Sunday, 19 May 2024
ธุรกิจสีเทา

‘เพื่อไทย’ จี้ถาม!! ปมผับจีนเถื่อน เสพยานรก ซัด!! รัฐปล่อยให้ธุรกิจสีเทาเกลื่อนเมืองได้อย่างไร?

‘ยุทธพงศ์’ ข้องใจธุรกิจสีเทาเกลื่อนเมือง - บริจาคเงินให้พรรคการเมือง ด้าน ‘บิ๊กช้าง’ แจงคาดผลสอบออกสัปดาห์หน้า โยนกกต. ตอบเงินบริจาค 3 ล้านให้พรรคการเมือง ยัน ‘นายกฯ’ ไม่ยอมให้ใครทำประเทศเสียหาย 

เมื่อวันที่ 10 พ.ย.เวลา 09.30 น. ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 เป็นประธานการประชุม หลังเปิดให้สมาชิกหารือปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่แล้ว เข้าสู่วาระกระทู้ถามสดด้วยวาจา โดยกระทู้ถามสดของนายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย (พท.) ถาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เรื่องผับลับชาวจีน ธุรกิจสีเทา กลางเมืองหลวง ซึ่งนายกฯ ได้มอบหมายให้พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม มาตอบคำถามแทน

นายยุทธ์พงศ์ ถามว่า จากกรณีการเข้าจับกุมผับสีเทาของนายทุนจีนที่ย่านยานนาวา เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2565 เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจค้นตู้เซฟพบยาเสพติดจำนวนมาก ทั้งเฮโรอีน และยาอี มีเงินหมุนเวียน 3-5 ล้านบาททต่อคืน 

ทั้งนี้ ซองยาเสพติดได้เขียนชื่อติดไว้ หากเสพไม่หมดฝากไว้ได้ ธุรกิจสีเทาของนายทุนจีน อยู่ในย่านยานนาวา รัชดา และห้วยขวาง ตนจึงขอถามว่า นายกฯ ปล่อยให้มีการเปิดผับสีเทากลางเมืองหลวงได้อย่างไร และอยากทราบว่าขยายผลถึงไหนแล้ว และดำเนินการอย่างไรบ้าง ขณะเดียวกันยังมีนักการเมืองใหญ่แถว ๆ ภาคกลางเปิดบ่อน ท่านจะจัดการหรือไม่ 

พล.อ.ชัยชาญ ชี้แจงว่า การกวาดล้าง และจับกุมธุรกิจผิดกฎหมาย นายกฯ ได้สั่งการกำชับไปที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ให้ดำเนินการจับกุมตามพยานหลักฐาน ส่วนเครือข่ายผิดกฎหมาย และบ่อนการพนัน ได้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และกระทรวงมหาดไทยดำเนินการแล้ว ซึ่งหากมีหลักฐานว่าใครกระทำผิดกฎหมาย ทั้งคนไทย และต่างชาติ ต้องดำเนินการอย่างเด็ดขาด หากเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้องก็จะจัดการ รัฐบาลไม่ยอมให้ใครใช้ประเทศไทยเป็นที่ก่ออาชญากรรม และทำผิดกฎหมายอย่างเด็ดขาด 

ส่วนความคืบหน้า กรณีผับย่านยานนาวาเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม ได้ตรวจยึดรถหรู และยาเสพติด นอกจากนี้ยังได้ออกหมายค้นทุกจังหวัดที่มีความเกี่ยวข้อง โดยสามารถยึดทรัพย์สินได้กว่า 100 ล้านบาท ส่วนต่างชาติที่มีความเกี่ยวข้อง ทาง ตร. ได้ขึ้นบัญชีดำ และประสานอินเตอร์โพลเพื่อจับกุมตัวแล้ว

