Friday, 28 June 2024
พอเพียง

ภาคีเครือข่าย ’ร่วมขับเคลื่อน’ โครงการอิ่มท้องเพื่อน้องๆ โรงเรียนชุมชนบ้านโคกค่าย ส่งต่อคุณภาพชีวิต 'ปลูกฝัง-บ่มเพาะ' วิถีถิ่นตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง

(9 ม.ค.67) บ่อปลาแห่งนี้เกิดจากความร่วมมือของภาคีเครือข่าย โดยองค์การบริหารส่วนตำบลควนรู อำเภอรัตภูมิจังหวัดสงขลา ครู ผู้ปกครอง นักเรียน ลงความเห็นชอบที่จะเลี้ยงปลา ตามโรงเรียนชุมชนบ้านโคกค่าย หมู่ที่ 8 บ้านโคกค่าย ตำบลควนรู อำเภอรัตภูมิ จังหวัดสงขลา สังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสงขลา เขต2

ร่วมภาคีเครือข่าย นักเรียน น้อมนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในหลวงรัชกาลที่ 9 บูรณาการจัดการเรียนการสอนถึงตัวผู้เรียน รูปแบบ active learning นักเรียนลงมือปฏิบัติจริง วันนี้กิจกรรมจับปลาในบ่อปลา จากความต้องการของนักเรียนและชุมชน ให้เมนูอาหาร สอดคล้องกับไทยสกูลลั้นวัตถุดิบในท้องถิ่น ได้ทานตามหลักโภชนาการ 

นางกัลยวรรธน์ จันทร์รัตน์ ผู้อำนวยการโรงเรียนชุมชนบ้านโคกค่าย กล่าวขอบคุณภาคีเครือข่ายที่ร่วมขับเคลื่อน โครงการฯ ที่นอกจากเลี้ยงปลาแล้ว มีปลูกผัก เลี้ยงไก่ไข่ เพาะเห็ดนางฟ้า สู่โครงการอาหารกลางวันที่มีประสิทธิภาพสำหรับนักเรียนทุกคนเรียนรู้จากการน้อมนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในหลวงรัชกาลที่ 9 บูรณาการรูปแบบ  active learning ให้นักเรียนมีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ มีสมรรถนะ สู่การเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 อย่างแท้จริงตั้งแต่ชั้นอนุบาลปีที่ 2 ถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยเน้น ครู เป็นแกนหลักสำคัญในการขับเคลื่อน มีภาคีเครือข่ายสนับสนุนแรงผลักมีฟันเฟืองอย่างนักเรียน เน้นลงมือทำโครงการการอิ่มท้องเพื่อน้อง  

วันนี้จับปลาจากบ่อ ส่งต่อเมนูอาหารกลางวัน พัฒนาคุณภาพการศึกษา นำความรู้ นำทักษะด้านโภชนาการและการเกษตรแผนใหม่ ไปประกอบอาชีพต่อไป โครงการอาหารกลางวันฯ ตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เนื้อหา บูรณาการและนำพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดังพระบรมราโชวาท  

โครงการตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสู่สถานศึกษา เพื่ออาหารกลางวันทำให้เด็กอิ่มท้อง เจริญเติบโตอย่างสมบูรณ์  นักเรียน ผู้ปกครองทำการเกษตร ปลูกพืชผัก เลี้ยงสัตว์ ทำปุ๋ย เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และมุ่งเน้นให้เกิด เพื่อพัฒนาจิตและปลูกฝังจริยธรรม คุณธรรม และศีลธรรม ตามหลักพุทธศาสนาส่งเสริมจิตสำนึกในการรักชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ ,เพื่อเสริมสร้างสุขภาวะของนักเรียนให้มีสุขภาพแข็งแรง ทั้งทางร่างกาย ทางจิตใจ ที่ส่งผลต่อการเรียนรู้ และสามารถอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างมีความสุข, เพื่อส่งเสริมการดำเนินงานด้านโภชนาการและสุขาภิบาล นักเรียนได้รับการเฝ้าระวังภาวการณ์เจริญเติบโต มีพัฒนาการสมวัย 

นอกจากนี้ ส่งผลให้ โรงเรียนเป็นแหล่งเรียนรู้ ฝึกทักษะด้านการเกษตร ส่งต่อโภชนาการ อาการกลางวัน อิ่มท้อง พร้อมเรียนรู้พัฒนาคุณภาพการศึกษา พัฒนาอาชีพ มีคุณภาพชีวิตและปลูกฝังบ่มเพาะ เป็นคนดีที่สมบูรณ์ทุกด้านตามปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพียง ในพระองค์ท่าน รัชกาลที่ 9 ที่นี่โรงเรียนชุมชนบ้านโคกค่าย

‘เรวัช’ ฉะ!! ‘โน้ส’ ปมดรามาพอเพียง เล่นไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ชี้!! มุขอื่นมีเยอะแยะ จี้!! ให้ออกมาขอโทษสังคม

