให้อาเซียนมีบทบาทที่สร้างสรรค์ในการรักษาเสถียรภาพ สันติภาพ และความเจริญของภูมิภาค” นายกรัฐมนตรี กล่าว

ด้านนายกรัฐมนตรีกัมพูชา กล่าวชื่นชมความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างทั้งสองประเทศ ยินดีที่กัมพูชาและไทยมีการแลกเปลี่ยนการเยือนและการหารือกันอย่างต่อเนื่องในทุกระดับ รวมทั้งได้ยืนยันความพร้อมที่จะทำงานร่วมกับไทยอย่างต่อเนื่องเพื่อสานต่อความร่วมมือทั้งในระดับทวิภาคี และพหุภาคีให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น

ทั้งสองฝ่ายยินดีที่เศรษฐกิจของไทยและกัมพูชาเติบโตอย่างต่อเนื่อง เชื่อมโยงกันอย่างแน่นแฟ้น โดยการค้าระหว่างกันมีการขยายตัวอย่างชัดเจน ซึ่งทั้งสองเห็นพ้องที่จะกระชับความร่วมมือและทำงานอย่างใกล้ชิดเพื่อส่งเสริมการค้าชายแดนและให้บรรลุเป้าหมายการค้าที่ 15 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี ค.ศ. 2025

ไทยและกัมพูชาชื่นชมความร่วมมือด้านการเงินและเศรษฐกิจดิจิทัลที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้น โดยนายกรัฐมนตรีได้เสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของทั้งสองประเทศหารือกัน เพื่อกระชับความร่วมมือด้านการเงินและเศรษฐกิจดิจิทัลในมิติต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น

ในด้านความเชื่อมโยง ไทยให้ความสำคัญกับการส่งเสริมความเชื่อมโยงด้านการคมนาคมขนส่งกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งทั้งสองฝ่ายยินดีที่มีการเปิดใช้งานทางหลวงพิเศษระหว่างกรุงพนมเปญกับจังหวัดพระสีหนุ ซึ่งเป็นทางหลวงพิเศษสายแรกของกัมพูชาเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งไทยพร้อมร่วมมือกับกัมพูชาอย่างเต็มที่เพื่อส่งเสริมความเชื่อมโยงทางคมนาคมขนส่งระหว่างสองประเทศมากยิ่งขึ้น

'ฮุนเซน' ทวีตเย้ยฝ่ายค้านเขมร หลัง 'พิธา' ชวดนั่งนายกฯ ดับฝัน!! แผนใช้ดินแดนไทย รณรงค์ต่อต้านรัฐบาลกัมพูชา

'ฮุนเซน’ ทวีตเย้ยฝ่ายค้านกัมพูชา หลัง ‘พิธา’ พลาดนั่งนายกฯ เหตุหากพิธาได้เป็นนายกฯ กลุ่มเหล่านี้จะใช้ดินแดนไทย รณรงค์ต่อต้านรัฐบาลกัมพูชา

เมื่อวาน (13 ก.ค.66) สมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ทวีตข้อความผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัว ภายหลังจาก นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี มีมติไม่ได้รับการโหวตให้เป็นนายกรัฐมนตรี โดยระบุใจความดังนี้...

ผมขอประกาศในวันนี้ว่า การที่ พิธา ไม่ได้รับคะแนนเสียงมากพอที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย ถือเป็นความล้มเหลวครั้งใหญ่ของฝ่ายค้านหัวรุนแรงในกัมพูชา

มันไม่ได้หมายความว่าผมแทรกแซงกิจการภายในไทย แต่ในอดีตกลุ่มคนทรยศเหล่านี้มักคาดหวังเสมอว่าหาก พิธา ได้เป็นนายกรัฐมนตรีของไทยเมื่อไหร่ พวกเขาเหล่านี้ จะใช้ดินแดนไทยรณรงค์ต่อต้านรัฐบาลกัมพูชา แต่ตอนนี้ความหวังของกลุ่มผู้ต่อต้านที่น่าเดรัจฉาน ได้เลือนหายไปไม่ต่างจากเกลือในน้ำ

จงอย่าเล่นการเมืองโดยพึ่งพาคนอื่น นี่คือข้อความและคำปรารถนาดีจากผม ถึงพวกกลุ่มหัวรุนแรงในกัมพูชา

‘สมเด็จฯ ฮุนเซน’ ยิ้มร่า เข้าคูหาเลือกตั้ง แบบไร้คู่แข่ง เตรียมส่งไม้ต่อให้ลูกชายขึ้นแท่นเป็นนายกฯ คนใหม่

