Sunday, 12 May 2024
สุวินัย_ภรณวลัย

‘สุวินัย’ มั่นใจ ไร้เงื่อนไขจุดไฟสงครามปชช. จับตาปฏิบัติการเช็กบิล ‘ขบวนการล้มล้างฯ’

ดร.สุวินัย ภรณวลัย ประธานยุทธศาสตร์วิชาการ สถาบันทิศทางไทย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ออกมาโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า เมื่อมีสถานภาพเป็น "ขบวนการล้มล้างการปกครองฯ" ไปแล้ว ต่อไปผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลัง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ จะถูกดำเนินคดีในข้อหากบฏทั้งสิ้น

นี่คือจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญอันเนื่องมาจากข้อวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญวันที่ 10 พฤศจิกายนที่ผ่านมา

อีกฝ่ายพยายามสร้างวาทกรรมสงครามประชาชนขึ้นมาต่อสู้ ต่อต้านศาลรัฐธรรมนูญ

'สุวินัย' มองการโดนคดีม.112ของ 'ปิยบุตร' เป็นโอกาสทองพิสูจน์ความเป็น 'คนจริง'

'สุวินัย' มองอีกมุมการโดนคดีม.112ของ 'ปิยบุตร' คือโอกาสทองที่จะได้พิสูจน์ความเป็น'คนจริง'ชี้ต้องรับผิดชอบในความคิดและการกระทำของตนเอง เหน็บคิดเป็นนักปฏิวัติได้มิใช่เรื่องแปลกแต่อย่าลวงโลกเป็นวิญญูชนจอมปลอม

(17 มิ.ย.65) ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊กภายหลังนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า โพสต์เรื่อง "เมื่อผมกลายเป็นผู้ต้องหาในความผิด 112 " มีเนื้อหาดังนี้

ผมว่าคนแต่ละคนมีจุดพีคในชีวิตไม่เหมือนกันนะ

ในกรณีของอาจารย์ปิยบุตร จุดพีคของเขาน่าจะเป็นช่วงปี 2018-9

ในฐานะเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ และผู้นำทางความคิดเรื่องการปฏิวัติฝรั่งเศสเพื่อเปลี่ยนแปลงสถาบันกษัตริย์ไทย ที่ทรงอิทธิพลที่สุดต่อคนรุ่นใหม่ในตอนนั้น ... จนเป็นที่มาของขบวนการ"ชูสามนิ้ว(เพื่อล้มเจ้า)" ที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการในการชุมนุมที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิตในวันที่ 10 สิงหาคม 2020

วันนี้ อาจารย์ปิยบุตรถูกตั้งข้อหาคดี ม.112 ผมคิดว่าเป็นเรื่องดีที่อาจารย์ปิยบุตรจะยืดอกไปพิสูจน์ตัวเองในศาล เคียงบ่าเคียงไหล่กับพวกลูกศิษย์สาวกจำนวนหนึ่งที่โดนคดี ม.112 ไปก่อนแล้ว ... เพราะอย่างน้อยนี่คือความรับผิดชอบเชิงจริยธรรมของคนที่เคยเป็นครูบาอาจารย์ในมหาวิทยาลัย

'ดร.สุวินัย' เลคเชอร์ความเชื่อเรื่อง 'สมมติเทพ' ของ 'พุทธ-พราหมณ์' ผู้ประกอบแต่คุณงามความดี ภายใต้ทศพิธราชธรรม

(18 มี.ค. 67) รองศาสตราจารย์ ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความในหัวข้อ 'สมมติเทพ' ระบุว่า...

สถาบันกษัตริย์ในภูมิภาคนี้ ผูกพันกับพระวิษณุนารายณ์ (มหาเทพผู้ปกป้อง) และบูชาพระวิษณุนารายณ์

ในตำนาน พระวิษณุนารายณ์ อวตารลงมาเป็นพระรามเพื่อปราบอธรรมใน 'รามเกียรติ์' ซึ่งเป็นวรรณคดีประจำชาติ...พระรามเป็นกษัตริย์

พระวิษณุนารายณ์ยังอวตารลงมาเป็น พระกฤษณะเพื่อปราบอธรรม ใน 'มหาภารตะยุทธ' ...ซึ่งเป็นวรรณคดีประจำชาติของอินเดีย...พระกฤษณะก็เป็นกษัตริย์

'สมมติเทพ' คือคติความเชื่อเรื่องกษัตริย์ทรงเป็นเทพลงมาจุติเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อประกอบคุณความดี (ทศพิธราชธรรม) และสะสมบารมี เมื่อเสด็จสวรรคตก็กลับขึ้นสรวงสวรรค์

เมืองไทยได้รับคติพราหมณ์นี้มาจากขอม โดยที่ขอมก็รับมาจากอินเดียใต้อีกทอดหนึ่ง คติความเชื่อนี้แยกไม่ออกจากโลกทัศน์แบบไตรภูมิ ซึ่งเป็นโลกทัศน์ของพุทธศาสนาด้วย

ในพระไตรปิฎกคำว่า 'เทพ' มี 3 อย่างคือ...

