Friday, 17 May 2024
นริศโรจน์_เฟื่องระบิล

'ทูตนริศโรจน์' เผยเวียดนามจัดการ 'มิสแกรนด์ฯ' ปมชู 3 นิ้ว หวั่นกระทบสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

9 ธ.ค. 64 - นายนริศโรจน์ เฟื่องระบิล อดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา โพสต์เฟซบุ๊กว่า ได้รับทราบจาก น้อง ๆ ที่ทำงานที่เวียดนามส่งข่าวด่วนมาว่า ทาง กระทรวงการต่างประเทศเวียดนาม ได้ออกแถลงการณ์ในกรณีนางงามเวียดนามมาชู 3 นิ้วในไทยแล้ว

โดยทางการเวียดนามเห็นแก่ความสัมพันธ์ไทย-เวียดนามเป็นสำคัญ จึงได้ทำการสั่งสื่อเวียดนามมิให้นำเสนอภาพและข่าวนางงามเวียดนามชู 3 นิ้วในไทยโดยเด็ดขาด

รวมทั้งกระทรวงวัฒนธรรมได้สั่งการให้นางงามเวียดนามคนที่ชู 3 นิ้ว หยุดแสดงพฤติกรรม หรือคำพูดที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อความสัมพันธ์ที่ดีงามระหว่างไทยและเวียดนามด้วยเช่นกัน

ต้องขอขอบคุณรัฐบาลเวียดนามอย่างมากมา ณ ที่นี้ครับ ที่ได้แสดงออกและตอบสนองอย่างรวดเร็ว โดยคำนึงถึงความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างประชาชนไทยและเวียดนามเป็นสำคัญ

'อดีตทูตไทยฯ' ย้อนอดีต ประเทศไทยอยู่รอดปลอดภัยมาตลอด ภายใต้พระบรมโพธิสมภารของพระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์

นายนริศโรจน์ เฟื่องระบิล อดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า...

หลังจากที่เขียนเล่าประสบการณ์ที่ได้เคยปฏิบัติหน้าที่เป็นล่ามถวายงานในหลวง ร.10 ตอนที่เสด็จฯ เยือนลาตินอเมริกาใต้ ไปแล้ว ปรากฏว่ามีเสียงตอบรับจาก FC จำนวนมาก บอกว่าอยากฟังอีก ผมก็พยายามเรียบเรียงจากความทรงจำเท่าที่พอจะจำได้ ให้เพื่อนๆ ฟังอีกนะครับ

ช่วงที่เสด็จฯ เยือนเปรู มีเหตุการณ์ประทับใจ และเหตุการณ์น่าตื่นเต้น เท่าที่จำได้คือ...

มีหมายกำหนดการนึงพระองค์ต้องเสด็จฯ ไปที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติของเปรู ที่กรุงลิมา ซึ่งตอนนั้นมีจัดนิทรรศการเกี่ยวกับอารยธรรมอินคาอยู่ ซึ่งพระองค์ทรงสนพระทัยในเรื่องประวัติศาสตร์และอารยธรรมอินคามาก 

จนเสด็จฯ มาถึงหน้าบอร์ดนิทรรศการนึงเป็นรูปภาพแกะสลักที่หน้าผาแห่งหนึ่งเป็นรูปเหมือนพระธิเบตนั่งสมาธิมีหมวกทรงสูงครอบศีรษะ เรียงรายไปตามแนวของหน้าผาหลายรูป 

ตอนนี้พระองค์ท่านทรงหันมาทางผมและมีรับสั่งว่า ดูเหมือนพระทางพุทธศาสนากำลังนั่งสมาธิ ผมก็เลยแปลบอกกับ ภัณฑารักษ์ ที่ทำหน้าที่บรรยายตามที่ทรงมีรับสั่ง ปรากฏว่า ภัณฑารักษ์ พยักหน้าทันทีบอกว่า ใช่ เหมือนพระพุทธรูป (ภาษาสเปนเรียก El Buda) และชมว่าพระองค์ทรงช่างสังเกตมาก นักโบราณคดีก็สงสัยเหมือนกันว่าทำไมรูปแกะสลักเหล่านี้ถึงเหมือนพระพุทธรูป ที่มาปรากฏถึงลาตินอเมริกาใต้ได้ 

