Saturday, 18 May 2024
พ่อแม่

ชาวเน็ตชื่นชม!! พ่อแม่สอนลูกอย่างใจเย็น หลังลูกกดซื้อของในเกม ยอดรวม 50,000 บาท

วันที่ 11 สิงหาคม 2565 โลกออนไลน์ได้แชร์คลิปวิดีโอจากผู้ใช้ TikTok @bankchartlimpsuwanindy ที่ได้เผยคลิปขณะพูดคุยกับลูกชายที่กดซื้อของในเกมเป็นเงิน 5 หมื่นบาท โดยคุณพ่อและคุณแม่ค่อย ๆ สอนให้ลูกชายเข้าใจสถานการณ์อย่างใจเย็น โดยไม่มีการพูดเสียงเกรี้ยวกราด หรือดุด่าแต่อย่างใด

พร้อมระบุข้อความว่า บทเรียนราคาแพงของลูก ซื้อของในเกม 50,000 บาท ม๊าลืมเปิดการขออนุญาตซื้อในแอป แนะนำทุกคนที่ลูกโตใช้มือถือเป็นแล้ว ตั้งตัวเราเป็นผู้ปกครอง และเปิดการขออนุญาตการซื้อทุกครั้ง

เวลาลูกซื้อของในเกมหรือในแอปอะไร จะมีแจ้งเตือนให้เรากดทุกครั้งว่าอนุญาตไหม บางทีลูกยังไม่เข้าใจว่าการโหลดการซื้อของต้องเสียตังค์จริง ๆ ในกรณีนี้ลูกเข้าใจว่าเล่นเกมล่าเหรียญได้ เลยซื้อของในเกม เป็นคนรวยในเกมเฉย

อย่างไรก็ตาม หลังจากคลิปดังกล่าวเผยแพร่ออกไปได้มีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก โดยส่วนใหญ่ชื่นชมผู้ปกครองที่มีสติ ใช้เหตุผลค่อย ๆ พูดคุยกับลูก ซึ่งหลังจากผ่านไป 1 วันได้มีคนเข้ามาชมคลิปดังกล่าวกว่า 1.8 ล้านครั้ง


ที่มา : https://www.thairath.co.th/news/society/2469932

พ่อแม่ชาวจีน ฟ้องศาลขอค่าเลี้ยงดูจากลูก 5 แสนหยวน ทั้งที่ทอดทิ้งไปตั้งแต่ 2 ขวบ - ไม่เคยส่งเสียเลี้ยงดู

พ่อแม่จีนยื่นฟ้องศาลบังคับให้ลูกสาวที่ตัวเองทอดทิ้งไปตั้งแต่เด็ก ๆ จ่าย 'ค่าอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดา' เป็นเงิน 500,000 หยวน หลังจากเธอปฏิเสธที่จะออกเงิน 'ซื้ออพาร์ตเมนต์' ให้น้องชาย

หญิงสาวแซ่ 'จาง' วัย 29 ปี ซึ่งอาศัยอยู่ที่เมืองกว่างโจว ถูกพ่อแม่ทอดทิ้งตั้งแต่อายุ 2 ขวบ เนื่องจากไม่มีเงินเลี้ยง และได้รับการอุปการะโดยคุณป้าของเธอซึ่งเธอเคารพรักเสมือนแม่แท้ ๆ ในขณะที่พ่อแม่ตัวจริงแทบไม่เคยติดต่อหาเธอเลย

แต่เมื่อไม่นานมานี้ จาง ได้ใช้เงินเก็บของเธอซื้ออพาร์ตเมนต์ให้ลูกพี่ลูกน้องคนหนึ่ง และเมื่อพอพ่อแม่ของเธอทราบข่าว พวกเขาก็รีบปรากฏตัวทันที และเรียกร้องให้เธอซื้ออพาร์ตเมนต์ให้ 'น้องชาย' แท้ ๆ ด้วยอีกคน