(23 ก.ค. 66) สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานว่า ชาวกัมพูชาเดินทางออกมาใช้สิทธิลงคะแนนเสียงในวันนี้ (23) ในการเลือกตั้งที่ ‘สมเด็จฯ ฮุนเซน’ ผู้นำกัมพูชาที่ครองอำนาจมาอย่างยาวนานใกล้จะคว้าชัยชนะอีกครั้ง ขณะที่เขาพยายามจะรักษามรดกของเขาไว้ด้วยส่งต่อบังเหียนให้ลูกชายคนโต

อดีตทหารเขมรแดงวัย 70 ปี ที่ปกครองประเทศมาตั้งแต่ปี 2528 ไม่ได้เผชิญกับการแข่งขันที่แท้จริงใดๆ ในการเลือกตั้งครั้งนี้ เนื่องจากพรรคฝ่ายค้านถูกตัดสิทธิ คู่แข่งหลายคนจำต้องหลบหนี และเสรีภาพในการแสดงออกถูกจำกัด

พรรคประชาชนกัมพูชา (CPP) ของเขามีแนวโน้มที่จะรักษาที่นั่งทั้งหมด 125 ที่นั่งในสภาล่าง ที่ขยายเวลาการกุมอำนาจออกไปและปูทางไปสู่การสืบทอดอำนาจจากรุ่นสู่รุ่น ที่นักวิจารณ์บางคนเปรียบเทียบกับการเมืองเกาหลีเหนือ

พรรคฝ่ายค้านที่จริงจังเพียงพรรคเดียวถูกตัดสิทธิด้วยเหตุผลด้านเอกสารในการลงสมัครรับเลือกตั้ง และจะเป็นเรื่องน่าประหลาดใจหากพรรคเล็กๆ อีก 17 พรรค ชนะได้ที่นั่งในสภาฯ

ฮุนเซนเดินทางมายังหน่วยเลือกตั้งชานกรุงพนมเปญ พร้อมภริยา เพื่อลงคะแนนเสียงไม่นานหลังหน่วยเลือกตั้งเปิดในเวลา 7.00 น. ตามการรายงานของนักข่าว

สหภาพยุโรป สหรัฐฯ และชาติตะวันตกอื่นๆ ปฏิเสธที่จะส่งเจ้าหน้าที่ร่วมสังเกตการณ์การเลือกตั้ง โดยระบุว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ขาดเงื่อนไขที่ทำให้การเลือกตั้งมีความเสรีและเป็นธรรม ทำให้มีเพียงเจ้าหน้าที่จากรัสเซีย จีน และกินี-บิสเซา เท่านั้นที่เข้าร่วมสังเกตการณ์

ประชาชนมากกว่า 9.7 ล้านคน ลงทะเบียนเพื่อลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้งครั้งที่ 7 นับตั้งแต่การเลือกตั้งครั้งแรกที่สหประชาชาติให้การสนับสนุนเกิดขึ้นในปี 2536 หลังจากประเทศอยู่ภายใต้ความขัดแย้งนานหลายปี ที่รวมถึงยุคของเขมรแดงที่ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ทำให้ประเทศเสียหายยับเยิน

ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ความหวังใดๆ ก็ตามที่ประชาคมระหว่างประเทศอาจมีต่อระบอบประชาธิปไตยแบบหลายพรรคที่สดใสในกัมพูชา ถูกบั่นทอนลงจากการปกครองของฮุนเซน

ฮุนเซนเริ่มมองไปยังอนาคต โดยกล่าวว่าเขาจะส่งมอบให้ลูกชายของเขา ‘ฮุน มาเนต’ นายพลระดับ 4 ดาว ที่อาจเกิดขึ้นได้ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า

“เราใช้สิทธิและความรับผิดชอบของพลเมืองออกมาลงคะแนนเสียงเพื่อเลือกพรรคที่เรารักให้เป็นผู้นำประเทศ” ฮุน มาเนต วัย 45 ปี กล่าวกับนักข่าวหลังหย่อนบัตรเลือกตั้ง

หลายคนสงสัยว่า ฮุน มาเนต ที่ได้รับการศึกษาจากทั้งในสหรัฐฯ และอังกฤษ จะนำการเปลี่ยนแปลงมาสู่ประเทศหรือไม่ แม้ว่า ฮุนเซน จะแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเขาตั้งใจที่จะใช้อิทธิพลอำนาจอยู่ต่อไป แม้ลูกชายของเขาจะเข้าครองอำนาจแล้วก็ตาม

