Tuesday, 30 April 2024
พลเอกประยุทธ์

กลุ่มชาวสวนปาล์ม สภาเกษตรกรฯ ยื่นหนังสือเสนอถึง “พลเอกประยุทธ์” ยกเลิกมาตรการปรับลดสัดส่วนผสมขั้นต่ำ ของไบโอดีเซล บี7 และน้ำมันดีเซลธรรมดา เป็นร้อยละ 6 !!หวั่นส่งผลกระทบต่อราคาผลปาล์ม

วันที่ 12 ตุลาคม 2564 เวลา 09.00 น. ณ ศาลากลางจังหวัดกระบี่ เลขที่ 9/10 ถนนอุตรกิจ ตำบลปากน้ำ อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่ นายพันศักดิ์ จิตรรัตน์ ประธานสภาเกษตรกรจังหวัดกระบี่ พร้อมด้วยนายอธิราษฎร์ ดำดี คณะทำงานด้านปาล์มน้ำมัน สภาเกษตรกรจังหวัดกระบี่ / ท่านอาจารย์เอนก ลิ่มศรีวิไล และพนักงานสำนักงานสภาเกษตรกรจังหวัดกระบี่ 

เข้ายื่นหนังสือข้อเสนอให้ยกเลิกมาตรการปรับลดสัดส่วนผสมขั้นต่ำของไบโอดีเซล บี7 และน้ำมันดีเซลธรรมดาเป็นร้อยละ 6 ถึงท่านนายกรัฐมนตรี ‘พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา’ ผ่านผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ โดยมีนายสมชาย หาญภักดีปฏิมา รองผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ มารับข้อเสนอดังกล่าว

โดยมีข้อเท็จจริงเพื่อเป็นข้อมูลพิจารณาดำเนินการ ดังนี้

1. น้ำมันไบโอดีเซล บี100 ไม่ได้เป็นภาระหลักของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง

2. การใช้ข่าวโจมตีน้ำมันไบโอดีเซล บี100เป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงทำลายขวัญและกำลังใจของเกษตรกรชาวสวนปาล์ม

3. นโยบายการใช้น้ำมันไบโอดีเซล บี100 มาผสมกับน้ำมันดีเซลจนได้รับการยอมรับมาตรฐานเป็น บี7 บี10 และบี20 เป็นการสร้างความมั่นคงทางด้านพลังงานสะอาด ลดมลภาวะ สร้างเศรษฐกิจในชาติ

4. รัฐบาลควรรักษานโยบายที่ได้ให้ไว้กับประชาชนมากกว่าการมองแค่เรื่องราคาน้ำมันอย่างเดียว

5. สถานการณ์ราคาน้ำมันที่สูงขึ้น เป็นตามกลไกตลาดโลกแต่ราคาปาล์มน้ำมันตกต่ำมาเป็นระยะเวลา 10ปี ปีนี้เป็นปีแรกที่ราคาปาล์มน้ำมันดีขึ้น

6. ปาล์มน้ำมันเป็นพืชยืนต้นระยะยาว ไม่สามารถปรับเปลี่ยนการเพาะปลูกได้ง่ายเหมือนพืชชนิดอื่น ๆ การเปลี่ยนแปลงนโยบายชั่วคราวเช่นนี้ โดยไม่มีมาตรการดี ๆ มารองรับจะก่อให้เกิดผลกระทบเสียหายต่อห่วงโซ่การผลิตปาล์มทั้งระบบ

‘วปอ.2555 & ตำรวจไทย’ ห่วงใยประชาชน! จัดโครงการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ลงพื้นที่ช่วยชาวบ้าน จ.สระบุรี และ จ.สิงห์บุรี ลุยน้ำมอบถุงยังชีพช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วม

จากสถานการณ์น้ำท่วมเฉียบพลัน น้ำป่าไหลหลาก ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างในพื้นที่หลายจังหวัด สร้างความเดือดร้อนให้พี่น้องประชาชนคนไทยต่างได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัยได้รับความเดือดร้อนจำนวนมาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานภาครัฐ ร่วมลงพื้นที่ที่ประสบอุทกภัยเพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุดังกล่าว สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จึงได้สั่งการไปยังหน่วยงานในสังกัดทุกหน่วย ให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในพื้นที่ที่ประสบภัย และกำชับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในการดูแล เฝ้าระวังป้องกันอาชญากรรม การกระทำความผิด กลุ่มมิจฉาชีพที่อาจฉกฉวยโอกาสซ้ำเติมความเดือดร้อนของประชาชน และให้ประสานการปฏิบัติร่วมกับหน่วยงานอื่น ๆ รวมถึงคอยให้การสนับสนุนในภารกิจต่าง ๆ จากภาครัฐเมื่อมีการร้องขอด้วย