เมื่อวานนี้ (6 พ.ค.67) จากกรณีคลิปโปรโมตทอล์กโชว์ ‘เดี่ยวสเปเชียล ซูเปอร์ซอฟต์พาวเวอร์’ ของ ‘โน้ส อุดม แต้พานิช’ พร้อมทั้งเขียนแคปชันประกอบคลิปว่า…อยากพอเพียง อยากปลูกผักตามอินฟลูฯ แต่ลืมคิดว่าเขาลงจากรถตู้ พอกครีมกันแดดมาเกี่ยวข้าววว กลับมาคราวนี้ พี่โน้ส-อุดม เค้าจัดเต็ม ไม่กั๊ก ไม่เซนเซอร์ เชิญรับชมพร้อมกันได้ใน ‘เดี่ยว สเปเชียล ซูเปอร์ซอฟต์พาวเวอร์’ ยังคงเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างดุเดือดบนโลกโซเซียล

ล่าสุด พล.ต.ท.เรวัช กลิ่นเกษร อดีต ผบช.ปส. ได้ไลฟ์สดผ่านยูทูบช่อง ‘โจ เรวัช กลิ่นเกษร’ โดยแสดงความคิดเห็นอย่างดุเดือดตามสไตล์บางช่วงบางตอนว่า ตนดูแล้วไม่เข้าท่า ทะลึ่งไม่เข้าเรื่อง ถามว่าโน้ตทำประโยชน์อะไรให้ประเทศชาติบ้าง เคยไปพูดฟรีให้งานกาชาดบ้างหรือเปล่า ไม่ควรอย่างยิ่งเลย เล่นไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ลืมตัวอีโก้สูง คิดว่าตัวเองเป็นดาราดังแล้วเหรอ คุณจะรวยเท่าไหร่คุณก็ไม่ได้ไปแจกสร้างมูลนิธิช่วยคนยากคนจน

"ปากเสียไม่เข้าเรื่องนะครับ ต้องดัดสันดาน ใครที่ยังศรัทธา อย่าไปซื้อบัตรไปดูมันนะครับ ไม่เข้าท่า ถ้าผมนั่งดูอยู่ด้วยวันนั้น จะขึ้นไปถีบบนเวทีเลย ไม่ให้พูดจบหรอก ไม่งั้นจะเอารองเท้าปาใส่ไปเลย มันไม่เข้าท่าจริง ๆ มีมุขอื่นให้เล่นเยอะแยะ ไม่ควรเอามุขแบบนี้มาเล่น พูดผิดแล้วก็ออกมาขอโทษสังคมเขาซะว่ากลอนพาไป" พล.ต.ท.เรวัช กล่าว

'อาร์ต พศุตม์' ยกความหมาย 'พอเพียง' ในมุมตน จนโดนใจชาวเน็ต ไม่ฟุ่มเฟือยจนเกินตัว ไม่อยากได้อยากมีจนเกินกำลัง ไม่คดโกงใคร

(8 พ.ค.67) มุมานะขยันทำมาหากินกตัญญูเลี้ยงพ่อแม่ พระเอกหนุ่ม คุณชายหมูกรอบ ‘อาร์ต พศุตม์’ ที่ตอนนี้กำลังรุ่งกิจการหมูกรอบขายดิบขายดี ออกบูธไม่ได้หยุด

ล่าสุดท่ามกลางกระแสดรามาร้อนแรงประเด็นทอล์กปมพอเพียงของ ‘โน้ส อุดม’ เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ต่าง ๆ นา ๆ ตอนนี้ หนุ่มอาร์ตก็ได้โพสต์คลิป พร้อมแคปชันว่า…

“ออกบูธ แฟชั่น ไอซ์แลนด์ นะคับ แบบนี้ เค้าเรียก ‘พอเพียง’ จ๊ะ ไม่จำเป็นต้องทำตัวจน ไม่จำเป็นต้องทำไร่ทำสวน ไม่จำเป็นต้องทำตัวให้ลำบาก

‘พอเพียง’ คือ รูัจักประมาณตนเอง พอใจในสิ่งที่มี ไม่ใช่ฟุ่มเฟือยจนเกินตัวเอง ไม่คดโกงใคร ไม่ได้อยากได้อยากมีจนเกินกำลัง”

เป็นคลิปขณะเจ้าตัวให้สัมภาษณ์ เอาจริง ๆ ชาตินี้อยู่สบาย ๆ แล้ว ไม่มีทางที่จะลงทุน 10 ล้าน เพื่อเสี่ยงวัดดวงเอาเงิน 100 ล้าน ไม่เอาเลย แต่ถ้าล้านหนึ่งจะมีเพิ่มมาอีก 5-6 ล้าน โอเค

ขณะที่มีคอมเมนต์ต่างเข้ามาสนับสนุนความคิดเห็น อาร์ต รัว ๆ อาทิ เห็นด้วยค่ะ , ใช่ที่สุดค่ะ , นี่แหละพอเพียง ไม่ใช่พูดพอเพียงและลามไปเรื่องทำเกษตร , ถูกต้องที่สุดค่ะ , ทัศนคติดีรักคุณอาร์ตครับ , ถูกต้องทุกคำ เป็นต้น

เพราะความหมาย 'พอเพียง' ที่ถูกตีความจนผิดเพี้ยน สร้างความสับสนให้ผู้คนคิด "ใครจะไปทำได้-ใครจะทำก็ทำไป"

(8 พ.ค. 67) จากเพจ 'Moneyland.biz' ได้โพสต์ข้อความถึงกรณีมุก ‘พอเพียง’ ที่เป็นกระแสดรามาจากเวทีเดี่ยวสเปเชียล จนสร้างความไม่พอใจแก่คนไทยหลายๆ คนไว้ว่า...

