Tuesday, 21 May 2024
อนาคตใหม่

ชำแหละข้อผิดพลาด ‘อนาคตใหม่ถึงก้าวไกล’ มองข้าม ‘คนรุ่นเก่า’ ผู้ทรงอำนาจทางการเมือง

ดร.เฉลิมพล ไวทยางกูร นักวิชาการอิสระ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กประเด็น จากพรรคอนาคตใหม่…ถึงก้าวไกล…ไปต่ออย่างไร ว่าสมัยที่เริ่มตั้งพรรคอนาคตใหม่ สนใจมากเหมือนกัน เพราะเข้ากับแนวโน้มของโลกที่คนรุ่นใหม่อายุน้อยเริ่มเข้ามามีบทบาททางการเมืองในหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศแถบตะวันตกไม่ว่า แคนาดา, นิวซีแลนด์, ฟินแลนด์, ฝรั่งเศส, ออสเตรีย

ในขณะเดียวกัน ก็เขียนถึงพรรคอนาคตใหม่ว่ามีจุดอ่อนอะไรบ้างที่ต้องป้องกัน เมื่อเข้าสู่การเป็นพรรคการเมืองแบบไทย ๆ อย่างเต็มรูปแบบ

1.) พรรคและสมาชิกพรรค ตั้งแต่หัวหน้าพรรค รองหัวหน้าพรรค คณะกรรมการบริหารพรรค ทั้งหลายต้องเตรียมตัวเตรียมการที่จะตกในสถานะตั้งรับมากกว่ารุกหลังการเลือกตั้ง เพราะก่อนเลือกตั้งนั้นเป็นการโจมตีคนอื่น พรรคอื่น นักการเมืองอื่น รวมทั้งคนที่อยู่ในอำนาจ ไม่ว่ารัฐบาลทหาร คนรักสถาบัน อะไร ๆ ที่พรรคอนาคตใหม่เห็นต่าง แต่หลังการเลือกตั้ง พรรคจะกลับเป็นฝ่ายถูกโจมตีจากคนหรือฝ่ายที่เคยถูกพรรคอนาคตใหม่โจมตี เพราะคนในพรรคอนาคตใหม่กลายเป็นบุคคลสาธารณะ เป็นนักการเมืองเริ่มมีบทบาทอำนาจในทางการเมือง ถนนทุกสายจะมุ่งหน้ามาที่พรรค พรรคจะรับมืออย่างไร

2.) พรรคอนาคตใหม่มีนักบริหารและนักสื่อสารองค์กรด้วยเทคโนโลยีและวิธีการสื่อสารแบบใหม่เข้าถึงคนรุ่นใหม่ แต่ไม่มีบุคลากรที่เข้าถึงคนรุ่นเก่าที่ยังมีอำนาจและอิทธิพลในทางการเมือง สื่อเหล่านี้เข้าไม่ถึง พรรคอนาคตใหม่ไม่มีการเตรียมการในเรื่องเหล่านี้เลย มุ่งเน้นจับกลุ่มคนรุ่นใหม่ ผู้บริหารพรรคไม่มีการผสมผสานคนรุ่นเก่าที่เข้าใจการเมืองแบบไทย ๆ มีประสบการณ์

3.) พรรคอนาคตใหม่ขาดนักกฎหมายระดับหัวกะทิ ประสบการณ์เชิงเทคนิคมากกว่าคนสอนกฎหมาย พรรคไม่ได้มองปัญหานี้ คิดว่าถ้าได้ทำตามกฎระเบียบแล้วเป็นอันใช้ได้ แต่ในทางกฎหมายจะมีเทคนิคการใช้กฎหมายที่ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย นักกฎหมายของพรรคขึ้นอยู่กับสองสามคนระดับรองหัวหน้าและเลขาธิการพรรค ซึ่งไม่พอ พรรคอนาคตใหม่ต้องมี war room ระดมกำลังจากนักกฎหมายฝีมือดีป้องกันปัญหา ไม่ใช่คอยตามแก้ปัญหา ซึ่งสายเกินไป