เมื่อ จาง ปฏิเสธ พ่อแม่ที่ไม่เคยเลี้ยงดูเธอก็โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง และไปยื่นฟ้องต่อศาลเพื่อบังคับให้เธอจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดาเป็นเงิน 500,000 หยวน หรือประมาณ 2.6 ล้านบาท

รู้ไม่จริง อย่าอ้าง!! รู้จัก 'วันพ่อ-วันแม่' ในถิ่นมะกัน ที่บางกลุ่มคนอ้างว่า 'ไม่มี' หวังบิดเบือนด้อยค่าวันสำคัญเหล่านี้ในไทยให้หมดค่า

โลกโซเชียลมีเดียนับเป็นดาบสองคม ปะปนทั้งข่าวจริงข่าวเท็จ การเสพสื่อต้องใช้วิจารณญาณก่อนเชื่อ เพราะบางแพลตฟอร์มไม่มีการกลั่นกรองข่าวสารข้อมูล ปล่อยให้ความเท็จความลวงล่องลอยเต็มแพลตฟอร์ม 

...ที่น่าห่วงคือเด็ก ๆ โดยเฉพาะวัยรุ่น อาจจะเชื่อทุกเรื่องที่ปรากฏบนพื้นที่ออนไลน์นั้น

สัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นวันพ่อแห่งชาติ โดยประเทศไทยยึดเอาวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เป็นวันพ่อ แต่กลับกลายเป็นว่ามีการบิดเบือนเพื่อด้อยค่าวันพ่อ โดยอ้างโยงไปถึงชาติตะวันตก ทำนองว่าฝรั่งไม่มีหรอกวันพ่อวันแม่ จากนั้นก็อธิบายเป็นฉาก ๆ สรุปความได้ว่าที่ชาติตะวันตกไม่มีวันพ่อวันแม่ เพราะเกรงว่าลูก ๆ จะมีปมด้อย 

...อ่านแล้วก็แปลกใจว่า เรายังอยู่ในโลกใบเดียวกันไหมหนอ!!

อะไรทำให้คิดว่าประเทศอื่นไม่มีวันพ่อวันแม่ คิดเองเพ้อเองว่าเมืองฝรั่งไม่มีอย่างนั้นอย่างนี้ พอบอกว่ามี...ก็จี้ถามว่าชาติไหนล่ะ 

ว่าแล้วก็ขอเล่าเรื่อง 'วันพ่อ' และ 'วันแม่' ของอเมริกาดีกว่า จะได้แยกแยะได้ว่า อะไรจริงอะไรเท็จ 

เริ่มต้นด้วย 'วันแม่' ก่อนก็แล้วกัน!!

วันแม่ของอเมริกาตรงกับ 'วันอาทิตย์ที่สองของเดือนพฤษภาคม' ในกรณีนี้คงต้องยกความดีให้อเมริกา เพราะเป็นชาติแรกที่ริเริ่มแนวคิดเรื่องการมีวันแม่ จนทำให้ชาติต่าง ๆ กำหนดวันแม่แห่งชาติที่เหมาะสมกับประวัติศาสตร์ชาติตนขึ้นมา

สำหรับคนอเมริกันแล้ว วันแม่เป็นวันที่น่ารักและอบอุ่นวันหนึ่ง ส่วนมากลูก ๆ จะซื้อการ์ดหรือของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่คิดว่าแม่ชอบ อย่างขนมอร่อย ๆ ช่อดอกไม้ หรือเครื่องประดับ เพื่อระลึกถึงบุญคุณที่แม่เลี้ยงดูมาจนถึงทุกวันนี้ ลูกบางคนก็ลงทุนทำอาหารแล้วยกไปให้แม่ถึงเตียงหรือไม่ก็พาแม่ออกไปฉลองที่ร้านอาหาร