จากกรณีที่คุณโน้ส อุดมเล่นมุกโดยมีการเอาคำว่าพอเพียงมาเล่น ทำไมถึงสร้างความโกรธเคืองไม่พอใจให้กับผู้ใหญ่หลาย ๆ คนในบ้านเมือง

ใครมาแตะคำว่า 'พอเพียง' ไม่ได้เลยเหรอ?

ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่ได้ดูเดี่ยวสเปเชียลแล้ว และก็ขำสนุกพี่โน้สทั้งรายการ แต่ต้องยอมรับว่าคำว่าพอเพียง ก็ทำให้ผมไม่สบายใจเช่นกัน ที่มันไม่สบายใจนั้น ไม่ใช่ว่าแตะคำ ๆ นี้ไม่ได้ จริง ๆ คนทั้งโลกควรแตะคำ ๆ นี้ให้มากด้วยซ้ำ (เดี๋ยวจะอธิบายต่อไปว่าทำไม) 

ประเด็นคือเพราะพี่ใช้คำว่า 'พอเพียง' มาเอาฮาโดยใช้ความหมายของคำนี้แบบ 'ผิด ๆ' ซึ่งผลกระทบจากการใช้แบบผิด ๆ ของพี่ มันไม่ใช่แค่ขำแล้วจบ มันมีอิทธิพลต่อคนที่ได้ดูด้วยความไม่เข้าใจไปไกลกว่านั้น 

นอกจากนี้ คำนี้ก็เป็นคำที่คนไทยรู้กันดีว่ามาจากคำสอนของล้นเกล้ารัชกาลที่ ๙ มุกนี้ของพี่จึงไม่ต่างจากการออกมาประกาศกับคนทั้งประเทศว่า ที่พระองค์สอนไว้ ใครจะทำก็ทำไป ฉันทำไม่ได้ แล้วมันสามารถส่งผลชี้นำให้คนทั้งประเทศที่ยังไม่เข้าใจคิดตามได้ว่า ฉันก็ไม่จำเป็นต้องพอเพียง (ในแบบเข้าใจผิด ๆ) เช่นกัน เพราะพี่โน้สเหมือนเป็นตัวแทนเสียงของคนในสังคมมาเป็นสิบปีแล้ว จากเดี่ยวของพี่ตั้งแต่เดี่ยว 1 ผมดูพี่ผมก็ขำ ไม่ได้โกรธ เพราะผมคิดในแง่ดีว่าพี่คงแค่คิดน้อยไป และเพราะไม่เข้าใจ คนเราพอไม่เข้าใจมันก็เอาไปใช้ผิด ๆ โดยไม่ตั้งใจ แต่พี่ก็สมควรมาก ๆ ที่จะโดนตำหนิในเรื่องนี้ เพราะความคิดน้อยของพี่

เนื่องจาก...ในหลวง ร.๙ ราชาผู้ทรงงานหนักที่สุดในโลก พยายามจะให้ประชาชนเข้าใจคำนี้ เพื่อการเติบโตที่แข็งแรงมั่นคงของคนไทยและทั้งประเทศ

แต่ถูกพี่เอาคำนี้มา Make Joke เพราะไม่เข้าใจ แล้วก็ส่งผลกระทบต่อในทางทัศนคติต่อบรรดาคนที่ไม่เข้าใจที่ดูพี่เป็นสิบ ๆ ล้านคน 

ซึ่งต้องยอมรับว่าพี่โน้สมีอิทธิต่อคนรุ่นนี้มากกว่าในหลวง ร.๙ ที่ทรงไม่อยู่แล้วแน่นอน

คน ๆ นึงทำงานหนักด้วยความสละตลอดชีวิต เพื่อหวังให้ประชาชนของเขาเข้าใจคำ ๆ นี้ เพื่อตัวประชาชนเองและประเทศชาติ

แต่คนอีกคนนึง เล่นมุกกับคำ ๆ นี้ 10 นาที ในวิดีโอที่คนดูได้ทั้งประเทศ แล้วสามารถส่งผลชี้นำวิธีคิดที่มีต่อคำ ๆ นี้ให้ถูกละเลยได้เลย เพราะมีพี่โน้สเป็นตัวอย่าง

คำว่า 'พอเพียง'

คือ ปรัชญาของในหลวงรัชกาลที่ ๙ ที่ประกอบไปด้วย...