สิ่งที่เกิดกับพรรคอนาคตใหม่นี้ เป็นเรื่องของการเตรียมการอย่างฉุกละหุกในการตั้งพรรค แก้ปัญหารายวัน ปัญหาเฉพาะหน้า การทำงานแบบนี้ขาดความรอบคอบอย่างมาก เกิดช่องโหว่ให้ถูกโจมตีจากทุกทิศทางโดยไม่สามารถตั้งรับได้ทั้งหมด การถูกถาโถมรอบทิศ ทำให้พรรคอนาคตใหม่เปรียบเสมือนหมาบ้านหลงฝูงเข้ามาสู่วงหมาวัด ที่ไม่รู้ว่าจะมาไม้ไหนบ้าง ตั้งรับไม่ถูก และไม่สามารถรุกได้

ผู้ร่วมก่อตั้ง 'อนาคตใหม่' ลาขาด 'ก้าวไกล' ไร้ประชาธิปไตย ไม่ฟังความเห็นต่าง

(9 ก.พ. 66) หลังจากมีข่าวสะพัดว่า นายคริส โปตระนันทน์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขตจตุจักร พญาไท ราชเทวี ในฐานะผู้ร่วมก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ และมูลนิธิเส้นด้าย เตรียมประกาศลาออกจากพรรคก้าวไกล พร้อมทีม ส.ก.อีกจำนวนหนึ่ง เพื่อไปก่อตั้งพรรคการเมืองใหม่นั้น

ล่าสุด นายคริส โปตระนันทน์ โพสต์เฟซบุ๊กถึงสาเหตุการลาออกจากสมาชิกพรรคก้าวไกลว่า  สวัสดีครับประชาชนที่รักทุกท่าน วันสองวันนี้มีคนสอบถามผมเข้ามาเยอะว่า ผมยังเป็นสมาชิกพรรคก้าวไกลอยู่หรือไม่? ผมเรียนถึงทุกท่านตามตรงว่า ผมมีความภูมิใจในการเป็นส่วนหนึ่งในพรรคนี้ไม่น้อยกว่าใคร แต่ตัวผมก็ได้ลาออกจากสมาชิกพรรคก้าวไกลตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เพราะเหตุผลสามประการ

1. ผมอยากจะทำการเมืองในพรรคที่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ความเป็นประชาธิปไตยของพรรคยังห่างจากที่พรรคโฆษณาอีกมาก การที่ผมได้มาร่วมก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่กับคุณธนาธรเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2561 เพราะผมไม่ได้มาทำการเมืองเพื่อให้ใครได้เป็น ส.ส. หรือเพื่อให้ใครได้อำนาจ หรือมาทำการเมืองเพื่อผลักดันวาระทางการเมืองของใครบางคน

ผมอยากได้พรรคการเมืองที่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริงคือพรรคการเมืองที่ประชาชนเป็นเจ้าของ

เวลาจากวันนั้นถึงวันผ่านมา 5 ปี  ต้องถามกลับไปที่ประชาชนผู้เป็นสมาชิกพรรค จำนวนกว่า 60,000 คน ว่าทราบบ้างหรือไม่ว่าพรรคมีประชุมสามัญวันไหน พรรคมีการคัดเลือกผู้สมัครส.ส.กันอย่างไร กลไกในการคัดเลือกนโยบายที่จะหาเสียงในคราวนี้ คุณเคยมีส่วนร่วมในการตัดสินใจหรือไม่? ใครจะได้เป็นส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ของพรรคในการเลือกตั้งครั้งนี้ คุณรู้หรือไม่?

ผมในฐานะที่เคยเป็นสมาชิกตลอดชีพทั้งพรรคอนาคตใหม่และพรรคก้าวไกล ตอบได้เลยว่า เรื่องทั้งหมดที่เป็นเรื่องที่สำคัญมากทั้งสิ้น ล้วนเป็นเรื่องของการตัดสินใจของคนกลุ่มเล็ก ๆ เท่านั้น ผมให้ชื่อเล่นกลุ่มนี้ว่า 'โปลิตบูโร'

หากการบริหารพรรคยังเป็นอย่างนี้ หากพรรคก้าวไกลได้อำนาจในการบริหารประเทศ พรรคก้าวไกลจะบริหารประเทศอย่างไร ก็คงต้องอยู่ที่คนกลุ่มนี้ ไม่ได้อยู่สมาชิกพรรคแต่อย่างใด
เรื่องดีๆ ใครก็พูดได้ แต่ทำยาก ผมก็เข้าใจ มิฉะนั้น พรรคก้าวไกลในอนาคตคงจะมีชะตากรรมไม่ต่างจากพรรคการเมืองที่ดีแต่พูด (Hypocrital party)

