Sunday, 8 June 2025
อนุพงษ์เผ่าจินดา

‘อนุพงษ์’ เผย นายกฯ เป็นห่วงปชช.น้ำท่วม สั่งมหาดไทย ลงพื้นที่เยียวยาเร่งด่วน

วันนี้ พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เเละนายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ลงลงพื้นที่อำเภอแม่จัน และตลาดลมจอย อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เพื่อติดตามสถานการณ์อุทกภัยจากพายุมู่หลาน รวมถึง ตรวจการปฏิบัติงานของหน่วยงานต่าง ๆ ในการช่วยเหลือประชาชน พร้อมทั้ง ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน

เบื้องต้นทางภาครัฐได้จัดเตรียม รถประกอบอาหาร2คัน รถผลิตน้ำดื่ม เครื่องสูบน้ำ เเละเตรียมแผน ฟื้นฟูหลังน้ำลด ในการทำความสะอาดบ้านเรือนให้กับประชาชน พร้อมกับ มอบถุงยังชีพ เป็นเครื่องอุปโภคบริโภค ให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม เเละมอบเงิน จำนวน  59,400 บาท ให้กับ มารดาของนายสมศักดิ์ มณีจันทร์สุข ผู้เสียชีวิตจากเหตุอุทกภัยในพื้นที่อำเภอเมืองจังหวัดเชียงรายด้วย 

พล.อ. อนุพงษ์ ยังกล่าวกับผู้ประสบภัยด้วยว่า ท่านนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ฝากกำลังใจเเละความห่วงใยมาให้ทุกคน ทุกคนเป็นคนไทย ไม่ต้องตกใจ เราไม่ทอดทิ้งกัน ทั้งนี้ ได้กำชับผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย สำรวจความเสียหายของพื้นที่เกษตรกรรม เพื่อเตรียม เยียวยาให้กับผู้ประสบอุทกภัยด้วย ทั้งนี้ ได้น้อมนำพระราโชบายของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการทำให้พี่น้องประชาชนกลับมาใช้ชีวิตให้เป็นปกติสุขโดยเร็ววัน

‘บิ๊กป๊อก’ ลุยเชียงใหม่ รับฟังปัญหาการทำงานของท้องถิ่น รับปากจะเร่งแก้ปัญหาให้ ส่วนอะไรที่ทำไม่ได้จะบอกกันตรงๆ

พล.อ อนุพงษ์ ลงพื้นที่เชียงใหม่ พบ ผู้บริหาร อบต. 5,300 แห่งทั่วประเทศ ยืนยันไม่มีนัยอะไร เพราะการเมืองไม่ใช่อนาคตของตนเอง พร้อมรับปาก จะเร่งพิจารณาขึ้นค่าตอบแทน ให้ อบต. และอีกไม่กี่เดือน จะเป็นแค่ตาแก่ ไปเดินกินก๋วยเตี๋ยวขอ อบต. ดูแลด้วย ลั่นหมดไฟแล้ว พร้อมเผย สัปดาห์หน้าเงินเยียวยาน้ำท่วมเข้า ครม. สัปดาห์หน้า 

พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เดินทางไปที่ จังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานพิธีเปิดการอบรมสัมมนา ‘การพัฒนาศักยภาพของท้องถิ่นสู่ความเป็นเมือง ตามหลักการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นไทย" พร้อมกล่าวปาฐกถา ‘บทบาท อบต.กับการพัฒนาฐานรากประเทศไทย’ โดยมี ผู้บริหาร อบต. 5,300 แห่งทั่วประเทศ เข้าร่วมการสัมมนา

โดยสมาคมนายกฯ อบต. แห่งประเทศไทย เสนอข้อเรียกร้อง เพื่อแก้ปัญหาอุปสรรค และสร้างความเสมอภาคของสมาชิก อบต. โดยขอให้แก้ไขปัญหาการทำงานของอบต. ทั้งการกระจายอำอาจ การบริหารงานบุคคลจากส่วนกลางให้ท้องถิ่นสรรหาบุคลากรได้เอง, ขอเพิ่มค่าตอบแทนผู้บริหาร และ สมาชิก อบต., ขอสวัสดิการเบิกค่าเล่าเรียนบุตร, เพิ่มสัดส่วนการพัฒนา ท้องถิ่น จัดสรรงบประมาณ สำหรับ อบต.ที่ได้งบประมาณ ไม่ถึง 30 ล้านบาท, เพิ่มขีดความสามารถในการใช้งบประมาณ โดยให้ มหาดไทย ประสานไปยังกรมบัญชีกลาง เพื่อสามารถคิดเลือกผู้รับจ้างงาน ในวงเงินไม่เกิน 5 ล้าน เพื่อให้ท้องถิ่นและหน่วยงานภาครัฐใช้งบประมาณ ได้อย่างรวดเร็ว และกระตุ้นเศรษฐกิจ จากการใช้งบประมาณจากภาครัฐ 