ในวันนี้ (17 ต.ค.64) พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะประธานคณะนักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรรุ่นที่ 2555 (วปอ.2555) ได้มอบหมายให้ พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้แทนในส่วนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมกับตัวแทนคณะนักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรรุ่นที่ 2555 (วปอ.2555) ลงพื้นที่แจกถุงยังชีพจังหวัดละ 1,000 ชุด 2 จังหวัด รวมเป็น 2,000 ชุด พร้อมมอบเงินสดส่วนหนึ่งช่วยเหลือบ้านที่ถูกน้ำแม่น้ำป่าสักเซาะจนตลิ่งพังและดึงบ้านพังไปทั้งหลังในเขตจังหวัดสระบุรี ณ วัดสารภี ต.บางโขมด  อ.บ้านหมอ จ.สระบุรี และจังหวัดสิงห์บุรี  ณ สำนักงานเทศบาลตำบลทับยา อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี  โดยมีผู้แทนชุมชนเป็นผู้รับมอบนำสิ่งของไปแจกจ่ายให้กับชาวบ้านที่ประสบภัย

นอกจากนี้ ในส่วนของประชาชนผู้ประสบอุทกภัย บ้านหัวเกาะ ต.ทับยา อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี ซึ่งมีน้ำท่วมสูง ชาวบ้านต้องใช้เรือในการสัญจรเข้าออกหมู่บ้านเท่านั้น ทางพล.ต.ท.สมพงษ์ และตัวแทนคณะนักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรรุ่นที่ 2555 (วปอ.2555) ได้ลงพื้นที่โดยสารเรือ นำถุงยังชีพไปมอบให้กับประชาชนถึงหน้าบ้านด้วย  

คณะนักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรรุ่นที่ 2555 (วปอ.2555) และ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนที่ต้องประสบกับอุทกภัย อีกทั้ง ในปัจจุบันที่ยังอยู่ในช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 อีกด้วย จึงนำสิ่งของเครื่องอุปโภคบริโภคมามอบให้พี่น้องประชาชนผู้ประสบภัยในพื้นที่ประสบภัย จังหวัดสระบุรี และ จังหวัดสิงห์บุรี โดยมีผู้แทนชุมชนเป็นผู้รับมอบ และนำไปแจกจ่ายให้กับประชาชนที่ประสบภัย ทั้งนี้ เพื่อเป็นการรักษาระยะห่างตามมาตรการการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 และเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจกับประชาชน ให้สามารถต่อสู้กับวิกฤติอุทกภัยครั้งนี้ไปด้วยกัน  

‘พลเอก ประยุทธ์’ เป็นประธานในพิธี ถวายกฐินพระราชทาน ประจำปี 2564 ณ วัดนางนองวรวิหาร

ในวาระที่ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานผ้าพระกฐินให้กระทรวงกลาโหมนำไปถวายพระสงฆ์จำพรรษา ณ วัดนางนองวรวิหาร ถนนวุฒากาศ แขวงบางค้อ เขตจอมทอง กรุงเทพฯ ในวันพุธที่ 17 พฤศจิกายน 2564 เวลา 14.30 นาฬิกา

โดยมี พลเอก ประยุทธ์  จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธี โดยกระทรวงกลาโหมขอถวายปัจจัยสี่ อันควรแก่สมณะบริโภคเพื่อบำรุงพระอารามเป็นมูลค่า จำนวน 5,010,999 บาท และมอบอุปกรณ์การศึกษาให้กับโรงเรียนวัดนางนอง (พิพัฒน์) มูลค่า 100,858 บาท และโรงเรียนอนุบาลวัดนางนอง มูลค่า 5,280.- บาท นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณและเป็นสิริมงคลอันใหญ่หลวงแก่บรรดาข้าราชการ พนักงานราชการ และลูกจ้างของกระทรวงกลาโหม

 

‘บิ๊กตู่’ ลั่น อยากลดราคาน้ำมันจะตายอยู่แล้ว ติดเป็นปัญหาทั้งโลก

(29 มิ.ย.65) ที่ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติฯ จ.เชียงใหม่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เป็นประธานในพิธีเปิด FTI EXPO 2022 : SHAPING FUTURE INDUSTRIES FOR STRONGER THAILAND โดยกล่าวตอนหนึ่งถึงวิกฤตพลังงานว่า…

วันนี้ปัญหาราคาพลังงาน ค่าขนส่งแพงขึ้น เพราะน้ำมันราคาแพงขึ้น ซึ่งเราซื้อเขามาและต้องผ่านกลไกต่าง ๆ อยู่แล้ว ทั้งหมดมีข้อบังคับและระเบียบเยอะแยะไปหมดและมีมาตรฐาน อีกทั้งนอกจากวันนี้พลังงานสูงขึ้น ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ก็มีปัญหาเงินเฟ้ออีก ซึ่งส่วนหนึ่งก็เป็นผลจากการดำเนินนโยบายการเงินการคลังของต่างประเทศด้วย

‘บิ๊กตู่’ สั่ง ‘กองทัพ’ ช่วยคนกรุงเจอฝนถล่ม ซ่อมรถเสีย เคลียร์ขยะขวางทางระบาย

‘บิ๊กตู่’ สั่ง กองทัพ ประสาน กรมอาชีวะ ลงช่วยซ่อมรถยนต์เสีย หลังฝนถล่มกรุงเทพฯ ทำน้ำท่วมขังการจราจรติดขัดหนัก

