Tuesday, 14 May 2024
บางจาก

ปลัดฯ บุญชอบ ปลื้ม บ.บางจาก ดึงคนพิการเข้าทำงาน สร้างความมั่นคงทางอาชีพ

ปลัดกระทรวงแรงงาน ชื่นชม บริษัท บางจากคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่ได้รับคนพิการบรรจุเข้าทำงาน ร่วมยกระดับคุณภาพชีวิตของคนพิการให้มีความมั่นคงทางอาชีพ ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม
 วันที่ 27 มกราคม 2565 นายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวแสดงความยินดีกับคนพิการจำนวน 10 คน ที่ได้รับการพิจารณาบรรจุให้เข้าทำงาน ณ บริษัท บางจากคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) โดยกล่าวว่า รัฐบาลโดยการนำของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาของประเทศ ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม โดยการ ยกระดับคุณภาพชีวิตเพิ่มการจ้างงานสร้างรายได้ การสร้างความเป็นธรรมลดความเหลื่อมล้ำ ตลอดจนมุ่งเน้นประเด็นความเสมอภาคและหลักประกันทางสังคมให้แก่ประชาชนกลุ่มเสี่ยงหรือกลุ่มเปราะบาง โดยใช้กลไกประชารัฐในการขับเคลื่อนการบริหารราชการแผ่นดินในการทำงานที่เชื่อมโยงระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน

ซึ่งปัจจุบันภาครัฐได้ให้ความสำคัญกับปรัชญาเรื่องความมั่นคงของมนุษย์มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาศักยภาพและการเสริมพลังของกลุ่มคนเหล่านี้ให้สามารถยืนอยู่ได้ด้วยตนเอง ควบคู่ไปกับการเร่งพัฒนาและปรับปรุงเงื่อนไขต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการขอรับบริการทางสังคมและบริการอื่นที่ทางภาครัฐเป็นผู้จัดให้มีความยืดหยุ่นและเอื้อต่อกลุ่มผู้ด้อยโอกาสทางสังคมเหล่านี้มากขึ้น รวมทั้งการเพิ่มพื้นที่ทางสังคมให้กับภาคประชาสังคมและภาคเอกชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาศักยภาพของกลุ่มคนเหล่านี้

ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า ผู้ด้อยโอกาสทางสังคมโดยเฉพาะกลุ่มคนพิการ ถือเป็นกลุ่มคนที่กระทรวงแรงงานได้ให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้ช่วยเหลือ สนับสนุน สร้างโอกาสในด้านต่าง ๆ เพื่อให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมั่นคง ที่สำคัญคือต้องอยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรีและเท่าเทียมกับกลุ่มคนส่วนใหญ่ของประเทศ ซึ่งในวันนี้ถือเป็นวันที่บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้สนองนโยบายของรัฐบาลในการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนพิการให้มีความมั่นคงทางอาชีพ ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม ด้วยการเปิดโอกาสให้คนพิการได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร

'บางจาก' ลงทุนสตาร์ตอัปสหราชอาณาจักร ต่อยอดสู่ธุรกิจพลังงานสะอาด

บางจาก ลุยลงทุนในสตาร์ตอัป ต่อยอดสู่กรีน ไฮโดรเจนแห่งอนาคต ผ่านบริษัทย่อยในสหราชอาณาจักร เพิ่มสัดส่วนธุรกิจสีเขียว ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

15 ก.พ. 65 นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ BCP Innovation Pte. Ltd. (BCPI) บริษัทในเครือ ได้ลงนามในข้อตกลงเบื้องต้นเพื่อลงทุนใน Transitus Energy ผู้ดำเนินธุรกิจพลังงานสะอาดแห่งอนาคตในสหราชอาณาจักร โดย BCPI เป็นผู้ลงทุนหลักของบริษัทดังกล่าวด้วยสัดส่วนการถือหุ้น 40% โดยถือว่าเป็นนโยบายการลงทุนในธุรกิจเปลี่ยนโลก เช่น ธุรกิจไฮโดรเจน และการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีสำคัญที่จะช่วยให้โลกไปสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ได้ในอีกไม่กี่ทศวรรษข้างหน้า

‘บางจาก’ ร่วมทุนตั้งบริษัทผลิตน้ำมันเครื่องบิน จากน้ำมันทำอาหารที่ใช้แล้ว คาดลงทุน 1 หมื่นลบ.

บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น, บมจ. บีบีจีไอ และ บริษัท ธนโชค ออยล์ ไลท์ ร่วมจัดตั้ง บีเอสจีเอฟ จำกัด (BSGF) เตรียมผลิตเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน จากน้ำมันทำอาหารที่ใช้แล้ว คาดลงทุน 8 พันถึง 1 หมื่นล้านบาท

นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจากและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. บางจาก คอร์ปอเรชั่น เปิดเผยว่า บางจากฯ , บีบีจีไอ และ ธนโชค ออยล์ ไลท์ ลงนามข้อตกลง ร่วมทุนจัดตั้งบริษัท บีเอสจีเอฟ จำกัด (BSGF) ด้วยงบลงทุน 8,000-10,000 ล้านบาท ในสัดส่วนการลงทุน 51% , 20%และ 29% ตามลำดับ เพื่อดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน หรือ SAF (Sustainable Aviation Fuel) จากน้ำมันใช้แล้วจากการทำอาหาร (Used Cooking Oil) เป็นรายแรกและรายเดียวในประเทศไทย 

ทั้งนี้ บริษัท BSGF จะเริ่มดำเนินธุรกิจด้วยการก่อสร้างหน่วยผลิต SAF จากน้ำมันใช้แล้วจากการทำอาหาร (Used Cooking Oil) ภายในบริเวณโรงกลั่นน้ำมันบางจาก ซึ่งคาดว่าจะเริ่มเปิดดำเนินการได้ ช่วงปลายปี ค.ศ. 2024 (พ.ศ.2567 ) ด้วยกำลังการผลิตเริ่มต้น 1 ล้านลิตรต่อวัน เป็นน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืนที่อุตสาหกรรมการบินทั่วโลกสามารถนำมาใช้ทดแทนได้ทันทีโดยไม่ส่งผลต่อเครื่องยนต์ ซึ่งจะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากอุตสาหกรรมการบินลงได้ประมาณ 80,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี (เทียบกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของเชื้อเพลิงการบินในปัจจุบัน) 

“BSGF พร้อมขยายเพิ่มกำลังการผลิตรองรับความต้องการใช้ SAF ในอนาคต ตามแนวโน้มความต้องการใช้ SAF ทั่วโลก สอดคล้องกับข้อกำหนดในสหภาพยุโรปที่กำหนดสัดส่วนการผสม SAF ในน้ำมันอากาศยานที่จะบินเข้าสู่สนามบินในสหภาพยุโรปเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง (จากการลงมติของสมาชิกสภายุโรป เมื่อต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา กำหนดไว้ที่ 2% ในปีค.ศ. 2025 และเพิ่มขึ้นเป็น 6%, 37% และ 85% ในปีค.ศ. 2030, 2040 และ 2050 ตามลำดับ) และสอดคล้องกับมาตรการขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (International Civil Aviation Organization: ICAO) และสมาคมการบินระหว่างประเทศ (International Air Transport Association: IATA) ที่ให้การสนับสนุน เพื่อให้อุตสาหกรรมการบินทั่วโลกมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ในปี 2593” นายชัยวัฒน์ กล่าว

นายธนวัฒน์ ลินจงสุบงกช กรรมการผู้จัดการบริษัท ธนโชค ออยล์ ไลท์ จำกัด กล่าวว่า บริษัท ธนโชคฯ มีความมั่นใจในการร่วมทุนครั้งนี้ ปัจจุบัน ธนโชคฯ มีความเชี่ยวชาญในการผลิตไบโอดีเซลจากน้ำมันใช้แล้ว โดยมีการลงพื้นที่จัดเก็บในชุมชน ป้องกันการนำกลับไปใช้ซ้ำหรือระบายทิ้งลงในพื้นที่สาธารณะหรือแหล่งน้ำต่าง ๆ โดยในปัจจุบัน กลุ่มธนโชคฯ มีเครือข่ายการเก็บรวบรวมน้ำมันใช้แล้วครอบคลุม 77 จังหวัดทั่วประเทศ ด้วยศักยภาพการจัดเก็บและรวบรวมน้ำมันใช้แล้วประมาณ 17 ล้านลิตรต่อเดือน และสามารถเก็บเพิ่มร่วมกับบางจากฯให้ได้ 1 ล้านลิตร/วัน และจะยายพื้นที่รับซื้อน้ำมันพืชใช้แล้วทั้งผ่านเครือขายของบริษัทและของปั๊มบางจากฯ รวมเป็นกว่า 2 พันจุด รวมทั้งบางจากฯก็เตรียมแผนแจกกระป๋องเพื่อให้ประชาชนนำน้ำมันพืชใช้แล้วมาจำหน่ายคืนที่ปั๊ม โดยน้ำมันใช้แล้วจะมีราคาถูกว่าน้ำมันปาล์มดิบ (ซีพีโอประมาณ 2 บาท/ลิตร โดยวันนี้ราคาซีพีโอ 34.50 บาท/ลิตร ราคาน้ำมันใช้แล้วอยู่ที่ประมาณ 32-33 บาท/ลิตร