3 ห่วง 2 เงื่อนไข

3 ห่วง คือ พอประมาณ มีเหตุมีผล มีภูมิคุ้มกัน
2 เงื่อนไข คือ ความรู้ คุณธรรม

ถ้าเอาให้สรุปแบบสั้นที่สุดก็คือ ทางสายกลาง ต้องมีความรู้และคุณธรรมอยู่ด้วย

เราทำอะไร พอประมาณกับตัวของเรา มีเหตุผลที่สมเหตุผลในการทำ มีภูมิคุ้มกันหรืออาจเรียกว่ามีแผนสำรอง แต่เราจะไม่สามารถคิดทำ 3 อย่างนี้ได้ถูกต้องเลย ถ้าเราไม่มีความรู้ แต่ความรู้อย่างเดียว แล้วไม่มีคุณธรรม เราก็จะทำโดยไม่สนว่าสิ่งที่เราทำจะส่งผลกระทบต่อคนอื่นอย่างไร สิ่งที่เราทำให้ประโยชน์ต่อเราแต่ไปทำร้ายใครหรือไม่

หนึ่งในตัวอย่างง่าย ๆ คือ ถ้าทุกคนในโลกมีความพอเพียง (มี 3 ห่วง 2 เงื่อนไข) โลกจะไม่มาถึงปัญหาการสู้รบหรือปัญหาโลกร้อนอย่างทุกวันนี้

ทั้งภาคธุรกิจ และประชาชน ถ้าแคร์ว่า สิ่งที่เราทำ ส่งผลถึงชั้นบรรยากาศโลกอย่างไร สุดท้ายจะเกิดผลอย่างไร มากกว่าการสนแค่ผลประกอบการ การเอาชนะคู่แข่งทางธุรกิจ ความสุขสบายของตัวเอง ปัญหาโลกร้อนจะไม่เกิด เป็นต้น

ที่กล่าวมาทั้งหมด ไม่มีสักคำพูดที่บอกว่าต้องอยู่อย่างจน ๆ ลำบาก ๆ หรือต้องอยู่ชนบท ไม่มีสักคำว่าให้ทำเกษตรกรรม ไม่มีคำไหนที่บอกว่า ห้ามรวย

ถ้าเข้าใจคำว่าพอเพียง ไม่ว่าทำอาชีพอะไร ถ้าคน ๆ นั้นต้องการจะร่ำรวย เขาจะร่ำรวยได้แบบมั่นคงเสียอีก และจะไม่ทำร้ายใครเพื่อความร่ำรวยของตัวเอง ไม่ทำร้ายโลกเพื่อความร่ำรวยของตัวเอง คิดดูว่าถ้าทั้งโลกเป็นแบบนี้ โลกนี้จะน่าอยู่แค่ไหน

- MONEYLAND -

*ขออนุญาตนำคำอธิบายเพิ่มเติมในคอมเมนต์มาใส่ไว้ในโพสต์ เพื่อให้คนที่เพิ่งได้มาอ่านมีความเข้าใจคำว่าพอเพียงมากขึ้นนะครับ

คนที่ไม่เข้าใจ ก็จะบอกว่า คนบางคนมีไม่พอด้วยซ้ำ แล้วจะพอเพียงได้อย่างไร?

จริง ๆ แล้ว คนมีไม่พอที่เข้าใจความพอเพียง จะสามารถทำให้ตัวเองไม่ลำบากกว่าเดิม รวมทั้งสามารถใช้ความพอเพียงช่วยเป็นฐานในการถีบด้วยเองขึ้นมาให้มีมากขึ้นจนมีพอได้ด้วย

เช่น ตัวเองหาเงินได้วันละไม่ถึงร้อย ก็จะไม่เอาเงินไปใช้จ่ายอะไรที่ฟุ้งเฟ้อ ไม่มีเหตุผล ไม่เกินตัว และเมื่อเป็นได้อย่างนี้ ก็สามารถที่จะถีบตัวเองให้ขึ้นมามีพอ ได้ง่ายกว่าคนที่มีไม่พอ แต่เอาเงินไปซื้อเหล้า ซื้อของฟุ้งเฟ้อ ทั้งที่ตัวเองไม่มีศักยภาพที่จะทำแบบนั้น 

เช่นนั้น หากเข้าใจคำว่าพอเพียงตามที่ผมได้อธิบายไว้ จะเข้าใจได้ว่า ไม่ว่าจะรวยสักแค่ไหน หรือยากจนสักแค่ไหน ก็สามารถมีความพอเพียงได้ เพราะพอเพียง คือการทำทุกอย่างในชีวิต (รวมทั้งสร้างฐานะสร้างการเติบโต) ให้สอดคล้องตามอัตภาพของตัวเอง อย่างมีเหตุมีผล มีภูมิคุ้มกัน มีความรู้ มีคุณธรรม 

นั่นคือประโยชน์ของการมีความพอเพียง

และมีแต่คนที่ไม่เข้าใจเท่านั้นที่จะบอกว่า การที่ตนเองอยู่ชนบทไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกครบครันไม่ได้ คือ ตนเองไม่พอเพียง เพราะการอยู่อย่างลำบากได้ อยู่อย่างจนได้ ไม่ใช่ความหมายของคำว่า พอเพียง ตามที่อธิบายไปแล้วข้างต้น

และคนที่ไม่เข้าใจหลายคน เข้าใจว่าการหาเงินกับความพอเพียงเป็นสิ่งตรงกันข้ามกัน ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด ถ้าเข้าใจความพอเพียง จะเข้าใจครับว่าการเงินก็สามารถพอเพียงได้ จึงมีหลักปรัชญา 'เศรษฐกิจ' พอเพียง ซึ่งเป็นเรื่องการเงินล้วน ๆ