(1 ส.ค. 65) พล.อ.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ได้สั่งการ กระทรวงกลาโหม โดยทุกเหล่าทัพ ประสานขอความร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการ จัดอาสาสมัคร จากกรมอาชีวะศึกษา ร่วมกับกำลังทหารและเครื่องมือช่าง กระจายลงพื้นที่ กทม.และปริมณฑล ให้การช่วยเหลือเร่งด่วน ประชาชนที่ติดอยู่บนท้องถนนจำนวนมาก รถยนต์ขัดข้องหลายคัน จากฝนตกหนักและน้ำท่วมขังสูงในหลายพื้นที่ ส่งผลหลายเส้นการสัญจรไม่สะดวก การจราจรติดขัดหนัก

คืนสัมพันธ์ ‘ไทย-ซาอุฯ’ ผลงานชิ้นโบแดง ‘รัฐบาลลุงตู่’

อีกเหตุการณ์ที่ถือเป็นเรื่องน่ายินดีของประเทศไทยในปีนี้ คือ ความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศ ได้แก่ ‘ไทย’ และ ‘ซาอุดีอาระเบีย’ ดีขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งได้เห็นภาพก่อน-หลังการประชุม APEC 2022 ที่ไทยเป็นเจ้าภาพและได้เชิญแขกสำคัญอย่าง ‘มกุฎราชกุมารมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อัลซะอูด’ มกุฎราชกุมาร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมซาอุดีอาระเบีย มาประเทศไทยพร้อมมีการลงนามความร่วมมือกันหลายฉบับ ยิ่งทำให้มั่นใจได้ว่า ความสัมพันธ์ ‘ไทย-ซาอุดีอาระเบีย’ กลับมาแน่นแฟ้นแน่นอนแล้ว

ทั้งนี้หากย้อนกลับไปถึงความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ประเทศ เรียกว่า มีความตึงเครียดกันมายาวนานกว่า 3 ทศวรรษ โดยสิ่งที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศเกิดปัญหานั้นก็มีอยู่หลายเรื่อง ซึ่งแต่ละเรื่องก็ซับซ้อนจนยากจะเข้าใจ 

นานมาแล้วเคยฟังผู้ใหญ่ฝ่ายซาอุดีอาระเบียพูดผ่านผู้ใหญ่ฝ่ายไทยว่าเรื่องเพชรที่ฝ่ายเรามองว่าเป็นเรื่องสำคัญนั้น เอาเข้าจริงแล้วกลับไม่ใช่ หากแต่เป็นความคลุมเครือเรื่องการสูญหายของคนซาอุฯ ในประเทศไทยที่สำคัญกว่า แต่ยังมีประเด็นอื่นที่สำคัญกว่านั้น โดยเรื่องนี้ ดร.วินัย ดะห์ลัน ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ผอ.ศวฮ.) เคยโพสต์ผ่านเฟซบุ๊กให้เห็นภาพดังกล่าวไว้ว่า…

หลังจากผ่านไป 30 ปี ในความเห็นของผม การขึ้นสู่อำนาจของมกุฎราชกุมาร MBS นับเป็นปัจจัยสำคัญ เนื่องจากพระองค์ท่านทรงมีความคิดทันสมัย อีกทั้งบุคลิกภาพของนายกรัฐมนตรีของไทยกล่าวกันว่าฝ่ายซาอุดีอาระเบียพึงพอใจค่อนข้างมาก เท่าที่ทราบจากหลายฝ่าย ความสัมพันธ์ระหว่างสองรัฐบาลดีขึ้นตั้งแต่ต้นปีที่แล้ว ช่วงเดือนพฤศจิกายน 2564 ผมเดินทางไปประชุมมาตรฐานฮาลาลที่ซาอุดีอาระเบียพร้อมอาจารย์ปกรณ์ ปรียากร ดร.อาณัฐ เด่นยิ่งโยชน์ และ ดร.มุฮัมหมัดอมีน เจ๊ะนุ ผู้แทนเลขาธิการคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย ได้รับทราบข่าวดีด้านการฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ ทั้งจากประธานหอการค้าซาอุดีอาระเบีย จากอธิการบดีและผู้บริหารมหาวิทยาลัยอิสลามมะดีนะฮฺ และอีกหลายฝ่าย ทว่าเป็นแค่ข่าวยังไม่มีรายละเอียด

ผมและทีมงานไปประชุมที่ซาอุดีอาระเบียสองสามครั้ง ที่ผ่านมาเมื่อได้พบกับผู้หลักผู้ใหญ่ฝ่ายซาอุดีอาระเบีย เห็นว่าเขาระวังตัวกันมากในการพบปะพูดคุยกับฝ่ายเรา แต่มาครั้งใหม่เมื่อปลายปีที่แล้ว ฝ่ายซาอุดีอาระเบียเปิดกว้างจนเห็นได้ชัด ขอเข้าพบผู้บริหารมหาวิทยาลัยยังได้พบทั้งท่านอธิการบดีและผู้บริหารทั้งชุด พูดคุยกันเรื่องความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ฮาลาลระหว่างประเทศไทยกับซาอุดีอาระเบียเสียด้วยซ้ำ ความที่ท่านอธิการบดีทรงเป็นบุคคลระดับเชื้อพระวงศ์ ยิ่งทำให้พวกเรามั่นใจว่าคงได้ข่าวดีด้านความสัมพันธ์ และมันก็เป็นอย่างที่คาดจริงๆ