‘บางจาก’ ซื้อ ‘เอสโซ่’ จ่ายค่าหุ้นครึ่งหลังปี 66 เพิ่มศักยภาพโรงกลั่น - ได้ปั๊มน้ำมันอีก 700 แห่ง

บางจากฯ ประกาศซื้อหุ้นและทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของเอสโซ่(ประเทศไทย) โดยทำสัญญาซื้อขายหุ้นกับจาก ExxonMobil เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2566 สัดส่วน 65.99 % ที่มีมูลค่ากิจการ 55,500 ล้านบาท และเตรียมทำเทนเดอร์ ออฟเฟอร์ซื้อหุ้นเอสโซ่ทั้งหมด ต่อไป ส่วนราคาซื้อขายหุ้น หากอ้างอิงตามงบการเงินไตรมาส 3/2565 เบื้องต้นประมาณ 8.84 บาทต่อหุ้น คาดว่าจะสามารถดำเนินการซื้อขายและชำระเงินค่าหุ้นแก่ผู้ขายได้ภายในครึ่งหลังของปี 2566 พร้อมก้าวสู่บริบทใหม่เพื่อความมั่นคงด้านพลังงานและการเข้าถึงของผู้บริโภคได้ครอบคลุมมากขึ้น

บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (BCP) ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัท ครั้งที่ 1/2566 เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2566 ได้มีมติเอกฉันท์อนุมัติการเข้าทำธุรกรรมและเห็นชอบให้เสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติการเข้าซื้อหุ้นสามัญของบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (ESSO) จาก ExxonMobil Asia Holdings Pte. Ltd. ('ExxonMobil') โดยบางจากฯ ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้นกับ ExxonMobil เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2566 และคาดว่าจะสามารถดำเนินการซื้อขายและชำระเงินค่าหุ้นแก่ผู้ขายได้ภายในครึ่งหลังของปี 2566 โดยต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขบังคับก่อนที่กำหนด และเตรียมพร้อมทำคำเสนอซื้อหุ้นที่เหลือทั้งหมด (tender offer) ของเอสโซ่ หลังจากการทำธุรกรรมกับ ExxonMobil เสร็จสิ้น

นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจากและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การลงทุนครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญสู่ความมั่นคงทางพลังงานที่มากขึ้นของบางจากฯ และประเทศไทย เป็นการลงทุนที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ที่เพิ่มความยั่งยืนและเพิ่มการเข้าถึงพลังงานได้ง่ายขึ้น เชื่อมั่นว่าการทำธุรกรรมครั้งนี้ ถือเป็นการพลิกโฉมสู่บริบทใหม่สำหรับบางจากฯ และประเทศไทย

การลงทุนครั้งนี้มีสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องคือโรงกลั่นน้ำมันกำลังการกลั่น 174,000 บาร์เรลต่อวัน เครือข่ายคลังน้ำมัน และสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศกว่า 700 แห่ง ก่อให้เกิดการประหยัดเชิงขนาดและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพต้นทุนของบริษัท โดยจะทำให้บางจากฯ มีกำลังการกลั่นน้ำมันรวม 294,000 บาร์เรลต่อวัน และเครือข่ายสถานีบริการกว่า 2,100 แห่ง สามารถดำเนินธุรกิจโรงกลั่นได้ครบวงจรมากขึ้น จัดหาน้ำมันดิบได้หลากหลายขึ้น และได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีการกลั่นที่เสริมกันของโรงกลั่นทั้งสอง และการให้บริการด้านการตลาดที่ครอบคลุมและนำเสนอบริการให้กับลูกค้าได้ยิ่งขึ้นผ่านสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศ รวมถึงมีการแลกเปลี่ยนความรู้และเทคโนโลยี ช่วยเพิ่มพูนทักษะและความสามารถของพนักงาน สร้างความแข็งแกร่งให้ธุรกิจและก่อให้เกิดการส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดสู่ลูกค้า และเตรียมความพร้อมให้กับกลุ่มบริษัทบางจากในการมุ่งสู่การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน

‘บางจาก’ ตั้งโต๊ะซื้อ ‘เอสโซ่’ หุ้นละ 9.89 บ. ทยอยเปลี่ยนป้ายปั๊ม 1 ก.ย. ปิดตำนาน 129 ปี

ภายหลัง บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่า บริษัทได้ดำเนินการในการเข้าซื้อหุ้นของบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ ESSO โดยได้ตกลงราคาซื้อขายสุดท้ายตามสัญญาซื้อขายหุ้นที่ได้ลงนามไป เมื่อ 11 ม.ค. 66 ในสัดส่วน 65.99% ของจำนวนหุ้นที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมด (หรือราว 2.28 พันล้านหุ้น) จากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ ESSO บริษัท เอ็กซอนโมบิล เอเชีย โฮลดิ้ง พีทีอี แอลทีดี (ExxonMobil) 

ล่าสุดได้กำหนดราคาสุดท้ายเสร็จสิ้นเมื่อ 25 ส.ค. 2566 ที่ราคา 9.8986 บาทต่อ หุ้น โดย BCP จะชำระค่าหุ้นสามัญจำนวน 2.28 พันล้านหุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วน 65.99% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมดของ ESSO คิดเป็น มูลค่ารวมราว 2.26 หมื่นล้านบาท ในวันที่ 31 ส.ค. 2566 นี้ ถือเป็นการเปลี่ยน อำนาจควบคุม

จากนั้น ทาง BCP จะดำเนินการเข้าทำคำเสนอหุ้นที่เหลือของ ESSO สัดส่วน 34.01% (หรือราว 1.18 พันล้านหุ้น) ในช่วงต้นเดือน ก.ย. 66 ในราคาเดียวกันที่ 9.8986 บาทต่อหุ้น และคาดการทำ tender จะแล้วเสร็จภายในเดือน ต.ค. 66 และหากว่าtender ได้ไม่ครบจำนวน ก็ไม่มีแผนที่จะซื้อเพิ่มในตลาดฯ ให้ครบ เพราะสัดส่วนหลัก 65.99% ใน ESSO ก็ถือว่ามี อำนาจควบคุมแล้ว

ทั้งนี้ หลังควบรวมกิจการเรียบร้อย จะส่งผลให้บางจากจะส่งผลให้กำลังการกลั่น เพิ่มขึ้นเป็น 2.94 แสนบาร์เรลต่อวันจากปัจจุบันอยู่ที่ 1.2 แสนบาร์เรลต่อวัน เป็นโรงกลั่นที่ขนาดกำลังการผลิตที่ใหญ่ ที่สุดในประเทศไทย และจะส่งผลให้ธุรกิจ การตลาด (Retail Marketing) ขึ้นอยู่ในอันดับ 2 ในส่วนของส่วนแบ่งการตลาด

และตั้งแต่ 1 ก.ย. 66 เป็นต้นไป จะเริ่มทยอยเปลี่ยนป้ายปั๊ม ESSO จำนวน 780 สถานี เป็น บางจากทั้งหมด โดยคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 2 ปี ซึ่งจะทำให้บางจากมีปั๊มน้ำมันรวมกว่า 2,100 สถานี

‘บางจาก’ ปิดดีลซื้อ ‘เอสโซ่’ เป็นที่เรียบร้อย ด้วยการถือครองหุ้นทั้งหมดจำนวน 76.34%

(16 ต.ค. 66) นางสาวภัทร์ภูรี ชินกุลกิจนิวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มงานบัญชีและการเงิน บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตามที่บางจากฯ เข้าถือหุ้นร้อยละ 65.99 ของหุ้นสามัญที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมดของ บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2566 และได้ยื่นคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ที่เหลือจำนวน 1,177,108,000 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 34.01 ของหุ้นสามัญที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมดของ เอสโซ่ (ประเทศไทย) ในราคา 9.8986 บาทต่อหุ้น เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2566