วันแม่ของอเมริกาถูกกำหนดขึ้นเมื่อประมาณร้อยปีที่แล้ว คือในปี ค.ศ. 1908 แอนนา เอ็ม. จาร์วิส คุณครูแห่งรัฐฟิลาเดลเฟียเป็นผู้ผลักดันให้มี 'วันแม่' อย่างเป็นทางการ กว่าจะประสบความสำเร็จในเรื่อง 'วันแม่' ก็หลายปีให้หลัง จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1914 ประธานาธิบดี วูดโรว์ วิลสัน ได้มีคำสั่งให้ถือวันอาทิตย์ที่ 2 ของเดือนพฤษภาคมเป็นวันแม่แห่งชาติ

ดูแลทุกช่วงวัย!! 'บิ๊กตู่' คลิกโอน 1.4 พันล้านบาท หนุนเด็กงวด มี.ค.66 ช่วยพ่อแม่เลี้ยงดูเด็กแรกเกิดต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2558

บิ๊กตู่ แจกอีกเงินเด็กกดปุ่มโอนเงินอุดหนุนเด็ก 1.4 พันล้านบาท ให้ผู้ปกครอง 2.3 ล้านราย

(11 มี.ค.66) น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มุ่งลดเหลื่อมล้ำในทุกมิติ ควบคู่ไปกับการลงทุนเพื่อพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ รองรับเด็กทุกช่วงวัยตั้งแต่แรกเกิดจนถึงวัยทำงาน โดยได้จ่ายเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด จำนวน 600 บาท ให้แก่เด็กแรกเกิดในครัวเรือนยากจนหรือครัวเรือนที่เสี่ยงต่อความยากจน เพื่อให้เด็กได้รับการดูแลให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีพัฒนาการเหมาะสมตามวัยตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ. 2558 เป็นต้นมา

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า ล่าสุดขอแจ้งข่าวดีพี่น้องประชาชน เงินอุดหนุนเด็กประจำเดือนมีนาคม 2566 เข้าบัญชีแล้วเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2566 สำหรับผู้ปกครองที่มีสิทธิรับเงินอุดหนุนรายเดิมและรายใหม่ที่ลงทะเบียนสมบูรณ์ในระบบก่อนวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2566 จำนวน 2,313,966 ราย เป็นจำนวนเงิน 1,461,718,200 บาท ทั้งนี้ผู้ปกครองที่ได้รับสิทธิสามารถตรวจสอบยอดเงินจากเลขที่บัญชีธนาคารหรือพร้อมเพย์ที่แจ้งรับเงินอุดหนุนไว้

เปิดโมเมนต์อบอุ่นหัวใจ พ่อแม่จัดงานแต่ง พร้อมลูก  เจ้าสาวถือไมค์อวยพรให้ ในที่สุดคำสัญญาของพ่อ ก็เป็นจริง

กลายเป็นคลิปที่สร้างความประทับใจให้กับคนบนโลกออนไลน์เป็นอย่างมาก หลังจากผู้ใช้ TikTok ชื่อบัญชี @mcringring หรือ Mc แหวน พิธีกรนครศรีธรรมราช ได้โพสต์คลิปงานแต่งงานหนึ่งที่แตกต่างจากงานทั่วไป เพราะจัดขึ้นพร้อมกัน 2 คู่ แถมยังเป็นการแต่งงานพร้อมกันของคู่พ่อแม่และลูกสาว
ในคลิปลูกสาวที่เป็นเจ้าสาวเหมือนกัน กำลังอวยพรให้พ่อแม่ทั้งน้ำตา โดยเธอเล่าว่า เธอภูมิใจที่เกิดมาเป็นลูกของพ่อแม่ และรู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่มีพ่อแม่แบบนี้ ทั้งสองคนไม่เคยหมดหวังในตัวของตนเองเลย รัก ดูแล และให้ทุกอย่าง