เรื่องนี้ผมสะท้อนให้แกนนำฟัง ผมพูดในที่ประชุมใหญ่พรรคทุกปี พูดกับทุกคน คำตอบที่ได้มีเพียงแค่ “ขอเวลาหน่อย” “เรายุ่งมาก อดทนหน่อยนะ ทำให้แน่ ๆ” “เลือกตั้งคราวหน้า เราทำแน่ ๆ” ฟังดี ๆ มันคล้ายที่คุณประยุทธ์พูด “ขอเวลาอีกไม่นาน”

เรื่องนี้ผมรับรู้อย่างลึกซึ้งด้วยตัวเอง เมื่อเดือนที่ผ่านมา ผมสอบถามผ่านแกนนำว่า ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อจะจัดการอย่างไร เป็นไปได้หรือไม่ที่ผมจะขยับไปลงส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ เพราะมีโอกาสสูงมากที่เขตที่ผมลงรอบปี 62 (ราชเทวี พญาไท จตุจักร 2 แขวง) จะถูกแบ่งใหม่แยกเป็นสามส่วน และผมก็เชื่อว่า ความรู้ความสามารถของเราสามารถที่จะช่วยให้พรรคหาเสียงทั่วประเทศได้ เพราะ 2 ปีที่ผ่านมา การทำงานของผมและเพื่อนๆในกลุ่มเส้นด้ายลงไปทำงานกับชุมชนแออัดทั่วทุกเขตในกทม. และในอีกหลายจังหวัดทั่วประเทศ จนส.ก.ในกลุ่มของผมได้รับเลือกตั้งจำนวนมาก และเกือบชนะอีกจำนวนหนึ่ง

คำตอบที่ได้กลับมาคือ คุณจะมาเป็นได้ยังไง? คุณเหยียบย่ำหัวใจคนในพรรคขนาดนี้ ผมก็งงสิครับนี่มันเรื่องอะไร ผมไปเหยียบใครตอนไหน พอนั่งนึกก็ถึงบางอ้อ

- ผมคัดค้านการลงสมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครของส.ส.วิโรจน์ เพราะเห็นว่าตัวผู้สมัครของเราไม่ดีพอที่จะสู้กับผู้ว่าชัชชาติ

ผลคือ พรรคก้าวไกลแพ้ต่อผู้ว่าชัชชาติชนิดคะแนนทิ้งกัน 2 แสนกับ 1.2 ล้านเสียง

- ผมคัดค้านการแต่งตั้งส.ส.บัญชีรายชื่อคนหนึ่งมาเป็นผู้อำนวยการเลือกตั้งส.ส.ซ่อมเขตจตุจักร-หลักสี่ เพราะส.ส.บัญชีรายชื่อไม่มีทางที่จะเข้าใจการเลือกตั้งแบบเขต หากไม่เคยลงเลือกตั้งมาก่อน

ผลคือ พรรคก้าวไกลแพ้ในเขตชนิดคะแนนทิ้งกันเกือบหมื่นคะแนน

- ผมคัดค้านการแต่งตั้งส.ส.บัญชีรายชื่อคนหนึ่งมาเป็นผู้อำนวยการเลือกตั้งส.ส.ในกรุงเทพมหานคร ปี 66 อีกครั้ง เพราะเรากำลังเอาคนที่ทำเลือกตั้งแพ้มาแล้วครั้งหนี่งมาคุมเลือกตั้งที่สำคัญกว่าและใหญ่กว่า

- ผมในฐานะอดีตประธานมูลนิธิเส้นด้ายแถลงข่าวกรณีที่อาสาของมูลนิธิเข้าไปช่วยเหลือเหยื่อที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศจากอดีต ส.ก. พรรคก้าวไกล

ผลคือ ผมโดนถล่มจากสมาชิกพรรคว่า ไม่ปกป้องพรรค

ผมไม่เคยกลัวในการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง ไม่เคยกลัวในการกระทำที่เราคิดว่าถูกต้อง และที่ผ่านมา ผมพูดตรง ๆ กับพรรคเสมอถึงความยุติธรรมในประเด็นต่าง เช่น การเกลี่ยทรัพยากรของส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ กับส.ส.เขต ความน้อยเนื้อต่ำใจของคนที่ลงพื้นที่เหล่านี้อยู่ในใจของผู้สมัครท้องถิ่น หรือผู้สมัครส.ส.เขตทุกคนแต่ไม่มีใครกล้าพูด แต่การที่ผมพูดกับแกนนำแบบนั้น มันทำให้ผมกลายเป็น

-ทำไมคุณถึงมีปัญหาตลอดเลย?