ซึ่งการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ของ เอสโซ่ (ประเทศไทย) ได้ดำเนินการแล้วเสร็จ โดยบางจากฯ ได้ชำระค่าหุ้นให้กับผู้ถือหุ้นของ เอสโซ่ (ประเทศไทย) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่งผลให้ปัจจุบัน บางจากฯ ถือหุ้นเอสโซ่ (ประเทศไทย) เป็นจำนวน 2,642,157,198 หุ้น (หุ้นที่ถืออยู่เดิมรวมกับหุ้นที่มีผู้แสดงเจตนาขาย) หรือคิดเป็นร้อยละ 76.34 ของหุ้นสามัญที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมด

“จำนวนหุ้นที่ได้จากการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ฯ คิดเป็นมูลค่า 3,547,729,490 บาทนี้ บางจากฯ ได้ใช้เงินกู้จากวงเงินสินเชื่อระยะยาวจาก ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ที่เป็นพันธมิตรสนับสนุนการเติบโตของ บางจากฯ มาอย่างต่อเนื่อง โดยภายหลังการใช้เงินกู้ครั้งนี้ อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนของบางจากฯ ยังอยู่ในระดับไม่เกิน 1.1 เท่า สะท้อนถึงความแข็งแกร่งทางฐานะการเงินของบางจากฯ ทั้งนี้ บางจากฯ พร้อมที่จะเดินหน้าขับเคลื่อนการดำเนินงานต่างๆ เพื่อไปสู่การสร้างมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจร่วมกัน”

‘บางจาก’ ยกระดับคุณภาพน้ำมันดีเซล ชู!! มาตรฐาน EURO 5 เริ่ม 15 พ.ย. 66

(3 พ.ย. 66) บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เตรียมปรับคุณภาพน้ำมันดีเซลทุกชนิด และผลิตภัณฑ์พรีเมียมของบางจาก ทั้งบางจาก ไฮพรีเมียม 97 พรีเมียมแก๊สโซฮอล์ และบางจาก ไฮพรีเมียมดีเซล S ในเขตกรุงเทพมหานครให้มีปริมาณกำมะถันต่ำเทียบเท่ามาตรฐานยูโร 5 เริ่มจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 15 พฤศจิกายน 2566 เป็นต้นไป

โดยบางจากฯ จะปรับสูตรน้ำมันดีเซลที่จำหน่ายในสถานีบริการน้ำมันบางจากและสถานีบริการน้ำมันเอสโซ่เดิม ซึ่งเป็นสถานีบริการน้ำมันบางจากที่ปรับจากสถานีบริการน้ำมันเอสโซ่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร รวมจำนวน 224 สาขา ให้เป็นดีเซลปริมาณกำมะถันต่ำเทียบเท่ามาตรฐานยูโร 5 ที่มีค่ากำมะถันลดลงถึง 5 เท่า อ้างอิงจากผลการทดสอบในห้องปฏิบัติการ

โดยการปรับลดปริมาณกำมะถันในน้ำมันดีเซลนี้ สามารถช่วยลดปัญหาฝุ่นละอองและก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ได้ เพราะกำมะถันในน้ำมันเมื่อถูกเผาไหม้จะเกิดเป็นซัลเฟตและจับกับมลพิษอื่น ทำให้เกิดเป็นฝุ่น PM 2.5

นอกจากนี้ ในช่วงเวลาเดียวกัน ลูกค้าบางจากฯ สามารถนำใบเสร็จจากการเติมน้ำมันไปรับบริการตรวจเช็กสภาพรถฟรี 11 รายการ ได้ที่ FURiO Care และ Wash Pro สาขาที่ร่วมรายการ

พร้อมให้คำปรึกษาและคำแนะนำในการดูแลให้เครื่องยนต์ให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ เพื่อป้องกันไม่ให้ปล่อยเขม่าที่เกิดจากการเผาไหม้อันเป็นสาเหตุของฝุ่น PM 2.5 โดยสามารถดูรายชื่อ FURiO Care และ Wash Pro ได้ที่ www.bcpcarcare.com

คนใช้รถเฮ!! ‘ปตท.-บางจาก’ ปรับลดราคา ‘เบนซิน-แก๊สโซฮอล์’ ลงอีก 40 สตางค์/ลิตร

(5 ธ.ค. 66) ปั๊มน้ำมันแจ้งปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน-แก๊สโซฮอล์ ลด 40 สตางค์ กลุ่มดีเซลคงเดิม 