นายยุทธพงศ์ ถามต่อว่า กรณีนายชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ หรือ หาว เจ๋อ ตู้ เป็นผู้บริจาคเงิน 3 ล้านบาท ให้กับพรรคการเมืองใหญ่พรรคหนึ่ง ตนจึงอยากถามนายกฯ ว่า นายชัยณัฐร์ เป็นใคร และได้สอบสวนไปถึงไหนแล้ว และเงินบริจาคถูกกฎหมายหรือไม่ นอกจากนี้ ตนมีหนังสือสำคัญการแปลงสัญชาติจากจีนเป็นไทยของนายชัยณัฐร์ ที่ออกเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2558 เหตุใดจึงออกกันได้ง่ายเช่นนี้ และสรุปแล้วนายชัยณัฐร์ ถือกี่สัญชาติ

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ นำทีมขยายผล 4 เคสเกี่ยวข้องนายทุนจีนสีเทา จินหลิง-ท๊อปวัน-เบบี้เฟซ-คลับวัน

จากกรณีในห้วงเวลาที่ผ่านมา ได้มีการเข้าตรวจสอบสถานบริการที่มีพฤติการณ์ใกล้เคียงกันคือ นายทุนจีนเป็นเจ้าของ และใช้คนไทยเป็นนอมินี จำนวน 4 แห่ง ได้แก่ 

ร้านคลับวันพัทยา พื้นที่ สภ.เมืองพัทยา ภ.จว.ชลบุรี ซึ่งมีการตรวจค้นพบยาเสพติดจำนวนมาก, ร้านท็อปวัน พื้นที่ สน.สุทธิสาร ซึ่งพบหญิงชาวจีนเสียชีวิตหลังเที่ยวผับดังกล่าว โดยมีสาเหตุมาจากการเสพยาเกินขนาด, ร้านจินหลิง พื้นที่ สน.ยานนาวา ซึ่งตรวจค้นพบสารเสพติดในนักเที่ยวชาวจีนจำนวนกว่า 104 คน และยาเสพติดอีกจำนวนมาก สุดท้ายคือ ร้านเบบี้เฟซ พื้นที่ สน.คลองตัน ซึ่งพบความเชื่อมโยงกับนายทุนจีนและใช้คนไทยเป็นนอมินี ซึ่งได้มีการแจ้งความคืบหน้าเป็นระยะ ตามที่สื่อมวลชนและโซเชียลมีเดียนำเสนอไปแล้ว นั้น

จากกรณีดังกล่าว พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ดำเนินการควบคุมสั่งการสืบสวนความเชื่อมโยงของกลุ่มนายทุนจีนสีเทา ที่มีการประกอบกิจการสถานบันเทิง โดยมีการกระทำผิดแอบแฝง ทั้งเรื่องยาเสพติด บ่อนการพนัน และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ จึงได้สั่งการให้ชุดปฏิบัติการสืบสวน ตรวจสอบข้อมูลการติดต่อและเส้นทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับสถานบันเทิงทั้ง 4 แห่งโดยละเอียด เพื่อให้เห็นถึงความเชื่อมโยงของกลุ่มบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดทั้งหมด และให้เข้าตรวจค้นสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มนายทุนจีนทั้งหมด เพื่อหาพยานหลักฐานเพิ่มเติมมาใช้ในการดำเนินคดีในความผิดที่เกี่ยวข้องทั้งหมด โดยแบ่งเป็นรายละเอียดตามแต่ละคดีดังนี้