-ผมเป็นคนเลว เพราะผมต้องการแย่งเงิน แย่งทรัพยากรจากส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ?

-ผมเป็นคนไม่จงรักภักดีกับพรรค?

วันที่ผมนั่งคุยกับแกนนำเรื่องการขยับไปลงส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ วันนั้นแกนนำท่านหนึ่งซึ่งเป็นเจ้าของบริษัท เปรียบเทียบให้ผมฟังว่า หากมีเซลล์ในบริษัท 2 คน คนแรกเป็นคนเก่ง คนฉลาด ยอดขายดีมาก ๆ แต่ต่อรองผลประโยชน์ตลอด กับอีกคนยอดขายครึ่งเดียวของคนแรก แต่จงรักภักดีมากๆ เค้าจะเลือกคนที่สอง

ผมก็เลยรู้แล้วว่า ชะตากรรมผมในพรรคนี้จะเป็นตาย ร้าย ดี ก็ขึ้นอยู่กับว่า ผมจะพิสูจน์ความจงรักภักดีกับ “โปลิตบูโร” ได้หรือไม่? แน่นอนนั่นคือวิธีการบริหารงานแบบหนึ่ง เรื่องนี้ไม่มีถูก ไม่มีผิด แต่เมื่อคุณโฆษณากับประชาชนแล้วว่าคุณเป็นพรรคประชาธิปไตย พฤติกรรมของคุณต้องทำให้ได้ตามที่คุณพูด ไม่งั้นจะกลายเป็น สำนวนไทย ข้างนอกสุกใส ข้างในตะติ๊งโหน่ง

2. ผมไม่เห็นด้วยกับนโยบายหลายประการของพรรคก้าวไกล

พรรคการเมืองอนาคตใหม่ที่ผมร่วมจัดตั้ง ผมฝันว่าพรรคจะเป็นสถาบันทางการเมืองที่เป็นเหมือนร่มคันใหญ่ ที่สามารถโอบรับได้กับความหลากหลายของสมาชิกพรรค ไม่ว่าจะเป็นความคิดการเมืองแบบฝั่งซ้าย ความคิดการเมืองแบบฝั่งขวา ความคิดเศรษฐกิจแบบเสรี ความคิดเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม

วันแรกจุดร่วมของจุดใหญ่คือการไม่เอาเผด็จการ (เรื่องการแก้ไข 112 ในวันนั้นยังไม่ใช่วาระของพรรคด้วยซ้ำ) ส่วนเรื่องอื่น ๆ ที่เหลือ อ.ปิยบุตรยังเคยบอกผมตอนเถียงกับอ.ษัษรัมย์ (ตอนนั้นอ.เสนอเรื่องรัฐสวัสดิการ แต่ผมเสนอว่าคำตอบน่าจะเป็นเศรษฐกิจแบบเสรีมากกว่า) เรื่องนโยบายเศรษฐกิจของพรรคว่า เดี๋ยวค่อยไปคุยกัน เมื่อเราทำภารกิจสำเร็จ ต่างฝ่ายค่อยแยกออกไปตั้งพรรคก็ได้

5 ปี เดินผ่านไป วันนี้นโยบายของก้าวไกลหล่นลงมาจากฝากฟ้า หล่นลงมาจากห้องแอร์ ไม่ว่าคุณจะเรียกชื่อมันว่าอะไร

วันนี้หนึ่งในนโยบายหาเสียงที่สำคัญที่สุดของพรรคก้าวไกลคือ เงินบำนาญของคนที่อายุเกิน 60 ปี ถ้วนหน้าเดือนละ 3,000 บาท หากนโยบายนี้สำเร็จ รัฐบาลจะมีรายจ่ายจากแปดหมื่นกว่าล้าน เป็นสามแสนล้านหกหมื่นล้านบาททันที

คริส โปตระนันทน์ ชี้! 'ก้าวไกล' หากไม่ปรับบริหาร พรรคก็จะเล็กลงเรื่อย ๆ จนเหลือแต่ 'เลือดแท้' จำนวนน้อย และไม่มีเสียงพอที่จะผลักวาระของพรรคให้สำเร็จผ่านระบบรัฐสภา

