ที่ศูนย์เรียนรู้พลังงานทดแทน โรงเรียนเชตวันวิทยา ตําบลหัวทุ่ง อําเภอลอง จังหวัดแพร่ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรคสร้างอนาคตไทย (สอท.) พร้อมด้วยนายวิเชียร ชวลิต รองหัวหน้าพรรคฯ นายวัชระ กรรณิการ์ รองเลขาธิการพรรคฯ และนายบุญส่ง ชเลธร สมาชิกพรรคฯ พบปะผู้นำชุมชน เครือข่ายองค์กรชุมชน ปราชญ์ชุมชน กว่า 200 คน จาก 9 จังหวัดภาคเหนือได้แก่ จังหวัดแพร่, เชียงใหม่, ลำพูน, ลำปาง, เชียงราย, น่าน, สุโขทัย, อุตรดิตถ์ และเพชรบูรณ์ เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่องการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก โดยมีพระครูโสภณปัญญาธร ให้การต้อนรับและร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรคสร้างอนาคตไทย (สอท.) กล่าวว่า สถานการณ์โลกทุกวันนี้เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วท่ามกลางความไม่แน่นอนและผลกระทบจากปัจจัยที่เหนือการควบคุมอย่างเช่น โรคระบาดโควิด-19 สงครามรัสเซีย-ยูเครน ปัญหาโลกร้อน รวมถึงการดิสรัปชั่นของเทคโนโลยีต่างๆ ที่นำมาสู่การสร้างเงื่อนไขใหม่ๆ ในสังคมโลก ซึ่งประเทศไทยจำเป็นต้องมีความเข้มแข็งจากภายในประเทศทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคมเพื่อรับมือต่อสถานการณ์การดังกล่าว และหัวใจสำคัญที่จะนำไปสู่ปัจจัยดังกล่าวก็คือการสร้างเศรษฐกิจฐานให้แข็งแรงซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบาย 5 สร้างของพรรคสร้างอนาคตไทย

ทั้งนี้ การลงมาจังหวัดแพร่ครั้งนี้ ตั้งใจมาเยี่ยมชมศูนย์การเรียนรู้พลังงานทดแทนโรงเรียนเชตวัน และพบปะรับฟังข้อเสนอเชิงนโยบายจากผู้นำชุมชน เครือข่ายองค์กรชุมชน ปราชญ์ชุมชน และชาวบ้านในพื้นที่ 9 จังหวัดในภาคเหนือ โดยศูนย์การเรียนรู้พลังงานทดแทนโรงเรียนเชตวัน ที่ขับเคลื่อนโดยพระครูโสภณปัญญาธร ถือเป็นหนึ่งในต้นแบบของระบบเศรษฐกิจฐานรากที่ครบวงจรทั้งด้านพลังงาน สิ่งแวดล้อม และการสร้างอาชีพชุมชน ที่พัฒนาคู่ขนานนวัตกรรมต่างๆ เช่น การประยุกต์ใช้ถ่านเป็นพลังงานทดแทนแก๊สแอลพีจี ในครัวเรือน และน้ำมันเบนซินที่ใช้ในรถตุ๊ก ตุ๊ก

นอกจากนี้ ยังได้รับฟังการดำเนินงานโครงการฝายมีชีวิต จากเครือข่ายชุมชนจังหวัดน่าน ซึ่งเป็นแนวคิดที่น่าสนใจในด้านการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหาน้ำท่วม การพังทลายของหน้าดินต่างๆ เพื่อสร้างแหล่งน้ำชุมชน ต่อยอดกลายเป็นแหล่งอาหารของชุมชนที่อุดมสมบูรณ์ ซึ่งสะท้อนให้เห็นความสำคัญของแหล่งน้ำ ที่เห็นได้ชัดว่าหากมีแหล่งน้ำที่ไหน ความอุดมสมบูรณ์ก็จะตามมา

นายสนธิรัตน์ กล่าวต่อว่า สิ่งต่างๆ ที่ได้แลกเปลี่ยนในวันนี้สอดคล้องกับนโยบาย 5 สร้างของพรรคสร้างอนาคตไทย ซึ่งพรรคฯ จะนำข้อมูลทั้งหมดทั้งปวงนี้ไปบูรณาการให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันและกลั่นกรองเป็นนโยบายที่พรรคจะใช้ขับเคลื่อนในเชิงพื้นที่ให้ตอบโจทย์ชุมชนและประชาชนให้ได้มากที่สุด โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อแก้ปัญหาปากท้องและสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจของประเทศต่อไป
อย่างไรก็ตาม การขับเคลื่อนเรื่องเศรษฐกิจฐานรากของพรรคสร้างอนาคตไทยทั้งเรื่องพลังงาน และเรื่องการส่งเสริมสินค้าชุมชน จะไม่รอเลือกตั้ง ไม่รอการเป็นรัฐบาล แต่จะขอมาร่วมกับแกนนำที่เข้มแข็งอย่างเช่นพระครูโสภณปัญญาธรที่เริ่มต้นไว้แล้ว เพื่อขยายไปสู่จังหวัดเครือข่ายทั่วประเทศให้ได้
“ผมมองว่าชุมชนรากหญ้าทั่วประเทศมีศักยภาพจากทรัพยากรในฐานะประเทศเกษตรกรรมอยู่แล้ว ซึ่งหากมีนโยบายเข้าไปพัฒนาที่ตอบโจทย์กับศักยภาพของพื้นที่ ทั้งเรื่องการแก้ปัญหาแหล่งน้ำ การเข้าถึงพลังงาน และการพัฒนาอาชีพท้องถิ่น เชื่อว่าจะนำมาซึ่งความเข้มแข็งทั้งในส่วนของชุมชนและเศรษฐกิจฐานรากของประเทศได้ โดยพรรคฯ ให้ความสำคัญทั้งเรื่องการต่อยอดสิ่งที่ชุมชนทำมาดีอยู่แล้ว ควบคู่กับการเติมในส่วนที่ขาด พร้อมทั้งส่งเสริมในด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่ให้มีความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันผมจะมาสานต่อนโยบาย Energy For All ที่ริเริ่มไว้เมื่อครั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน โดยจะประกาศนโยบายให้ประชาชนสามารถติดตั้งโซลาร์เซลล์ผลิตไฟฟ้าใช้เองทั่วประเทศ และขายคืนส่วนเกินให้กับรัฐบาล โดยจะผลักดันให้มีการแก้หลักเกณฑ์และกฎหมายให้ประชาชนเข้าถึงพลังงานและเป็นเจ้าของพลังงานเพื่อสร้างรายได้และลดค่าใช้จ่ายของประชาชนทั้งในเรื่อง Net Metering และ Smart Meter เพราะนโยบายพลังงานถือเป็นปัจจัยต้นๆ ที่จะมีส่วนช่วยสร้างให้สร้างเศรษฐกิจฐานรากทั่วประเทศให้มีความเข้มแข็ง เพื่อเป็นรากฐานผลักดันเศรษฐกิจระดับประเทศให้เติบโตในเวทีโลกได้อย่างยั่งยืน ผมและพรรคสร้างอนาคตไทยพร้อมเปิดรับข้อเสนอเชิงนโยบายจากพี่น้องประชาชนทั่วประเทศ เพื่อจับมือสร้างอนาคตเศรษฐกิจฐานรากไทยไปด้วยกัน” เลขาธิการพรรคสร้างอนาคตไทย กล่าว