ระหว่างที่ความสัมพันธ์ง่อนแง่นเราคนไทยได้รับผลกระทบกันมาตลอด ผลประโยชน์ของประเทศไทยจำนวนมหาศาลสูญเสียไป จึงต้องขอบคุณทุกฝ่ายโดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐบาลที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและซาอุดีอาระเบียกลับมาเป็นปกติ ความสัมพันธ์ที่ดีจะก่อประโยชน์มากมายให้กับทั้งสองฝ่าย เชื่อมั่นอย่างนั้น

แน่นอนว่า ในวันนี้กำแพงแห่งความหมางใจตลอด 32 ปีของ ‘ไทย-ซาอุฯ’ ได้พังทลายลง จากการขับเคลื่อนของรัฐบาลไทยภายใต้ ‘รัฐบาลลุงตู่’

เริ่มต้นที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไปเยือนซาอุดีอาระเบียเมื่อต้นปี (2565) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความพยายามในการฟื้นฟูความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ

การไปเยือนซาอุดีอาระเบียในครั้งนี้ มีรายละเอียดที่กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ สรุปไว้น่าสนใจหลายอย่าง 

1.) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแห่งราชอาณาจักรไทยได้เดินทางเยือนซาอุดีอาระเบียอย่างเป็นทางการในวันที่ 25 มกราคม 2565 ตามคำเชิญของเจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อัลซะอูด (His Royal Highness Prince Mohammad bin Salman bin Abdulaziz Al Saud) มกุฎราชกุมาร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย

2.) มกุฎราชกุมารแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียทรงให้การต้อนรับนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรไทย และทั้งสองฝ่ายได้ประชุมหารืออย่างเป็นทางการ โดยทั้งสองฝ่ายได้ยืนยันความตั้งใจร่วมกันในการสะสางประเด็นที่คั่งค้างทั้งหมดระหว่างไทยกับซาอุดีอาระเบียและปรับความสัมพันธ์ระหว่างสองราชอาณาจักรให้เป็นปกติ ทั้งสองฝ่ายยังได้ย้ำความสำคัญของการส่งเสริมความสัมพันธ์ฉันมิตรของสองราชอาณาจักรและการเปิดศักราชใหม่ของความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับซาอุดีอาระเบีย นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรไทยย้ำว่า ไทยให้ความสำคัญสูงสุดกับความสัมพันธ์ฉันมิตรกับซาอุดีอาระเบีย และแสดงความเสียใจยิ่งต่อโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นที่ประเทศไทยระหว่างปี พ.ศ. 2532-2533 (ค.ศ. 1989-1990)

นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรไทยยืนยันว่า ไทยได้พยายามอย่างที่สุดแล้วในการสะสางกรณีต่าง ๆ และหากมีหลักฐานใหม่เกี่ยวกับเรื่องเหล่านั้น ก็พร้อมที่จะนำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยพิจารณา นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรไทยยังได้ยืนยันความมุ่งมั่นของไทยในการให้ความคุ้มครองที่เหมาะสมแก่บุคคลในคณะผู้แทนของสถานเอกอัครราชทูตซาอุดีอาระเบียที่กรุงเทพฯ ตามอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยความสัมพันธ์ทางทูต ปี ค.ศ. 1961 ทั้งสองฝ่ายยังได้ยืนยันความมุ่งมั่นในการดำเนินการอย่างเต็มที่เพื่อดูแลความปลอดภัยของคนชาติของกันและกันในแต่ละประเทศ

3.) ทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นในภูมิภาคและระหว่างประเทศต่าง ๆ และได้หารือถึงแนวทางในการส่งเสริมความสัมพันธ์ทวิภาคีในทุกสาขา ทั้งสองฝ่ายยังเห็นพ้องที่จะเพิ่มการมีปฏิสัมพันธ์และการติดต่อประสานงานระหว่างหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนของแต่ละฝ่ายเพื่อยกระดับความสัมพันธ์ทวิภาคีเพื่อประโยชน์ร่วมกันของราชอาณาจักรทั้งสอง

4.) โดยคำนึงถึงจิตวิญญาณของความร่วมมือและความตั้งใจร่วมกันเพื่อฟื้นฟูมิตรภาพและความสัมพันธ์ฉันมิตรระหว่างสองราชอาณาจักรและประชาชน ภายใต้การนำและพระราชวิสัยทัศน์อันเข้มแข็งของผู้พิทักษ์ สองมหามัสยิดอันศักดิ์สิทธิ์ สมเด็จพระราชาธิบดีซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อัลซะอูด (His Majesty King Salman bin Abdulaziz Al Saud) และมกุฎราชกุมารแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย และวิสัยทัศน์ของนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรไทย ทั้งสองฝ่ายได้เห็นชอบร่วมกันให้ปรับความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันให้เป็นปกติอย่างสมบูรณ์ ความสำเร็จครั้งประวัติศาสตร์นี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากความพยายามในหลายระดับของทั้งสองฝ่ายที่มีมาอย่างยาวนานเพื่อฟื้นฟูความไว้เนื้อเชื่อใจและความสัมพันธ์ฉันมิตรระหว่างกัน