กรณีที่ 1 ร้านจินหลิง พื้นที่ สน.ยานนาวา
หลังจากที่เมื่อวันที่ 26 ต.ค.65 ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สนธิกำลังเข้าตรวจค้นร้านจินหลิง ถนนเจริญราษฎร์ แขวงยานนาวา เขตสาทร กทม. ผลการตรวจค้นพบสารเสพติดในปัสสาวะของนักท่องเที่ยวชาวจีนจำนวนมาก และพบยาเสพติดอยู่ภายในร้านจำนวนมาก จากกรณีดังกล่าว ได้มีการสืบสวนขยายผลจับกุมผู้ต้องหาจำนวน 1 ราย คือ นายหวง ไห่ เถา หรืออาหวง พร้อมยึดของกลางเป็นยาเสพติดประเภท เฮโรอีน ยาอี และแฮปปี้วอเตอร์จำนวนหนึ่ง ซึ่งมีไว้จำหน่ายให้กับลูกค้าที่มาเที่ยวที่ร้าน และยังตรวจค้นจุดต้องสงสัยอีกกว่า 38 จุด ตรวจยึดรถหรู 5 คัน และเงินอีก 19 ล้านบาท
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ขยายผลเกี่ยวกับยาเสพติด จนสามารถออกหมายจับ และจับกุมดำเนินคดีเพิ่มเติม รวมทั้งหมด 4 ราย ได้แก่
1. นายหวง ไห่ เถา หรือ อาหวงสัญชาติจีน
2. นายเจียง ไต่ หลิน หรือเสี่ยหลิน สัญชาติจีน
3. นายเหมา ยะ ฉวง หรืออาฉวง สัญชาติจีน
4. นายหวัง เจี้ยน หัว หรืออาหัว สัญชาติจีน
โดยจะดำเนินคดีในความผิดฐาน “ร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 อันเป็นการมีไว้จำหน่ายเพื่อการค้า อันเป็นการกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชน, ร่วมกันจำหน่ายวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทประเภท 2 อันเป็นการมีไว้เพื่อการค้า อันเป็นการกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชน, สมคบกันกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติดและสนับสนุนหรือช่วยเหลือผู้กระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติด” 
หลังจากจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 4 รายแล้ว เจ้าหน้าที่สืบสวนยังรวบรวมพยานหลักฐานและพบความเชื่อมโยงกับบุคคลอื่น จนสามารถขออนุมัติออกหมายจับเพิ่มเติมอีก 2 ราย ได้แก่
1. นายชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ หรือตู้ห่าว
2. นายหยาง เฉิน หรืออาหยาง สัญชาติจีน
โดยจะดำเนินคดีในความผิดฐาน “ร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 อันเป็นการมีไว้จำหน่ายเพื่อการค้า อันเป็นการกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชน, ร่วมกันจำหน่ายวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทประเภท 2 อันเป็นการมีไว้เพื่อการค้า อันเป็นการกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชน, สมคบกันกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติดและสนับสนุนหรือช่วยเหลือผู้กระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติด” อยู่ในระหว่างการติดตามจับกุมผู้ต้องหาทั้งสองราย

กรณีที่ 2 ร้านท็อปวัน พื้นที่ สน.สุทธิสาร
จากกรณีเมื่อวันที่ 26 ต.ค.65 ที่ผ่านมา ได้มีการแถลงผลการดำเนินคดีกรณีพบว่ามีนักท่องเที่ยวชาวจีน คือ น.ส.โหยว ซื่อ หัว อายุ 31 ปี ซึ่งไปเที่ยวที่ร้านท็อปวัน เมื่อว้นที่ 16 ก.ย.65 ต่อมาได้เสียชีวิตลงเนื่องจากเสพยาเกินขนาด ซึ่งได้มีการสืบสวนและจับกุมผู้ต้องหาที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการซุกซ่อนอำพรางหลักฐานเกี่ยวกับการเสียชีวิตดังกล่าวไปแล้วจำนวน 4 ราย ตามที่สื่อมวลชนและโซเชียลมีเดียนำเสนอไปแล้ว นั้น

จากสาเหตุการเสียชีวิตดังกล่าว จึงเป็นเหตุอันควรสงสัยว่า สถานบันเทิงดังกล่าวอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติด พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จึงได้สั่งการให้ตรวจสอบเกี่ยวกับเจ้าของและผู้เกี่ยวข้องโดยละเอียดว่ามีการกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดหรือการกระทำผิดอื่นๆ หรือไม่ จากการตรวจสอบพบว่า สถานบันเทิงดังกล่าวได้มีกลุ่มทุนจีนเป็นเจ้าของ โดยใช้ชื่อคนไทยเป็นนอมินี เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ แต่นายทุนจีนดังกล่าวได้แสดงออกโดยชัดเจนว่าตนมีความเป็นเจ้าของ ซึ่งมีบุคคลที่เกี่ยวข้อง และเป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นจำนวน 2 ราย ได้แก่
1. นายวีรยุทธ แซ่หย้าง อายุ 23 ปี
2. นายจาง เจี้ยนกุ้ย อายุ 48 ปี สัญชาติจีน
การกระทำดังกล่าวถือเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 และยังดำเนินคดีในข้อหา ร่วมกันเปิดสถานบริการโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งได้มีออกหมายจับและจับกุมผู้ต้องหาทั้งสองรายมาดำเนินคดีเรียบร้อยแล้ว

