Monday, 21 April 2025
ปานปรีย์_พหิทธานุกร

‘ปานปรีย์’ เผย!! ถกขึ้นเงินเดือน ขรก. แนวโน้มดี ชี้!! ต้องเน้น ขรก.แรกเข้า หวั่น!! เทใจไปเอกชน

(10 พ.ย. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ต่างประเทศ ในฐานะประธานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) เป็นประธานการประชุมหารือกับหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง เรื่องการปรับเงินเดือนข้าราชการ ร่วมกับตัวแทนกระทรวงการคลัง เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) และสำนักงบประมาณเข้าร่วมประชุม

ต่อมาเวลา 13.35 น. นายปานปรีย์ ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) มอบหมายให้สำนักงาน ก.พ. ไปศึกษาและดูแนวทางที่เหมาะสม เพื่อนำเสนอต่อที่ประชุม ครม.ภายในสิ้นเดือน พ.ย.นี้ โดยการประชุมครั้งนี้ตนมาสังเกตการณ์ ในฐานะกำกับดูแล ก.พ. จึงมาฟังความคิดเห็นที่ทางหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายหารือกัน ซึ่งทิศทางออกมาดี ส่วนรายละเอียดต้องทำเพิ่มเติม คาดว่าก่อนสิ้นเดือน พ.ย. เสร็จแน่นอน 

ผู้สื่อข่าวถามกรณีที่มีข่าวว่าจะขึ้นเงินเดือนเฉพาะข้าราชการชั้นผู้น้อย ส่วนข้าราชการชั้นผู้ใหญ่จะขึ้นน้อยมาก มีหลักการและแนวทางอย่างไร นายปานปรีย์ กล่าวว่า ต้องดู เพราะมีในส่วนข้าราชการแรกเข้า ที่จะต้องปรับฐานเงินเดือน เพื่อให้คนที่เข้ามาใหม่มีความสนใจที่จะเข้ามาสู่ระบบราชการมากขึ้น เพราะถ้าฐานเงินเดือนต่ำเราอาจจะได้คนที่ไม่มีคุณภาพ และคนที่จะเข้ามารับราชการอาจจะตัดสินใจเลี้ยวไปภาคเอกชน การประชุมครั้งนี้ต้องมาดูด้วยว่าเงินเดือนเอกชน ที่จบปริญญาตรี จะเริ่มต้นจากตรงไหน และดูความเหมาะสมในส่วนของราชการว่าควรจะเป็นเท่าไหร่

เมื่อถามว่า ควรจะต้องปรับเป็นจำนวน 25,000 บาท ตามนโยบายของพรรคเพื่อไทยหรือไม่ นายปานปรีย์ กล่าวว่า ยังไม่ใช่ ต้องดูรายละเอียดอีกอย่าเพิ่งสรุปว่าจะเป็นเท่าไหร่

ผู้สื่อข่าวถามว่า ข้าราชการชั้นผู้น้อยที่บรรจุตั้งแต่ระดับ 3-7 ที่ไม่ใช่ระดับผู้บริหาร จะคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ใช่หรือไม่ นายปานปรีย์ กล่าวว่า การหารือยังไปไม่ถึงตรงนั้น ตอนนี้กำลังดูในส่วนของข้าราชการแรกเข้าก่อน เมื่อถามย้ำว่าการขึ้นจะเป็นการขึ้นทั้งระบบ ใช่หรือไม่ นายปานปรีย์ กล่าวว่า ขอให้รอฟังก่อน 

ผู้สื่อข่าวถามว่า จากการรับฟังข้อมูลครั้งนี้ โอกาสที่จะขึ้นเงินเดือน มีสูงหรือไม่ นายปานปรีย์ กล่าวว่า “เป็นไปตามนโยบาย” 

เมื่อถามย้ำว่า ถึงอย่างไรก็ต้องขึ้นใช่หรือไม่ นายปานปรีย์ กล่าวย้ำว่า “เป็นไปตามนโยบาย จะขึ้นมากหรือขึ้นน้อย ก็ค่อยว่ากัน”

‘ปานปรีย์’ ยื่นจดหมายถึงนายกฯ ขอลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศ และทุกตำแหน่งที่ได้รับมอบหมาย

เมื่อวันที่ 28 เม.ย.67 นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รมว.ต่างประเทศ ร่อนหนังสือถึงนายกฯ ขอลาออกจาก รมว.ต่างประเทศ และทุกตำแหน่ง เพื่อเปิดทางให้ท่านอื่นมาทำหน้าที่แทน โดยเชื่อว่า การปรับออกจากรองนายกฯ ไม่เกี่ยวการไม่มีผลงานอย่างแน่นอน โดยในหนังสือดังกล่าว ระบุข้อความว่า…