5.) ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกับขั้นตอนสำคัญต่าง ๆ ที่จะดำเนินการเพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ทวิภาคี ซึ่งรวมถึงการแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำเมืองหลวงของทั้งสองประเทศในอนาคตอันใกล้ และการจัดตั้งกลไกการปรึกษาหารือเพื่อส่งเสริมความร่วมมือทวิภาคี การติดต่อประสานงานอย่างเต็มที่จะเริ่มต้นขึ้นในช่วงหลายเดือนข้างหน้าเพื่อหารือความร่วมมือทวิภาคีในสาขายุทธศาสตร์ที่สำคัญ

'จิ๊บ ศศิกานต์' ชี้!! สงกรานต์เงินสะพัด 1.2 แสนล้าน ความจริงที่เกิดจากผลงาน 'ลุงตู่' วอนบางคนอย่าบิดเบือน

สงกรานต์ เงินสะพัดกว่า 1.2 แสนล้าน ‘จิ๊บ ศศิกานต์’ ชี้ ฝีมือ ‘ลุงตู่’ พาชาติพ้นวิกฤตวอนนักการเมืองเลิกสร้างวาทกรรมบิดเบือนหลอกประชาชน

จากกรณีที่ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2566 การจัดกิจกรรมด้านต่างๆ นั้นจะทำให้เกิดเงินสะพัดในช่วงสงกรานต์ อยู่ที่ประมาณ 125,203 ล้านบาท ซึ่งตัวเลขนี้เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับ ช่วงปี 2559 ถือว่าใกล้เคียงกันมาก ทำให้มองได้ว่าเศรษฐกิจนั้นเริ่มกลับมาดีเหมือนเดิมแล้วนั้น

ล่าสุด นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ ผู้สมัคร ส.ส. กทม. เขต 30 บางแค ภาษีเจริญเบอร์ 7 จากพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้กล่าวว่า ตัวเลขดังกล่าวนั้นเป็นเครื่องชี้วัดที่สะท้อนให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า เศรษฐกิจของไทยได้ฟื้นตัวแล้ว แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการบริหารประเทศของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

ในภาวะวิกฤตซ้อนวิกฤต ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาต่อเนื่องกันตั้งแต่การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ต่อเนื่องมายังการสู้รบสงครามรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบเศรษฐกิจของทั้งโลก วิกฤตเศรษฐกิจตกต่ำ คนตกงาน อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น ซึ่งทุกประเทศก็ได้รับผลกระทบนี้เหมือน ๆ กัน แต่ขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลของประเทศไหนนั้นจะบริหารประเทศ ให้ผ่านพ้นวิกฤตและฟื้นตัวได้ดีกว่ากัน 

ซึ่งจากตัวเลขข้างต้นนั้นก็ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าประเทศไทยนั้น เป็นประเทศที่สามารถผ่านพ้นวิกฤตและฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วก่อนประเทศอื่นๆ อีกหลายประเทศ สังเกตได้จากไทยเป็นประเทศแรก ๆ ในโลกที่เปิดรับนักท่องเที่ยว ซึ่งตัวเลขนักท่องเที่ยวในปัจจุบันนั้นก็ถือว่าใกล้เคียงกับตัวเลขนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในช่วงก่อนจะเกิดโรคโควิด-19แล้ว

ฟันธง!! 'อุ๊งอิ๊ง-อนุทิน-ลุงตู่' เต็งนายกฯ ส่วนพิธา 'ก้าวไกล' ตัดทิ้งไปได้เลย

(18 เม.ย.66) ส่วนหนึ่งจากคอลัมน์ 'เปลวสีเงิน' ได้นำเสนอบทความในหัวข้อ...นายกฯ 'รำไรๆ' ใต้ขนตา...ระบุความว่า...

ใครๆ ก็มองว่า ลุงป้อมจะไปตั้งรัฐบาลกับเพื่อไทย ที่เขาเอาตำแหน่งนายกฯ มาล่อ หวังแลกมือ ส.ว. สนับสนุนในรัฐสภา

เขาล่อน่ะ…ล่อจริง
แต่ผมเชื่อ ลุงป้อมไม่ยอมให้ล่อหรอก!

เพราะอะไรน่ะหรือ ในมุมมองผมนะ ผมเชื่อศักดิ์ศรีขุนทหารระดับ 'แม่ทัพ' กองทัพไทยของลุงป้อม

ถ้าโลภ จนหลง ยึดประโยชน์ตนเหนือประโยชน์ชาติ วิเคราะห์สถานการณ์ไม่ขาด อ่านเกมฝ่ายตรงข้ามไม่ออก

ทำเนียบกองทัพไทย...จะไม่มีคนชื่อ 'พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ' บรรจุอยู่ในตำแหน่ง 'ผู้บัญชาการทหารบก' ได้แน่นอน!

