‘บวบ’ พืชฤทธิ์เย็น ‘ลดไฟธาตุ-กำหนัด’ ต้อนรับฤดูร้อนได้ดีนักแล
แรกเริ่มเดิมที ‘บวบ’ มีถิ่นกำเนิดจากแถบเอเชียกลาง (อินเดีย, บังคลาเทศ) ต่อมาจึงถูกขยายพันธุ์ในแถบอุษาคเนย์ รวมถึงประเทศไทย โดยบวบเป็นพืชผักตระกูลแตง (CUCURBITACEAE) อดีตคนไทยส่วนใหญ่นิยมปล่อยต้นบวบเลื้อยตามรั้ว หรือปล่อยพันไปกับต้นไม้ แล้วคอยเก็บผลอ่อนมารับประทานเป็นผัก ทำแกงเลียง ผัดกับไข่ หรืออาจลวกจิ้มกับน้ำพริกต่างๆ ผลอ่อนมีสรรพคุณแก้ร้อนใน ลดไข้ ขับน้ำนม ขับปัสสาวะ แก้เลือดออกตามทางเดินอาหาร แก้ทางเดินปัสสาวะอักเสบ ส่วนผลบวบที่ไม่ได้เก็บจะปล่อยจนแก่แห้ง เหลือแต่เส้นใยที่เรียกว่า ‘รังบวบ’ และถูกใช้อาบน้ำ ขัดถูภาชนะ บวบที่สามารถปลูกได้ในประเทศไทยมีหลายชนิด ได้แก่ บวบเหลี่ยม บวบงู บวบหอม
ข้อมูลทางโภชนาการระบุว่า คุณค่าทางอาหารของ ‘บวบหอม’ 100 กรัม ประกอบด้วย พลังงาน 85 กิโลแคลอรี น้ำ 93 กรัม โปรตีน 0.6-1.2 กรัม ไขมัน 0.21 กรัม คาร์โบไฮเดรต 4-4.9 กรัม แคลเซียม 16-20 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 24-32 มิลลิกรัม เหล็ก 0.4-0.6 มิลลิกรัม และวิตามินซี 7-12 มิลลิกรัม
ประโยชน์หลักอีกด้านหนึ่งของ ‘บวบ’ ที่ทุกท่านรับรู้คือด้านสมุนไพร เช่น คนในประเทศจีนจะนำผลบวบแก่มาเผาจนเป็นเถ้า (นิยมบวบหอม) ใช้เป็นยาถ่ายพยาธิ และยาขับลม น้ำคั้นจากผลสดใช้เป็นยาระบาย เมล็ดแก่ใช้ทำให้อาเจียน และเป็นยาถ่าย และน้ำมันที่บีบจากเมล็ดยังใช้ทาแก้โรคผิวหนัง
การรับประทานบวบเป็นอาหารปริมาณที่พอเหมาะนั้น ค่อนข้างปลอดภัยสำหรับคนส่วนใหญ่ รวมถึงหญิงตั้งครรภ์ (และหญิงช่วงให้นมบุตร) แต่ยังมีข้อมูลไม่เพียงพอในการรับประทานบวบเพื่อรักษาโรค และยังไม่มีข้อมูลแน่ชัดพอจะระบุปริมาณการรับประทานบวบอย่างเหมาะสม ดังนั้นก่อนกินบวบ หรือใช้ผลิตภัณฑ์ใด ๆ จากบวบ ผู้บริโภคควรคำนึงถึงปัจจัยอื่น ๆ ประกอบด้วย เช่น อายุ หรือปัญหาสุขภาพ