พลเอกอนุพงษ์ ยอมรับว่านี่เป็นครั้งแรก ตั้งแต่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เพิ่งเคยพบกับผู้นำท้องถิ่นเยอะขนาดนี้ รู้สึกภูมิใจที่ผู้บริหารท้องถิ่น ปฏิญาณตน ว่าจะทำงานด้วยความโปร่งใส ทำงานเพื่อประชาชน เพื่อชาติศาสนา และพระมหากษัตริย์ เพราะนั่นคือดวงใจหลักของการบริหารงานท้องถิ่น พร้อมยืนยันว่า กระทรวงมหาดไทยให้ความสำคัญและ นึกถึงหน่วยงานท้องถิ่นเสมอ ว่ามีอุปสรรค ปัญหา ในการทำงานอย่างไรบ้าง ซึ่งก็จะต้องพูดคุย นำปัญหาต่างๆ ไปปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้น 

พร้อมย้ำว่า ตนเองไม่ได้มั่นหวังทางการเมือง ดังนั้นสามารถพูดได้ทุกอย่างอย่างเต็มที่ ยืนยันการเมืองไม่ใช่อนาคตของตนเอง และไม่มีนัยอื่น นอกจากการทำงานเป็นหลัก และงานที่ตนเองเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง ก็ต้องปรารถนาที่จะทำให้ดีที่สุด การเดินทางมาเชียงใหม่วันนี้ เพื่อรับฟังปัญหา มองการทำงานของทุกภาคส่วน ไม่ได้มีนัยอะไรทั้งสิ้น 

พลเอกอนุพงษ์ รับปากกับผู้บริหาร อบต. จะเร่งพิจารณา ปรับปรุงเพิ่มค่าตอบแทนผู้บริหารและสมาชิก อบต.ให้แน่นอน แต่เท่าไหร่ต้องไปดูกันอีกที เพราะค่าตอบแทนที่ได้ทุกวันนี้ น้อยกว่าค่าแรงขั้นต่ำซึ่งไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน พร้อมสั่งการให้ผู้บริหารท้องถิ่นทำหนังสื่อราชการ ร่างหลักเกณฑ์ การพิจารณา ค่าตอบแทน พร้อมพูดติดตลกว่า “คนที่เป็นผู้นำชุมชน ไม่มีค่าตอบแทน ก็จะมาถลกหนังหัวตนอีก” 

ส่วนเรื่องการเพิ่มบุคลลาการ ไม่น่าจะทำได้ เพราะงบประมาณสำหรับบุคลากร เต็ม 40% แล้ว หากเกินกว่านี้ สังคมจะรับไม่ได้ ข้าราชการ 1 คนตั้งแต่บรรจุจนถึงเกษียณ จะใช้งบประมาณ ถึง 30 ล้านบาท และเห็นว่า บางตำแหน่ง ท้องถิ่นไม่ควรทำเอง เพราะ ไม่ใช่งานที่ถนัด ต้องให้หน่วยงานที่ชำนาญ มาทำเพื่อให้เกิดการพัฒนา อย่างมีศักยภาพ เช่น งานด้านโยธา

'อนุพงษ์' ลงนามแปลงสัญชาติ 'ตู้ ห่าว' ตามขั้นตอน เหตุถูกชงชื่อก่อนนั่ง มท.1 และต้องทำหน้าที่ตาม กม.