ด้าน PTT Station ปรับราคาขายปลีกน้ำมันกลุ่มเบนซิน-แก๊สโซฮอล์ ลดลง 0.40 บาท/ลิตร สำหรับกลุ่มดีเซลคงเดิม มีผล 5 ธ.ค. 2566 เวลา 05.00 น.เป็นต้นไป โดยราคาขายปลีกจะเป็นดังนี้…

- ULG = 43.54 บาท
- GSH95 = 35.65 บาท
- E20 = 33.54 บาท
- GSH91 = 33.88 บาท
- E85 = 33.69 บาท
- พรีเมี่ยม GSH95 = 43.44 บาท
- HSD-B7 = 29.94 บาท
- HSD-B10 = 29.94 บาท
- HSD-B20 = 29.94 บาท
- พรีเมี่ยมดีเซล B7 = 41.54 บาท

***ทั้งนี้ราคาขายปลีกข้างต้นยังไม่รวมภาษีบำรุงกรุงเทพมหานคร***

ด้าน บางจากฯปรับราคาน้ำมันเฉพาะกลุ่มแก๊สโซฮอล์ลดลง 0.40 บาท/ลิตร สำหรับกลุ่มดีเซลคงเดิม…

- GSH95S EVO 36.05 บาท
- GSH91S EVO 34.28 บาท
- GSH E20S EVO 33.94 บาท
- GSH E85S EVO 34.09 บาท
- Hi Premium 97 (GSH95++) 47.74 บาท
- Hi Diesel B20S 29.94 บาท
- Hi Diesel S 29.94 บาท
- Hi Diesel S B7 29.94 บาท
- Hi Premium Diesel S B7 43.64 บาท

(ราคาดังกล่าวยังไม่รวมภาษีบำรุงท้องที่ กทม.)

12 มกราคม 2566 เปิดฉากดีลยักษ์ 'เอสโซ่ - บางจาก' ปิดฉากตำนาน 'ปั๊มเสือ' 129 ปีในไทย

นับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งประเด็นร้อนแรงในวงการพลังงาน หากย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 12 ม.ค. 2566 บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ แห่งประเทศไทยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัท ครั้งที่ 1/2566 เมื่อวันที่ 11 ม.ค. 2566 ได้มีมติเอกฉันท์อนุมัติการเข้าทำธุรกรรมและเห็นชอบให้เสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติการเข้าซื้อหุ้นสามัญของบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) จาก ExxonMobil Asia Holdings Pte. Ltd. 

โดยบางจากฯ ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้นกับ ExxonMobil เมื่อวันที่ 11 ม.ค. 2566 และคาดว่าจะสามารถดำเนินการซื้อขายและชำระเงินค่าหุ้นแก่ผู้ขายได้ภายในครึ่งหลังของปี 2566 โดยต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขบังคับก่อนที่กำหนด และเตรียมพร้อมทำคำเสนอซื้อหุ้นที่เหลือทั้งหมด (tender offer) ของเอสโซ่ หลังจากการทำธุรกรรมกับ ExxonMobil เสร็จสิ้น

ซึ่งการเข้าซื้อกิจการ ESSO ประเทศไทย โดยมีสัดส่วน 65.99% โดยคิดเป็นมูลค่าเบื้องต้นราว 20,000 ล้านบาท โดยราคากิจการที่ซื้อจะเป็นราคาที่ตั้งต้นด้วย 55,000 ล้านบาท ก่อนปรับปรุงรายการทางการเงินต่าง ๆ อีกราว 25,000 ล้านบาท ทำให้เหลือเป็นราคากิจการเบื้องต้นราว 30,000 ล้านบาท และการลงทุนครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญสู่ความมั่นคงทางพลังงานที่มากขึ้นของบางจากฯ และประเทศไทย เป็นการลงทุนที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ที่เพิ่มความยั่งยืนและเพิ่มการเข้าถึงพลังงานได้ง่ายขึ้น