เจ้าสาวบอกอีกว่า วันนี้ดีใจที่ทำความฝันของแม่ให้เป็นจริง พร้อมพูดแบบขำๆ ยืนยันว่าไม่ได้เป็นการแย่งซีนกันอย่างใด เพราะชุดแต่งงานของพ่อกับแม่อลังการกว่าอีก
และในที่สุดเธอก็ได้ทำตามความฝันของแม่ให้เป็นจริง คือได้ใส่ชุดเจ้าสาวสักที เพราะสมัยเด็กๆ ได้ยินพ่อสัญญากับแม่ไว้ ว่าจะเข้าพิธีแต่งงานเหมือนกับคู่อื่นๆ หลังจากพ่อแม่อยู่กินกันมานานถึง 30 ปี

เปิด 7 สัญญาณเตือน ที่ทำให้ลูกคุณเปลี่ยนไป หลัง ‘เพื่อน-โรงเรียนใหม่’ เปลี่ยนเขาเป็น ‘เหยื่อ’

(4 ก.ค. 66) หลังจากที่ทุกสถานศึกษาได้เปิดเรียนมาช่วงระยะเวลาหนึ่ง เด็กๆ หลายคนอาจจะกำลังปรับตัวการกับการเข้าเรียนในโรงเรียนแห่งใหม่ หรือเจอเพื่อนใหม่ ซึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่อาจจะมีการไม่เข้าใจ ทะเลาะ หรือกระทบกระทั่งกันบ้าง แต่บางครั้งก็อาจรุนแรงถึงขั้นทำร้ายร่างกายกัน

ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) มีวิธีแนะนำสำหรับพ่อแม่หรือผู้ปกครอง ควรสังเกตอาการของลูกหลาน หากมีพฤติกรรมเหล่านี้ ควรสอบถามและดูแลอย่างใกล้ชิด เพราะอาจมีความเป็นไปได้ว่าบุตรหลานของท่านจะถูกทำร้ายที่โรงเรียน

1.) บาดแผลตามร่างกาย
รอยแผลที่เกิดจากการถูกทำร้ายบางครั้งอาจจะเป็นรอยช้ำนิดหน่อย แต่เป็นรอยฟกช้ำที่ดูผิดปรกติ เช่น รอยถูกหยิก หรือหูที่บวมแดง รอบบวมตามแขน ขา เป็นต้น

2.) พฤติกรรมที่เปลี่ยนไป
อาจมีพฤติกรรมที่ผิดแปลกจากเดิม ตกใจง่าย มีปัญหาการเข้ากับเพื่อน หรือไม่ยอมไปโรงเรียน หรือแสดงออกมาเป็นพฤติกรรมที่ควบคุมไม่ได้ เช่น การนอนสะดุ้งจากฝันร้าย หรือกลับไปฉี่รดที่นอนอีกครั้ง

3.) ความเงียบไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป
เด็กหลายคนที่ถูกทำร้ายเลือกที่จะเงียบมากกว่าโวยวาย เพราะเด็กกลัวว่าเขาจะถูกทำร้ายมากขึ้น หรือแม้แต่กลัวว่าจะเข้ากับสังคมที่โรงเรียนไม่ได้ เด็กบางคนเลือกที่จะเงียบ เมื่อลูกเกิดเงียบจนผิดปกติ คุยน้อยลงจนน่าแปลกใจ หรือถามคำตอบคำแทนที่จะร่าเริง ให้คิดว่าอาจจะเกิดเรื่องขึ้นได้

4.) อารมณ์รุนแรง
การถูกทำร้ายร่างกายนั้นส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของเด็ก ๆ และยังอาจจะทำให้เด็กเกิดพฤติกรรมอื่น ๆ เช่น เหม่อลอย ขี้ลืม สมาธิสั้น โกรธโมโหง่าย ฉุนเฉียวง่าย ที่อาจจะเกิดจากความคับข้องใจที่ต้องการระบาย บางคนแสดงออกด้วยความก้าวร้าว ต่อต้าน