เมื่อวันที่ (28 พ.ย. 65) นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ตามที่ได้ปรากฏข่าวเผยแพร่ทางโซเชียลมีเดีย โดยปรากฏสำเนาเอกสารประกาศราชกิจจานุเบกษา เล่ม 131 ตอนพิเศษ 245 ง ลงวันที่ 3 ธันวาคม 2557 ระบุชื่อบุคคลลำดับที่ 35 นายหาว เจ๋อ ตู้ เอกสารหนังสือสำคัญการแปลงสัญชาติเป็นไทย ลงวันที่ 26 มกราคม 2558 ของ นายหาวเจ๋อ ตู้ และปรากฏข้อความระบุว่า ‘อนุพงษ์ เผ่าจินดา คือ ผู้ที่ให้สัญชาติไทยแก่ ตู้ห่าว’

นายสุทธิพงษ์ กล่าวว่า นายหาวเจ๋อ ตู้ แต่เดิมเป็นบุคคลสัญชาติจีน มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในพื้นที่แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร ได้ยื่นคำขอแปลงสัญชาติเป็นไทย ต่อกองบัญชาการตำรวจสันติบาล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2554 ซึ่งเป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยสัญชาติ กรณีเป็นสามีของบุคคลสัญชาติไทย และกองบัญชาการตำรวจสันติบาล สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ส่งเรื่องให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณา กระทรวงมหาดไทยได้ทำการตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารหลักฐานและคุณสมบัติของผู้ยื่นคำขอฯ และนำเสนอเข้าที่ประชุมคณะอนุกรรมการกลั่นกรองการขอแปลงสัญชาติเป็นไทย การขอถือสัญชาติไทยตามสามี และการขอกลับคืนสัญชาติไทย ในการประชุมครั้งที่ 2/2556 เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2556 ซึ่งมีรองอธิบดีกรมการปกครองเป็นประธาน ผู้แทนกองบัญชาการตำรวจสันติบาล ผู้แทนสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ผู้แทนสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ผู้แทนกรมการกงสุล ผู้แทนกรมการจัดหางาน ผู้แทนกรมสอบสวนคดีพิเศษ และผู้ทรงคุณวุฒิเป็นอนุกรรมการ และได้นำเสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการกลั่นกรองเกี่ยวกับสัญชาติ ในการประชุมครั้งที่ 3/2556 เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2556 ซึ่งมีปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นประธาน ผู้แทนกระทรวงกลาโหม ผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ ผู้แทนกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ผู้แทนกระทรวงยุติธรรม ผู้แทนกระทรวงแรงงาน ผู้แทนสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ผู้แทนสำนักงานอัยการสูงสุด ผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้แทนสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ผู้แทนกองอำนวยการรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร และผู้ทรงคุณวุฒิเป็นคณะกรรมการตามกฎหมาย เพื่อเสนอแนะและให้ความเห็นประกอบการใช้ดุลพินิจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

ต่อมารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้น ได้ใช้ดุลพินิจตามกฎหมายว่าด้วยสัญชาติ พิจารณาอนุญาตให้แปลงสัญชาติเป็นไทยได้ แล้วแจ้งสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อนำความกราบบังคมทูลขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต ทำพิธีปฏิญาณตน และประกาศในราชกิจจานุเบกษา

นายสุทธิพงษ์ กล่าวอีกว่า ในการประชุมคณะกรรมการกลั่นกรองเกี่ยวกับสัญชาติครั้งดังกล่าว มีมติเห็นควรเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยใช้ดุลพินิจอนุญาตให้คนต่างด้าวแปลงสัญชาติเป็นไทยได้ จำนวน 12 ราย เพราะเป็นผู้มีคุณสมบัติครบถ้วนของการได้สัญชาติไทยตามที่กฎหมายกำหนด คือ

'บิ๊กป๊อก' แจง 'ตู้ห่าว' ได้สัญชาติไทยถูกต้องตั้งแต่ปี 56 ด้าน 'บิ๊กช้าง' เผย กรณี 'ร.ล.สุโขทัย' อยู่ในระหว่างสืบสวน