สำหรับการลงทุนครั้งนี้มีสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องคือโรงกลั่นน้ำมันกำลังการกลั่น 174,000 บาร์เรลต่อวัน เครือข่ายคลังน้ำมัน และสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศกว่า 700 แห่ง ก่อให้เกิดการประหยัดเชิงขนาดและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพต้นทุนของบริษัท โดยจะทำให้บางจากฯ มีกำลังการกลั่นน้ำมันรวม 294,000 บาร์เรลต่อวัน 

และเครือข่ายสถานีบริการกว่า 2,100 แห่ง ซึ่งการเข้าทำธุรกรรมดังกล่าว เป็นการเข้าซื้อหุ้นในสัดส่วน 65.99% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของ เอสโซ่ จาก ExxonMobil โดยมีมูลค่ากิจการ 55,500 ล้านบาท และมีกลไกการปรับราคาซื้อขายหุ้นตามที่ระบุในสัญญาซื้อขายหุ้น

ดังนั้นเมื่อ บางจาก ได้รวมกับ เอสโซ่ แล้ว จะทำให้ บางจาก มีความยิ่งใหญ่เพิ่มมากขึ้นอีกหลายเท่าตัว โดยหากมองจากจำนวนสาขาบริการน้ำมันหากรวมกันจะอยู่ที่กว่า 2,100 สาขา ทั้งนี้หากนำไปเทียบกับสถานีบริการน้ำมันของผู้ประกอบการราย อาทิ เช่น โออาร์ (OR) มีสถานบริการน้ำมันอยู่ที่ 2,473 สาขา และ พีทีจี เอ็นเนอยี (PTG) มีสถานีบริการน้ำมัน 2,212 สาขา 

อย่างไรก็ตาม ถือเป็นการปิดตำนาน ‘ปั๊มพี่เสือ’ อย่างเป็นทางการ หลังเปิดให้บริการมาทั้งสิ้น 129 ปีในประเทศไทย และหลงเหลือไว้แต่เพียงความทรงจำให้นึกถึง...

‘บางจาก’ จับมือ ‘บีทีเอส’ เปิดตัว 'PINTO' เสิร์ฟตลาดเช่าซื้อสองล้อพลังงานสะอาด

(12 ม.ค. 67) นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในงานเปิดตัวรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า Pinto (ปิ่นโต) โดยบริษัท สมาร์ท อีวี ไบค์ จำกัด (Smart EV Bike) บริษัทร่วมทุนของบริษัท วินโนหนี้ จำกัด (Winnonie) บริษัทสตาร์ทอัพในกลุ่มบริษัทบางจาก และบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ให้บริการเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า สำหรับผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้าง (วินมอเตอร์ไซค์) ในบริเวณใกล้เคียงสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส

เพื่อสร้างบริการขนส่งสาธารณะระบบรอง หรือ Feeder ที่สะดวก ปลอดภัยสำหรับผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอส และช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับผู้ประกอบอาชีพขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างสาธารณะ

โดยมีนายวิศณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจากและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และนายกวิน กาญจนพาสน์ และนายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา ผู้บริหาร บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ร่วมงาน ณ ลานจอดแล้วจร สถานีบีทีเอสหมอชิต อีกทั้งยังมีนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้มาเยี่ยมชมการสาธิตการสับเปลี่ยนแบตเตอรี่ในภายหลัง

นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจากและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า วินโนหนี้เป็นสตาร์ทอัพภายในองค์กรของบางจากเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2563

ด้วยการนำนวัตกรรมพลังงานสีเขียวรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า มายกระดับคุณภาพชีวิตของจักรยานยนต์รับจ้างสาธารณะ ให้เช่ารถจักรยานยนต์ไฟฟ้า พร้อมบริการสับเปลี่ยนแบตเตอรี่ เพื่อลดต้นทุนค่าใช้จ่าย ตอบโจทย์การเข้าสู่ธุรกิจรถไฟฟ้าของกลุ่มบริษัทบางจาก และเป็นการสร้าง Net Zero Ecosystem หรือระบบนิเวศเพื่อบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ของบริษัทในปี 2593

วินโนหนี้มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากวันเริ่มต้นดำเนินงานจนถึงปัจจุบัน โดยมีผู้ใช้งานกว่า 1,000 ราย ผ่านเครือข่ายสถานีสับเปลี่ยนแบตเตอรี่อัตโนมัติจำนวน 120 สถานี ครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งถือเป็น Win-Win Solution ใน 3 ด้าน คือ