กรณีที่ 3 ร้านเบบี้เฟซ พื้นที่ สน.คลองตัน
เมื่อวันที่ 1 พ.ย.65 เวลา 01.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สนธิกำลังกันเข้าตรวจค้นสถานบันเทิงที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มทุนจีนจำนวน 6 แห่ง รวมทั้งร้านเบบี้เฟซ พื้นที่ สน.คลองตัน ซึ่งผลการตรวจสอบภายในร้านพบสารเสพติดในนักท่องเที่ยวภายในร้านจำนวน 2 ราย จากการสืบสวนเพิ่มเติมพบว่า ร้านดังกล่าวมีเจ้าของเป็นบุคคลสัญชาติจีนซึ่งมีคนไทยเป็นนอมินี จึงได้ทำการขยายผลจนทราบว่า เจ้าของสัญชาติจีนดังกล่าวคือ นายสุ่ย ไท่ เหว่ย หรือเดวิด เป็นเจ้าของ จึงได้ขออนุมัติศาลเข้าค้นที่พักของนายเดวิด ที่บ้านเลขที่ 94 และ 96/1 ซอยสุขุมวิท 63 แขวงพระโขนง เขตวัฒนา กรุงเทพฯ ผลการตรวจค้นพบสุราต่างประเทศ 24 ขวด ไวน์ต่างประเทศ 28 ลัง บุหรี่ต่างประเทศจำนวน 45 คอตตอน บุหรี่ไฟฟ้าพร้อมอุปกรณ์จำนวน 15 กล่อง และอาวุธปืนจำนวน 2 กระบอก จึงได้จับกุมนายเดวิด พร้อมของกลางดำเนินคดีในความผิดตามพ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พ.ร.บ.ศุลกากรฯ และ พ.ร.บ.สรรพสามิตฯ
จากการขยายผลเพิ่มเติมพบว่า นอกจากนายเดวิดซึ่งได้จับกุมดำเนินคดีแล้วนั้น ยังมีกลุ่มบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องเพิ่มเติมอีกจำนวน 2 ราย โดยเป็นกลุ่มคนจีนมาลงทุนและใช้ชื่อคนไทยเป็นนอมินี ซึ่งคนไทยไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือมีอำนาจในการตัดสินใจใดๆ ในการทำธุรกิจดังกล่าว มีหน้าที่เพียงลงลายมือชื่อในเอกสารต่างๆ และได้รับเงินค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันเท่านั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้รวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีกับผู้ต้องหาเพิ่มเติมรวมทั้งที่จับกุมแล้วรวม 4 ราย ประกอบด้วย
1. บริษัท พอง แบงค็อก จำกัด (ในฐานะนิติบุคคล)
2. นายสุ่ย ไท่ เหว่ย หรือเดวิด อายุ 47 ปี
3. นายจู้ เฉิน สัญชาติจีน
4. นางทองใส เฉิดลออ

'บิ๊กตู่ ติดตามปัญหานายทุนต่างชาติ ใช้นอมินีลอบทำธุรกิจในไทย กำชับทุกหน่วยลงพื้นที่ตรวจสอบ บังคับใช้กฎหมายเข้มข้น

(16 ก.พ. 66) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ติดตามประเด็นการแก้ไขปัญหาชาวต่างชาติหลบเลี่ยงทำธุรกิจโดยไม่ขออนุญาต และใช้คนไทยเป็นผู้ถือหุ้นแทน (นอมินี) โดยกระทรวงพาณิชย์ สำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้ตรวจสอบการจดทะเบียนของแต่ละบริษัท ห้างร้าน อย่างเข้มงวด ให้สอดคล้องกับ พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 ป้องกันไม่ให้เกิดช่องว่างจากธุรกิจสีเทาที่เข้ามาฉวยโอกาสทำธุรกิจของคนไทย