กำหนดการต่อมาก็เสด็จฯ ไปเยือน รร.นายร้อยของเปรู พระองค์ทรงฉลองพระองค์ในเครื่องแบบพลเอกทหารบก ตอนนั้นผมได้ยิน จนท.ทหารหญิงที่เฝ้ารอรับเสด็จฯ แอบชมพระองค์ท่านกับผมว่าทรง muy guapo ซึ่งภาษาสเปนแปลว่า ทรงหล่อมากนั่นเอง 

จากนั้นทางรัฐบาลเปรู ก็ได้จัดเครื่องบินพระที่นั่งแบบ Fokker F27 ซึ่งเป็นไอพ่น 2 เครื่องยนตร์ เพื่อให้พระองค์ได้บินขึ้นไปชมความมหัศจรรย์ของ Nazcar Line ซึ่งเป็นลวดลายต่างๆ บนพื้นดินเช่น ลิงม้วนหาง นกอินทรี แมงมุม เป็นต้น แต่ละลวดลายนั้นมันกว้างใหญ่มาก ซึ่งหากยืนบนพื้นดินก็จะมองไม่ออก จะต้องมองมาจากที่สูงเท่านั้น ถึงจะเห็นลวดลายทั้งหมด ซึ่ง Nazcar Line นั้นก็ยังเป็นปริศนาจนถึงทุกวันนี้ว่าใครเป็นคนสร้าง จนเกิดเป็นทฤษฎี UFO นั่นเอง

ต่อมาพระองค์ท่านก็ได้เสด็จฯไปเยือนอาณาจักรอินคาที่เมือง Cuzco และ Machu Pichu ซึ่งก็มีเหตุการณ์ประทับใจที่ผมยังจำภาพได้ถึงทุกวันนี้คือ ตอนที่เสด็จฯ ไปยืนที่หน้าป้อมโบราณของอินคา ตรงนั้นเป็นลานสนามหญ้ากว้าง ทางฝ่ายเปรูก็ได้นำนักเรียนอนุบาลตัวเล็กๆ มารอรับเสด็จฯ 

พอเสด็จฯ ถึงที่นั้น ทางเปรูก็ปล่อยให้เด็กๆ ชาวเปรู (ลูกหลานอินคา) ทั้งหญิงและชายวิ่งเข้ามาหาพระองค์ท่าน โดยเด็กๆ วิ่งเข้ามาพร้อมร้องว่า El Principe (แปลว่า เจ้าชาย) เข้าไปรายล้อมพระองค์ท่าน พระองค์ท่านก็ทรงเป็นกันเองแย้มพระสรวลลูบศีรษะเด็กๆ เหล่านั้นด้วยพระเมตตายิ่ง เป็นภาพที่ยังติดตาผมจนถึงทุกวันนี้

จากเปรู ก็ต้องเสด็จฯ ต่อไปที่ เอกวาดอร์ เนื่องจากคณะฝ่ายไทยบางส่วนต้องเดินทางล่วงหน้าไปรอรับเสด็จฯ ที่เอกวาดอร์ก่อน ซึ่งทางการเปรูก็ได้จัดเครื่องบิน Fokker F 27 ลำเดิมที่ใช้บินชม Nazcar Line ให้คณะล่วงหน้าไปรอที่เอกวาดอร์

ตอนนี้มีเรื่องตื่นเต้นคือ เครื่อง Fokker F 27 ลำนั้น เกิดเครื่องไอพ่นดับไป 1 เครื่องก่อนที่จะร่อนลงสนามบินกรุง Quito ทำให้นักบินต้องขอเคลียร์รันเวย์ทำ emergency landing เดชะบุญที่เครื่องร่อนลงอย่างปลอดภัย พอตรวจก็พบว่าไอพ่นเครื่องนึงนั้นมีละอองทรายซึ่งสันนิษฐานว่าอาจฟุ้งเข้าเครื่องตอนที่บินเหนือ Nazcar Line นั่นเอง