ช่วยให้ชีวิตผู้ขับขี่วินมอเตอร์ไซค์ดีขึ้น ช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย จากการเช่าใช้จักรยานยนต์ ประมาณเดือนละ 4,000 บาท หรือ 48,000 บาทต่อคนต่อปี รวม 48 ล้านบาทต่อปี

โลกดีขึ้น จากการส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด วินโนหนี้วิ่งใช้งานแล้วมากกว่า 42 ล้านกิโลเมตร ลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ไปประมาณ 2 ล้านกิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า อีกทั้งยังช่วยลดมลภาวะทางอากาศ ลดการเกิดฝุ่น PM2.5 และมลภาวะทางเสียง

ประเทศดีขึ้น จากการที่วินโนหนี้ พัฒนาโดยคนไทยในประเทศไทย ทำให้เกิดการคิดค้นนวัตกรรม การพัฒนาคนและการสร้างงานในประเทศ

นายชัยวัฒน์กล่าวว่า “ในวันนี้ นับเป็นอีกความก้าวหน้าทางธุรกิจที่สำคัญของวินโนหนี้ ในการร่วมเริ่มต้นธุรกิจให้บริการเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า Pinto กับผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างตามแนวรถไฟฟ้าบีทีเอส พร้อมบริการสับเปลี่ยนแบตเตอรี่ผ่านเครือข่ายสถานีสับเปลี่ยนแบตเตอรี่อัตโนมัติของวินโนหนี้ที่ครอบคลุมทั่วทั้งกรุงเทพฯและปริมณฑล โดยเฉพาะสถานีที่จะตั้งเพิ่มเติมตามแนวรถไฟฟ้าบีทีเอสเพื่อให้เกิดความสะดวกและเพียงพอต่อการใช้งานมากขึ้น

เพื่อให้ผู้โดยสารบีทีเอสมีประสบการณ์การเดินทางแบบ First Mile to Last Mile ด้วยพลังงานสะอาด คือสามารถเดินทางออกจากบ้านจนถึงกลับเข้าบ้านด้วยการบริการขนส่งสาธารณะที่ใช้ไฟฟ้าตลอดเส้นทาง”

“การใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยมีโอกาสเติบโตอีกมาก หากได้รับการสนับสนุนและผลักดันจากหน่วยงานภาครัฐในประเด็นต่าง ๆ อาทิ การสนับสนุนค่าพลังงานไฟฟ้าในราคาพิเศษสำหรับสถานีสับเปลี่ยนแบตเตอรี่ การจัดตั้งหน่วยงานกลางแบบ One Stop Service ในการขออนุมัติการติดตั้งมิเตอร์ หรือ การพิจารณากฎหมาย เช่น กฎหมายขนส่ง การจดทะเบียนป้ายเหลือง การจดทะเบียนรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า กฎหมายเกี่ยวกับวินเพื่อรองรับการขยายธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับรถไฟฟ้า”

“รวมถึงการสนับสนุนการขึ้นทะเบียนและการทำ Carbon Credit Certificate และมาตรการสนับสนุนอื่นๆ อาทิ การทำประกันภัยสำหรับรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า การให้ใช้พื้นที่หน่วยงานภาครัฐหรือกรุงเทพมหานคร เพื่อทำจุดติดตั้งสถานีสับเปลี่ยนแบตเตอรี่ โดยไม่คิดค่าเช่าพื้นที่หรือในอัตราพิเศษ เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ และทุนวิจัยและพัฒนา”

สำหรับ วินโนหนี้ ที่มุ่งมั่นเป็นผู้นำการให้บริการแพลตฟอร์มการสับเปลี่ยนแบตเตอรี่ Battery as a Service (BaaS) สำหรับรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า ได้ตั้งเป้าหมายเพิ่มจำนวนผู้ใช้งานจากกว่า 1,000 รายและสถานีสับเปลี่ยนแบตเตอรี่ 120 แห่ง ณ สิ้นปี 2566 เป็นผู้ใช้งาน 60,000 ราย และสถานี 3,000 แห่งในปี 2573

เดินหน้าส่งเสริมการสร้างสังคมคาร์บอนต่ำ สนับสนุนการยกระดับคุณภาพชีวิตและสังคม รวมถึงรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มของประเทศและของโลก ผ่านประสบการณ์การขับขี่ที่ดีต่อเราและต่อโลก


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top