5.) เริ่มมีการใช้ความรุนแรง
เห็นว่าการใช้ความรุนแรงอย่างการทำร้ายร่างกายทำให้เกิดผลดีได้ เช่น การที่เห็นเพื่อนโดนครูตีแล้วหยุดดื้อ หรือการที่เพื่อนโดนครูหยิกแล้วหยุดคุยกัน ทำให้เด็กแปรผลของพฤติกรรมทางลบนั้นเป็นเรื่องบวก ทำให้เกิดการเลียนแบบโดยใช้ความรุนแรง เพราะเขามองว่าความรุนแรงยุติปัญหาได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก ๆ

6.) ขาดความมั่นใจ
ถ้าอยู่ ๆ ลูกเคยทำอะไรได้ แต่กลับไม่กล้าทำ คุณพ่อคุณแม่อาจจะต้องเอะใจสักนิดว่าเกิดอะไรขึ้นที่โรงเรียนหรือไม่ อาจจะต้องใช้วิธีให้กำลังใจก่อนจะค่อย ๆ ถามว่าเกิดอะไรขึ้น พร้อมกับให้คำแนะนำ เพื่อเพิ่มความมั่นใจ และให้แนวคิดที่ถูกต้อง

7.) การกินและการนอนที่เปลี่ยนไป
เด็กที่ถูกทำร้ายอาจจะส่งผลต่อพฤติกรรมหลายอย่าง เด็กอาจจะเศร้าจนกินได้ไม่มากเท่าเดิม หรือนอนฝันร้าย นอนสะดุ้ง ปัสสาวะรดที่นอน เหล่านี้ล้วนเป็นสัญญาณที่คุณพ่อคุณแม่ต้องเอะใจว่าอาจจะเกิดเรื่องไม่ดีที่โรงเรียนอย่างแน่นอน

การตกเป็นเหยื่อความรุนแรงในวัยเด็กนั้นถือเป็นเรื่องใหญ่ หลายคนอาจคิดว่าโตขึ้นเด็กคงลืมได้ แต่แท้จริงแล้วความรุนแรงนั้นจะแฝงอยู่จนเมื่อเด็กเหล่านี้โตขึ้น พวกเขาจะเลือกใช้ความรุนแรงเพื่อแก้ปัญหา เพราะเรียนรู้ในวัยเด็กว่า ความรุนแรงนั้นยุติปัญหาได้จริง ดังนั้นจึงขอให้พ่อแม่ ผู้ปกครอง ควรสังเกตอาการของลูก ๆ หลาย ในเบื้องต้น เพื่อป้องกันเด็กถูกทำร้าย และป้องกันตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงในโรงเรียน

‘พรูเด็นเชียล-ยูนิเซฟ’ เล็งเห็นความสำคัญวัยเด็ก จัดกิจกรรม ‘เลี้ยงถูก ลูกดี’ เสริมเทคนิคเลี้ยงลูกให้พ่อแม่ยุคใหม่-ใช้เวลาในครอบครัวอย่างมีคุณภาพ

เด็กในช่วงวัย 0-6 ปี จำเป็นต้องได้รับการเลี้ยงดูอย่างเหมาะสม ทั้งทางด้านร่างกาย อารมณ์ และจิตใจ ซึ่งถือเป็นช่วงเวลานาทีทองที่จะส่งผลต่ออนาคตของเด็กไปตลอดชีวิต

เมื่อไม่นานนี้ ‘พรูเด็นเชียล ประเทศไทย พรูเด็นซ์ ฟาวน์เดชัน’ และ ‘องค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย’ จับมือกันเดินหน้าสร้างความตระหนักรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการดูแลเด็กในช่วงปฐมวัย เพื่อสร้างรากฐานชีวิตที่ดีให้แก่คนในสังคม ผ่านกิจกรรม ‘เลี้ยงถูก ลูกดี’ ที่เปิดโอกาสให้พ่อแม่ยุคใหม่ได้เติมเต็มความรู้ในการเลี้ยงลูกและได้ใช้เวลาที่มีคุณภาพร่วมกันในครอบครัว

