Sunday, 19 May 2024
ศาลอาญากรุงเทพใต้

‘ศาลอาญากรุงเทพใต้’ สั่งจำคุก ‘มานี-จินนี่’ ไม่รอลงอาญา หลังปราศรัยดูหมิ่นศาล ‘หยาบ-แรง’ แบบไม่มีมูลความจริง

(19 ก.ย.66) พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ ๒ ยื่นฟ้อง นางสาวเงินตา คำแสน หรือ มานี และจิรัชยา สกุลทอง หรือ จินนี่ เป็นจำเลย ในความผิดต่อเจ้าพนักงานในการยุติธรรม, หมิ่นประมาท, พระราชบัญญัติควบคุมการโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียงในคดีหมายเลขดำที่ อ๑๔๕๑/๒๕๖๕ หมายเลขคดีแดงที่ อ๑๖๖๕/๒๕๖๖ ว่า เมื่อวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๖๕ เวลากลางวัน จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันกล่าววาจาดูหมิ่นผู้พิพากษาในการพิจารณาคดีว่า... 

“อันนี้ความคิดหนูเองนะ บางทีเนี่ย อ่า ที่ทำงานได้พวกเหี้ยเนี่ย ไอ้พวกพิพากที พิพากเหี้ยอะไรเนี่ย อ่า บางวันมันก็จะมีคนที่คุณธรรม มีจิตใจที่ดี คุณธรรม แล้วก็มองเห็นอนาคตของเด็ก แล้วก็เห็นอกเห็นใจเด็ก มันมีนะฮะ มันก็จะไม่มีการไต่สวนไง ไม่มีการยื่น ยื่นไปมันก็ คนนั้นยังไม่ได้มาทำงานไงพี่จินนี่ แต่วันไหนที่ยื่นก็จะโดนแต่ไอ้ตัวเหี้ยๆ ที่มานั่งรับคำสั่ง”

และ “คือ คนพวกนี้ พวกคนเหี้ยๆ ที่มานั่งรอรับคำสั่งเนี่ย โดยจิตใต้สำนึกเค้าด้วยนะคะ เค้าเป็นคนที่ชอบเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว ก็คือลิดรอน...” และ “สารเลวอยู่แล้ว” และ “สารเลวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ไม่รู้ว่าเรียนมาหาพ่อหาแม่หาพระแสงง้าวอะไรนะ” และ “พ่อกับแม่ขายควายส่งควายเรียน อันนี้ได้ยินคนเฒ่าคนแก่พูด มาวันเนี้ย หนูถึงเข้าใจไงเนี่ยแหละไอ้พวกควายมันนั่งอยู่ข้างบนนี่แหล่ะ แล้วก็มีเหี้ยอยู่ข้างบนสั่งการนะฮะ” 

และ “ลูกเต้ามึงอ่ะไปโรงเรียน กูกลัวมันจะเอาปี๊บคลุมหัว ที่มีพ่อจังไรอัปรีย์ อย่างพวกมึง ทำงานยังไม่มีอิสระในการทำงาน ความคิดยังไม่มีอิสระเป็นของตัวเอง ถ้ามึงจะมาทำงานแบบเนี้ยมึงไปขายน้ำเต้าหู้เถอะ อีสัตว์ มึงอย่ามาเป็นผู้พิพากษาไอ้หน้าเหี้ย ตัดสินแบบนี้กูก็ทำได้ ไม่ต้องเรียนหรอกกฎหมายประเทศไทยอ่ะ กูไม่พอใจกูก็ขัง กูไม่พอใจใครก็อยากให้ให้ตายกูก็สั่งให้แม่งตายได้”

อันเป็นการดูหมิ่นผู้เสียหาย ซึ่งเป็นผู้พิพากษาในการพิจารณาคดีดังกล่าว ว่าเป็นบุคคลที่มีความประพฤติไม่ดีเป็นคนไม่ดี ไม่มีความเป็นกลาง และเป็นการใส่ความผู้เสียหายต่อบุคคลที่สามทำให้บุคคลทั่วไป เข้าใจว่าผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้พิพากษาไม่มีความเป็นกลางในการพิจารณาคดี 