ในขณะที่ฮุน มาเนต ที่นำการเดินขบวนหาเสียงครั้งสุดท้ายของพรรค CPP ในกรุงพนมเปญเมื่อวันศุกร์ บอกกล่าวกับฝูงชนว่าเป็นวันแห่งชัยชนะของประเทศ แต่นักวิจารณ์จะไม่เห็นด้วย และกลุ่มสิทธิมนุษยชนได้ประณามการเลือกตั้งครั้งนี้

ในวันก่อนการเลือกตั้ง แนวร่วม 17 องค์กร ที่รวมถึงเครือข่ายเอเชียเพื่อการเลือกตั้งเสรี (ANFREL) และสหพันธ์สากลเพื่อสิทธิมนุษยชน (FIDH) ระบุว่า การเลือกตั้งมีความน่าวิตกกังวลเป็นอย่างยิ่ง

“การใช้สิทธิเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้นบ่งชี้ว่าไม่ปรากฏถึงความโปร่งใส ความเป็นธรรม และความครอบคลุมในกระบวนการเลือกตั้ง” กลุ่มพันธมิตรระบุในคำแถลงที่ออกในวันเสาร์

ความท้าทายที่แท้จริงเพียงอย่างเดียวสำหรับพรรค CPP มาจากพรรคแสงเทียน แต่ในเดือน พ.ค. คณะกรรมการการเลือกตั้งแห่งชาติปฏิเสธที่จะจดทะเบียนพรรค ทำให้พรรคไม่มีสิทธิร่วมลงเลือกตั้ง

การตัดสินใจดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากพรรคแสงเทียนทำผลงานได้ดีกว่าที่คาดไว้ในการเลือกตั้งท้องถิ่นปีก่อน โดยได้คะแนนนิยมถึง 22%

ก่อนการเลือกตั้ง พรรคแสงเทียนกล่าวกับเอเอฟพีว่าคำตัดสินเกี่ยวกับการลงทะเบียนดังกล่าวหมายความว่าไม่มีทางที่การเลือกตั้งครั้งนี้จะเสรีและเป็นธรรม

“ทุกคนรู้ว่าใครจะเป็นผู้ชนะ” รง ชุน รองหัวหน้าพรรคแสงเทียน กล่าว

นอกจากนี้ ยังมีบรรยากาศแห่งความสิ้นหวังในหมู่ประชาชนที่มาลงคะแนนเสียงภายใต้การปรากฏตัวของตำรวจตามหน่วยเลือกตั้งในกรุงพนมเปญ

“ผมไม่รู้สึกตื่นเต้นอะไร เพราะไม่มีพรรคฝ่ายค้านเหลืออยู่เลย” ชาวกัมพูชาวัย 51 ปี กล่าว

ก่อนการเลือกตั้ง เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นถูกจำกัดอย่างหนัก โดยหนึ่งในสำนักข่าวอิสระที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่แห่งของประเทศถูกปิดตัวลงในปีนี้

และเมื่อเดือนที่ผ่านมา ฮุนเซนยังสั่งปรับแก้กฎหมายเลือกตั้ง โดยกำหนดห้ามไม่ให้ผู้ที่ไม่ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งในครั้งนี้ลงสมัครรับเลือกตั้ง ความเคลื่อนไหวที่ส่งผลต่อคู่แข่งของเขา ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ ‘สม รังสี’ ที่ลี้ภัยอยู่ในฝรั่งเศสเป็นเวลาเกือบทศวรรษเพื่อเลี่ยงความผิดทางอาญาที่เขากล่าวว่ามีแรงจูงใจทางการเมือง และแกม สุขา หัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน ที่ถูกกักบริเวณในบ้านพักหลังจากถูกตัดสินจำคุก 27 ปี ฐานกบฏในข้อหาวางแผนกับชาวต่างชาติเพื่อโค่นล้มรัฐบาลฮุนเซน ทั้งนี้ การเลือกตั้งได้ปิดหีบลงคะแนนในเวลา 15.00 น.