อ.ดร.นุชนาฏ รักษี รองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล เล่าถึงความสำคัญของเด็กในวัย 0-6 ปี ว่า เป็นช่วงเวลาที่สมองพัฒนาสูงสุด โดยเด็กในวัยนี้จะเหมือนกับฟองน้ำที่พร้อมดูดซับความรู้และประสบการณ์ทั้งหมดที่ได้จากการอบรมเลี้ยงดู ซึ่งมีผลต่อพัฒนาการทั้งด้านร่างกายและสมอง อันเป็นพื้นฐานสำคัญที่ต่อยอดไปถึงทักษะการเรียนรู้ การควบคุมอารมณ์ และการเข้าสังคมของเด็ก รวมทั้งยังมีอิทธิพลอย่างมากต่อทัศนคติ บุคลิกภาพ และพฤติกรรมในอนาคตเมื่อเป็นผู้ใหญ่

สำหรับ 5 หลักการดูแลเด็กอย่างมีคุณภาพ ซึ่งเป็นหลักการดูแลเอาใจใส่เด็กทั้ง 5 ด้าน ที่องค์การอนามัยโลกและองค์การยูนิเซฟได้จัดการประชุมร่วมกับผู้เชี่ยวชาญทั่วโลก เพื่อวางกรอบการเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยให้สามารถเติบโตได้อย่างมีศักยภาพ ซึ่งประกอบไปด้วย

1.) สุขภาพที่ดี หมายถึงสุขภาพที่ดีทั้งของเด็กและของผู้ดูแล ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต

2.) โภชนาการที่เพียงพอ ทั้งร่างกายและสมองต่างต้องการสารอาหารที่ครบถ้วนและพอเหมาะ เพื่อเป็นแหล่งพลังงานในการเติบโต หากเด็กได้รับสารอาหารน้อยหรือมากเกินไป อาจมีภาวะทุพโภชนาการได้

3.) คุ้มครองให้ความปลอดภัยและมั่นคง หมายถึงสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัยสำหรับเด็กและครอบครัว เพราะเด็กเล็กไม่สามารถป้องกันตนเองได้และมีความเปราะบางต่ออันตรายต่างๆ นอกจากนี้ยังรวมถึงการเลี้ยงดูเด็กโดยไม่ใช้ความรุนแรง ซึ่งจะช่วยให้เด็กรู้สึกมั่นคงและปลอดภัย เพราะการปกป้องให้ลูกรู้สึกปลอดภัยเพียงพอ รับรู้ถึงความรัก ความผูกพันมั่นคง เน้นการให้กำลังใจ จะสร้างความพร้อมให้เด็กสามารถเรียนรู้ได้ดีในอนาคต

4.) ให้โอกาสในการเรียนรู้ ในขวบปีแรกๆ เด็กจะเรียนรู้และได้รับทักษะและความสามารถจากการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นผ่านรอยยิ้ม การสบตา การพูดคุย ร้องเพลง การเลียนแบบ และการละเล่นง่ายๆ

5.) มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับเด็ก การที่พ่อแม่คอยตอบสนองลูกอย่างเอาใจใส่ และรับฟังความต้องการของลูกอย่างใกล้ชิด เปรียบเสมือนการวางรากฐานชีวิตที่มั่นคงแข็งแรงให้กับลูก ทำให้พัฒนาการด้านต่างๆ ตามวัยสามารถดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สิ่งสำคัญที่ไม่อาจหาได้จากที่ไหนคือ ความมั่นคงทางอารมณ์และจิตใจที่จะหลอมรวมกันจนกลายเป็นตัวตนของเด็ก และติดตัวจนโตเป็นผู้ใหญ่ไปตลอดชีวิต

ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อดีตผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.)

(14 ธ.ค.66) ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อดีตผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) อดีตนายกสภาวิศวกร และอดีตนายกวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า...