ทั้งนี้ การดูหมิ่นและหมิ่นประมาทผู้เสียหายดังกล่าว ผู้ต้องหาทั้งสองได้ร่วมกันกระทำด้วยการกล่าววาจาโดยใช้ไมโครโฟนผ่านเครื่องขยายเสียงซึ่งใช้กำลังไฟฟ้า อันเป็นการโฆษณาโดยการกระจายเสียง โดยเครื่องขยายเสียงด้วยกำลังไฟฟ้า ต่อบุคคลที่สามซึ่งเป็นประชาชนที่สัญจรไปมาผ่านที่บริเวณหน้าศาลอาญากรุงเทพใต้ โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้เสียหายเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นและถูกเกลียดชัง ทั้งนี้โดยจำเลยทั้งสองไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย

จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพตามฟ้องโจทก์ทุกประการ วันนี้ (๑๙ กันยายน ๒๕๖๖) ศาลอาญากรุงเทพใต้มีคำพิพากษาว่า “จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๙๘, ๓๒๘ พระราชบัญญัติควบคุมการโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียง พ.ศ. ๒๔๙๓ มาตรา ๔ วรรคหนึ่ง, ๙ ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓ การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการกระทำกรรมเดียว เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๙๘ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ 

จำเลยทั้งสอง รู้สำนึกในการกระทำความผิดของตนโดยให้การรับสารภาพและแถลงขอโทษต่อผู้เสียหายตามคำแถลงประกอบคำรับสารภาพ ตลอดจนได้ลงประกาศข้อความขอโทษผู้เสียหายผ่านบัญชีผู้ใช้โปรแกรมเฟซบุ๊กของจำเลยทั้งสอง เห็นสมควรลงโทษจำเลยทั้งสองสถานเบา จำคุกจำเลยทั้งสองคนละ ๑ ปี จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ ให้คนละกึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ ๖ เดือน 

พิเคราะห์รายงานการสืบเสาะและพินิจ จำเลยทั้งสองของพนักงานคุมประพฤติแล้ว เห็นว่า แม้จำเลยทั้งสองจะไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน และจำเลยทั้งสองจะเขียนข้อความขอโทษผู้เสียหายและลงประกาศข้อความขอโทษดังกล่าวในบัญชีผู้ใช้โปรแกรมเฟซบุ๊กของจำเลยทั้งสองในทำนองว่า จำเลยทั้งสองสำนึกในการกระทำที่ได้ร่วมกันดูหมิ่นศาลและผู้เสียหายว่าเป็นการกระทำที่ไม่สมควรอันเกิดจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของจำเลยทั้งสอง 

หากจำเลยทั้งสองได้ใช้ความระมัดระวัง และศึกษาข้อมูลมากกว่าในขณะเกิดเหตุจำเลยทั้งสองคงไม่กระทำความผิด จำเลยทั้งสองทราบดีแล้วว่าศาลยุติธรรมได้อำนวยความยุติธรรมในการพิจารณาคดีมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคดีการเมืองซึ่งจำเลยทั้งสองเข้าใจผิดไปว่าศาลไม่ให้ประกันตัวนักโทษ การเมืองและได้กล่าวถ้อยคำไม่สุภาพอันเป็นการดูหมิ่นและหมิ่นประมาทผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้พิพากษาไปนั้น จำเลยทั้งสองกระทำไปด้วยความรู้น้อยและไม่ได้ใช้สติไตร่ตรองอย่างถ่องแท้

