Wednesday, 22 May 2024
วิโรจน์ลักขณาอดิศร

'วิโรจน์' ค้านตั้ง ศบค.ส่วนหน้า คุมโควิดชายแดนใต้ แนะใช้ความไว้วางใจคลี่คลาย ไม่ใช่ความมั่นคง

ต่อกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีคำสั่งจัดตั้ง ศบค.ส่วนหน้า เพื่อเข้าไปจัดการสถานการณ์โควิด-19 ที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งประกอบไปด้วยจังหวัด นราธิวาส ปัตตานี ยะลา และสงขลา เมื่อวันที่ 17 ต.ค. ที่ผ่านมา

วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อและโฆษกพรรคก้าวไกล แสดงความเห็นผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวโดยระบุว่า จากการหารือกับคณะทำงานของพรรคก้าวไกลในพื้นที่ ทำให้รับทราบว่าอุปสรรคสำคัญในการควบคุมการระบาดของโควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ณ ขณะนี้ หลักๆ มีอยู่ 2 ปัจจัยด้วยกัน

ปัจจัยแรก คือ การที่ประชาชนในพื้นที่ไม่ยินยอมฉีดวัคซีน ซึ่งในประเด็นนี้ รัฐบาลไม่ควรมองปัญหาอย่างผิวเผิน และด่วนสรุปว่าประชาชนในพื้นที่ไม่ให้ความร่วมมือ หากรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ กล้าที่จะถามตัวเองว่า “เหตุใดประชาชนถึงไม่ให้ความร่วมมือในการฉีดวัคซีน” ก็จะหาคำตอบได้ไม่ยาก นั่นก็คือ “ประชาชนไม่มีความไว้วางใจในรัฐบาล จากกรณีข่าวการซ้อมทรมาน และการที่เจ้าหน้าที่รัฐใช้ความรุนแรงกับประชาชน ที่ปรากฏตามหน้าสื่ออยู่เป็นระยะๆ” พอประชาชนไม่ไว้วางใจรัฐบาล ก็เป็นการยากมากๆ ที่ประชาชนจะเต็มใจปฏิบัติตามคำแนะนำจากรัฐบาลในการควบคุมการระบาดของโรค 

ยิ่งการฉีดวัคซีน เป็นการนำเอาสารชีววัตถุที่เป็นของใหม่ ที่การเข้าถึงข้อมูลยังคงอยู่ในระดับที่จำกัด ยิ่งทำให้ประชาชนที่ไม่ไว้วางใจรัฐบาลอยู่เป็นทุนเดิม มีความระแวงที่จะฉีด ปัญหานี้จะแก้ด้วยการใช้อำนาจบังคับแบบตรงๆ ไม่ได้ ต้องอาศัยความเข้าใจผ่านผู้นำชุมชน ผู้นำศาสนา และบุคคลที่ประชาชนในพื้นที่ให้ความไว้เนื้อเชื่อใจ เป็นกลไกในการรณรงค์ให้ประชาชนในพื้นที่มาเข้ารับการฉีดวัคซีน

"การจัดตั้ง ศบค.ส่วนหน้า แล้วใช้อำนาจบังคับแบบทันทีทันใด เป็นเรื่องที่สุ่มเสี่ยงอย่างมาก ยกตัวอย่างเช่น สมมติหากมีการใช้อำนาจบังคับ หรือกึ่งบังคับ ให้ประชาชนในพื้นที่ฉีดวัคซีน จริงอยู่ที่ในระยะสั้นอาจจะบังคับเกณฑ์ประชาชนมาฉีดวัคซีนได้เป็นจำนวนมากได้ แต่ต้องยอมรับว่าการฉีดวัคซีนนั้น แม้ว่าจะมีความเสี่ยงที่ไม่มากนัก แต่ก็ถือว่ามีความเสี่ยงอยู่บ้าง แต่เมื่อเทียบกับประโยชน์ในการปกป้องชีวิตของทั้งตัวเอง และคนในครอบครัวจากโรคระบาด ก็ยังถือว่าการฉีดวัคซีนนั้นเป็นเรื่องที่จำเป็น และมีความคุ้มค่าที่จะฉีด ถ้าหากประชาชนที่ถูกเกณฑ์มาฉีดไม่เข้าใจในประเด็นนี้ และเมื่อมีประชาชนจำนวนหนึ่งได้รับผลข้างเคียง หรือมีอาการไม่พึงประสงค์หลังจากที่ฉีดวัคซีน ความไม่เข้าใจที่ถูกรัฐบังคับ ก็จะกลายเป็นความโกรธแค้น และจะทำให้ความขัดแย้ง และความไม่ไว้วางใจในรัฐบาลของประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ขยายตัวเพิ่มขึ้น"