"พ่อแม่ต้องอยู่เบื้องหลังลูกทุกคน สนับสนุนในสิ่งที่ลูกรัก ที่ลูกอยากทำ สร้างความมั่นใจ ไม่ต้องกลัว ทำดี ทำเลย...สุภาพอ่อนน้อม เป็นตัวอย่างที่ดีแก่ลูก...พูดคุย ยิ้ม หัวเราะ กอดกัน สร้างวินัย รับผิดชอบเรื่องการเรียน สอนให้รู้จักอารมณ์ตัวเอง รู้จักผิดถูก และ...เล่นมือถือต่อหน้าลูกให้น้อยลง"

‘สหรัฐฯ’ ขยายขอบเขตความผิดไปถึงผู้ปกครอง ตั้งข้อหาฆาตกรรมแก่แม่ของเด็กก่อเหตุกราดยิง

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ‘สหรัฐฯ’ คือประเทศที่เกิดเหตุ ‘กราดยิง’ ขึ้นบ่อยครั้ง จนแทบจะกลายเป็นภาพจำแล้วว่า ทุกครั้งที่มีข่าวกราดยิง หลายคนจะคิดว่าเกิดขึ้นที่สหรัฐฯ ไว้ก่อนเลย

แต่หากจะพูดถึงเหตุกราดยิงที่สร้างความช็อกให้กับสังคม หลายคนอาจนึกถึงเหตุกราดยิงโรงเรียนอ็อกซ์ฟอร์ดไฮสคูลในรัฐมิชิแกนเมื่อปี 2021 ซึ่งเด็กชายวัย 15 ปีรายหนึ่งเปิดฉากกราดยิงนักเรียนและครู จนทำให้มีผู้เสียชีวิต 4 ราย และบาดเจ็บ 7 คน

สำหรับผู้เสียชีวิต 4 คนเป็นนักเรียนทั้งหมด ส่วนผู้บาดเจ็บเป็นนักเรียน 6 คน และครู 1 คน

คดีนี้เป็นที่สนใจของสาธารณชน เพราะมีความพยายามที่จะเอาผิดพ่อและแม่ของเด็กชายผู้ก่อเหตุ คือ เจมส์ ครัมบลีย์ และเจนนิเฟอร์ ครับลีย์ ด้วย ฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา และมีการสอบสวนพยานหลักฐานมาโดยตลอด

เจนนิเฟอร์ถูกตั้งข้อกล่าวหาดังกล่าวครั้งแรกตั้งแต่วันที่ 30 พ.ย. 2021 แต่เธอปฏิเสธข้อกล่าวหา

ล่าสุดเมื่อวันที่ 6 ก.พ. ที่ผ่านมา คณะลูกขุน 12 คนซึ่งใช้พิจารณาคดีนานกว่า 10 ชั่วโมง ในที่สุดก็มีคำตัดสินให้ เจนนิเฟอร์ มารดาของผู้ก่อเหตุ มีความผิดในข้อหาฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา 4 กระทง ถือเป็นครั้งแรกในสหรัฐฯ ที่จะมีการเอาผิดพ่อแม่หรือผู้ปกครองของผู้ก่อเหตุ ให้ได้รับโทษฐานฆาตกรรมด้วย

ด้วยคำตัดสินนี้ เจนนิเฟอร์อาจถูกพิพากษารับโทษจำคุกสูงสุด 15 ปี โดยการพิจารณาพิพากษาโทษของเธอจะมีขึ้นในวันที่ 9 เม.ย. 2024

ขณะนี้เธอถูกนำตัวกลับเข้าห้องขังอีกครั้ง โดนเธออยู่ในห้องขังนับตั้งแต่ถูกจับกุมไม่กี่วันหลังเหตุกราดยิง