“หาก 'ก้าวไกล' ไม่ปรับการบริหาร แทนที่พรรคจะใหญ่ขึ้น ก็จะเล็กลงเรื่อย ๆ จนเหลือแต่ 'เลือดแท้' จำนวนน้อย และไม่มีเสียงพอที่จะผลักวาระของพรรคให้สำเร็จผ่านระบบรัฐสภา”

'พลพรรค' แห่เท 'อนาคตใหม่-ก้าวไกล' ระเบิดเวลาที่รอวันทำลายตัวเอง (อีกหน)

ดุเดือดกว่า สงครามรัสเซีย-ยูเครน ในยามนี้ก็การเมืองไทยนี่แหละ ล่าสุดเหมือนถล่มพรรคก้าวไกลด้วยระเบิดพลีชีพ เมื่อ 'คริส โปตระนันทน์' ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขตจตุจักร พญาไท ราชเทวี ในฐานะผู้ร่วมก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ และมูลนิธิเส้นด้าย ประกาศลาออกจากพรรคที่ตนเองร่วมก่อตั้งเมื่อครั้งยังเป็นพรรคอนาคตใหม่ ด้วยเหตุผลหลักสามข้อ ที่เจ้าตัวชี้แจงชัดเจนออกสื่อ 

ข้อแรกคือ อยากทำงานการเมืองในพรรคที่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง แล้วอธิบายว่าความเป็นประชาธิปไตยของพรรคก้าวไกลยังห่างไกลจากที่พรรคโฆษณาไว้มาก จากนั้นก็แฉรัวๆ ว่า พรรคก้าวไกลไม่ใช่พรรคการเมืองที่ประชาชนเป็นเจ้าของ แต่อำนาจอยู่ในมือคนกลุ่มเล็กที่เรียกว่าโปลิตบูโร แบบนี้ควรเรียกว่าพรรค 'พวก' มากกว่า 

ส่วนข้อสองคือความขัดแย้งเรื่องการลงสมัครเลือกตั้ง เพราะตนเองเคยเกือบชนะในเขตพญาไทมาแล้ว แต่พอปรึกษาพรรค กลับถูกตอกหน้าว่าจะมาเป็นได้อย่างไร จากนั้นกล่าวอ้างว่าคริสเหยียบย่ำหัวใจคนในพรรค ทั้งนี้เพราะเคยคัดค้านการลงผู้ว่าของวิโรจน์และคัดค้านผู้อำนวยการเลือกตั้งซ่อมเขตจตุจักร 

ส่วนเหตุผลข้อสามคือ คริสเป็นอดีตประธานมูลนิธิเส้นด้าย เคยช่วยเหลือเหยื่อการถูกล่วงละเมิดทางเพศจากอดีต ส.ก.พรรคก้าวไกล แต่กลับโดนด่าว่าไม่ปกป้องพรรค 

จะว่าไปเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นเรื่องที่ได้ยินอยู่ตลอดเวลา ทุกครั้งที่สมาชิกพรรคก้าวไกลโบกมือลาออกจากพรรค จะได้ยินปมขัดแย้งเรื่องเดิม ๆ เสมอ คนแล้วคนเล่าที่ก้าวออกจากพรรค ต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่าพรรคก้าวไกลใช้ระบบพรรคพวกมากกว่าพิจารณาที่ผลงาน 

ลองย้อนอดีตกันหน่อยว่า ส.ส.และ สมาชิกพรรคก้าวไกลกี่คนแล้วที่ลาออก หรือถูกไล่ออก เพราะปมขัดแย้งในพรรคนี้ หลายคนคงจำได้กรณีงูเห่าสีส้ม เมื่อปี 2562 ตอนนั้นพรรคอนาคตใหม่ยังไม่ถูกยุบ พรรคมีมติขับ ส.ส. 4 คน คือ กวินนาถ ตาคีย์ ส.ส.ชลบุรี, พ.ต.ท.ฐนภัทร กิตติวงศา ส.ส.จันทบุรี, ศรีนวล บุญลือ ส.ส.เชียงใหม่ และ จารึก ศรีอ่อน ส.ส.จันทบุรี โดยจิกเรียก ส.ส.ทั้งสี่คนว่าเป็นงูเห่าสีส้ม เพราะลงมติสวนทางกับพรรคหลายครั้ง โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์