“๒๘ เมษายน ๒๕๖๗

ขอลาออกจากตําแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ

กราบเรียน นายกรัฐมนตรี

ตามที่มีการปรับคณะรัฐมนตรีบางตําแหน่ง และปรากฏว่าผมยังคงดํารงตําแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ อยู่เพียงตําแหน่งเดียวนั้น

ผมมีความประสงค์จะขอลาออกจากตําแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และทุกตําแหน่งที่ได้รับมอบหมาย ตั้งแต่วันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๖๗ เพื่อเปิดทางให้ท่านอื่นเข้ามาดํารงตําแหน่งแทน

สาเหตุของการปรับผมออกจากรองนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ ผมเชื่อว่าไม่เกี่ยวกับผมไม่มีผลงานแน่นอน เพราะผมทุ่มเทการทํางานด้านต่างประเทศและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ และตั้งใจทําหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต เป็นที่ประจักษ์ มีนักลงทุนต่างชาติสนใจมาลงทุนมากขึ้น ตามที่รัฐบาลได้แถลงผลงานไปแล้ว จนสามารถตอบสนองต่อนโยบายการทูต เศรษฐกิจเชิงรุกอย่างเด่นชัด 

วันนี้ไทยหวนกลับมาขึ้นบนจอเรดาร์ของโลก มีมิตรประเทศเพิ่มขึ้น และมีนักลงทุนต่างชาติสนใจมาลงทุนในไทยมากขึ้น นอกจากนั้น การให้ความสําคัญกับคนไทยในต่างประเทศ ผมยังไปเจรจาด้วยตัวเอง เพื่อนําคนไทยผู้ถูกจับเป็นตัวประกันในอิสราเอลกลับไทยได้ถึง ๒๓ คน แรงงานไทย ๘,๐๐๐ คน และจากเล่าก์ก่ายในเมียนมาอีก ๑,๐๐๐ คน เปิดวีซ่าฟรีกับหลายประเทศ เพื่อคนไทยมีความสะดวกในการเดินทางมากขึ้น การให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ชาวเมียนมา ฟื้นความสัมพันธ์กับอาเซียน สหภาพอียู อินเดีย และประเทศมหาอํานาจ ทั้งสหรัฐอเมริกาและจีน จนเกิดการเจรจาลดความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์โลกในประเทศไทยอีกด้วย

สุดท้ายนี้ ผมหวังว่าการปรับคณะรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ จะช่วยให้การบริหารราชการแผ่นดิน มีประสิทธิภาพมากขึ้น โปร่งใส และรักษาผลประโยชน์ของชาติต่อไป

ช่วงเวลาหนึ่ง ขอขอบพระคุณนายกรัฐมนตรี ที่ให้โอกาสผมได้ทํางานกับรัฐบาลนี้มา

จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ
ขอแสดงความนับถืออย่างยิ่ง

(นายปานปรีย์ พหิทธานุกร)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ”

'ครูมานิตย์' ลั่น!! 'ปานปรีย์' ไม่ใช่คีย์แมนเพื่อไทย ลาออกไปไม่กระทบ ซัด!! ไม่มีคุณสมบัติเป็นนักการเมือง ที่เป็นรมต.ได้ ก็เพราะผู้แทนฯ

(30 เม.ย.67) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายครูมานิตย์ สังข์พุ่ม สส.จังหวัดสุรินทร์ พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์กรณีที่ นายปานปรีย์ พหิทธานุกร ลาออกจากตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศ หลังถูกปรับพ้นตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี จะส่งผลกระทบต่อพรรคเพื่อไทย หรือไม่? ว่า... 

"ไม่กระทบ นายปานปรีย์ อาจจะเก่งเรื่องวิชาการ แต่ไม่มีคุณสมบัติการเป็นนักการเมือง ความอดทนอดกลั้นไม่มี บางฤดูเข้าไปอยู่ในพรรคก็หายไป ตอนที่มีพรรคไทยรักษาชาติ ก็ไปเดินอยู่ในพรรคไทยรักษาชาติ พอจะมีการจัดตั้งทีมให้ออกไปช่วยงานการเมือง ก็หายไปอีก ตนมองว่านายเศรษฐา ให้เกียรติมาก ที่ให้เป็น รมว.ต่างประเทศและเป็นรองนายกรัฐมนตรี ครั้งนี้ทราบว่า นายกรัฐมนตรีได้พูดคุยแล้วให้รับหน้าที่อยู่ที่กระทรวงเดียว เพราะอยากให้คนอื่นมาทำบ้าง หลายเรื่องต้องมีความผูกพันกับพื้นที่ ซึ่งนายปานปรีย์ ไม่เคยรู้จักพื้นที่อยู่แล้ว และการที่ได้มารับผิดชอบกระทรวงการต่างประเทศ ถือว่าเป็นตำแหน่งใหญ่โตแล้ว เวลาไปเมืองนอกก็เทียบเท่าเป็นบุคคลสำคัญของประเทศไทย ส่วนการส่งหนังสือลาออกให้สื่อมวลชนก่อนส่งให้นายกรัฐมนตรี มองว่าไม่แฟร์ทางการเมือง และพิสูจน์ให้เห็นว่าคนแบบนี้ขาดน้ำอดน้ำทน อยู่กับการเมืองลำบากอยู่ไม่ได้ และในที่สุดก็ต้องอัปเปหิตัวเองออกมา"