จำเลยทั้งสองรู้สึกสำนึกผิดและกราบขอโทษต่อผู้พิพากษาและผู้บริหารศาลอาญากรุงเทพใต้ โดยจำเลยทั้งสองให้คำมั่นว่าจะไม่กระทำความผิดอีก แต่การกระทำของจำเลยทั้งสองที่กล่าวถ้อยคำกล่าวหาผู้เสียหาย ซึ่งเป็นผู้พิพากษาที่ปฏิบัติหน้าที่ไปตามอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายด้วยถ้อยคำหยาบคาย กล่าวหาว่าเป็นผู้พิพากษาที่มีความประพฤติไม่ดี ไม่มีความเป็นกลางในการพิจารณาสั่งคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว ไม่ได้ใช้ดุลพินิจโดยชอบของตนเอง แต่ต้องรอฟังคำสั่งจากบุคคลอื่นและมีคำสั่งไปตามที่บุคคลอื่นสั่งมา อันเป็นการกล่าวหาว่าผู้เสียหายพิจารณาสั่งคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวไปภายใต้อิทธิพลครอบงำของบุคคลอื่น มีผลกระทบต่อชื่อเสียงเกียรติคุณของทั้งผู้เสียหายและองค์กรศาลยุติธรรม 

ซึ่งจำเลยทั้งสองรับว่า กล่าวถ้อยคำดูหมิ่นศาลไปโดยไม่มีมูลความจริง ทั้งจำเลยทั้งสองยังกล่าวถ้อยคำดังกล่าวผ่านเครื่องขยายเสียงอยู่ที่บริเวณหน้าที่ทำการศาลอาญากรุงเทพใต้ ซึ่งเป็นสถานที่ทำงานของผู้เสียหายในลักษณะเป็นการข่มขู่ ต้องการให้ผู้เสียหายและผู้พิพากษาซึ่งปฏิบัติงานอยู่ในศาลเสียขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงาน การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นเรื่องร้ายแรงและส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นต่อองค์กรศาลยุติธรรม จึงไม่เห็นสมควรรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยทั้งสอง

โดยสรุปสำหรับกรณี ‘ศาลอาญากรุงเทพใต้’ ฟ้องและสั่งจำคุก จำเลยทั้ง 2 นั้น สืบเนื่องมาจากทั้ง 2 ได้ถูกดำเนินคดีจากการเข้าร่วมกิจกรรมและปราศรัยเรียกร้องสิทธิการประกันตัวของ ‘บุ้ง-ใบปอ’ ที่หน้าศาลแพ่งกรุงเทพใต้ เมื่อวันที่ 15 ก.ค. 2565 โดยมีถ้อยคำกล่าวหาผู้พิพากษาที่ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย ด้วยถ้อยคำหยาบคาย และกล่าวหาว่าผู้พิพากษามีความประพฤติไม่ดี ไม่มีความเป็นกลางในการพิจารณาคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว ไม่ใช้ดุลยพินิจในการพิจารณาคดีด้วยตนเอง ต้องรอคำสั่งของบุคคลอื่น ซึ่งเป็นการกล่าวหาว่าศาลอยู่ภายใต้อิทธิพลครอบงำของบุคคลอื่น การกระทำดังกล่าวเป็นเรื่องร้ายแรง-ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นขององค์กรศาลยุติธรรม 

ศาลฯ พิพากษา จำคุก 'ปริญญ์' ไม่รอลงอาญา  คดีอนาจารหญิงสาว รวม 2 ปี 8 เดือน

(25 ก.ย. 66) นายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า ได้รับแจ้งจาก นายสรกรช งามวงศ์วาน อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 3 กรณีที่มีสื่อมวลชนสอบถามมาเกี่ยวกับคดีความผิดทางเพศ ว่า วันนี้ศาลอาญากรุงเทพใต้ ถนนเจริญกรุง ศาลอ่านคำพิพากษาในคดี ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 3 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เป็นจำเลยในความผิดฐานกระทำอนาจารหญิงสาว รวม 2 คดี โดยคดีเเรกเป็นคดีหมายเลขแดงที่ อ.1712/66 ข้อหากระทำอนาจารต่อหน้าธารกำนัลและข่มขืนกระทำชำเราโดยใช้กำลังประทุษร้าย คดีนี้ศาลมีคำพิพากษายกฟ้อง