ยกตัวอย่าง การมีเงินสำรองฉุกเฉิน 6 เดือน ก็ถือเป็น ภูมิคุ้มกัน ซึ่งเป็น 1 ใน 3 ห่วงของหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง

การลงทุนขยายธุรกิจ ตามความพร้อมและศักยภาพของธุรกิจ และไม่ลงทุนเกินตัว นั่นคือ การรู้จักตน รู้จักประมาณตน และทำอย่างมีเหตุมีผล ซึ่งเป็น 2 ใน 3 ห่วง หลักปรัชญาฯ

การขยายธุรกิจ โดยไม่ทำจนไปตัดทางทำมาหากินของพ่อค้าแม่ค้าตัวเล็ก ๆ คือการมีคุณธรรม ซึ่งเป็น 1 ใน 2 เงื่อนไขของหลักปรัชญาฯ

การขยายธุรกิจ โดยมีการศึกษาก่อนจนมีความรู้มากพอที่จะใช้ในการขยายธุรกิจให้สำเร็จ ก็คือ 1 ใน 2 เงื่อนไขของหลักปรัชญาฯ

คำว่า 'พอเพียง' เดี่ยว ๆ มีความหมายเดียวกับคำว่า 'พอเพียง' ใน 'เศรษฐกิจพอเพียง' กล่าวคือเป็นการนำหลักคิดความพอเพียงมาใช้ในเศรษฐกิจหรือการเงิน

ศึกษาให้เข้าใจ จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับการดำเนินชีวิตของเราครับ นี่คือสมบัติอันล้ำค่า ที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทิ้งไว้ให้เราและโลกนี้

'ประกิต สิริวัฒนเกตุ' แชร์บทเรียนชีวิตในช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง 2540 ผ่านมรสุมชีวิตมาได้ถึงวันนี้ เพราะพระราชดำรัสของในหลวง ร.9 

(13 พ.ค.67) จากเฟซบุ๊ก 'ประกิต สิริวัฒนเกตุ' โดยคุณประกิต สิริวัฒนเกตุ กรรมการผู้จัดการสายงานกลยุทธ์การลงทุน บลจ.เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด ได้แชร์บทเรียนจริงของครอบครัวช่วงที่ต้องพบเจอกับวิกฤตต้มยำกุ้ง ไว้ว่า...

ย้อนกลับไปปี 2540 ทำไมประเทศไทยถึงต้องเกิดวิกฤติการเงินครั้งใหญ่ (วิกฤติต้มยำกุ้ง) ต้นเหตุ มันไม่ได้มีแค่การไร้ความสามารถของรัฐบาล หรือการฝืนต่อสู้กับการโจมตีค่าเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย แต่การบริหารงานที่ผิดพลาดมันเหมือนไปกดปุ่มระเบิดนิวเคลียร์ของปัญหาที่หมักหมมมาอย่างยาวนาน ทั้งการเติบโตแบบไร้ทิศทาง เงินเฟ้อสูงเรื้อรัง ค่าแรงพุ่งจนทำให้ศักยภาพแข่งขันอ่อนลง การปล่อยสินเชื่ออย่างหละหลวมของสถาบันการเงิน การเปิดเสรีการเงิน (BIBF) ของรัฐบาลก่อนหน้า เปิดช่องให้เอกชนกู้เงินต่างประเทศ จนหนี้ระยะสั้นมีสูงกว่าทุนสำรองระหว่างประเทศมากกว่า 2 เท่า ขณะที่ธนาคารกลางคงค่าเงินไว้ที่ 25 บาทต่อดอลลาร์ โดยที่ประเทศไทยขาดดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดมาอย่างต่อเนื่อง เกิดเป็นช่องรูโหว่ใหญ่ให้ จอส โซรอส ถล่มค่าเงินบาท ทุนสำรองระหว่างประเทศร่อยหลอ เกิดหนี้เสียในระบบการเงินมากมายและลุกลามต่อเนื่องจนประเทศต้องเข้าสู่สภาวะล้มละลาย 

เศรษฐกิจไทยพังพินาศ รัฐบาลต้องขอความช่วยเหลือการเงินจาก IMF ดัชนีตลาดหุ้นไทยดำดิ่ง 2539-2540 ร่วงไป -90% บริษัทต่าง ๆ พากันปิดกิจการ ต้องตัดขายสินทรัพย์ให้บริษัทข้ามชาติในราคาแสนถูก คนตกงานมากมายจนต้องพากันมาเปิดท้ายขายของตามตลาดนัด