นายอนุชา กล่าวว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เข้าตรวจสอบข้อมูลการขอจดทะเบียน พฤติกรรมของผู้ยื่นจดทะเบียนว่า มีความน่าเชื่อถือและสอดคล้องกับเงินทุนที่ยื่นขอจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทใหม่หรือไม่ ในย่านเยาวราช สัมพันธวงศ์ รัชดาฯ และห้วยขวาง ประมาณ 200 บริษัท นอกจากนั้น ยังเน้นย้ำการตรวจสอบในทุกพื้นที่ ทุกจังหวัด ไม่จำกัดเฉพาะจังหวัดใหญ่ หรือเมืองท่องเที่ยว แต่เน้นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ทั้งภัตตาคาร ร้านอาหาร ที่พัก โรงแรม รถเช่า ร้านขายของที่ระลึก ธุรกิจนวด และสปา เป็นต้น

โดยขั้นตอนการตรวจสอบ จะดูลักษณะว่าประกอบธุรกิจอะไร ซึ่งหากเป็นธุรกิจที่อยู่ในบัญชีแนบท้ายตาม พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 ต้องห้ามสำหรับคนต่างด้าว ไม่สามารถทำธุรกิจได้ คือ

'ชัยวุฒิ' แจง รบ.กำลังเร่งปราบธุรกิจสีเทา ชี้ มีมานานแล้ว ป้อง 'บิ๊กป้อม' ไม่มีเอี่ยวทุนสีเทา หลังรูปถ่ายคู่เพื่อนตู้ห่าวโผล่

(16 ก.พ. 66) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) และรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์ถึงภาพรวมการอภิปรายวันแรก โดยเฉพาะปัญหาต่าง ๆ ที่ฝ่ายค้านเสนอแนะ ว่ารัฐบาลพยายามแก้ไขปัญหาอยู่ จะนำไปสู่นโยบายของพรรคการเมืองต่าง ๆ ด้วย ในการที่จะแก้ไขปัญหาให้ประชาชนในรัฐบาลหน้า เพราะรัฐบาลนี้คงทำไม่ทัน หลายเรื่อง

โดยเฉพาะธุรกิจสีเทาและมาเฟียต่าง ๆ รัฐบาลดำเนินการปราบปรามอยู่แล้ว วันนี้ที่เป็นข่าวเยอะ ๆ เพราะผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ตำรวจลงไปปราบปรามจริงจัง มีการจับกุมดำเนินคดี จริง ๆ แล้วทุนสีเทา ธุรกิจพวกนี้มันทำมานานแล้ว เป็นสิบ ๆ ปีแล้ว ไม่ได้เพิ่งมามีสมัยนี้ สมัยรัฐบาลในอดีตก็มี เสธ.คนนั้น เสธ.คนนี้ ใครจะทำธุรกิจสีเทาต้องไปคุยกับ เสธ.คนนี้ จำชื่อไม่ได้แล้ว เนื่องจากเสียชีวิตแล้ว เป็นเพื่อนอดีตนายกรัฐมนตรีด้วย