(1) อุบัติเทพ : เทพโดยกำเนิด ได้แก่เทวดาที่อยู่ในสวรรค์
(2) สมมติเทพ : เทพโดยสมมติ คือบุคคลที่เป็นเทวดาเดินดินโดยการยอมรับหรือตกลงร่วมกันของมนุษย์ในเชิงสถาบัน ได้แก่ พระมหากษัตริย์ (ถ้าในประเทศญี่ปุ่น คือพระจักรพรรดิที่ถือเป็นสมมติเทพของญี่ปุ่น)
(3) วิสุทธิเทพ : เทพโดยความบริสุทธิ์ของจิต ได้แก่ พระอรหันต์

จะเห็นได้ว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ตั้งอยู่บนคติและรากฐานความเชื่อแต่โบราณของสองศาสนาผสมผสานกัน คือ พราหมณ์ กับ พุทธ

โดยที่พราหมณ์จะเชื่อว่าพระมหากษัตริย์ทรงเป็นสมมติเทพ เป็นอวตารปางหนึ่งที่ลงมาดับทุกข์เข็ญให้ประชาชนของพระองค์ ส่วนพุทธก็จะเชื่อว่าพระมหากษัตริย์เป็นพระโพธิสัตว์ ทรงมีภาระบำเพ็ญบารมีเพื่อจะได้เข้าสู่พุทธภูมิในกาลข้างหน้า

พระครูสมุห์ วิษุวัตร วรกิจจฺโจ 
เจ้าอาวาสวัดฝายหิน 

“เขาเป็นสมมติเทพ ชาวบ้านในประเทศไทยเคารพนับถือแต่ไหนแต่ไรมา อาตมาเสียดาย ติดตามข่าวทำไมถึงไป คิดถึงขั้นนั้น แล้วถ้าโยมไม่คิด บริวารเขาคิด"

'รศ.ดร.สุวินัย' เลคเชอร์!! พระพุทธเจ้ามีจริงหรือไม่? แนะ!! ไม่ต้องถก แค่เข้าใจคำสอนที่เป็นหัวใจแห่งพุทธธรรมก็พอ

(27 มี.ค.67) รองศาสตราจารย์ ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

เห็นเมื่อสองวันก่อน อยู่ดี ๆ พิภพ ธงชัย อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (คนเสื้อเหลือง) ก็โพสต์ขึ้นมาลอย ๆ ว่า "พระพุทธเจ้าไม่มีจริง!"

ไม่ต้องมาเถียงกันหรอกว่า พระพุทธเจ้ามีจริงหรือไม่?

เราควรมาทำความเข้าใจให้ตรงกันก่อนดีกว่าว่า พระพุทธเจ้าสอนอะไร และอะไรคือคำสอนที่เป็นหัวใจของพุทธธรรม?

ถ้าเป็นชาวพุทธจริง ๆ ย่อมทราบดีว่า การเจริญสติเป็นแก่นคำสอนของพระพุทธองค์ และเป็นทางเอกไปสู่การบรรลุพุทธะ

'สติ' ตามความหมายของพุทธธรรมคือ 'สติ' ที่เป็นสภาพธรรมฝ่ายดี เป็นเจตสิกที่เกิดกับจิตที่ดีเท่านั้น ... โดยจะไม่เกิดกับอกุศลจิตเลย

สติจึงเป็นเจตสิก และเป็นเจตสิกที่เป็นสังขารขันธ์ 

เจตสิกหมายถึงองค์ประกอบของจิต อาการหรือการแสดงออกของจิต

ถ้าแบ่งเจตสิกตามประเภทของ ขันธ์ จะแบ่งได้เป็น 3 ประเภท คือ เวทนาขันธ์ (เวทนาเจตสิก), สัญญาขันธ์ (สัญญาเจตสิก) และ สังขารขันธ์ (ซึ่งเป็นเหมือนรหัสพันธุกรรมของจิต)

ดังนั้น ขณะใดที่เป็น 'อกุศล' ขณะนั้นย่อมไม่มี 'สติ' ตามความหมายของพระพุทธองค์

แต่ถ้าขณะใดที่เป็น 'กุศล' ไม่ว่าระดับใด ขณะนั้นย่อมมี 'สติเจตสิก' เกิดร่วมด้วยเสมอ 