‘ฮุนเซน’ ประกาศลาออก ส่งไม้ต่อให้ลูกชาย หลังนั่งผู้นำประเทศกัมพูชานานเกือบ 40 ปี

‘ฮุนเซน’ ผู้นำประเทศกัมพูชา ประกาศลาออกจากตำแหน่ง หลังปกครองคนเดียวเป็นระยะเวลานานเกือบ 40 ปี ส่งไม้ต่อให้บุตรชายขึ้นตำแหน่งแทน หลังพรรคประชาชนกัมพูชา ชนะแบบแลนด์สไลด์

(26 ก.ค.66) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา เมื่อวันที่ 26 ก.ค. ว่า สมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา แถลงผ่านสถานีโทรทัศน์แห่งชาติ เมื่อวันพุธที่ 25 กรกฏาคมที่ผ่านมา ว่า จะไม่ดำรงตำแหน่งผู้นำรัฐบาลชุดใหม่ หลังพรรคประชาชนกัมพูชา (ซีพีพี) ‘ชนะแบบแลนด์สไลด์’ ในการเลือกตั้งทั่วไป เมื่อวันที่ 23 ก.ค. ที่ผ่านมา ด้วยจำนวน 120 ที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎร ส่วนอีก 5 ที่เหลือเป็นของพรรคฟุนซินเปก

ทั้งนี้ ผู้นำกัมพูชา วัย 70 ปี กล่าวว่า พล.อ.ฮุน มาเนต บุตรชายคนโต วัย 45 ปี ซึ่งได้รับเลือกตั้งครั้งนี้เป็นสมัยแรก จะเป็นผู้นำการจัดตั้งรัฐบาล และว่าที่นายกรัฐมนตรีคนต่อไป โดยในระหว่างนี้ สมเด็จฮุน เซน จะยังคงรักษาการในตำแหน่งผู้นำรัฐบาล

‘อุ๊งอิ๊ง’ โต้!! ไม่ใช่ตัวแทน ‘ทักษิณ’ บินกัมพูชา เข้าพบ ‘ฮุนเซน’ ยัน!! ไปในนามหัวหน้าพรรค ส่วนหัวข้อพูดคุยยังไม่ได้ตกลงแน่ชัด

(5 มี.ค.67) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ในฐานะหัวหน้าพรรค พท. ให้สัมภาษณ์ถึงกำหนดการที่จะเดินทางไปเยือนประเทศกัมพูชาเพื่อพบสมเด็จอัครมหาเสนาบดี เดโช ฮุน เซน ประธานคณะองคมนตรีกัมพูชา อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ว่า มีแพลนว่าจะเดินทางไปวันที่ 18-19 มีนาคมนี้ แต่แพลนโดยละเอียดยังไม่ได้ลง เพราะต้องแพลนร่วมกับทางประเทศกัมพูชาด้วย ซึ่งขณะนี้ยังไม่กำหนดหัวข้อที่จะมีการพูดคุยกัน แต่ใกล้ถึงเวลาที่จะเดินทางไปจะมีการเปิดเผยอีกครั้งว่าจะมีการพูดกันเรื่องอะไรบ้าง

เมื่อถามถึง กรณีที่มีการวิเคราะห์ว่าการเดินทางไปเยือนประเทศกัมพูชาครั้งนี้ เพราะเป็นเรื่องอำนาจทางการเมืองแทนนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธารกล่าวว่า ไม่ต้องแทน ซึ่งหากถึงเวลาที่นายทักษิณจะไป ท่านก็ไปเองได้ แต่ขณะนี้ตนเป็นหัวหน้าพรรค พท. ฉะนั้น จึงไปในฐานะหัวหน้าพรรค ไม่ใช่ในนามของนายทักษิณ

ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า การเดินทางไปเยือนประเทศกัมพูชาในครั้งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับฝ่ายบริหารในรัฐบาลใช่หรือไม่ น.ส.แพทองธารกล่าวว่า ครั้งนี้ตนไปในนามพรรค พท. อย่างไรก็ตาม ย้ำว่ารายละเอียดที่จะพูดคุยกันนั้น เรายังไม่ได้ตกลงกันเนื่องจากต้องดูว่าจะสามารถพูดคุยกันได้ประมาณไหน และต้องดูเรื่องความอ่อนไหวของประเด็นนั้นๆ ด้วยว่าจะสามารถพูดคุยกันได้เท่าไหร่ แต่เรื่องส่วนตัวต้องไม่คุยแน่นอน เพราะก่อนหน้านี้ตนเคยเดินทางไปเองก็จะเป็นการคุยเรื่องส่วนตัวไม่ใช่เรื่องงาน แต่ในครั้งนี้เราเดินทางไปในนามของหัวหน้าพรรค พท. เราจะต้องเตรียมเรื่องงานไปด้วย


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top