'พลังธรรมใหม่' ฉะ 'วิโรจน์' ทวงคืนสนามหลวงให้ใคร จี้ หยุดสร้างวาทกรรมใส่ร้ายสถาบันฯ

วันที่ 25 มี.ค. 65 นายมหัศจักร โสดี โฆษกพรรคพลังธรรมใหม่ กล่าวถึงกรณีที่นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ว่าที่ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. พรรคก้าวไกล ประกาศจะคืนสนามหลวงให้คนกรุงเทพ โดยอ้างความเท่าเทียมว่า ก่อนอื่นนายวิโรจน์ต้องหยุดเพ้อเจ้อ อย่าพูดเอาแต่ความมันส์ หรือคันปาก อยากจะพูดอะไรก็พูด เมื่อนายวิโรจน์ลาออกจาก ส.ส. มาเป็นผู้สมัครพ่อเมืองของคนกรุงเทพฯ ก็ต้องทำตัวให้เหมาะสม สนามหลวงก็เป็นของคนไทยทั้งประเทศอยู่แล้ว เพราะเป็นเจ้าของประเทศแล้วจะทวงคืนจากใครไปให้ใคร แต่ในรายละเอียดสนามหลวงหรือทุ่งพระสุเมรุ หรือทุ่งพระเมรุเป็นพื้นที่เขตพระราชฐานใช้เป็นสถานที่จัดพระราชพิธีต่างๆ เช่น พิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ เป็นต้น

‘วิโรจน์’ ตีโจทย์สิ่งแวดล้อม กทม. ในเวทีดีเบต พร้อมชู 4 นโยบายเร่งด่วนรับมือ PM 2.5

‘วิโรจน์’ เสนอจะแก้ปัญหาขยะ น้ำ อากาศ และเมืองยั่งยืนได้ ต้องเริ่มจากปรับฐานคิดว่าคนเท่ากัน พร้อมตีโจทย์ กทม. ฝุ่นบรรเทาได้ หากผู้ว่าฯ ไล่บี้ พร้อมตั้งคำถามทวนกรุงเทพควรจัด ULEZ (Ultra Low Emission Zone) พื้นที่ชั้นในได้หรือยัง ยันคนตัวเล็กตัวน้อยต้องได้รับการปกป้องและนึกถึงอันดับแรก

วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ว่าที่ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. พรรคก้าวไกล ตอบคำถามกลางวงเสวนาสาธารณะในชื่อ “งานเสวนาว่าที่ผู้ว่า กทม. กับการบริหารจัดการขยะ น้ำ อากาศ และเมืองยั่งยืน” ณ ห้องประชุมวิศวกรรม คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ณ วันที่ 28 มีนาคม 2565 วิโรจน์ได้อธิบายถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในกทม. ว่า คนส่วนใหญ่ที่ได้รับผลกระทบจากมลภาวะมักเป็นคนตัวเล็กตัวน้อย และเป็นคนที่ไม่ได้ก่อมลภาวะด้วยตัวเอง ส่วนใหญ่เป็นคนทำงานกลางแจ้ง เป็นคนเดินถนนที่ต้องแบกรับปัญหามลภาวะต่างๆ วิโรจน์ย้ำว่ากทม. เมืองจะยั่งยืนได้ ต้องดูแลคนทุกคนอย่างเสมอภาคกัน

‘วิโรจน์’ ห่วง ข้าราชการน้ำดีถูกเล่นงาน ปมทุจริตไฟ 39.5 ล้าน จี้ กทม.ให้ความเป็นธรรม

ต่อกรณีโครงการไฟประดับลานคนเมือง 39.5 ล้านบาท ของ กทม. ที่จัดแสดงในช่วงวันที่ 30 ธ.ค. 58 ถึง 31 ม.ค. 59 ที่ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิด และกล่าวหาข้าราชการ รวมข้าราชการระดับสูงของ กทม. มากถึง 10 คน อาทิ ผอ.สำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว ผอ.กองการท่องเที่ยว และคณะกรรมการ TOR ฯลฯ ฐานมีพฤติการณ์เข้าข่ายเอื้อเอกชนให้ได้รับงานโครงการประดับไฟลานคนเมือง กทม. หรือเรียกสั้น ๆ ว่า ฮั้วประมูลนั่นเอง 