เพราะ 'สติ' ทำหน้าที่ระลึก และกั้นกระแสกิเลสที่เกิดขึ้น ไม่ให้เกิดขึ้นในขณะที่ 'สติ' เกิด

นอกจากนี้ 'สติ' ยังมี 4 ขั้นในคำสอนเชิงปฏิบัติของพระพุทธองค์ คือ…

(1) สติขั้นทาน (ระลึกที่จะให้)
(2) สติขั้นศีล (ระลึกที่จะไม่ทำบาปทางกาย-วาจา-ใจ)
(3) สติขั้นสมถะ (ระลึกลมหายใจ)
(4) สติขั้นวิปัสสนา (ระลึกลักษณะสภาพธรรมที่เกิดขึ้นตรงหน้า พร้อมกับ 'รู้' ว่ามันไม่มีตัวตน)

ในวิชาอภิธรรมของพระพุทธองค์... 'สติ' สังกัดอยู่ใน ‘โสภณเจตสิก 25’

โสภณเจตสิก หมายถึง กลุ่มเจตสิกฝ่ายดีงาม เป็นกลุ่มที่ประกอบได้กับ 'โสภณจิต' โดยที่โสภณเจตสิกมีอยู่ 25 ดวง แบ่งเป็น 4 กลุ่มดังนี้...

กลุ่มที่หนึ่ง ‘โสภณสาธารณเจตสิก 19’ 
ได้แก่ สติ, สัทธา, หิริ, โอตตัปปะ, อโลภะ, อโทสะ, ตัตรมัชฌัตตา (อุเบกขา) รวมเป็น 7

ที่เหลือจัดเป็น 6 คู่รวมเป็น 12 คือการบังคับควบคุมเจตสิกและจิตที่ดี ได้แก่...
(1) กายลหุตา จิตลหุตา (ทำกายเบาจิตเบา)
(2) กายมุทุตา จิตมุทุตา (ทำกายอ่อนจิตอ่อน)
(3) กายกัมมัญญัตตา จิตกัมมัญญัตตา (ทำกายจิตควรแก่งาน คือพอประมาณ)
(4) กายอุชุตา จิตตอุชุตา (ทำกายจิตให้ตรง ไม่เอนเอียง)
(5) กายปัสสัทธิ จิตตปัสสัทธิ (ทำกายจิตให้สงบ)
(6) กายปาคุญญตา จิตตปาคุญญตา (ทำกายจิตให้คล่องแคล่ว)

กลุ่มที่สอง ‘วิรัตติ 3’
ได้แก่ สัมมาวาจา(เจรจาชอบ) สัมมากัมมันตะ (กระทำชอบ) และ สัมมาอาชีวะ (เลี้ยงชีพชอบ)

กลุ่มที่สาม ‘อัปปมัญญา 2’
ได้แก่ กรุณา กับ มุทิตา

กลุ่มที่สี่ ‘ปัญญา 1’
ได้แก่ ปัญญินทรีย์ หรือการกำหนด 'รู้'

จะเห็นได้ว่า ‘ลมปราณกรรมฐาน’ เป็นกรรมฐานที่ทรงพลังมากในการเจริญ 'สติเจตสิก' เพราะลมปราณกรรมฐานมุ่งเจริญ ‘โสภณสาธารณเจตสิก 19’ โดยตรงนั่นเอง

ใครจะด้อยค่าพุทธธรรมยังไง...ก็ตามใจเถิด 

ใครจะไม่เชื่อในคำสอนของพระพุทธเจ้า...ก็แล้วไปเถิด

ใครจะอวดดีประกาศว่าพระพุทธเจ้าไม่มีจริง...ก็ทำไปเถิด

เพราะเพชรแท้ ไม่ว่าจะถูกมองยังไง...มันก็ยังเป็นเพชร (แห่งปัญญา) อันเลอค่าอยู่ดี

~ สุวินัย ภรณวลัย
Suvinai Pornavala

‘อ.สุวินัย’ โพสต์เฟซฟาด ‘โน้ส อุดม’ ที่พูดสนุกปาก ‘เรื่องความพอเพียง’ ย้ำ!! ขอเดินตาม ‘วิถีแห่งชีวิตศักดิ์สิทธิ์’ ที่พ่อหลวง ร.9 ได้ทำให้เห็นเป็นแบบอย่าง 

(6 พ.ค.67) รองศาสตราจารย์ ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊ก เกี่ยวกับกรณีที่ โน้ส อุดม แต้พานิช ได้ขึ้นเดี่ยวไมโครโฟน พูดถึงเรื่องของความพอเพียง อย่างผิดความหมายที่แท้จริง โดยได้ระบุว่า ...