(16 ก.พ. 66) ที่รัฐสภา พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ชี้แจงกรณีการขอแปลงสัญชาติไทยของตู้ห่าว ว่า มีการขอใช้ชื่อไทยว่า นายชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ ซึ่งได้ร้องขอแปลงสัญชาติในกรณีเป็นสามีของ พ.ต.ท.หญิง วันทนารีย์ กรณ์ชายานันท์ ซึ่งเป็นคนสัญชาติไทย ได้ร้องขอยื่นแปลงสัญชาติเมื่อวันที่ 3 ส.ค.54 ที่กองบัญชาการตำรวจสันติบาล และผ่านขั้นตอนของคณะอนุกรรมการกลั่นกรอง ก่อนส่งไปยังคณะกรรมการกลั่นกรองเกี่ยวกับสัญชาติ โดยได้พิจารณาเมื่อวันที่ 18 มิ.ย.56 จากนั้น เป็นขั้นตอนของ รมว.มหาดไทย ขณะนั้นคือ นายจารุพงษ์ เรืองสุวรรณ ได้อนุญาตให้แปลงสัญชาติได้ในปี 56 ถือว่าสิ้นกระบวนการได้รับสัญชาติไทยเรียบร้อย

ทั้งนี้ เมื่อผ่านขั้นตอนการปฏิญาณตนแล้ว กระทรวงมหาดไทยได้ทำประกาศเพื่อลงราชกิจจานุเบกษา ฉะนั้น ถือว่าเขาได้ใช้สิทธิตามกฎหมายแต่งงานกับคนสัญชาติไทย และผ่านขั้นตอนการพิจารณาจบสิ้นแล้ว

จากนั้น พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม รับมอบหมายจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ชี้แจงกรณีเรือหลวงสุโขทัย ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รมว.กลาโหม สั่งการให้กองทัพเรือดูแลกำลังพลให้ดีที่สุด ปัจจุบันกองทัพเรือดำเนินการแล้วทั้งเรื่องเงินบำเหน็จ การเลื่อนยศ และให้กองทัพเรือตั้งคณะกรรมการสอบสวนหาสาเหตุ และการรับผิดทางละเมิด โดยให้กองทัพเรือดำเนินการตามกฎหมาย

ส่วนกระทรวงกลาโหม รมว.กลาโหมได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน เพื่อหาสาเหตุที่เกิดขึ้น รวมถึงขั้นตอนการค้นหา ปัจจุบันคณะกรรมการสอบสวนของกองทัพเรือ ได้สอบสวนผู้เกี่ยวข้อง และเชิญหน่วยงานภายนอกมาสอบสวนถึง 289 คน สามารถลำดับเหตุการณ์ให้เห็นภาพได้ แต่เนื่องจากต้องมีข้อมูลประกอบด้วย รมว.กลาโหมจึงสั่งการให้เร่งรีบสรุปผลการดำเนินการ โดยกระทรวงกลาโหมจะดำเนินการสอบสวนด้วยอีกทาง

‘อนุพงษ์’ เปิดศูนย์อำนวยการฯ ลดอุบัติเหตุช่วงสงกรานต์ 66 หวังลดอุบัติเหตุทางถนน-รองรับ ปชช. เดินทางอย่างปลอดภัย

(10 เม.ย.66) ที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว. มหาดไทย ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) เป็นประธาน เปิดศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน ช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2566 และเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน ครั้งที่ 1/2566 โดยมี นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายโชตินรินทร์ เกิดสม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านสาธารณภัยและพัฒนาเมือง นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ผู้บริหาร ปภ. พร้อมด้วยผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงคมนาคม ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด และหน่วยงานภาคีเครือข่ายเข้าร่วมประชุมฯ ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์

พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า รัฐบาลมีความห่วงใยความปลอดภัยในการเดินทางของประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ประจำปี 2566 โดย ศปถ. พร้อมบูรณาการขับเคลื่อนมาตรการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในทุกมิติ ภายใต้แนวคิด ‘ชีวิตวิถีใหม่ ขับขี่อย่างปลอดภัย ไร้อุบัติเหตุ’ เพื่อให้ประชาชนเดินทางช่วงวันหยุดสงกรานต์อย่างสุขใจกับชีวิตวิถีใหม่ที่ห่างไกลอุบัติเหตุ โดย ศปถ.ได้กำหนดนโยบายให้หน่วยงานทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องดำเนินการรณรงค์ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี ซึ่งในช่วงเทศกาลสงกรานต์นี้มีวันหยุดติดต่อกันหลายวัน พี่น้องประชาชนจึงมักเดินทางกลับภูมิลำเนาและท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก

โดยปีนี้คาดว่าจะมีการเดินทางมากกว่าปีที่ผ่านมา ทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุทางถนนเพิ่มสูงขึ้น จึงได้มอบหมายให้ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กระทรวงมหาดไทย บูรณาการหน่วยงานทุกภาคส่วนขับเคลื่อนการสร้างความปลอดภัยทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. 2566 ภายใต้แนวคิด ‘ชีวิตวิถีใหม่ ขับขี่อย่างปลอดภัย ไร้อุบัติเหตุ’ เพื่อให้ประชาชนเดินทางอย่างสุขใจกับชีวิตวิถีใหม่ที่ห่างไกลอุบัติเหตุ โดยได้กำหนดช่วงควบคุมเข้มข้นระหว่างวันที่ 11 - 17 เมษายน 2566 มุ่งลดปัจจัยเสี่ยงอุบัติเหตุทางถนน ด้วยการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ควบคู่กับการอำนวยความสะดวกในการเดินทางของประชาชน ภายใต้ แผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลและช่วงวันหยุด พ.ศ. 2566 ซึ่งมีเป้าหมายลดจำนวนครั้งของการเกิดอุบัติเหตุ จำนวนผู้เสียชีวิต และจำนวนผู้บาดเจ็บ (Admit) ให้ได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับสถิติในช่วงเทศกาลเฉลี่ย 3 ปีย้อนหลัง รวมถึงได้กำหนดมาตรการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนที่มุ่งลดปัจจัยเสี่ยงอุบัติเหตุทางถนนที่ครอบคลุมในทุกมิติ ทั้งคน รถ ถนน และสภาพแวดล้อม โดยเน้นการบังคับใช้กฎหมายและกวดขันพฤติกรรมเสี่ยงของผู้ขับขี่อย่างจริงจังและต่อเนื่อง เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุและสร้างวินัยจราจรให้กับผู้ใช้รถใช้ถนน 

อีกทั้งคุมเข้มความปลอดภัยของยานพาหนะทุกประเภท ทั้งสภาพรถ อุปกรณ์นิรภัย ความพร้อมของพนักงานขับรถ รวมถึงกวดขันรถกระบะที่บรรทุกน้ำหนักเกินและรถบรรทุกขนาดเล็กที่บรรทุกผู้โดยสารในลักษณะเสี่ยง พร้อมเฝ้าระวังและ ป้องปรามพฤติกรรมเสี่ยงอุบัติเหตุทางถนนทุกรูปแบบ โดยเฉพาะการขับรถเร็ว การดื่มแล้วขับ และการไม่ใช้อุปกรณ์นิรภัยควบคู่กับการดำเนินมาตรการ ‘ตรวจวัดแอลกอฮอล์’ และสร้างการรับรู้เกี่ยวกับมาตรการบังคับใช้กฎหมาย สถานการณ์อุบัติเหตุ การใช้รถใช้ถนนอย่างปลอดภัยให้กับประชาชนผ่านทุกช่องทางสื่อสาร ตลอดจนจัดหน่วยบริการการแพทย์ฉุกเฉิน หน่วยกู้ชีพกู้ภัย และเครื่องมืออุปกรณ์ให้พร้อมช่วยเหลือ ณ จุดเกิดเหตุ และส่งต่อ ผู้ประสบอุบัติเหตุอย่างรวดเร็วในทุกพื้นที่ เพื่อลดอัตราการเกิดอุบัติเหตุทางถนน ให้ประชาชนเดินทางอย่างมีความสุขและถึงที่หมายอย่างปลอดภัย" พล.อ.อนุพงษ์ กล่าว

อนุพงษ์ แจง ปมหนี้รถไฟสายสีเขียว ชี้ ต้องรอรัฐบาลใหม่ เหตุ ครม. พิจารณาไม่ได้ เพราะติดระเบียบ กกต.