ผู้สื่อข่าวถามว่า ในอนาคตนายปานปรีย์ จะยังทำงานร่วมกับพรรคเพื่อไทยได้หรือไม่? ครูมานิตย์ กล่าวว่า “ผมไม่ได้ดูถูกดูแคลนเขา เขาเกิดมาไม่ได้มีคุณสมบัติของการเป็นนักการเมือง การเป็นนักบริหาร ซีอีโอ เป็นได้ แต่ทางการเมืองนอกจากเป็นนักบริหารแล้ว ต้องมีความเป็นนักการเมืองด้วย เพราะเป็นงานที่หนัก ต้องมีการบริหารพื้นที่บริหาร สส. บริหารราชการแผ่นดิน เรื่องทุกข์สุขปากท้องชาวบ้านมีเยอะ และเรื่องนี้ยืนยันว่าไม่กระทบต่อพรรคเพื่อไทย เพราะนายปานปรีย์ ไม่ใช่คีย์แมนคนสำคัญของพรรค คนที่เก่งสามารถบริหารกระทรวงการต่างประเทศได้มีอีกเยอะ"

เมื่อถามว่าพูดแบบนี้เป็นการตัดบัวไม่ให้เหลือใย หรือไม่? ครูมานิตย์ กล่าวว่า "ไม่ได้บอกว่าตัดบัวไม่เหลือใจ ตนอยู่การเมืองมานานแทบจะไม่มีโอกาสคุยกับนายปานปรีย์ ทั้งที่คนที่เป็นผู้บริหารต้องมีความผูกพันกับนักการเมือง เช่น นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คมนาคม ที่วันนี้มีนักการเมืองมาหาจำนวนมาก ดังนั้นที่สื่อมาถามว่านายปานปรีย์ ลาออกจะกระทบอะไรกับพรรคเพื่อไทยหรือไม่ ยืนยันว่าไม่มีผลกระทบ นายปานปรีย์ ไม่ได้ช่วยอะไรมากมาย หลายคนบอกว่าเสียดายนายปานปรีย์ แต่ถามว่าพรรคเพื่อไทยเสียดายหรือไม่ตนไม่รู้ แต่ส่วนตัวตนไม่เสียดาย และคิดว่าผู้แทนคนอื่นคิดเหมือนตน"

"อย่าลืมว่าคุณมาอยู่ตรงนี้ได้ เพราะพวกผมมาจากผู้แทน จึงสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ การไปเป็นรัฐมนตรี ไปเป็นเสนาบดี แต่ไม่มาสัมผัสกับผู้แทนจึงไม่ได้ให้ความสำคัญ และ การที่ปรับตำแหน่งนายปานปรีย์ นายกฯพิจารณา หลายมิติแล้ว" ครูมานิตย์ ทิ้งท้าย

เชือด 'ปานปรีย์-ชลน่าน' ใช้บริการ 'มาริษ-สมศักดิ์' สนอง 2 เรื่องใหญ่ 'ดันผลงานอิ๊ง-ชิงปูกลับบ้าน'

ทำไมทำมาปรับครม.เศรษฐา 1/1 ออก 4 เข้า 6...ครม.เต็มแม็ก 36 คน และพรรคเพื่อไทยพรรคเดียวที่เกิดแรงกระเพื่อมมากกว่าที่นึก แถมลึกกว่าที่คิด...เพราะมองกันข้ามช็อต ท้ายสุด...สุดท้าย 'นายใหญ่' เอาอยู่...

ตอบคำถามกรณี ดร.ตั๊ก-ปานปรีย์ พหิทธานุกร 'หลานน้าชาติ' ไขก๊อกทิ้งเก้าอี้ รมว.ต่างประเทศ สักนิดว่าเพราะอะไร?...ในมุมข่าวมุมมองของ 'เล็ก เลียบด่วน'

1) ประเด็นหลัก...เพราะทำใจไม่ได้ ที่โดนริบเก้าอี้รองนายกฯ ซึ่งจะเสริมส่งให้ความเป็น รมว.ต่างประเทศแข็งแกร่งขึ้น และจริง ๆ แล้วตำแหน่งรองนายกฯ จะมีสักกี่ตำแหน่งก็ได้ พอโดนริบ รมว.ต่างประเทศก็ต้องไปอยู่ใต้กำกับของรองนายกฯ คนใดคนหนึ่ง...อาจจะเป็น 'ภูมิธรรม' หรือ 'สุริยะ'...ถ้าคนแรกก็ดีไป แต่ถ้าเป็นสุริยะอาจทำใจลำบาก...