ครอบครัวของผมก็ได้รับผลกระทบหนักเช่นกัน ความทรงจำในตอนนั้น คือความสงสัย เหตุใด ครอบครัวเราที่ขยันทำมาหากินอยู่ดี ๆ ต้องลำบากมากขึ้น สินค้าที่นำเข้ามาขายต้องจ่ายในราคาแสนแพง (เพราะเชื่อผู้นำประเทศตอนนั้นว่าจะไม่ลดค่าเงินบาท) แต่ต้องขายต่อในราคาแสนถูกเพราะเศรษฐกิจย่ำแย่ การเค้าซบเซาและขาดทุนหนัก ซ้ำร้ายยิ่งไปกว่านั้น เมื่อแม่มาสารภาพบอกว่าเงินทุนการค้าไปจมสูญไปในตลาดหุ้นและที่ดิน แถมมีหนี้ก้อนมหาศาลที่แม่หยิบยืมมาในช่วงก่อนเกิดวิกฤติเพื่อเอามาใช้จ่ายและหมุนเวียนทำการค้า (เงินการค้าเอาไปเล่นหุ้น)

ผมจำภาพวันที่ผมกลับจากโรงเรียนมาถึงหน้าบ้าน พี่สาวรีบวิ่งมาเปิดประตูแล้วบอกผมว่า พ่อจะฆ่าตัวตาย เพื่อหวังจะให้ครอบครัวได้เงินประกันชีวิต

นั่นคือความอ่อนแอของพ่อ ที่ผมเห็นเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิต ตอนนั้นผมเข้าใจพ่อเป็นอย่างดี ทำงานมาด้วยความเหนื่อยยาก 20 กว่าปี สุดท้ายนอกจากจะไม่เหลืออะไรแล้ว ยังต้องติดลบหนักอีกต่างหาก

พ่อผมเริ่มตั้งสติ และค่อย ๆ วางแนวทางแก้ไขปัญหา พ่อต้องเอาบ้านไปจำนองกับธนาคารอีกครั้ง (พ่อเพิ่งปลดบ้านจากธนาคารได้ไม่นาน) พ่อดึงบัญชีจากแม่มาคุมเองทั้งหมด พ่อเลิกจ้างคนงาน และให้ลูกทุกคนช่วยงานหนักขึ้น (ปกติก็ช่วยงานหนักอยู่แล้ว) พ่อสั่งให้ทุกคนประหยัด ประหยัดในที่นี้คือประหยัดสุด ๆ อาหารในแต่ล่ะมื้อจากที่เคยกินกันอิ่มหมีพีมัน ต้องกินแบบเผื่อเหลือในมื้อต่อไป ข้าวสวยจากข้าวหอมมะลิ เป็นข้าวแข็งๆและไม่อร่อยสุด ๆ (ทำให้ผมเป็นคนที่ไม่ชอบกินข้าวสวยตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้) ยามนอนต้องประหยัดไฟ เปิดได้แค่พัดลมหากใครอยากนอนแอร์ต้องมานอนห้องทำงานพ่อ (พ่อนอนในห้องทำงาน)

ครอบครัวผมไม่ได้ไปกินข้าวนอกบ้านกันอีกเลยตั้งแต่เกิดวิกฤติ ผมต้องกินแต่ข้าวบ้านกับข้าวที่โรงเรียน กินอย่างประหยัดจำเจวนไปเวียนมา พ่อผมบอกว่าถ้าแม่ไม่ทำพังเราสามารถกินเหลาได้ทุกมื้อ (กินภัตตาคาร) คำพูดนั้นฝังใจผมจนถึงทุกวันนี้

ส่วนแม่ของผม ด้วยพื้นเพนิสัยที่เป็นคนดีมีคุณธรรม ประหยัด ขยันทำงาน (แต่จัดการเงินไม่เป็น) ในสภาวะที่ย่ำแย่ แม่ไม่เลือกวิธี ‘ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย’  แต่แม่เลือกที่จะเดินเข้าหาเจ้าหนี้ (เจ้าหนี้ส่วนใหญ่เป็นผู้ใหญ่ที่เอ็นดูแม่) บอกถึงความจำเป็น ขอเจรจาปรับโครงสร้างหนี้ เจ้าหนี้ทุกคนรู้จักนิสัยแม่ดี ทุกคนยอมไม่คิดดอกเบี้ย และให้เวลาแม่ในการผ่อนชำระ

แม่เป็นคนประหยัด ไม่ได้ใช้เงินฟุ่มเฟือย แต่แม่ไม่ใช่คนขี้งก แม่สปอร์ตกับลูก แม่ยอมจ่ายไม่ยั้ง ถ้าเป็นเรื่องการกินอยู่ การเรียน และการรักษาพยาบาลของลูก ความที่แม่อยากให้ลูกอยู่สบายไม่ลำบาก มันทำให้ลูกทุกคนไม่รู้ตัวว่า ไอ่ที่กินใช้อยู่นี่มันคือเงินที่มาจากหนี้

พ่อและแม่ สร้างเนื้อสร้างตัวจากการเป็นพนักงานบริษัท พ่อเป็นพนักงานขาย ส่วนแม่เป็นเสมียนและทำบัญชี พอทั้งคู่แต่งงานกัน จึงออกมาทำการค้า ความที่ไม่มีทุน จึงต้องเริ่มต้นการค้าด้วยการกู้เงินจากผู้ใหญ่ที่รู้จักต่าง ๆ