คดีนี้เป็นคดีที่ ป.ป.ช. มีมติยื่นฟ้องศาลเอง หลังจากที่อัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้อง หลังจากที่ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิด กทม. ก็มีมติเบื้องต้นให้ไล่ออกข้าราชการถึง 4 ราย โดยปัจจุบันคดียังอยู่ในชั้นศาล

วิโรจน์ ลักขณาอดิศร หัวหน้าคณะทำงานยุทธศาสตร์กรุงเทพมหานคร พรรคก้าวไกล ได้ติดตามความคืบหน้าของคดีดังกล่าว และแสดงความกังวลว่า ในท้ายที่สุดแล้ว ข้าราชการ ที่เป็นคณะกรรมการตรวจรับพัสดุ ที่ทำหน้าที่ในการปกป้องภาษีของประชาชน อย่างตรงไปตรงมา กำลังจะถูกตั้งคณะกรรมการสอบ หลังจากที่ศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษาสั่งให้ กทม. จ่ายเงินค่าจ้าง พร้อมดอกเบี้ย ให้แก่ผู้รับเหมา

วิโรจน์ ได้ไล่เรียงว่า จุดเริ่มต้นของกรณีนี้ เริ่มจาก คณะกรรมการตรวจรับฯ สงสัยว่าการส่งมอบงานอาจมีความล่าช้า และไม่เป็นไปตามสัญญา และได้มีการติดตามทวงถามผู้รับเหมาเรื่อยมา ในขณะที่นิติกรก็ได้แจ้งกับคณะกรรมการตรวจรับฯ เอาไว้ด้วยว่า จะต้องดำเนินการตรวจรับงาน งวดที่ 1 ให้แล้วเสร็จก่อนดำเนินการเปิดไฟวันแรก คือ วันที่ 30 ธ.ค. 58 แต่ปรากฏว่าการส่งมอบงานจริงเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 7 ม.ค. 59 ซึ่งเป็นการส่งมอบงานที่ล่าช้า 

นอกจากนี้เอกสารประกอบการส่งมอบงาน ก็ยังขาดความครบถ้วน คณะกรรมการตรวจรับฯ จึงได้ทวงถามให้ผู้รับเหมาส่งมอบเอกสารเพิ่มเติม ซึ่งกว่าจะได้รับเอกสารเพิ่มเติม ก็ต้องรอจนถึงวันที่ 20 ม.ค. 59 และเมื่อคณะกรรมการตรวจรับฯ ได้พิจารณาเอกสารการส่งมอบงานทั้งหมดแล้ว ก็มีความเห็นว่า เอกสารการส่งมอบงานยังขาดรายละเอียดของเนื้องานที่ครบถ้วน จึงได้ทำหนังสือถึง ผอ.สำนักวัฒนธรรมฯ ในฐานะผู้สั่งจ้าง ผ่าน ผอ.กองการท่องเที่ยว ในฐานะหัวหน้าเหน้าที่พัสดุ เพื่อสั่งการ ซึ่งกระบวนการทั้งหมดนี้เป็นตามข้อบัญญัติ เรื่องการพัสดุ พ.ศ.2538 ข้อ 66 (4) วรรคสอง

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา คณะกรรมการตรวจรับฯ ได้ทำหนังสือรายงานให้ ผอ.สำนักวัฒนธรรมฯ และ ผอ.กองการท่องเที่ยว ให้รับทราบมาโดยตลอด จนในวันที่ 18 ม.ค. 60 คณะกรรมการตรวจรับฯ ก็ได้ทำรายงานผลการตรวจรับขึ้นอีกฉบับหนึ่ง โดยระบุชัดเจนว่า รายละเอียดการส่งมอบงานไม่ตรงตามสัญญา และไม่สามารถตรวจรับงานได้ แต่ก็ยังไม่มีการสั่งการใด ๆ ตามข้อบัญญัติ เรื่องการพัสดุ ข้อ 128 หรือ ข้อ 132 ไม่ว่าจะเป็นการเรียกค่าปรับ สงวนสิทธิการเรียกค่าปรับ หรือการบอกเลิกสัญญา