ก่อนหน้านั้น ส.ส.ศรีนวล บุญลือ เป็น ส.ส.ที่เป็นคนขานชื่อธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีในสภา เรียกได้ว่าถือเป็นขวัญใจเจ้าของพรรคก็ว่าได้ แต่พอโหวตสวนเท่านั้นแหละ มีการขับไสไล่ส่งพ้นพรรค ที่หนักสุดคือ มีการด้อยค่าสารพัด แม้กระทั่งเอาตุ๊กตาตัวเงินตัวทองมาวางหน้าที่ทำการพรรค ซึ่งอยู่ในตึกของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ทำให้บรรดาคอการเมืองแทบไม่เชื่อสายตาว่า จะเห็นการบูลลี่ในพรรคที่อ้างว่า 'คนเท่าเทียม' กัน

ต่อมาเกิดการแฉครั้งมโหฬารโดย ดร.โจ ชาญวิทย์ ใจสว่าง อดีตผู้สมัคร ส.ส.อนาคตใหม่เขตหนึ่ง ชุมพร หลังประกาศลาออกจากพรรค ข้อมูลที่แฉก็คล้ายกับข้อมูลของคริส นั่นคือตัวตนพรรคก้าวไกลคือ เผด็จการตัวจริง มีกลุ่มใกล้ชิดเพื่อนนักเรียนนอก มีชนชั้นในพรรคอนาคตใหม่ ไม่ได้เป็นเหมือนภาพที่ขายฝันไว้ พรรคนายกโซเชียลจ้างบริษัทเอเจนซี่ ตั้งวอร์รูมทำงาน 7:00-24:00 คอยจับตาตามเพจ ทวิตเตอร์ โซเชียลมีเดียต่างๆ แล้วสร้างไอดีผี ซอมบี้ส้ม เข้าไปรุมด่าคนที่มาวิจารณ์พรรค รวมถึงปั่นโหวตต่าง ๆ ดร.โจไม่ได้แฉแค่หนเดียวจบ แต่แฉตามมาต่างกรรมต่างวาระ 

‘คริส’ ขยี้ ‘พิธา’ เลิกมองคนวิจารณ์เป็นศัตรู เพราะยิ่งตอกย้ำ ‘ลัทธิบูชาผู้นำ-โปลิตบูโร’

(22 ก.พ. 66) นายคริส โปตระนันท์ อดีตว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขตจตุจักร พญาไท ราชเทวี พรรคก้าวไกล (ก.ก.) โพสต์เฟซบุ๊ก ‘คริส โปตระนันทน์ - Chris Potranandana’ ภายหลังนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ตอบโต้กับนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล ระบุว่า…

วัฒนธรรมการซุกปัญหาไว้ใต้พรมไม่ใช่ส่วนผสมของระบอบประชาธิปไตย การบอกว่ามาทำภารกิจกันก่อน ส่วนข้อวิจารณ์ ขอให้ทำการภายใน เดี๋ยวเราค่อยแก้ไข ไม่ต่างกับ 'การขอเวลาอีกไม่นาน'

การวิพากษ์วิจารณ์ในที่สาธารณะ อาจเป็นเรื่องยากและเรื่องใหม่สำหรับบ้านเรา ที่มักติดกับ 'ลัทธิบูชาผู้นำ'

พรรคก้าวไกลยังดีกว่านี้ได้ ต้องเลิกคิดว่าคนที่วิจารณ์ทั้งหมด เป็นศัตรู คุณมาทำการเมือง ต้องน้อมรับคำวิจารณ์ แก้ไขหรือไม่แก้ไขเป็นเรื่องของทีมบริหาร

ผู้ร่วมก่อตั้งอนาคตใหม่ เผย ‘ปิยบุตร’ ที่รู้จัก เลย ‘มือพาย’ ไปไกล แค่หวั่นใจทิศทางวันนี้

(22 ก.พ. 66) นายภูวกร ศรีเนียน หรือ 'จ.เจตน์' หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) และอดีตผู้สมัคร ส.ส.เขต 1 จังหวัดพะเยา โพสต์เฟซบุ๊ก Phuvakorn Srinean แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล กับนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ในหัวข้อ 'อ.ปิยบุตร ที่ผมรู้จัก' มีเนื้อหาดังนี้...