การเสด็จฯ เยือนเอกวาดอร์ก็เป็นไปโดยราบรื่น เสด็จฯ ไปเยี่ยมชมจุดที่เรียกว่าเป็น “สะดือโลก” ซึ่งเอกวาดอร์เคลมว่าเป็นจุดศูนย์กลางของโลก 

จากเอกวาดอร์ ต้องเสด็จฯ จากกรุง Quito ไปเยือนหมู่เกาะกาลาปาโกส ซึ่งเป็นหมู่เกาะกลางมหาสมุทรแปซิฟิก มีความน่าสนใจทั้งด้านธรณีวิทยา สัตววิทยา และนิเวศวิทยา มีชื่อภาษาสเปนอย่างเป็นทางการว่า กลุ่มเกาะ Colon (เป็นชื่อของ คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ในภาษาสเปน) ตั้งอยู่ในแนวเส้นศูนย์สูตร 

‘อดีตทูตนริศโรจน์’ ภูมิใจ!! ได้ใช้ภาษาสเปนที่เรียนจากสถาบันการทูตสเปน ทำเพื่อประเทศชาติ ในตำแหน่งเอกอัครราชทูตไทย ณ อาร์เจนตินา ก่อนเกษียณ

(14 ก.ย. 66) นายนริศโรจน์ เฟื่องระบิล อดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก ‘Fuangrabil Narisroj’ ว่า...

ผมกล้าพูดได้อย่างเต็มปากเลยว่า ชีวิตของผมเริ่มเมื่อหลังเกษียณ เพราะเป็นชีวิตที่เป็นอิสระ ได้ทำงานที่ชอบ ได้แสดงออกถึงตัวตนที่ผมเป็นโดยไม่ต้องกังวลถึงหัวโขนใด ๆ อีกต่อไป

ผมดีใจที่ชีวิตหลังเกษียณผมได้มีโอกาสมานั่งเป็นประธานคณะกก.Film Board (คณะที่ 2) สังกัดกระทรวงการท่องเที่ยวฯ ตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน กันยายน 2566

ผมภูมิใจที่เป็นส่วนนึงที่สามารถสร้างรายได้เข้าประเทศจากอุตสาหกรรมถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในไทยเป็นจำนวนรวมแล้วมากกว่าหมื่นล้านบาท!

ตอนรับราชการชีวิตของผมค่อนข้างอืดหรือช้า กว่าจะได้ขึ้นมาระดับสูงสุดก็โดนเด็กรุ่นหลังลอยข้ามหน้าข้ามตาไปหลายครั้ง แต่ผมก็เจียมตัวไม่ได้ไปโวยวายเรียกร้องอะไร

เจียมเนื้อเจียมตัวเป็นข้าราชการเชื่อง ๆ ที่ทำตามกฏระเบียบทุกอย่าง

ตอนแรกผมก็นึกว่าผมคงเกษียณในตำแหน่งระดับ 9 ที่สถานทูตไทยที่ลาวเสียแล้ว ซึ่งผมก็ไม่ได้ติดใจอะไร ดีเสียอีกได้อยู่ใกล้เมืองไทย สามารถกลับมาดูแลแม่ที่ไทยได้สะดวกเมื่อมีโอกาส

แต่สุดท้ายผมก็ได้ท่านดอน ปรมัตถ์วินัย อดีตรองนรม.และรมว.กต. ได้เลือกให้ผมไปดำรงตำแหน่งเป็น ออท.ที่อาร์เจนตินา ในระยะเวลา 1 ปี กับ 10 เดือนก่อนเกษียณ ซึ่งถือว่าหวุดหวิด