คณะกรรมการตรวจรับฯ ก็ยังไม่นิ่งนอนใจ หลังจากนั้นในวันที่ 5 เม.ย. 60 ก็ได้ทำหนังสือขอหารือไปยังสำนักงานกฎหมายและคดี และได้รับคำแนะนำกลับมาในวันที่ 17 พ.ค. 60 ว่า ในเมื่อคณะกรรมการตรวจรับฯ ได้ดำเนินการตรวจรับงานแล้ว และมีความเห็นว่ารายละเอียดการส่งมอบงานของผู้รับจ้างไม่ตรงตามสัญญาจ้าง จึงเป็นหน้าที่ของผู้สั่งจ้างที่ต้องพิจารณาสั่งการตามข้อบัญญัติ เรื่องการพัสดุ ต่อไป 

และในวันที่ 29 พ.ค. 60 ก็ยังได้ทำหนังสือขอหารือไปยังสำนักการคลัง ขึ้นอีกฉบับหนึ่ง และได้รับคำแนะนำกลับมาในวันที่ 16 มิ.ย. 60 ว่า โครงการไฟประดับ นั้นเป็นการจ้างที่ต้องการผลสำเร็จของงานทั้งหมดพร้อมกัน ไม่อาจตรวจรับไว้เฉพาะส่วนที่ถูกต้อง ตามข้อบัญญัติ เรื่องการพัสดุ ข้อ 66 (5) ได้ และในเมื่อคณะกรรมการตรวจรับฯ ได้รายงานการตรวจรับมายังผู้สั่งจ้างแล้ว ก็ต้องเป็นหน้าที่ของผู้สั่งจ้าง ที่จะพิจารณาสั่งการต่อไป

เรียกได้ว่า คณะกรรมการตรวจรรับฯ ชุดนี้ ทำงานแบบรอบคอบ ตรงไปตรงมา กัดไม่ปล่อย และทำจนสุดหน้าที่แล้วจริง ๆ เป็นตัวอย่างที่ดีมาก ๆ ของข้าราชการน้ำดี ที่ยืนหยัดในความถูกต้อง และปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนอย่างถึงที่สุด

การทำงานของคณะกรรมการตรวจรับฯ ชุดนี้ ไม่ได้ราบรื่นเลย นอกจากจะถูกเตะถ่วง โยนเรื่องไปมาแล้ว ยังถูกกดดันจากทุกช่องทาง ถูกผู้รับเหมาฟ้องฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ต้องเสียเวลาทำเอกสารชี้แจง ขึ้นโรงขึ้นศาล แต่ด้วยความสุจริตในการปฏิบัติหน้าที่ ก็ชนะคดีมาได้ทั้งศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์

จุดพลิกผันของเรื่องนี้เกิดขึ้น เมื่อศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษาให้ กทม. จ่ายค่าจ้าง พร้อมดอกเบี้ยให้แก่ผู้รับเหมา เนื่องจากสิ่งที่คณะกรรมการตรวจรับฯ เห็นว่าไม่ถูกต้อง นั้นเป็นเรื่องของเอกสาร ไม่ใช่เนื้องานตามสัญญาจ้าง และ กทม. ก็ได้ใช้ประโยชน์จากไฟประดับของผู้รับเหมาไปแล้ว ทีนี้ล่ะครับ กระบวนการหาคนผิด ก็เลยเกิดขึ้น

วิโรจน์สงสัยว่า แทนที่รองปลัด กทม. นายเฉลิมพล โชตินุชิต จะสอบสวนว่า ผอ.สำนักวัฒนธรรมฯ ผู้สั่งจ้าง ณ ขณะนั้น อนุญาตให้เปิดไฟประดับได้อย่างไร ทั้ง ๆ ที่ยังตรวจรับงานไม่ผ่าน และอนุญาตให้ผู้รับเหมารื้อถอนในวันที่ 1 ก.พ. 59 ได้อย่างไร ทั้ง ๆ ที่การตรวจรับงานยังไม่เสร็จสิ้น และที่ผ่านมา ทำไม ผอ.สำนักวัฒนธรรมฯ ที่มารับตำแหน่งต่อ ถึงไม่สั่งให้บอกเลิกสัญญากับผู้รับเหมา ทั้ง ๆ ที่ คณะกรรมการตรวจรับฯ ก็ทำหน้าที่จนสุดทางแล้ว และได้ยืนยันว่า โครงการไฟประดับดังกล่าว ไม่เป็นไปตามสัญญา และไม่สามารถตรวจรับงานได้ รวมทั้งควรต้องสอบนิติกรฝ่ายการเจ้าหน้าที่ ประจำสำนักงานเลขานุการ สำนักวัฒนธรรมฯ เพิ่มเติมด้วยว่า เหตุใดจึงแนะนำให้ ผอ.สำนักวัฒนธรรมฯ ในฐานะผู้สั่งจ้าง ณ ขณะนั้น สั่งการให้คณะกรรมการตรวจรับฯ ดำเนินการตรวจรับให้ได้ ทั้ง ๆ ที่การส่งมอบงานไม่เป็นไปตามสัญญา