ก่อนวิกฤติในยามที่เศรษฐกิจดี กิจการขยายตัว มีรายได้มากขึ้น แต่ต้องมาหมุนเวียนกับการค้าและการชำระดอกเบี้ย หนี้สินจึงไม่เคยลดลง ผมและพี่น้องเกิดมาเมื่อพ่อแม่มีกิจการแล้ว แม้ต้องช่วยงานที่บ้านตั้งแต่ยังเล็ก แต่เรามีกินมีใช้ไม่เคยขาด เราคิดกันไปเองว่าเราเป็นชนชั้นกลางในสังคม

เมื่อเกิดวิกฤติ เราถึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้ว เราแทบไม่มีเงินเหลือเก็บ และไม่มีทรัพย์สินที่เป็นของเราจริงๆเลย

แม่ผมต้องปรับเปลี่ยนการทำงาน จากที่เคยนั่งคุมบัญชีการค้าอยู่ที่บ้าน ต้องขับมอเตอร์ไซด์ เป็นเซลล์ขายสินค้าของกิจการ และพยายามหารายได้เพิ่มด้วยการขายถุงพลาสติกให้กับร้านอาหารข้างทางต่าง ๆ (ทุกวันนี้ผมจะชอบไปทานร้านเหล่านั้นเพื่อขอบพระคุณที่ช่วยแม่ผมในยามยากลำบาก)

ในความมืดมนของประเทศ และของครอบครัวผม วันหนึ่งผมนั่งรถเมล์เพื่อเดินทางไปโรงเรียน ในระหว่างที่ผมเหม่อลอย ครุ่นคิดว่า เราจะลำบากไปแบบนี้อีกนานแค่ไหน เราจะมีวันสบายอีกครั้งได้ไหม ผมเห็นป้ายขนาดใหญ่มีรูปในหลวงรัชกาลที่ 9 และข้อความที่เขียนถึงเศรษฐกิจพอเพียง

“คนเราถ้าพอใจในความต้องการ ก็มีความโลภน้อย เมื่อมีความโลภน้อยก็เบียดเบียนคนอื่นน้อย ถ้าทุกประเทศมีความคิดว่าทำอะไรต้องพอเพียง หมายความว่าพอประมาณ ไม่โลภอย่างมาก ไม่สุดโต่ง คนเราก็อยู่เป็นสุข”

“การกู้เงินที่นำมาใช้ในสิ่งที่ไม่ทำรายได้นั้นไม่ได้ อันนี้เป็นข้อสำคัญ เพราะว่าถ้ากู้เงินและทำให้มีรายได้ ก็เท่ากับจะใช้หนี้ได้ ไม่ต้องติดหนี้ ไม่ต้องเดือดร้อน ไม่ต้องเสียเกียรติ”

พระราชดำรัสของในหลวง ร.9 เมื่อ 4 ธ.ค.2540 และ 4 ธ.ค.2541

ผมไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกวันนั้นอย่างไร ในวันที่มองไปทางไหนก็มีแต่ความมืดมน ป้ายของในหลวง คือป้ายแห่งความหวังจริง ๆ ป้ายที่บอกต้นตอของปัญหาและชี้ให้เห็นว่าทางออกควรต้องไปทางไหน

นับจากตอนนั้น ผมยึดคำสอนเศรษฐกิจพอเพียง เป็นหลักในการดำเนินชีวิต ปี 2542 ผมเข้าเรียนมหาวิทยาลัย โดยไม่กู้ กยศ. ผมไม่อยากเรียนจบ และเริ่มต้นการทำงานด้วยการเป็นหนี้  ผมเชื่อว่าหากผมกู้ กยศ. มา ชีวิตผมจะมีวังวนแบบเดิมเหมือนที่ครอบครัวเคยเป็นมา คือกู้เงินมาใช้จ่ายอย่างเพลิดเพลิน ผมเห็นเพื่อนที่กู้ กยศ. ใช้จ่ายเหมือนเงินได้มาง่ายๆฟรีๆ เครื่องคิดเลขสำหรับวิศวกรรมสมัยนั้น casio ราคา 3,500 บาท ถือว่าแพง มาก ๆ แล้ว แต่เพื่อนผมกลับใช้เงิน กยศ. ซื้อเครื่อง Texas ซึ่งแพงกว่าเกือบ 2 เท่า

ผมไม่อยากเป็นแบบนั้น ผมมีบทเรียนของครอบครัวมาแล้ว การใช้จ่ายด้วยเงินกู้ของคนอื่น มันคือการเป็นทาส ผมเลือกที่จะสอนพิเศษแบบหามรุ่งหามค่ำ เพื่อให้มีเงินมาจ่ายค่าเทอม และใช้จ่ายในเรื่องอื่น ๆ ผมตระเวนนั่งรถเมล์สอนทั่วกรุงเทพมหานคร ทั่วซะจนไม่มีเขตไหนในกรุงเทพที่ผมไม่เคยไปสอน

วันเวลาผ่านไป ความอดทน พยายามต้องสู้ของทุกคนในครอบครัวของผมเริ่มออกผล พ่อสามารถไถ่ถอนบ้านจากธนาคารในปี 2544 และเป็นเรื่องที่น่าเศร้าต้นปี 2545 พ่อผมต้องป่วยหนักกลายเป็นเจ้าชายนิทรา แม่และพี่สาวได้มาช่วยกันดูบัญชีต่าง ๆ ที่พ่อทำเอาไว้