ซึ่งตรงนี้ผมถือว่าท่านดอนฯ พ้นหน้าที่จาก ครม.แล้ว จึงขอใช้โอกาสนี้เขียนขอบคุณที่ท่านมอบความไว้วางใจมอบหมายให้ผมดำรงตำแหน่งที่ทรงเกียรตินี้

ถึงแม้จะเป็นเวลาเพียงปีกว่า ๆ ก่อนเกษียณ แต่อย่างน้อยก็เป็นสิ่งที่ขรก.กต.ทุกคนได้บรรลุเป้าหมายขั้นสูงสุดในชีวิต

สาเหตุที่ท่านเลือกผมมาทราบทีหลังคือ ผมอาวุโสมากกว่าขรก.หลายคนที่เข้า กต. หลังผมหลายปี ท่านเห็นว่าผมช้าเลยต้องการสนับสนุนให้ผมได้เป็นทูตก่อนเกษียณ

สาเหตุที่สำคัญอีกประการ ซึ่งท่านดอนคงมองว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการเป็นทูตประจำย่านลาตินอเมริกาใต้คือ

ผมพูดภาษาสเปนได้ เนื่องจากผมได้รับทุนจากรัฐบาลสเปนจนเรียนจบระดับปริญญาโทจากสถาบันการทูตสเปน (La Escuela Diplomatica, España)

ซึ่งเป็นสถาบันทางการทูตที่เก่าแก่เป็นอันดับ 2 ของยุโรป รองจากสถาบันการทูตที่เวียนนา ออสเตรีย

และผมถือเป็นคนไทยคนที่ 2 ที่จบระดับปริญญาโทจากสถาบันนี้ (ท่านที่จบคนแรกคือ ท่านทูตกุลกุมุท สิงหรา ณ อยุธยา)

แต่กระนั้นชีวิตการเป็นข้าราชการก็ไม่พ้นเรื่องการนินทา อิจฉาริษยา

มีคนมาเล่าให้ผมฟังว่า ผมวิ่งเพื่อให้ได้มาที่อาร์เจนตินา ซึ่งไม่มีมูลความจริงเลย

ตอนอยู่ที่ลาวผมใจจดจ่อกับการได้อยู่ใกล้แม่มากกว่า เพราะผมเพิ่งเสียพ่อไป และผมห่วงแม่มาก

ผมถึงกับเปรยกับท่านทูตไทยที่ลาวว่าให้ผมเกษียณที่ลาวผมก็โอเค ถึงแม้จะไม่ได้เป็นระดับ 10 ก็ไม่เป็นไร เพราะผมปลงแล้ว อีกประการคือเงินเดือน พขต.ที่ลาวระดับ 9 ยังได้มากกว่า ระดับ 10 ที่อาร์เจนตินา! (เงินเดือน พขต.ที่อาร์เจนตินาได้รับต่ำสุดท้ายตารางน้อยกว่าประเทศอื่น!!)

ตอนช่วงที่ใกล้จะเลือกให้ดำรงตำแหน่ง ผมได้รับการติดต่อทาบทามจากทางสำนักบริหารบุคคลบอกว่า ท่านรมว.กต.อยากให้ผมไปที่อาร์เจนตินา (ตอนนั้นคงมีคนไปบอกท่านว่าผมอยากเกษียณที่ลาว)

ท่านดอนบอกว่าผมเหมาะสมที่สุด เพราะพูดสเปนได้ไปถึงก็ทำงานได้เลย ไม่ต้องไปฝึกเรียนภาษา และเป็นช่วงเวลาที่ไม่นานมาก

เรื่องแม่ก็ต้องขอฝากให้พี่ชายดูแลแทนไปก่อน ผมก็จ้างคนดูแลแม่เป็นพิเศษอีกต่างหากด้วย ผมก็เลยบอกแม่ แม่ก็บอกว่าให้ไปเถอะไม่ต้องห่วง แม่อยากเห็นผมเป็นทูต ผมก็เลยตกลง