ส่วนคดีที่ 2 เป็นคดีหมายเลขแดงที่ อ.1711/66 ข้อหากระทำอนาจารแก่บุคคลอายุกว่า 15 ปี โดยขู่เข็ญด้วยประการใดๆ โดยใช้กำลังประทุษร้ายและโดยบุคคลนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถต่อสู้หรือขัดขืนได้ต่อหน้าธารกำนัลนั้น ศาลเห็นว่า จำเลยกระทำความผิดจริงลงโทษจำคุก 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา และให้นับโทษจำเลยต่อจากโทษจำคุกในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ.1409/66 ของศาลอาญากรุงเทพใต้ก่อนหน้านี้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โดยก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 10 ส.ค.ที่ผ่านมา ศาลอาญากรุงเทพใต้ มีคำพิพากษาในคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 3 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นจำเลยในความผิดฐานกระทำอนาจารหญิงสาว รวม 2 กรรม เป็น เวลา 2 ปี 8 เดือน โดยไม่รอลงอาญา กรณีก่อเหตุกระทำอนาจารนักศึกษาสาววัย 18 ปี หลังใช้อุบายหลอกมาคุยเรื่องงานและสอนเรื่องหุ้นที่ร้านอาหารชั้นดาดฟ้าในซอยสุขุมวิท 11 เหตุเกิดเมื่อปี 2564 แต่นักศึกษาสาวผู้เสียหายมาร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน สน.ลุมพินี เมื่อเดือน เม.ย.2565 ซึ่งคดีนี้เป็นคดีแรก

‘บุ้ง ทะลุวัง-หยก’ บุก!! ปีนรั้วศาลอาญากรุงเทพใต้ ด่าทอ-ทำร้ายจนท. หลังศาลพิจารณาคดี ม.112 แล้วเสร็จ!!

สำนักงานศาลยุติธรรมแจงข้อเท็จจริง 'บุ้ง ทะลุวัง-หยก' ปีนรั้วศาล ป่วนศาลอาญากรุงเทพใต้ ชี้ ตร.ศาลป้องกันตัวตามหลักสากลเตรียมเอาผิดตามภาพวงจรปิด!

เมื่อวานนี้ (19 ต.ค.66) สำนักงานศาลยุติธรรมขอเรียนชี้แจงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นจากกรณีเหตุการณ์บริเวณศาลอาญากรุงเทพใต้  ถนนเจริญกรุง ซึ่งวันนี้มีการพิจารณาคดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งศาลได้ดำเนินการเสร็จแล้ว จากนั้นมีเยาวชนหญิงได้ปีนรั้วเข้ามาในบริเวณศาลอาญากรุงเทพใต้โดยตั้งใจที่ ทั้งที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ไม่ได้ปิดประตูรั้วหรือห้ามผู้มาติดต่อราชการเข้าแต่อย่างใด และขณะเกิดเหตุประชาชนก็ยังเข้ามาใช้บริการได้ตามปกติ

เมื่อเกิดเหตุเช่นนั้น เจ้าพนักงานตำรวจศาลซึ่งมีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยให้กับประชาชนที่มาติดต่อราชการในบริเวณศาล เห็นเหตุการณ์และได้เข้าห้ามปราม เพื่อไม่ให้ปีนรั้วเข้ามา จึงถูกบุคคลหนึ่งที่มาพร้อมกับพวกรวม 4 คน เข้ากระชากคอเสื้อเจ้าพนักงานตำรวจศาล จากนั้นกลุ่มบุคคลดังกล่าว ได้เดินเข้ามาและด่าทอเจ้าหน้าที่ขณะยืนโทรศัพท์รายงานเหตุการณ์และโทรแจ้งตำรวจท้องที่ให้เข้ามาควบคุมสถานการณ์

ต่อมาบุคคลที่ได้กระชากคอเสื้อเจ้าพนักงานตำรวจศาลก่อนหน้านั้น ได้เดินเข้ามาผลักหน้าอกเจ้าพนักงานตำรวจศาล เจ้าพนักงานตำรวจศาลจึงเดินถอยออกและพูดห้ามปรามตามยุทธวิธีปฏิบัติหลายครั้ง แต่บุคคลดังกล่าวยังเดินเข้ามาเตะเจ้าพนักงานตำรวจศาล เจ้าพนักงานตำรวจศาลจึงใช้กระบองขู่ แต่ก็ไม่หยุดและยังเดินเข้าหาเจ้าพนักงานตำรวจศาลอีก  เจ้าพนักงานตำรวจศาลอีจึงใช้กระบองตีเพื่อระงับเหตุและป้องกันตัว

จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจท้องที่ได้เข้ามาควบคุมสถานการณ์ กลุ่มบุคคลทั้งหมดขอพบผู้บริหารศาล ต่อมาศาลอาญากรุงเทพใต้ ได้รับแจ้งจากเจ้าพนักงานตำรวจท้องที่ ว่ากลุ่มบุคคลดังกล่าวอ้างว่าจะไปทำแผล  และเดินออกไปจากศาลทั้งหมด ซึ่งเจ้าพนักงานตำรวจท้องที่เห็นว่าเป็นสิทธิที่จะไปรักษาตัวจึงมิได้ห้ามปรามและขัดขวางแต่อย่างใด

สำนักงานศาลยุติธรรมขอเรียนเพิ่มเติมว่า เจ้าพนักงานตำรวจศาลมีหน้าที่ตามกฎหมายที่ต้องรักษาความสงบเรียบร้อยในบริเวณศาล ตามหลักสากล เพื่อให้การดำเนินงานของศาลสามารถอำนวยความยุติธรรมให้แก่ประชาชนทุกคนได้สมดังเจตนารมณ์ของกฎหมายอย่างแท้จริง การดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องนี้ต่อไปจะเป็นไปตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมดกล้องวงจรปิดในบริเวณศาลสามารถบันทึกภาพไว้ได้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  สำหรับผู้ที่ก่อเหตุคือ น.ส.เนติพร เสน่ห์สังคมหรือบุ้ง ทะลุวัง และ เด็กหญิงหยก เยาวชนหญิงคนดังวัย 14 ปี

ขณะที่เฟซบุ๊กของผู้ที่ใช้ชื่อบัญชีว่า ‘นายสิทธิพร ลีลานภาศักดิ์’ ได้เผยแพร่คลิปที่ระบุว่า ‘เหตุเกิดสดๆร้อนๆ ศาลอาญากรุงเทพใต้ ให้ภาพมันเล่าเรื่อง บุ้ง ทะลุวัง vs ตร. ศาล กรณีละเมิดอำนาจศาล’

รับชมคลิปได้ที่: https://www.facebook.com/sittiporn.lelanapasak/posts/

ศาลฯ พิพากษา คดี #ม็อบ10กุมภา ปี 64 สั่งจำคุก ‘รุ้ง-ไมค์-ครูใหญ่’ คนละ 9 เดือน

(15 พ.ย. 66) ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เปิดเผยว่า…

วันนี้ (15 พ.ย.) ศาลอาญากรุงเทพใต้มีคำพิพากษา คดี #ม็อบ10กพ64 ตีหม้อไล่เผด็จการ ที่สกายวอล์กปทุมวัน กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2564 โดยมี น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ รุ้ง, นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือ ไมค์ และ นายอรรถพล บัวพัฒน์ หรือ ครูใหญ่ เป็นจำเลย

โดยระบุว่า ทั้งสามมีความผิดตาม ป.อาญา ม.215, กีดขวางทางสาธารณะ และใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุกคนละ 1 ปี ปรับคนละ 700 บาท จำเลยให้การเป็นประโยชน์ ลดโทษให้ 1 ใน 4 คงจำคุกคนละ 9 เดือน ปรับคนละ 525 บาท ไม่รอลงอาญา

ยกฟ้องข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน, ทำร้ายเจ้าพนักงาน, ทำให้เสียทรัพย์ และ พ.ร.บ.ความสะอาด

ขณะนี้อยู่ระหว่างยื่นประกันระหว่างอุทธรณ์

ศาลพิพากษาบทสรุปคดี 'อ้อย เข็มทิศชีวิต' แอบอ้างศาสนาหากิน สวนทาง 'พระตถาคต' ที่สอนคนเพื่อให้เกิดปัญญา โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน

เมื่อไม่นานมานี้ เพจ ‘ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ’ ได้โพสต์ข้อความยกตัวอย่างกรณี ศาลอาญากรุงเทพใต้พิพากษายกฟ้อง คดี ‘ฐิตินาถ ณ พัทลุง’ ไลฟ์โค้ชเข็มทิศชีวิต หรือ อ้อย เข็มทิศชีวิต ฟ้องสื่อรายหนึ่งฐานหมิ่นประมาท พร้อมเรียกค่าเสียหายกว่า 5 ล้าน โดยระบุว่า…