แต่รองปลัด กทม. กลับสั่งให้มีการสอบคณะกรรมการตรวจรับฯ ซึ่งประเด็นนี้ วิโรจน์ตั้งประเด็น และไม่เข้าใจว่า จะสอบคณะกรรมการตรวจรับฯ ทำไม เพราะที่ผ่านมาคณะกรรมการตรวจรับฯ ก็ทำหน้าที่อย่างถึงที่สุดแล้ว และคำพิพากษาของศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ ก็ยืนยันชัดเจนว่า คณะกรรมการตรวจรับฯ ปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริต

‘วิโรจน์’ จี้ ‘อนุพงษ์’ ปลด ‘ปลัด มท.’ พ้นตำแหน่ง หลังไล่ภูเก็ตถอนตัวเจ้าภาพ Specialized Expo 2028

‘วิโรจน์’ ซัด ปลัด มท. พูดจาไม่สร้างสรรค์ ไล่ภูเก็ตถอนตัวเจ้าภาพ Specialized Expo 2028 คาดเป็นพฤติกรรมเลียนแบบนายกฯ ด้านว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ก้าวไกลภูเก็ตออกจดหมายเปิดผนึก เรียกร้อง ‘อนุพงษ์’ ปลด ‘สุทธิพงษ์’ พ้นตำแหน่ง - เร่งปลดล็อกท้องถิ่น ให้อำนาจจัดการภูเก็ตอยู่ในมือประชาชน

วันที่ 3 มกราคม 2566 วิโรจน์ ลักขณาอดิศร อดีตผู้สมัครผู้ว่า กทม. พรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีปรากฏคลิป สุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ตำหนิจังหวัดภูเก็ตว่าไม่มีความพร้อมในการเป็นเจ้าภาพจัดงาน Specialized Expo 2028 และขอร้องให้ถอนตัวจากการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดงานนี้ ด้วยถ้อยคำเชิงเสียดสี ว่า การให้ความคิดเห็นเช่นนี้ของปลัดกระทรวงมหาดไทย มีแต่การบั่นทอน ไม่สร้างสรรค์ ไม่แสดงถึงภาวะผู้นำหรือแม้แต่การเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดี สิ่งที่ควรจะเป็นคือไม่ว่ามีอุปสรรคอะไร ก็ต้องแก้ไขให้ลุล่วง ต้องปักธงให้งานสำเร็จ ไม่ใช่เสียดสีให้ถอนตัว ยังไม่นับว่าข้าราชการส่วนกลางไม่เคยรับรู้ความหวังของคนภูเก็ตว่าต้องการให้งานนี้ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในจังหวัดขนาดไหน แต่กลับถืออำนาจบาตรใหญ่จากส่วนกลาง

วิโรจน์ ยังกล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ยังนิ่งเฉยต่อพฤติกรรมของปลัดกระทรวงมหาดไทยว่า น่าตั้งคำถามถึงเส้นสายของปลัดกระทรวงมหาดไทย ทั้งที่เกิดกรณีที่เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในสังคมขนาดนี้ แต่รัฐมนตรีกลับเลือกเอาหูไปนาเอาตาไปไร่

“ปลัดสุทธิพงษ์คงดูคลิปคุณประยุทธ์มาเยอะ เช่น ทุ่มโพเดียม ขว้างกล้วย ดังนั้น พูดให้ถึงที่สุด ปลัดคนนี้คงอยู่รอด เพราะพฤติกรรมที่แสดงออก เป็นไปได้ว่าเลียนแบบเอาอย่างมาจากนายกรัฐมนตรี เมื่อ พล.อ.อนุพงษ์ เห็นว่าเลียนแบบมาจากคนที่ใหญ่กว่าตน ก็เลยไม่กล้าแตะ” วิโรจน์กล่าว