ตรงนี้ขอคุยนิดนึงว่าผมและเพื่อน ๆ ที่ออกเป็นทูตในครั้งนั้น ถือเป็นคณะทูตไทยคณะแรกในแผ่นดินรัชกาลที่ 10 ที่ต้องออกไปเจริญสัมพันธไมตรีในต่างประเทศ ต้องเข้าเฝ้ารับพระราชทานพระราชสาสน์ตราตั้ง รับพระราชทานน้ำมหาสังข์จากพระหัตถ์รดที่กลางกระหม่อม

ได้รับพระราชทานการเจิมที่หน้าผากผมด้วยพระหัตถ์ของพระองค์ท่าน ได้รับพระราชทานใบมะตูมเพื่อทัดหู นับเป็นสิริมงคลสูงยิ่งในชีวิตนี้แล้ว ซึ่งผมต้องตอบแทนบุญคุณของแผ่นดินและสถาบันจนกว่าชีวิตจะหาไม่

และจากการที่ผมเป็นผลิตผลทางการศึกษาจบจากสถาบันการทูตที่สเปน ผมจึงมีเพื่อนร่วมสถาบันที่เป็นนักการทูตจากประเทศลาตินอเมริกาใต้หลายประเทศ รวมทั้งที่อาร์เจนตินาด้วย

ซึ่งปรากฏว่าเมื่อผมเดินทางถึงกรุงบัวโนสไอเรสได้เพียง 3 วัน ผมก็ได้รับแจ้งจากเพื่อนที่ทำงานกรมพิธีอาร์เจนตินาให้ผมได้มีโอกาสเข้ายื่นพระราชสาสน์ตราตั้งต่อประธานาธิบดี Macri แห่งอาร์เจนตินาในสัปดาห์นั้นเอง นับว่าผมเป็นทูตไทยคนแรกที่ออกไปต่างประเทศแล้วได้ยื่นพระราชสาสน์ตราตั้งได้ในเวลาไม่ถึง 1 สัปดาห์

หมายเหตุ กระบวนการเรื่องยื่นพระราชสาสน์ฯ นี้ บางประเทศทูตต้องรอหลายเดือน บางคนรอเกือบปีถึงจะได้มีโอกาสยื่นพระราชสาสน์ฯ

ขอย้อนกลับไปตอนที่ผมบอกว่ามีคนนินทาว่าผมวิ่ง ซึ่งคนที่พูดนั้นผมรู้ว่าเป็นใคร เป็นเพื่อนร่วมอาชีพที่อายุน้อยกว่าผมหลายปี เข้า กต.หลังผลหลายปี อาวุโสน้อยกว่าผม จำนวนปีในการทำงานน้อยกว่าผม และที่สำคัญคือเขาพูดภาษาสเปนไม่ได้เลย รู้แต่ภาษาอังกฤษอย่างเดียว

แต่ผมก็ไม่สนใจเพราะถือว่าผู้ใหญ่ท่านไว้วางใจและเลือกผมให้ทำงานที่ผมถนัดที่สุดแล้ว

ซึ่งก็จริงเพราะในบรรดาทูตประเทศ ASEAN ทั้งหมดมีผมคนเดียวที่พูดภาษาสเปนได้ นอกจากนี้ในบรรดาทูตจากเอเชีย ก็มีทูตจีน ญี่ปุ่น เกาหลี ที่พูดภาษาสเปนได้คล่อง เพราะประเทศเหล่านี้ถือเป็นนโยบายเชิงบังคับเลยว่าคณะทูตที่ไปประจำการในภูมิภาคใดต้องพูดสื่อสารด้วยภาษาท้องถิ่นของประเทศนั้นได้ พวกเขาพอไปถึงก็ทำงานได้เลยไม่ต้องรอไปเรียนภาษา

วันนี้ถือโอกาสเขียนยาวหน่อยเพื่อระบายความในใจที่เก็บมานาน เพราะเห็นว่าเปลี่ยนรัฐบาลเปลี่ยนครม.แล้ว เลยอยากเล่าเพื่อเคลียร์สิ่งต่าง ๆ ในใจ และเพื่อขอบคุณท่านดอน ปรมัตถ์วินัย อดีตรองนรม.และรมว.กต.ที่ได้เลือกให้ผมไปเป็นทูตที่อาร์เจนตินาครับ