จากคำพิพากษาคือ สุดมาก ถ้าค่อย ๆ อ่านจะเห็นว่าศาลคือ ทรงภูมิทางพระพุทธศาสนา และอธิบายเข้าใจไม่ยากนะ

ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ที่พระโพธิสัตว์ยอมละทิ้งราชสมบัติ บุตร และภรรยาเสด็จหลีกออกผนวชแสวงหาทางพ้นทุกข์ จนได้ปัญญาตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ สำเร็จเป็นองค์พระอรหันตระสัมมาสัมพุทธเจ้าและตั้งพระศาสนาหรือพระธรรมวินัยขึ้น โดยมีองค์ประกอบสำคัญคือพระรัตนตรัย ได้แก่ พระพุทธ, พระธรรม และพระสงฆ์ ไว้ให้พระพุทธศาสนิกชนได้ยึดถือเป็นสรณะนั้น...

'เป็นการกระทำเพื่อโปรดเหล่าสรรพสัตว์ที่จะได้ศึกษาเรียนรู้ตามจนเกิดปัญญารู้เห็นสัจธรรม ทำให้ทุกข์ในใจเบาบางลงไปจนหมดสิ้นอันเป็นที่สุดแห่งทุกข์'

โดยพระตถาคตไม่ได้กระทำไปด้วยความปรารถนาในลาภ ยศ คำสรรเสริญ หรือทรัพย์สินเงินทองใดๆ 

ส่วนการเผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอนไปสู่ผู้มีศรัทธา ก็ทรงให้เป็นหน้าที่ของเหล่าสงฆ์สาวก หรือ นักบวชในธรรมวินัย ที่ได้รับการศึกษาธรรมวินัยจนสำเร็จเป็นประโยชน์แก่ตน ซึ่งจะมีคุณสมบัติเป็นผู้มักน้อย สันโดษในลาภสักการะ...

...เลี้ยงขึ้นด้วยปัจจัยสี่ที่ผู้ครองเรือนมอบให้ด้วยใจศรัทธา เที่ยวจาริกไปเผยแผ่คำสอนและชี้ทางแห่งความสุขความเจริญในชีวิตให้แก่คฤหัสถ์ผู้ครองเรือน ให้เกิดความเลื่อมใสศรัทธา ในพระรัตนตรัย...

...มีความเห็นชอบเป็นสัมมาทิฏฐิ ได้ตาปัญญาเป็นแสงสว่างของชีวิต ก็ย่อมจะพบชีวิตใหม่ที่มีคุณค่ากว่าการได้ทรัพย์สินอันใดในโลก เพราะแม้จะยังทำให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ไม่ได้ในอัตภาพนี้ ก็ต้องได้มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติในอัตภาพต่อๆ ไปอย่างแน่นอน 

ส่วนการดำรงอยู่อย่างมั่นคงของพระศาสนาเป็นที่พึ่งของเหล่าสรรพสัตว์ชั่วกาลนาน พระองค์ทรงมอบให้เหล่าพุทธบริษัท 4 อันประกอบด้วย ภิกษุ, ภิกษุณี, อุบาสก และอุบาสิกา ช่วยกันกระทำ 

โดย ภิกษุ และ ภิกษุณี ต้องอยู่ในพระธรรมวินัย ขณะที่ อุบาสก และ อุบาสิกา มีความเคารพในพระรัตนตรัย เป็นต้น 

ดังนั้น เมื่อน้อมใจเข้าไปพิจารณาหลักการสำคัญของพระศาสนาตามพระประสงค์ที่กล่าวมาข้างต้นและความต้องการอยากพ้นทุกข์ของมนุษย์เข้าด้วยกัน ผู้เป็นพุทธศาสนิกชนย่อมต้องยอมรับว่า...