"มือไม่พาย เอาเท้าราน้ำ"
ช่วงปี 53 หลัง ทหารสลายการชุมนุมเสื้อแดง
กระแสสังคม คนกรุง ที่มีความรู้ ทันสมัย ส่วนใหญ่
เหยียบย่ำ ซ้ำเติม ผู้ชุมนุม

มีกลุ่มอาจารย์จำนวนหนึ่ง ออกมายืนยันความถูกต้อง ออกมายืนยันสิ่งที่ควรจะเป็นไปอย่างตรงไปตรงมา โดยไม่สนใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง

หนึ่งในนั้น มีอาจารย์กฏหมาย ชื่อ ปิยบุตร
นี่คือครั้งแรกในชีวิต ที่ผมรู้จักเค้า 

"มือไม่พาย เอาเท้าราน้ำ"
ช่วงก่อน น้ำท่วม ปี 54  กลุ่มอาจารย์เหล่านั้น
ใช้ชื่อ ว่า นิติราษฏร์ ออกมา พูดดัง ๆ ในสังคม

ล้างพิษรัฐประหาร 49 จนเป็นความหวังของคนในสังคม ที่แสวงหาหลักการประชาธิปไตยอย่างจริงจัง

เป็นการจุดคบเพลิงความคิดที่มีพลัง
แน่นอน หนึ่งในนั้น มีอาจารย์ป๊อก รวมอยู่ด้วย

"มือไม่พาย เอาเท้าราน้ำ"
กฏหมาย มาตรา 112 เริ่มถูกพูดถึง ในยุคที่วัยรุ่น
ยังไม่ตื่นตัวทางการเมือง

ความเสี่ยงต่าง ๆ ในการอธิบายเรื่องนี้ต่อสังคม 
แน่นอน มีน้อยคนที่จะกล้าหาญ
หนึ่งในนั้น มีอาจารย์ป๊อก รวมอยู่ด้วย

"มือไม่พาย เอาเท้าราน้ำ"
ช่วงก่อตั้งอนาคตใหม่ ต้นปี 61 หลายคนต้องตัดสินใจเปลี่ยนชะตาชีวิตตัวเอง  
ในวันที่ไม่มีใครรู้ว่า การตั้งพรรคการเมืองแนวใหม่ จะประสบผลอย่างไร

‘อดีตเพื่อนธร’ ชี้!! ‘พิธา-ปิยบุตร’ แตกคอ!! ความจริงการเมือง แค่วาทกรรมอันสวยงาม

(22 ก.พ. 66) นายพิชิต ไชยมงคล อดีตโฆษกกลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) และแกนนำกลุ่มประชาชนคนไทย (ปท.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Pichit Chaimongkol’ แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการตอบโต้และขัดแย้งกันระหว่างนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล กับนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า มีเนื้อหาดังนี้...

ก้าวไกลบอกก้าวไปไกลๆ

ปรากฏการณ์ พิธาสวนปิยบุตร ธนาธรเล่นบทพระเอก พูดหลักการ
บทสะท้อนความเป็นจริงทางการเมือง สังคม ที่ตรงกันข้ามกับความฝันวาทกรรมที่สวยงาม

มันคือการเมืองเรื่องของอำนาจ โดยอ้างเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงสังคม ทุกพรรคก็เป็นเช่นนี้ เป็นเรื่องอำนาจที่ต้องกุมสภาพการนำให้ได้ ซึ่ง ปิยบุตร คงอยากกุมอำนาจโดยการกำหนดทิศทางนอกพรรค ก็เหมือนทักษิณ ชินวัตร ที่เป็นผู้มี อิทธิพลนอกพรรค ทักษิณทำเช่นไร ปิยบุตรก็คล้ายๆ กันเช่นนั้น

เพียงแต่

เพื่อไทยไม่มีใครโต้ทักษิณ
ก้าวไกลกล้าตอบโต้ปิยบุตรแค่นั้นเอง

ตี๊ต่าง!! ‘ปิยบุตร’ VS ‘พิธา’ ซัดกันไปมา ยังกะ ‘จูเลียส ซีซาร์’ VS ‘บรูตุส’