หนทางพิสูจน์ม้า เวลาพิสูจน์อุดม

ทุกครั้งที่มึงหรือกูพิมพ์อะไร พูดอะไรในโซเชียล นั่นหมายถึงทั้งมึงและกูพร้อมแล้วที่จะให้คนอื่นเห็นสติปัญญาของมึงและของกู ได้เห็นธาตุแท้สันดานที่แท้จริงของตัวมึงและตัวกู

กูไม่ขอเป็น ‘คนรุ่นเก่า’ ที่หิวแสงและมุ่งเกาะกระแสคนรุ่นใหม่เพื่อเอาใจ...อย่างมึง

กูไม่ขอเป็น 'ทาสของความโลภ' ที่เที่ยวป่าวประกาศว่าตัวเองเป็น "คนไม่รู้จักพอ" แถมยังมาแซะหลักการเศรษฐกิจพอเพียง...อย่างมึง.

กูขอแสวงหา "ความรุ่มรวยทางจิตวิญญาณ" แทนที่จะแสวงหาความมั่งคั่งทางวัตถุ ผ่านการใช้ชีวิตที่เรียบง่ายและพอเพียงโดยเต็มใจ

โดยไม่ตกเป็นทาสเงิน รวมทั้งทาสของโลกธรรม 8 ทั้งปวง...อย่างมึง 

กูกับมึงต่างกันตรงนี้ ทั้งในความเป็นมนุษย์และความเป็นลูกผู้ชาย ...

กูขีดเส้นแบ่งกับมึงตรงนี้ชัดเจนว่ากูกับมึงเป็นมนุษย์คนละสายพันธุ์กัน
เพราะกูไม่เคยเอาเรื่องของผู้หญิงที่เคยคบหาออกมาแฉบนเวทีการแสดงเพื่อให้เป็นเรื่องตลก หรือเป็นเหยื่อของเสียงหัวเราะอย่างที่มึงทำอย่างหน้าตาเฉย

คนที่ชื่นชอบมึง เชียร์มึง เป็นแฟนคลับของมึง ก็คงมีสันดานไม่ต่างกันเท่าไรหรอก 

‘เงิน’ สำหรับกู ต้องเป็นแค่เครื่องมืออย่างหนึ่งในการใช้ชีวิตของกูเท่านั้น

‘เวลา’ สำหรับกู ต้องมีไว้สำหรับทำหน้าที่ให้ถูกต้อง ในฐานะที่เป็น ‘ผู้ให้’ กับเพื่อฝึกฝนตนเองในสรรพวิชาต่างๆ เพื่อพัฒนาความเป็นมนุษย์ที่แท้ให้ถึงขีดสุดแห่งศักยภาพเท่านั้น

‘ความตาย’ สำหรับกู มันก็แค่การได้หยุดพักชั่วคราวจากการอาสาลงมาเกิด เพื่อสืบสานปณิธานอันยิ่งใหญ่ของพระโพธิสัตว์ชาติแล้วชาติเล่าเท่านั้น

นี่คือ ‘วิถีแห่งชีวิตศักดิ์สิทธิ์’ ที่พ่อหลวง ร. 9 ของกูได้ใช้ชีวิตทั้งชีวิตของท่านทำให้ดูเป็น ‘แบบอย่าง’ ให้ได้รู้ ได้เห็น ได้เจริญรอยตาม ‘วิถีชีวิตศักดิ์สิทธิ์’ แบบนี้แหละจึงจะสามารถตอบโจทย์วิกฤตสังคมของประเทศนี้ที่กำลังหลงทางและถูกจูงจมูกให้เดินลงเหวโดยพวกนักการเมืองได้จริง

เนื่องเพราะ ‘ชีวิตศักดิ์สิทธิ์’ เช่นนี้พึ่งพาเงินตรา อำนาจ ตำแหน่งหัวโขนใดๆ น้อยเหลือเกิน 

มันแทบไม่มีความจำเป็นด้วยซ้ำ เพราะ ‘ชีวิตศักดิ์สิทธิ์’ เป็นเรื่องของการยินยอมเลือกใช้ชีวิตอย่างสมถะ เรียบง่ายและพอเพียงโดยเต็มใจ

เพื่อมีชีวิตอยู่อย่างแข็งแรง อย่างรุ่มรวยทางจิตวิญญาณและทางปัญญาตราบจนวาระสุดท้ายของชีวิตตนเท่านั้น


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top