'พระธรรมคำสั่งสอนที่ได้ประทานไว้ให้โดยมหากรุณานั้น ย่อมเป็นสิ่งที่ประเสริฐสูงสุดมีคุณค่ายิ่งกว่าทรัพย์สินใดๆ ในโลก และเป็นการประทานให้เปล่าๆ ไม่ต้องใช้เงินหรือทองเข้าแลก'

ดังนั้น จึงไม่เป็นการสมควรอย่างยิ่งที่เหล่าพุทธบริษัท 4 ผู้หนึ่งผู้ใด ที่ได้เรียนรู้พระธรรมแล้วจะอาศัยเอาพระธรรมนั้นออกแสดงเพื่อการค้า หรือเพื่อแสวงหาผลกำไร 

เพราะเป็นการตีราคาพระธรรมคำสอนเทียบค่ากับเงินทอง เป็นการกระทำที่ไม่เคารพต่อพระรัตนตรัยประการหนึ่ง เป็นหนทางที่จะนำไปสู่การเบียดเบียนในทางทรัพย์สิน เงินทองได้ประการหนึ่ง...

ทำให้บุคคลที่ยังไม่ได้มั่นคงในพระรัตนตรัยพากันเสื่อมถอยหนีห่างไปจากศาสนาประการหนึ่ง...

...และประการสำคัญอีกประการหนึ่ง ในการสั่งสอนหรือถ่ายทอดธรรมะให้บุคคลอื่น ผู้ตั้งตนเป็นครูอาจารย์ต้องมีคุณสมบัติที่สำคัญคือ เป็นผู้ได้เปรียญธรรมหรือศึกษาปฏิบัติธรรมจนเป็นผู้ข้ามโคตรจากปุถุชนเป็นอริยะบุคคลอย่างชอบขั้นโสดาบัน...

- มีคุณธรรมวิเศษในใจ 
- มีดวงตาเห็นธรรมรู้เห็นอยู่ในแนวทางแห่งพระนิพพาน 
- มีมรรคองค์ 8 เป็นปฏิปทาในตน 

แล้วจึงค่อยสามารถให้การอบรมสั่งสอนปุถุชนผู้ยังมีปัญญามืดบอดแต่มีศรัทธาได้ เพราะคนที่ยังเป็นปุถุชนและยังไม่ได้เปรียญธรรมหากเที่ยวไปสั่งสอนคนอื่น ก็เท่ากับคนตาบอดเดินจูงคนตาบอดไป ย่อมจะไม่สามารถถึงจุดหมายตามที่ปรารถนาได้ แต่กลับต้องประสบกับทุกข์และคลาดเคลื่อนออกนอกทางแห่งพรหมจรรย์ที่ทรงแสดงไว้ให้อย่างแน่แท้ 

และยิ่งหากเข้าลักษณะเป็นการใช้เงินจ้างในการจูง ก็เป็นการพ้นวิสัยที่จะเอาผิดเอาโทษกับบุคคลผู้จูงทั้งในทางแพ่งและทางอาญาได้ ด้วยเหตุผลที่เขาอ้างเอาว่าการชำระเงินเป็นความสมัครใจของผู้อยากเรียนรู้ธรรม และที่ใครไม่สามารถสร้างปัญญาได้ก็เป็นเรื่องของวาสนาแต่ละบุคคลเท่านั้น 

ทั้งนี้ หากมีบุคคลใดได้แสดงตนกระทำการดังกล่าวเช่นนั้น จึงไม่นับว่าเป็นบุคคลที่สมควรจะได้รับการยกย่องจากสาธุชนทั่วไปว่า เป็นผู้ประกอบคุณงามความดีหรือนำประโยชน์ทางศาสนามาให้สังคมแต่ประการใด ในขณะเดียวกัน ก็ย่อมเป็นผู้ไม่สมควรที่จะได้ไปซึ่งเงินของบุคคลที่แสวงหาที่พึ่งทางใจจากคำสอนในพระพุทธศาสนาอีกด้วย