2) ประเด็นอื่น...เมื่อสบโอกาสจากประเด็นแรกคือ โดนริบเก้าอี้ ก็ง่ายที่จะตัดสินใจไขก๊อก ไม่ต้องไปวัดดวงกับงานเสี่ยงภัยในอนาคต เช่น กรณีมีข่าวว่า...การกลับบ้านของอดีตนายกฯ ปู-ยิ่งลักษณ์ อาจต้องใช้สถานทูตไทยในต่างแดนเป็นกึ่ง 'คุกนอกเรือนจำ' ให้วุ่นวาย...รวมทั้งกรณีอื่น ๆ ที่หมิ่นเหม่จะผิดกฎหมาย อาทิ ดิจิทัลวอลเล็ต, กรณีพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา...

ก็นับว่าน่าเสียดาย คนดีมีฝีมืออย่าง ดร.ปานปรีย์ ที่กำลังออกอาวุธหลายเรื่องได้ค่อนข้างดี มีอันต้องจบข่าวซะก่อน...จากนี้ไปก็ต้องตามไปดู 'อดีตทูตปู' มาริษ เสงี่ยมพงษ์ อดีตที่ปรึกษา รมว.ต่างประเทศ (ปานปรีย์) คนที่เคยรับใช้ใกล้ชิดทั้ง 'นายใหญ่' ทักษิณ ชินวัตร และ นายกฯ ปู ยิ่งลักษณ์ ซึ่งน่าจะรับประกันซ่อมฟรีว่า...ตอบโจทย์นายใหญ่และน้องสาว ได้แน่ แต่สุดท้ายจะพากันไปสุดซอยเหาะเหินเดินลงกาหรือไม่...อันนี้ไม่กล้าฟันธง...

ขอแถมท้ายด้วยกรณี 'เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าชลน่าน' สักนิด...สรุปให้ตรงประเด็นที่สุดงานนี้ ก็เพื่อตอบโจทย์ลูกสาวนายใหญ่ ที่จะต้องเร่งโชว์ฟอร์มสร้างผลงาน '30 บาทรักษาทุกที่' ให้บังเกิดทั้งเบี้ยและเม็ดงานที่งอกงาม   

ทั้งนี้ 7 เดือนที่ผ่านมานั้น นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ที่หอบหิ้ว 'หมออ้อย' ภรรยาไปช่วยงานด้วยนั้น ว่ากันว่าเอาข้าราชการไม่อยู่...หนำซ้ำคล้าย ๆ ที่ชมรมแพทย์ชนบทแถลงออกมานั่นล่ะว่า...หลายครั้งคุณหมอถูกใช้เป็นเครื่องมือคุกคาม สปสช. ที่ดูแล 30 บาท อีกต่างหาก...

ก็ต้องเรียนท่านผู้อ่านว่า...เสือสองตัว ณ กระทรวงสาธารณสุขนั้น ฝั่งหนึ่ง 'ปลัด สธ.' ดูข้าราชการทั้งมวล อีกฝั่ง 'เลขาธิการ สปสช.' เป็นใหญ่ในแผ่นดิน ดู 30 บาท งบประมาณมหาศาล...ทั้งสองฝั่งมีรัฐมนตรีกำกับดูแล ต้องใช้วิทยายุทธขั้นสูงทีเดียว...

ส่วน แพทองธาร ชินวัตร 'อุ๊งอิ๊ง' นั้น...วันนี้อยากขับเคลื่อน '30 บาทรักษาทุกที่' ให้แวววับจับต้องได้ เพราะคุณเธอนั่งคร่อมเก้าอี้ถึง 2 ตำแหน่ง คือ รองประธานกรรมการพัฒนาระบบสุขภาพแห่งชาติ (นายกฯ ประธาน) และ ประธานคณะกรรมการบริหารพัฒนาระบบสุขภาพแห่งชาติ

งานนี้นายใหญ่และพรรคเพื่อไทยยอมจ่ายแพง...เชือดหมอชลน่าน ถ้า 30 บาทรักษาทุกที่ยังกระดื๊บ ๆ ก็ถือว่าไม่คุ้มค่า...แต่ทีมงานอุ๊งอิ๊งหลายคนมั่นใจว่า 'อาสมศักดิ์' เอาอยู่...ทำได้ 

ก็คอยดูกันต่อไป แต่ยังไง ๆ พรรคเพื่อไทย อย่าลืมเช็ดเลือดและน้ำตาให้คุณหมอด้วยล่ะ!!


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top