‘วิโรจน์’ ซัด ‘พีระพันธุ์’ ปมผลิตซ้ำวาทกรรมชังชาติ ลั่น!! ทัศนคติอันตรายต่อชาติ-สถาบันพระมหากษัตริย์

‘วิโรจน์’ จวก ‘พีระพันธุ์’ ผลิตซ้ำวาทกรรมชังชาติ ไล่คนเห็นต่างออกนอกประเทศ  ชี้ ไม่เป็นผลดีต่อสถาบันฯ

(9 เม.ย.66) นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวกรณีที่นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ออกมาไล่คนเห็นต่างออกจากประเทศ พร้อมผลิตซ้ำวาทกรรมชังชาติ ล้มเจ้า ซึ่งเป็นผลผลิตของความขัดแย้งทางการเมืองนานนับทศวรรษ

นายวิโรจน์ กล่าวว่า ทัศนคติเช่นนี้ต่างหากที่เป็นอันตรายต่อชาติและสถาบันพระมหากษัตริย์ที่สุด เพราะเท่ากับเป็นการดึงเอาสถาบันพระมหากษัตริย์เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องทางการเมือง และแบ่งประชาชนออกเป็นฝักฝ่าย

นายวิโรจน์ กล่าวว่า พฤติกรรมแบ่งแยกประชาชนแบบนี้ ส่งผลเสียต่อสถาบันพระมหากษัตริย์มามากพอแล้ว ยกตัวอย่างเช่นคนสร้างภาพว่าตนเป็นคนที่จงรักภักดี สักหน้าอก "ทรงพระเจริญ" แล้วไปตั้งแชร์ลูกโซ่หลอกลวงประชาชน จนมีมูลค่าความเสียหายเป็นพันล้าน หรือกรณีที่มาเฟียทุนจีนสีเทา เอาภาพถ่ายที่ไปถ่ายกับพระราชวงศ์ชั้นสูง ไปแอบอ้างสร้างความเสียหายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และยังไม่รวมกลุ่มคนอันธพาล ที่อ้างว่าตนเป็นคนที่ปกป้องสถาบันฯ แล้วไปเที่ยวใช้กำลังระรานประชาชนคนที่คิดต่างไปทั่ว เที่ยวไปแจ้งความในมาตรา 112 ตามอคติของตน สร้างความเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า ต้องถามว่าการปกป้องสถาบันฯ ด้วยวิธีการของอันธพาลแบบนี้ ส่งผลดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์หรือไม่

‘โซเชียล’ ขุด!! ‘ก้าวไกล’ อ้าง ‘บิ๊กตู่’ ปัดตกทุก กม. เงิบ!! นายกฯ อยู่ฝ่ายบริหาร ไม่ใช่ฝ่ายนิติบัญญัติ

เรียกว่าตอนนี้เวทีดีเบตที่พรรคก้าวไกลไปขึ้น ร่ายวาทกรรมอำพรางได้อย่างเมามัน ชาวบ้านไม่รู้ทัน ก็มองว่าวาทกรรมที่แสนสะใจเหล่านั้น ล้วนเป็นเรื่องจริง

นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ผู้สมัคร ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ได้ขึ้นพูดบนเวทีหนึ่งว่า...

"พรรคก้าวไกลตั้งแต่สมัยยังเป็นพรรคอนาคตใหม่เสนอกฏหมายอะไรผ่านสภา พลเอกประยุทธ์ ก็ปัดตกหมด"

อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ได้มีการออกมาเปิดเผยกันในโลกโซเชียลว่า…

อดีตทูต ‘นริศโรจน์’ ย้อนถาม รักษาเอกราช ปกป้องสถาบันกษัตริย์ แบบนี้เรียก ‘แช่แข็งประเทศ’ หรือ

วันที่ 11 มิ.ย.2566 - นายนริศโรจน์ เฟื่องระบิล อดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา โพสต์เฟซบุ๊กโต้ข่าวที่นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ว่าที่ ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความในทวิตเตอร์ ระบุฝ่ายอนุรักษ์นิยมอยากแช่แข็งประเทศ