นอกจากบ้านที่พ่อไถ่ถอนออกมาได้แล้ว ผลจากการประหยัด ผลจากการที่ทุกคนช่วยกันทำงานอย่างยากลำบาก พ่อมีเงินสดในบัญชี 3 ล้านกว่าบาท ขณะที่ยังมีหนี้สินค้างอยู่ 12 ล้านบาท แม่ผมได้ใช้เงินนั้นทำการค้าต่อด้วยความระมัดระวังจนเคลียร์หนี้สินได้หมด เจ้าหนี้ทุกคนได้รับเงินครบทุกบาทในปี 2553

ครอบครัวผมได้ประกาศเป็นไท แม่ผมได้สัมผัสถึงอิสรภาพครั้งแรกในวัย 60 ปีพอดิบพอดี ส่วนผมตอนนั้นอายุ 30  สนใจแต่เรื่องทำงานหนัก ไม่อยากเป็นหนี้อะไรทั้งนั้น ไม่มีความต้องการรถคันงามหรือบ้านหลังใหญ่ มีแต่อยากจะเติบโตในหน้าที่การงาน อยากเป็นสุดยอดนักวิเคราะห์ของประเทศนี้ ผมต้องการแค่นั้นจริง ๆ

ทุกวันนี้ผมขอบคุณพระเจ้า บทเรียนของครอบครัวในอดีต ได้ทำให้ผมมีฐานะทางการเงินในปัจจุบันที่ดี ผมมีอิสรภาพทางการเงิน ผมได้ภรรยาที่ดี เข้าใจเรื่องการเงิน และรู้คุณค่าของคำว่า ‘เศรษฐกิจพอเพียง’ แม้เราจะมีเงินในบัญชี มีทรัพย์สินต่าง ๆ แต่เราไม่เคยใช้เงินเกินกว่าที่หามาได้ในแต่ล่ะเดือน กลับกันเราจะต้องกันเงินไปเก็บเพิ่มเสมอ เราไม่เคยประมาท และจะไม่มีวันประมาทเด็ดขาด

และไม่ใช่แค่ผมที่มีอิสรภาพทางการเงิน พี่สาวและน้องสาวของผม ทุกคนได้ประโยชน์จากบทเรียนในอดีต พี่สาวมีธุรกิจที่มั่นคงปลอดหนี้สิน เช่นเดียวกับน้องสาวที่ทำธุรกิจด้วยความระมัดระวัง ไม่ก่อหนี้ใดๆทั้งนั้น

ขอบพระคุณคำสอนของในหลวง ร.9 เศรษฐกิจพอเพียง คือที่สุดของปรัชญาของการดำรงชีวิตในโลกทุนนิยม วันใดที่ผมได้นำคำสอนของในหลวงไปถ่ายทอดให้กับใครต่อใครฟัง ผมอยากบอกกับทุกคนว่า เศรษฐกิจพอเพียงช่วยพวกคุณได้ คุณควรเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้เงินก่อนที่จะสายเกินไป คุณสามารถเปลี่ยนได้ในตอนนี้ด้วยความเข้าใจ มันจะดีกว่าถูกวิกฤติบังคับให้คุณจำใจต้องเปลี่ยน

คำพูดของพ่อผม ‘เราสามารถกินเหลาได้ทุกมื้อ’ ขอบคุณพระเจ้าที่วันนี้ผมยิ้มกับคำพูดนี้ได้แล้ว

'ชาวแอฟริกา' นำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปประยุกต์ในภาคเกษตร พลิกผืนทรายแห้งแล้ง เป็นผืนดินอุดมสมบูรณ์ 'เพาะปลูก-เลี้ยงสัตว์' ได้

(23 พ.ค.67) เพจ 'เกษตร นานา' ได้โพสต์ข้อความชวนประทับใจผ่านเรื่องราวของอาณาจักรเลโซโท ระบุว่า...

ชาวเลโซโท ในทวีปแอฟริกา ได้น้อมนำเอาปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ด้วยทำการเกษตรแบบผสมผสานไปใช้ในประเทศ จนสามารถพลิกฟื้นผืนดินจากทะเลทรายอันแห้งแล้งให้เป็นผืนดินอุดมสมบูรณ์สามารถปลูกพืชเลี้ยงสัตว์ได้ โดยผ่านโครงการพัฒนาการเกษตรอย่างยั่งยืนในเลโซโท 

สำหรับโครงการนี้ มีการจัดตั้งศูนย์สาธิต Koete และชุมชน Makoabating เขต Matsieng กรุงมาเซรู ราชอาณาจักรเลโซโท เพื่อให้เกษตรกรมีความรู้ ความเข้าใจ สามารถนำความรู้การพัฒนาการเกษตรโดยใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 ไปปรับใช้ในพื้นที่ของตนและชุมชนให้สามารถพึ่งพาตนเองได้ และเป็นแหล่งเรียนรู้แก่ชุมชนอื่นนำไปสู่การพัฒนาการเกษตรอย่างยั่งยืน


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top