ต่อกรณีของ ‘ปิยบุตร แสงกนกกุล’ อดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ เปิดวิวาทะกับ ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ผ่านสมรภูมิเฟซบุ๊ก โดยมีผู้สันทัดกรณีและแฟนคลับของแต่ละฝ่ายเฝ้าติดตามด้วยความระทึกในหัวใจกับศึกสายเลือดครั้งนี้เป็นจำนวนมาก เพราะแม้ ‘ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ’ ตัวพ่อลงทุนออกโรงหมายหย่าศึกด้วยตนเองแล้ว แต่ดูเหมือนทั้งสองยังไร้ทีท่าจะรามือกันแต่อย่างใด

ผู้ชมริงไซต์บางคนบอกนึกถึง ‘จูเลียส ซีซาร์’ (Julius Caesar) รัฐบุรุษแห่งกรุงโรม กับ ‘มาร์คุส ยูนุส บรูตุส’ (Marcus Junius Brutus) หรือ ‘บรูตุส’ นักการเมืองวัยห้าวชาวโรมัน สองตัวละครระดับตำนาน ‘แทงข้างหลัง’ ที่โลกจารึก

ฝ่ายแรก คือ บุรุษผู้กอบกู้และนำพาความเจริญรุ่งเรืองมาสู่โรม แม้ช่วงหลังของการครองบัลลังก์จะถูกมองว่า “...เขาไม่สนใจจารีตเก่า ไม่แม้แต่จะเหลียวมองกลุ่มขั้วอำนาจการเมืองที่ยังคงอยากรักษาสถานะทางสังคมของพวกเขาเอาไว้ ในยามที่กรุงโรมกำลังอยู่ในสถานการณ์ความวุ่นวาย เขากลับเป็นอำนาจที่ไม่อาจโค่นล้มได้”

ขณะที่คนหลังเป็นนักการเมืองหนุ่ม อนาคตไกล ผู้มีอุดมการณ์ต่างจากซีซาร์คนละขั้ว แต่ยังคงได้รับความเมตตาตลอด เพียงเพราะชื่อ ‘เซอร์วิเลีย’ (Servilia) นางผู้เป็นที่โปรดปรานของซีซาร์ และก็คือมารดาของบรูตุส ดังนั้นสายตาที่มองมายังบรูตุส จึงไม่ต่างจากบิดามองลูกชายตน

เรื่องนี้จบอย่างไรหลายคนทราบดี - ส่วนคนไม่รู้ก็ไปหาอ่านเอาเอง

แต่ประเด็นสำคัญมิได้อยู่ที่ว่า ‘พิธา กับ ปิยบุตร’ หรือ ‘บรูตุส กับ ซีซาร์’ เพราะเมื่อเกิดความขัดแย้งขึ้นมา ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดก็ต้องกล่าวโทษอีกฝ่ายว่า คือ ‘ผู้ผิด’ เสมอ ดังที่ ปิยบุตรพูด (เขียน) ถามถึงพิธาก่อนว่า “...ผู้นำพรรคก้าวไกลมีศักยภาพเพียงพอที่จะทำให้คนเชื่อว่าพรรคก้าวไกลจะชนะในเขตเลือกตั้งได้หรือไม่?”

ขณะที่พิธาโต้กลับตรง ๆ ว่า ปิยบุตรต้อง “เลิกมือไม่พายเอาเท้าราน้ำ” - “เลิกทำตัวไม่เป็นมืออาชีพ” เสียที

สองคนมองเหมือนว่าตนคือซีซาร์ผู้ถูกแทงกลางหลังโดยคมมีดของอีกฝ่าย

และทั้งปิยบุตรกับพิธาก็ถูกมองว่าคือ ‘บรูตุส’ ผ่านสายตาอีกฝั่งเช่นกัน

แต่หากพิเคราะห์ดี ๆ แล้ว เนื้อหาโพสต์เฟซบุ๊กซึ่งตอบโต้กันอย่างเปิดเผยคราวนี้ กลับแทบไม่ต่างจากการชี้หน้าด่ากันกลางตลาด หากเพียงตัดรูปประโยคสวยหรูทว่าแสนรุงรังออกทิ้ง เรื่องทั้งมวลจะเหลือแค่แกนหลักของเรื่อง ซึ่งก็คือ ‘สาวไส้’ ของกันและกันออกมา ‘กอง’ ต่อหน้าสาธารณชนรับรู้ ส่วนคนดู (กา) จะกิน ปรบมือ เป่าปาก โห่ หรือฮา ก็แล้วแต่วิจารณญาณของใครของมัน


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top