โดยนายนริศโรจน์ ระบุว่า การต้องการรักษาความเป็นเอกราชหนึ่งเดียวของประเทศมิให้ถูกแบ่งแยก  การรักษาสถาบันกษัตริย์ สถาบันครอบครัวให้คงอยู่ การพัฒนาประเทศจนมีเงินทุนสำรอง และทองคำสำรองสูงจนติด Top อันดับโลก การพัฒนา infrastructure ถนนหนทาง รถไฟฟ้า ฯลฯ การพัฒนาโครงการระเบียงเศรษฐกิจ EEC  การพัฒนานวัตกรรมใหม่ เช่น ดวงอาทิตย์ประดิษฐ์ การปล่อยจรวด NAPA ขึ้นสู่อวกาศ ฯลฯ แบบนี้เรียกว่าการ “แช่แข็งประเทศ” หรือ ?

แล้วการปล่อยให้มีสุราเสรี มี sex worker เสรี  ครอบงำข้อมูลมิติด้านเดียวให้เด็กกระด้างกระเดื่องเป็นคนก้าวร้าว รังเกียจชาติ รังเกียจพ่อแม่ตัวเอง รังเกียจความเป็นไทย การสมรู้ร่วมคิดกับต่างชาติในการแบ่งแยกจังหวัดชายแดนภาคใต้ แบบนี้เรียกว่าอะไร ?

‘วิโรจน์’ ลั่น!! ‘ก้าวไกล’ ยืดหยุ่น-รับฟังลดเพดานแก้ 112 ชี้!! ‘อุดมการณ์ต่างกัน’ แค่ข้ออ้างเตะออกจากพรรคร่วมฯ

(24 ก.ค. 66) นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) โพสต์เฟซบุ๊กหัวข้อ ‘แนวคิดในการบริหารประเทศของพรรคก้าวไกล เป็นอย่างไร ทำไมต้องเกี่ยงต้องกลัวกันนัก’ ระบุว่า…

หากติดตามสถานการณ์ทางการเมืองในช่วง 1-2 วันที่ผ่านมา กับคำสัมภาษณ์เกี่ยวกับมุมมองต่อพรรคก้าวไกลประมาณว่า “ไม่ได้ติดขัดแค่เรื่อง ม.112 แต่แนวทางอุดมการณ์ต่างกัน ไม่สามารถให้พรรคก้าวไกลมีอำนาจทางการเมืองมากไปกว่านี้ได้” และ “ไม่สามารถทำงานได้ หากมีพรรคก้าวไกลร่วมรัฐบาล เพราะแนวความคิดต่างกัน” สะท้อนว่า ประเด็นเรื่องการแก้ไข ม.112 น่าจะเป็นเพียงข้ออ้าง อย่างที่หลายคนตั้งข้อสันนิษฐานไว้จริงๆ และถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงข้ออ้างก็ตาม หาก สว. ท่านใด หรือพรรคการเมืองไหน ยังคงมีความกังวลในเรื่องนี้ พรรคก้าวไกลก็ยินดีเปิดใจรับฟังครับ

เพียงแต่อยากให้สรุปเป็นข้อเสนอมาเลยว่า คำว่า “ถอย” หรือ “ลด” ที่พูดๆ กัน นั้นมีรายละเอียดอะไรบ้าง ผมเชื่อว่าหากไม่กระทบกับจุดยืน และเจตนารมณ์ที่ดีอย่างรุนแรง การยืดหยุ่นภายใต้สถานการณ์ที่เป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นการขยายกรอบระยะเวลา การจัดลำดับก่อนหลังในการดำเนินการ การมีกระบวนการเพิ่มเติม ในการทบทวนเนื้อหา และรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่ายอย่างรอบคอบรอบด้านมากขึ้น ก็เป็นเรื่องที่พิจารณาได้

ที่ผ่านมาการแก้ไข ม.112 เราก็ยืดหยุ่นมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นการไม่บรรจุให้เป็น MOU ของ 8 พรรคร่วม และไม่มีข้อผูกมัดใดๆ ต่อพรรคร่วมรัฐบาลเลย เอาว่าวาทกรรมเรื่อง “ถอย” หรือ “ลด” เอาเนื้อหามากางคุยกันก่อนดีกว่าครับ เพื่อจะได้คลี่คลายความกังวลร่วมกันอย่างเปิดเผย และเป็นรูปธรรม มิฉะนั้นเรื่อง ม.112 ก็จะถูกนำมาเป็นข้ออ้างลอยๆ แบบไม่จบไม่สิ้น