นั่นอย่างหนึ่ง...

และอีกอย่างหนึ่ง ระดับผู้บัญชาการกองทัพ ต้องเข้าพระราชพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา โดยมีพระมหากษัตริย์ทรงกล่าวนำมาแล้ว

ที่จะให้ 'พลเอกประวิตร' ไปตั้งรัฐบาลกับพรรคที่มีแนวทางอสัตย์ต่อ 'ชาติ-ศาสน์-พระมหากษัตริย์' เลิกมาตรา ๑๑๒ เมื่อได้เป็นรัฐบาล แบบนั้น

พลเอกประวิตร 'ไม่ทำ' แน่นอน!

อย่างสุดท้าย...คุณเคยได้ยินคำนี้มั้ย 'เพื่อนร่วมตาย' เหนือกว่า 'พี่น้องสายโลหิต'

คนเราน่ะ ต่างที่เกิด ต่างที่มา วันหนึ่ง มีวาสนาได้รู้จักกัน คบหากัน กินนอนด้วยกัน ร่วมเป็น-ร่วมตายด้วยกัน ใจผูกเป็นพี่-เป็นน้องกัน

อย่างพลเอกประวิตร-พี่ใหญ่, พลเอกอนุพงษ์-พี่รอง, พลเอกประยุทธ์-น้องเล็ก...ไม่ต่างเหล็กไหล ต่อให้ใช้แสงเลเซอร์ตัด ยืดปานจะหยด แต่ยังไงๆ ก็ตัดเหล็กไหลไม่ขาด!

ความผูกพันของ ๓ ป.เท่าที่ผมดู จะทะเลาะกันบ้าง ขัดใจกันบ้าง งอนกันบ้าง ถึงขั้น 'แตกพรรค-แตกขั้ว' ออกไปจากกันก็เถอะ แต่ก็นั่นแหละ ไหลยืดปานจะขาดจากกัน แต่มันก็ 'ตัด' กันไม่ขาด!

การแตกพรรค ที่ดูเหมือนแตกกัน นั่นมันแค่ 'ยุทธศาสตร์การเมือง' ที่มีแกนยึด จะไม่ 'แตกสามัคคี' จนนำไปสู่การกระทำให้ 'ชาติบ้านเมืองแตก'

เชื่อผมเถอะ ชั่ว, ดี, ถี่, ห่าง อย่างไร 'ทหารเสือนวมินทราชินี' คือ ผู้แก้ปัญหาให้ชาติบ้านเมือง ไม่ใช่ผู้สร้างปัญหาให้ชาติบ้านเมือง

ฉะนั้น ผมจึงอยากบอกลุงป้อมว่า ท่านน่ะ 'เลือดผู้นำ' ที่จะให้นั่งอยู่ในรู ปล่อยให้ลูกน้องออกไปสู้ตามลำพังน่ะ นั่นไม่ใช่วิสัยลุงป้อม

ใจบันดาลแรงท่านก็จริง แต่แดดมันแรง การเดินสายหาเสียง ตะกายขึ้นแต่ละเวที คนไม่เคย ไม่รู้หรอกว่า มันสาหัส-สากรรจ์ขนาดไหน?

ผมมองการณ์ข้างหน้า 'หลังเลือกตั้ง' อยากจะบอกว่า รัฐบาลข้างหน้า จะขาดลุงป้อมไม่ได้!

ฉะนั้น ลุงป้อมจะเป็นอะไรไปไม่ได้ ต้องถนอมตัวไว้ ยังไงๆ พรรคพลังประชารัฐก็ต้องร่วมเป็นรัฐบาลกับฝ่ายที่ 'ไม่ล้มเจ้า' อยู่แล้ว

แล้วมีพรรคไหนบ้างล่ะ ที่ไม่มีแนวทางล้มเจ้า? ก็มีพรรคภูมิใจไทย, รวมไทยสร้างชาติ, ประชาธิปัตย์, ชาติไทยพัฒนา, ไทยสร้างไทย, ไทยภักดี, ชาติพัฒนากล้า เป็นต้น

รัฐบาลหน้า ก็จะอยู่ในกลุ่มพรรคเหล่านี้ ส่วนพรรคไหนจะมี ส.ส.มากที่สุด ได้เป็นแกนจัดตั้งรัฐบาล รวมถึงจะเอาใครเป็นนายกฯ? นั่นมันเรื่องข้างหน้า 

ตราบใดที่ยังไม่เลือกตั้ง แต่ละพรรคยังไม่มีตัวเลขมาแบบนโต๊ะพูดจา การยกมาพูดตอนนี้ ไม่ต่างกับว่า..."ถ้าได้แต่งกับนางงามจักรวาล จะให้ลูกเรียนโรงเรียนไหนดี?"

มันเพ้อเจ้อข้ามขั้นตอนมากไป ไปหานางงามจักรวาลมาแต่งให้ได้ซะก่อนเหอะ แล้วค่อยมาคุยเรื่องมีลูก เรื่องโรงเรียน!