(13 มิ.ย. 66) พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ระบุถึงกรณีที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) เตรียมจ่ายหนี้ 2 หมื่นล้านบาทให้กับ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ ‘BTSC’ ซึ่งเป็นผู้รับสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว ว่า ขณะนี้เป็นเรื่องที่ทาง กทม. พยายามจะหาแนวทางที่จะดูแลเรื่องนี้อยู่หลังจากได้ทำเรื่องมาถึงคณะรัฐมนตรี หรือ ครม. แต่ทาง ครม. คงไม่สามารถจะพิจารณาได้ตามระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ซึ่งคงจะต้องรอให้รัฐบาลใหม่พิจารณา

ทั้งนี้ ปัญหาหลักคือ จะทำวิธีใดก็ได้แต่ติดปัญหาเรื่องหนี้สินที่มีอยู่ จะใช้งบประมาณจากที่ไหน ซึ่ง กทม.คงไม่มี เมื่อไม่มีก็เหลือหนทางที่จะทำได้คือ ให้เอกชนทำ แต่ต้องเสนอให้คณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (PPP) พิจารณา ซึ่งต้องรออีกหลายปีกว่าจะทำได้ และกว่าจะเป็นสมบัติของ กทม. ก็ในปี 2573 ถึงจะเริ่มใช้ได้ และระหว่างนี้หนี้สินในแต่ละปีจะใช้เงินเท่าไหร่ ก็เหลือทางออกทางเดียวคือ เป็นหน้าที่ของรัฐบาลใหม่ที่จะพิจารณา

นอกจากนี้ ภาระหนักขณะนี้จึงตกอยู่กับบริษัทฯ เพราะยังต้องเดินรถให้บริการประชาชน ขณะเดียวกัน กทม. ก็ยังไม่มีความสามารถที่จะจ่ายเรื่องหนี้สิน แต่ก็คิดว่าทางผู้ว่าฯ กทม.ต้องมีการหาทางแก้ไขอยู่แล้ว

ทางด้าน พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว. กลาโหม ปฏิเสธที่จะตอบคำถามเรื่องการแก้ปัญหาภาระหนี้รถไฟฟ้าสายสีเขียว โดยกล่าวเพียงว่า “ให้เป็นเรื่องของหน่วยงานเขาไปแก้ปัญหา”

‘มท.1’ เร่งหาแหล่งเงินเยียวยา ปชช.เหตุพลุระเบิดนราธิวาส ลั่น!! ภาครัฐจะดูแลให้ดีที่สุด พร้อมล่าตัวเจ้าของโกดังดำเนินคดี

(4 ส.ค. 66) ที่ท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 (บน.6) ดอนเมือง กรุงเทพฯ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้สัมภาษณ์ถึงการลงพื้นที่บริเวณจุดเกิดเหตุโกดังเก็บดอกไม้ไฟระเบิด ตำบลบ้านมูโนะ อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส ว่า มาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของแต่ละหน่วยงานที่จะดูแล โดยเฉพาะในส่วนของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย แต่สิ่งที่สำคัญตอนนี้คือเรื่องการฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายทั้งหมด ซึ่งมีปัญหาทั้งเรื่องความแออัด และปัญหาน้ำท่วม จึงจะใช้แนวทางการปฏิรูปที่ดิน เพื่อจัดรูปแบบใหม่

ซึ่งวันเดียวกันนี้ ได้เตรียมทางเลือกมารายงานให้นายกรัฐมนตรีรับทราบแล้ว ก่อนจะนำไปให้ประชาชนพิจารณา รวมถึงจะมีการพิจารณาเรื่องแหล่งเงิน เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเสียหาย ให้สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้เหมือนเดิมและอยู่ดีกินดีขึ้น

เมื่อถามถึงกรณีที่มีคนตั้งข้อสังเกตว่าวงเงินที่ใช้ในการฟื้นฟูผลกระทบที่เกิดจากเหตุการณ์นี้น้อยไป พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวยืนยันว่า รัฐบาลจะพยายามทำให้ดีที่สุด จากแหล่งเงินหลายแห่ง หากดูตามประวัติศาสตร์ การจ่ายเงินเกินอำนาจเป็นไปไม่ได้ กฎหมายอนุญาตให้จ่ายได้เท่าไหร่ รัฐฯ พยายามทำให้ดีที่สุด โดยเฉพาะในส่วนของผู้เสียชีวิตกว่า 10 ราย

เมื่อถามต่อถึงการดำเนินคดีกับเจ้าของโกดังที่หลบหนีไปต่างประเทศ และผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ขณะนี้กำลังดำเนินการทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นใครทั้งสิ้น ขอให้ประชาชนเข้าใจ จะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะบุคคลที่ทำให้เกิดเหตุนี้ขึ้น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top