สำหรับข้อกล่าวหาที่ระบุว่า แนวความคิดของพรรคก้าวไกลนั้นมีความแตกต่าง ขนาดที่ถึงกับต้องพูดว่า ถ้ามีพรรคก้าวไกลร่วมรัฐบาลด้วย จะทำงานไม่ได้ แถมยังปล่อยให้พรรคก้าวไกลมีอำนาจทางการเมืองไปมากกว่านี้ไม่ได้ ผมว่าประเด็นนี้ ทำให้ประชาชนอยากรู้นะครับว่า แนวความคิดของพรรคก้าวไกล ในการบริหารประเทศ นั้นเป็นอย่างไร ทำไมถึงกับต้องเกี่ยง ต้องกลัวกันถึงขนาดนี้ ผมตอบสั้นๆ ได้เลยครับว่า แนวความคิดของพรรคก้าวไกลในการจัดการงบประมาณ และการบริหารราชการแผ่นดิน จริงๆ แล้วเป็นเรื่องพื้นฐานที่ประเทศที่พัฒนาแล้วเขาทำกัน และไม่ได้มีอะไรที่น่ากลัวเลยครับ ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 8 ประเด็น ดังนี้

1. การปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันอย่างเอาจริงเอาจัง 
2. การเปิดเผยข้อมูลการบริหารราชการอย่างโปร่งใส การใช้จ่ายงบประมาณต้องมีประสิทธิภาพ 
3. การจัดการกับปัญหาทุนผูกขาด ให้ประชาชนมีโอกาสลืมตาอ้าปาก ประกอบกิจการตามความฝันของตน 
4. การจัดสรรทรัพยากรอย่างเป็นธรรม ไม่ยอมให้กลุ่มอภิสิทธิ์ชนเครือข่ายอุปถัมภ์ กินรวบทรัพยากรของประเทศ ยึดกุมสัมปทานที่เอารัดเอาเปรียบ มัดมือชกรีดนาทาเร้นประชาชน อย่างไม่เป็นธรรม 
5. การกระจายอำนาจ กระจายการลงทุนไปสู่ท้องถิ่น ไม่กระจุกความเจริญไว้ที่ส่วนกลาง 
6. การปรับปรุงสวัสดิการ ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเท่าเทียมกันในการมีคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชน 
7. การลงทุนในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต และส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เพื่อนำพาประเทศไปสู่ความก้าวหน้า พร้อมที่จะแข่งขัน และร่วมมือกับนานาอารยประเทศ 
8. การปกป้องคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพ ของประชาชน ในฐานะที่ประชาชนเป็นเจ้าของอธิปไตย และกองทัพอยู่ภายใต้รัฐบาลพลเรือน ไม่มีการทำรัฐประหารอีกต่อไป

แนวความคิดทั้ง 8 ข้อ ข้างต้น ล้วนเป็นเรื่องที่ดีทั้งสิ้น ผมไม่เห็นว่าจะมีตรงไหนที่น่ากลัวเลยครับ คนที่บอกว่าทำงานกับแนวความคิดของพรรคก้าวไกลไม่ได้ อาจจะยังไม่เข้าใจก็ได้ ก็เลยรู้สึกกังวลไปเอง อย่างไรสามารถทบทวนใหม่ได้นะครับ ถ้าบอกว่า แนวความคิดของพรรคก้าวไกล จะทำให้โกงไม่ได้ ทุจริตไม่ได้ คอร์รัปชันไม่ได้ ฮั้วประมูลไม่ได้ อันนี้ผมจะไม่เถียงเลยสักคำ จริงๆ แล้ว สถานการณ์ในตอนนี้ อาจจะเป็นการปะทะกันระหว่างวลี 2 วลี อยู่ก็ได้นะครับ วลีแรก “กูไล่มึงออก มึงไม่ออกกูจะแดกยังไง” กับวลีที่สอง “กูไม่ออก ออกแล้วประชาชนจะเอาอะไรแดก” ซึ่งประชาชนคงต้องติดตามต่อไปว่าในท้ายที่สุดแล้ว วลี 2 วลีนี้ วลีไหนจะเป็นฝ่ายชนะ


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top