ผมเองผ่านร้อนหนาวมาเยอะ ผ่านการถูกบุลลี่จากบุคคลต่าง ๆ แม้กระทั่งจากเพื่อนร่วมอาชีพว่าเป็นแค่ ‘ทูตปลายแถว’ เป็นพวกแก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน !!! ผมรับทราบรับรู้ทั้งหมด เพราะโลกนี้ไม่มีความลับ

ก็ขออวยพรให้เขาเหล่านั้นโชคดี ผมไม่ถือโกรธใดๆ อโหสิให้ แต่แค่ผมไม่เคยลืมเท่านั้นเอง

‘อดีตทูตนริศโรจน์’ ชม ‘ท่านอ้น’ ร่วมงานนิทรรศการ ม.112 เป็นวิธีที่แยบยล ช่วยลดความเดือดดาลให้เจือจางบางลง

(21 ก.ย. 66) นายนริศโรจน์ เฟื่องระบิล อดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก ‘Fuangrabil Narisroj’ ถึงกรณีท่านอ้น วัชรเรศร วิวัชรวงศ์ เข้าร่วมชมนิทรรศการ ‘Faces of Victims of 112 : An Exhibition’ ที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย นครนิวยอร์ก ซึ่งจัดขึ้นโดย อ.ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิชาการมหาวิทยาลัยเกียวโต และผู้ลี้ภัยจากคดี ม.112 ว่า...

นิทรรศการมีจุดประสงค์ให้ร้ายเบื้องบนฝ่ายเดียว และมีแผนไปจัดในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก

ที่ผ่านมารัฐทำได้แค่เพียงส่งคนเข้าไปสังเกตการณ์เท่านั้น

การที่ท่านเดินเข้าไปดูนิทรรศการนั้นด้วยตัวเอง เข้าไปคุยแบบตรง ๆ ไปรับรู้รับทราบไปเลย นั่นแหละได้ impact ที่สุด !

ซึ่งเรื่องแบบนี้คนในภาครัฐทำไม่ได้ ไม่มี impact บางทีคนของรัฐเข้าไปอาจกลายเป็นเติมเชื้อฟืนให้ลามด้วยซ้ำ ผลที่ตามมา ผมมองว่านิทรรศการนั้นดู soft ลงไปเลย ขนาดคนจัดยังยืนหงอ ๆ บางครั้งพนมมือ ในขณะที่ท่านยืนยิ้ม หลังตรง 

นี่คือการเบรกนิทรรศการแบบแยบยลที่สุด

ท่านยอมถูกต่อว่า ถูกสงสัยเคลือบแคลงจากคนที่มองอะไรแค่มิติเดียว

แต่ผลที่ได้ตามมามันมีอะไรที่ลึกซึ้งมากมายนัก

นายนริศโรจน์ เฟื่องระบิล อดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา ได้โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก 'Fuangrabil Narisroj'

เมื่อวานนี้ (17 เม.ย. 67) นายนริศโรจน์ เฟื่องระบิล อดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา ได้โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก 'Fuangrabil Narisroj' ว่า…

"ขอเล่าในฐานะที่อยู่คณะกก.Film Board ซึ่งดูแลหนังต่างประเทศที่เข้ามาถ่ายทำในไทย

"คือมีกฎอันนึง เราจะให้เขาเลี่ยง ไม่ให้ถ่ายติดภาพพระบรมฉายาลักษณ์ เพราะไม่ต้องการให้เกิดประเด็นที่อาจทำให้กระทบสถาบันในทางตรงหรือทางอ้อมในภายหลังได้ ซึ่งคิดว่าหนังไทยก็คงหลักการคล้ายกัน

"ดูหนังเอาสาระดีกว่าครับ!"


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top