“มันมีมานานแล้ว อย่าไปคิดมากเลย ปัญหานี้มันเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง รัฐบาลไหนมามันก็วิ่งเข้ามาหา พวกทุนสีเทาชอบวิ่งมาหาผู้มีอำนาจ เพราะฉะนั้น เราต้องแก้ที่กฎหมาย กฎระเบียบ เพื่อจะลดปัญหาเหล่านี้” นายชัยวุฒิ กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า เนื้อหาการอภิปรายโยงไปถึง พปชร.หรือไม่ นายชัยวุฒิ กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ทราบ ไปตรวจสอบแล้วกัน คิดว่าคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ต้องตรวจสอบไป ผิดถูกว่าอย่างไรว่าไปตามกฎหมาย แต่ว่าหลักการที่อยากจะพูดให้ฟังคือ วันนี้ปัญหาในสังคมไทย มันคือเรื่องของกฎหมายและระเบียบที่มันเอื้อให้เกิดธุรกิจสีเทา มันมีกฎหมายที่บางทีปฏิบัติไม่ได้ ทำธุรกิจแล้วมันผิดกฎหมาย เขาต้องไปจ่ายส่วยเพื่อให้ทำธุรกิจนี้ได้ ดังนั้น หน้าที่ของเราคือ ต้องเอากฎหมายมาดู อะไรที่ล้าสมัยก็ปรับปรุงแก้ไข เพื่อให้ธุรกิจไปได้และไม่ต้องมาจ่ายส่วย นี่คือสิ่งที่กำลังผลักดันเรื่องนี้ และคุยกันใน พปชร.อยู่ คิดว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาได้

เมื่อถามว่า เรื่องดังกล่าวจะมีผลต่อการตัดสินใจของประชาชนในการเลือกตั้งหรือไม่ นายชัยวุฒิ กล่าวว่า ไม่ทราบ ต้องถามประชาชน แต่คิดว่าธุรกิจสีเทามันมีมาทุกยุคทุกสมัย เขาจะวิ่งหาผู้มีอำนาจ รัฐบาลในอดีต อดีตนายกฯ ทุกคนก็มีความไปเกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนี้ทุกยุคทุกสมัย ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้นในวันนี้

ยืนยันว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม ไม่ได้เกี่ยวข้อง ไม่ได้มีหลักฐานที่จะไปยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจสีเทา แต่ธุรกิจสีเทาพวกนี้พยายามวิ่งหาผู้มีอำนาจอย่างที่นำมาอภิปรายกัน มีภาพไปถ่ายรูปกับคนดังคนนั้นคนนี้ พวกนี้เขาทำธุรกิจกันมานานแล้ว ไม่ได้เพิ่งมาตั้งตัวกันได้ในสมัยรัฐบาลนี้ ไปดูเอาเถอะ ประวัติเขาแต่ละคน

'ชัยวุฒิ' ขอบคุณฝ่ายค้าน ชี้ข้อเสนอแก้กลุ่มทุนสีเทา ยันรัฐบาลเร่งแก้อยู่ แนะ!! ต้องมี 'กม.-ระเบียบ' เอื้อ

'รมว. ดีอีเอส' ขอบคุณฝ่ายค้านที่ให้ข้อเสนอแนะหลายด้าน โดยเฉพาะประเด็นกลุ่มทุนจีนสีเทา ซึ่งรัฐบาลได้เร่งแก้ปัญหา ด้วยการออก พระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี

(16 ก.พ.66) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ ดีอีเอส กล่าวถึงการอภิปรายทั่วไปเมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นวันแรก ว่า ขอบคุณฝ่ายค้านที่ได้พูดประเด็นปัญหาหลายอย่าง ซึ่งหลายเรื่องเป็นเรื่องที่สะสมมานาน รัฐบาลพยายามแก้ไขอยู่ นำไปสู่นโยบายของพรรคการเมืองต่าง ๆ ที่จะแก้ปัญหาให้กับประชาชนในรัฐบาลสมัยหน้า โดยเฉพาะธุรกิจสีเทา ที่ผ่านมารัฐบาลได้ดำเนินการปราบปรามมาอย่างต่อเนื่อง และที่มีข่าวในช่วงนี้ เนื่องจากผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้มอบหมายเจ้าหน้าที่ตำรวจไปปราบปรามและดำเนินคดีอย่างจริงจัง แต่ธุรกิจสีเทาเหล่านี้ได้ทำมานานแล้วกว่า 10 ปี ไม่ได้พึ่งมีในสมัยนี้ ซึ่งเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง เพราะทุนจีนสีเทาเหล่านี้มักชอบวิ่งไปหาผู้มีอำนาจ ดังนั้น ต้องแก้ที่กฎหมาย และกฎระเบียบ เพื่อลดปัญหาดังกล่าว


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top