ดังนั้น เมื่อคดีนี้โจทก์เป็นผู้ยังไม่ได้เปรียญธรรม มีแต่ปริญญาทางโลก ได้ยอมรับว่าได้นำเอาหลักศาสนาพุทธมาใช้เป็นปัจจัยในการประกอบธุรกิจ มีรายได้และผลกำไรจากการเปิดคอร์สอบรม 'เข็มทิศชีวิต' เป็นเงินไม่น้อยประมาณปีละ 10 ล้านบาทขึ้นไป โดยการเก็บเงินค่าสมัครเข้าอบรมคอร์สเข็มทิศชีวิต ซึ่งจะกำหนดค่าสมัครตามจำนวนผู้สมัคร 

หากมีผู้สมัครจำนวนน้อยจะคิดค่าสมัครแพงกว่ากรณีที่มีผู้สมัครจำนวนมาก ค่าคอร์สรายบุคคลในราคาหลักหมื่นไม่ก็หลักแสน โดยเพียงบุคคลเดียวหากเรียนหลายคอร์สจะต้องใช้เงินประมาณ 3 ล้านบาทนั้น ย่อมเท่ากับเป็นการรับรองอยู่ในตัวต่อผู้มีศรัทธาในพระศาสนาว่า ตนเองมีภูมิจิตภูมิธรรมสูง เลยขั้นปุถุชนคนหนึ่งด้วยกิเลสไปแล้ว 

อย่างไรก็ดี คุณธรรมภายในใจ เช่นว่าที่รู้ได้แต่เฉพาะตนส่วนคนอื่น ไม่สามารถจะรู้เห็นได้ ทำได้แต่เพียงคาดเดาเอาจากบุคลิกภาพ อันประกอบด้วย วาจากิริยา ท่าทางและการแต่งกาย 

แต่หากพอจะมีเครื่องหมายที่จะบ่งชี้ว่า อริยสาวกผู้ใดเป็นผู้มีคุณธรรมภายในเช่นนั้นได้จริง กล่าวคือ อริยสาวกผู้นั้นจะต้องเป็นผู้มีจิตเมตตา กรุณา ไม่กระทำสิ่งที่เป็นการเบียดเบียนผู้อื่นให้ได้รับความเดือดเนื้อร้อนใจด้วยประการใดๆ ทั้งสิ้น

‘ศาลฯ’ ส่งฟ้อง ‘รศ.ดร.ยุกติ’ ผิด ม.112  หลังปล่อยเฟกนิวส์เกี่ยวกับในหลวง ร.10

เมื่อวานนี้ (20 ก.พ.67) พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 3 ได้นัดหมายส่งฟ้องคดีของ รศ.ดร.ยุกติ มุกดาวิจิตร อาจารย์ประจำคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (3) จากกรณีที่ถูกแจ้งความโยงโพสต์ทวิตเตอร์กับปมข่าวลือ ร.10 ประชวร เมื่อปี 2564

สำหรับกระบวนการนัดฟ้องคดีในครั้งนี้ ยุกติได้ให้ความเห็นโดยระบุว่า ตนไม่ผิดคาดที่จะมีการฟ้องดำเนินคดีในวันนี้ จริง ๆ แล้วการแจ้งความดำเนินคดี ม.112 กับประชาชนเป็นนโยบายในยุคสมัยของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ซึ่งจากรูปคดีของตน ไม่ควรที่จะมีการดำเนินคดีแต่แรกด้วยซ้ำ แต่พอเปลี่ยนรัฐบาลมาก็ยังมีการดำเนินคดีอยู่ สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลนี้ก็ไม่ได้มีความจริงจังในการแก้ปัญหาเกี่ยวกับกฎหมายนี้หรือไม่ได้มีความจริงจังเกี่ยวกับผู้ต้องขังทางการเมืองที่ถูกคุมขังอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งทำให้กระบวนการยุติธรรมมันผิดปกติ

อย่างไรก็ตาม ยุกติกล่าวเสริมว่า การที่บรรยากาศทางการเมืองเป็นไปในลักษณะเช่นนี้ จะยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลงไปเรื่อย ๆ ดังนั้นตนจึงหวังว่าจะมีการนิรโทษกรรมเกิดขึ้น ซึ่งครอบคลุมคดีการเมืองในทุกลักษณะ เพื่อเป็นการคลี่คลายปมปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมมาอย่างยาวนาน


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top