พรรคภูมิใจไทย ของคุณอนุทิน ชาญวีรกูล โพลทุกสำนักฟันธงว่า จะได้ส.ส.มากเป็นอันดับ ๒ รองจากพรรคเพื่อไทย และเป็นพรรคเดียวในกลุ่มพรรคไม่ล้มเจ้า ที่จะได้ส.ส.ถึงหลักร้อย คือมากกว่า ๑๐๐ คนขึ้นไป!

ส่วน 'พรรครวมไทยสร้างชาติ' ของนายกฯประยุทธ์ เขาประเมินกันแค่ ๔๐ กว่า ส.ส.เท่านั้น

ถ้าผลเลือกตั้งเป็นตามนี้ ภูมิใจไทยของคุณอนุทิน คือตัวชี้ว่า ฝ่ายไหนจะได้เป็นฝ่ายจัดตั้งรัฐบาล? ถ้าไปรวมกับเพื่อไทย เสียงกว่าค่อนสภา ตั้งรัฐบาลได้เลย

แต่ผมไม่เชื่อ เหมือนที่ไม่เชื่อว่าลุงป้อมจะไปตั้งรัฐบาลกับพรรคฝ่ายล้มเจ้า

‘บิ๊กตู่’ ปลื้ม!! ‘สื่อญี่ปุ่น’ ยกไทยเป็นแหล่งน่าลุงทุนระดับภูมิภาค ด้านฐานการลงทุนในการผลิตชิ้นส่วน-รถยนต์ไฟฟ้า

(22 เม.ย.66) เฟซบุ๊ก ‘ศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี - PMOC’ ได้โพสต์ถึง ‘บิ๊กตู่’ ปลื้มใจ สื่อญี่ปุ่นยกให้ไทยเป็นจุดหมายที่น่าลงทุนด้านฐานการลงทุนในการผลิตชิ้นส่วน และรถยนต์ไฟฟ้า (EV) โดยระบุว่า

สื่อญี่ปุ่นยกให้ไทยเป็นจุดหมายสำคัญที่นักลงทุนสนใจ ด้านฐานการลงทุนในการผลิตชิ้นส่วน และรถยนต์ไฟฟ้า (EV) เป็นห่วงโซ่อุปทานที่สำคัญในภูมิภาค

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดีที่สำนักข่าว Nikkei ของญี่ปุ่น มองว่าไทยกำลังกลายเป็นจุดหมายที่สำคัญของนักลงทุนญี่ปุ่น จีน และเกาหลีใต้ สำหรับฐานการผลิตชิ้นส่วน และรถยนต์ไฟฟ้า (EV) โดยมีบริษัทหลายแห่งกำลังพิจารณาการลงทุน และเพิ่มกำลังการผลิตในไทยเพิ่มเติม

สำนักข่าว Nikkei ได้เปิดเผยว่า เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้กลายเป็นฐานสำคัญสำหรับการผลิต EV ที่สำคัญ โดยผู้ผลิต EV หลายรายจากญี่ปุ่น จีน และเกาหลีใต้ กำลังแข่งขันกันเพื่อสร้างห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาค ซึ่งได้เริ่มสร้างโรงงาน หรือกำลังมีแผนสำหรับผลิตชิ้นส่วน และประกอบรถยนต์ EV ในไทย ทั้งบริษัท Kuraray ผู้ผลิตพลาสติก และบริษัท Murata Manufacturing ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ของญี่ปุ่น ที่ได้สร้างโรงงานในประเทศไทย รวมถึงวางแผนเพิ่มกำลังการผลิตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และไทย หลังจากได้แรงจูงใจจากนโยบายการส่งเสริมการผลิต EV เพื่อผลิตให้กับบริษัท EV ในประเทศไทย 

‘บิ๊กตู่’ เผย ‘ครม.’ เคาะช่วยค่าไฟ 1 เดือนหน้าร้อน 500 หน่วย 150 บาท หวั่น!! พรรคการเมืองหาเสียงประชันลดราคา ชี้!! มีรายละเอียดเยอะ

‘บิ๊กตู่’ เผย ครม.ถกนานกว่าชั่วโมง เคาะช่วยค่าไฟ 1 เดือนหน้าร้อน 500 หน่วย 150 บาท ห่วงพรรคการเมืองหาเสียงลดเท่านั้นเท่านี้ วอนดูข้อเท็จจริงไส้ในมีรายละเอียดเยอะ ยันรัฐช่วยอย่างเป็นธรรมทุกภาคส่วน

(25 เม.ย. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า การประชุมวันนี้มีเรื่องพิจารณาน้อย หากมีเรื่องการใช้งบประมาณจะต้องพิจารณาเป็นพิเศษ เพราะต้องปฏิบัติตามกฎหมายรัฐธรรมนูญในช่วงเลือกตั้ง ที่จะต้องใช้งบกลาง ซึ่งทุกคนอยากทราบว่ารัฐบาลดูแลเรื่องพลังงานช่วงนี้หรือเปล่า และดูแลมาอย่างไร ทั้งนี้ ที่ผ่านมาต้องย้อนกลับไปเรื่องการดูแลอยู่ที่ 150 หน่วยอย่างไร 300 หน่วยอย่างไร และวันนี้เพิ่มเป็น 500 หน่วย 150 บาท ไปเพิ่มให้เขา ซึ่งความเป็นมาในเรื่องของพลังงานมีรายละเอียดเยอะมีปลีกย่อยอีกมากมาย ในส่วนพลังงานทดแทน พลังงานหมุนเวียน ก็อยู่ในขั้นตอนการก่อสร้างทั้งสิ้น ไม่ได้ไปใช้จ่ายตรงนั้นมาบวกลบตรงนี้มันคนละเรื่องกัน เป็นการเตรียมการสู่อนาคตเดี๋ยวจะมีการชี้แจงรายละเอียดเพิ่มเติม รวมความไปถึงส่วนคณะกรรมการกำกับนโยบายพลังงานด้วย