คดีนี้ถือเป็นกลยุทธ์ทางกฎหมายที่ไม่ธรรมดาและแปลกใหม่ และแสดงถึงความพยายามที่จะขยายขอบเขตความผิดจากเหตุกราดยิงไม่ให้จบอยู่แค่ที่ตัวผู้ก่อเหตุเท่านั้น

แม้ว่าก่อนหน้านี้ผู้ปกครองจะต้องรับผิดต่อการกระทำของบุตรหลาน เช่น การปล่อยปละละเลยหรือข้อหาเกี่ยวกับอาวุธปืน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ผู้ปกครองของเด็กที่ก่อเหตุกราดยิงต้องรับผิดชอบโดยตรง

เครก ชิลลิง พ่อของ จัสติน ชิลลิง นักเรียนวัย 17 ปีที่เสียชีวิตจากเหตุที่อ็อกซ์ฟอร์ดไฮสคูล กล่าวว่า “มันเป็นสิ่งที่เรารอมานาน แต่แน่นอนว่ามันเป็นก้าวสำคัญในเรื่องของความรับผิดชอบ...มันเป็นเป้าหมายของเรามาโดยตลอด”

ด้าน เจมส์ พ่อของผู้ก่อเหตุ มีกำหนดขึ้นศาลในข้อหาเดียวกันนี้ในช่วงต้นเดือน มี.ค.

ส่วนตัวของผู้ก่อเหตุ ซึ่งปัจจุบันมีอายุ 17 ปี ได้รับสารภาพในข้อหาก่อการร้ายที่ทำให้มีผู้เสียชีวิต 1 กระทง ข้อหาฆาตกรรม 4 กระทง และอีก 19 กระทงที่เกี่ยวข้องกับเหตุกราดยิง และเมื่อปีที่แล้ว เขาถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตโดยไม่ต้องรอลงอาญา

อัยการระบุว่า ที่เจนนิเฟอร์ต้องรับผิดชอบต่อเหตุกราดยิงนี้เพราะเธอ ‘ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง’ ในการมอบปืนให้กับลูกชายของเธอ ซึ่งในขณะนั้นอายุ 15 ปี และไม่ได้ให้คำแนะนำทางจิตที่เหมาะสมแม้ลูกชายของเธอจะแสดงสัญญาณอันตรายบางอย่างก็ตาม

คาเรน แม็กโดนัลด์ อัยการเขตโอ๊คแลนด์ กล่าวว่า “มันเป็นกรณีที่พบไม่บ่อยนักที่ต้องอาศัยข้อเท็จจริงอันร้ายแรง...นั่นคือการทำอะไรไปโดยไม่คิด และเธอก็ทำสิ่งหนึ่งโดยไม่คิด ด้วยเหตุนี้จึงมีเด็กถึง 4 คนต้องเสียชีวิต”

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายจำเลยแย้งว่าความผิดเป็นของคนอื่นต่างหาก เช่น สามีของเธอที่เก็บอาวุธปืนไว้อย่างไม่เหมาะสม หรือโรงเรียนที่ไม่แจ้งให้เธอทราบเกี่ยวกับปัญหาด้านพฤติกรรมของลูกชาย รวมถึงตัวลูกชายเองที่วางแผนและดำเนินการก่อเหตุด้วยตัวเขาเอง

แชนนอน สมิธ ทนายฝ่ายจำเลยกล่าวว่า คดีนี้จะทำให้ผู้ปกครองทั่วโลกเป็นอันตราย “พ่อแม่ทุกคนสามารถรับผิดชอบต่อทุกสิ่งที่ลูกทำได้จริง ๆ หรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นเหตุไม่คาดฝัน”

ด้านเจนนิเฟอร์ยืนหยัดในการปกป้องสิทธิของเธอเอง โดยเธอไม่ได้แสดงความเสียใจกับการกระทำของเธอ และบอกว่า “ฉันถามตัวเองว่าจะทำอะไรที่แตกต่างออกไปหรือไม่ และฉันคิดว่าคงจะไม่”


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top