"ขอให้ไว้วางใจซึ่งกันและกัน เราพยายามจะทำให้ดีที่สุด ก็เป็นข้อกังวลเหมือนกันกรณีที่มีการไปหาเสียงต่างๆ ว่าจะลดลงเท่านั้นเท่านี้ ถ้ามาดูไส้ในแล้วจะรู้ว่ามีรายละเอียดมากมาย มีทั้งเหตุผลและความจำเป็น สิ่งสำคัญที่สุดเราพยายามที่จะทำให้ประเทศไทยนั้นเป็นประเทศที่มีการเจริญเติบโตทางด้านรักษาสิ่งแวดล้อมด้วย ฉะนั้น ที่มีการพูดถึงสิ่งที่เราอนุมัติไป 2 งวดทำให้เกิดภาระ ซึ่งจริงๆ แล้วยังไม่ได้สร้างเลย เป็นการอนุมัติไว้เฉยๆ และที่บอกว่าเกินไป 50 - 60% ไม่ใช่ตัวเลขนั้นหรอก ฉะนั้นต้องเข้าใจกัน อย่าไปหาเสียงทำให้เกิดความตื่นตระหนก หรือไม่เข้าใจ หรือทำให้การบริหารมันทำไม่ได้ รายละเอียดปลีกย่อยเดี๋ยวเขาจะมีการชี้แจงเพิ่มเติม เมื่อกี้ใน ครม.ได้คุยกันเป็นชั่วโมงก็เข้าใจกันดีในขั้นต้นและเห็นชอบในการที่จะอนุมัติเพิ่มเติมให้ 150 บาทต่อ 500 หน่วย เพิ่มขึ้น ซึ่งวันนี้ค่าเฉลี่ยทั้งสองฝ่าย ทั้งด้านอุตสาหกรรมและประชาชนก็เท่ากัน เดิมเสียสละมาเป็น 5 บาท อะไรทำนองนี้ ตอนนี้ก็ลดลงมา ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นภาระของภาคอุตสาหกรรม แต่เราก็ดูแลหมด การดูแลคนส่วนใหญ่มันลำบากเหมือนกัน แต่ละประเภทมีคนจำนวนเท่าไหร่ๆก็มุ่งเป้าตรงนี้ว่าจะแก้ปัญหาให้เขาอย่างไร" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า เรื่องการช่วยเหลือค่าไฟใช้งบประมาณเท่าไหร่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า 3,500 ล้านบาท ซึ่งไม่ได้คิดของเดิมที่ใช้จ่ายไปแล้วแสนกว่าล้าน ลดภาษีบ้างอะไร วันนี้ก็ใช้มาอีก 3,500 ล้านบาท ถ้าใช้ต่อไปอีก ทั้งหมดน่าจะประมาณหมื่นกว่าล้านบาท เมื่อถามว่า จะดูแลประมาณกี่เดือน และส่งให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) พิจารณาเลยหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า วันนี้ผ่าน ครม.แล้วก็ต้องนำส่งให้ กกต.พิจารณา ซึ่งสถานการณ์ค่าพลังงานยังไม่แน่นอน ขึ้นๆ ลงๆ อยู่แบบนี้มาโดยตลอด ฉะนั้น ต้องดูว่าจะทำอย่างไร ก็แก้ปัญหาไป แต่ปัญหาของเรางบประมาณจำกัดพอสมควรเหมือนกัน หนี้สินเก่าจากการลดนู่นนี่ให้เขาก็มีอยู่ เพราะเป็นการดำเนินการของรัฐวิสาหกิจด้วย ขอยืนยันรัฐบาลจะให้ความเป็นธรรมทุกภาคส่วนที่มีการร่วมกันในการบริหารจัดการพลังงาน เพราะรัฐบาลไม่สามารถที่จะลงทุนทั้งหมดได้ เอกชนได้มาร่วมลงทุนด้วย แต่ต้องเป็นไปตามกฎหมายกติกาที่มีอยู่ทุกประการ สิ่งใดที่มีปัญหาอยู่ในขณะนี้ซึ่งเป็นปัญหาทางกฎหมายได้ให้กระทรวงพลังงานส่งสัญญาต่างๆ ไปให้กรมอัยการได้พิจารณาดูแล้ว ในขณะนี้ได้รับรายงานอย่างนั้น ว่าเป็นธรรมหรือไม่เป็นธรรมเพราะหลายสัญญาทำมานานพอสมควร


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top