'ดร.สุวินัย' แฉ!! บรรษัทเทคยักษ์ใหญ่ อำนาจเหนือรัฐที่คาดไม่ถึง คุม 'การเมือง-การตลาด' ปั่นหัวคนรุ่นใหม่ ให้กลายเป็นซอมบี้
(6 ต.ค. 66) ดร.สุวินัย ภรณวลัย ประธานยุทธศาสตร์วิชาการ สถาบันทิศทางไทย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'Suvinai Pornavalai' ในหัวข้อ อนาคตของลูกหลานเรา กับการปฏิวัติมนุษย์นิยมภายใต้ ‘ทุนนิยมสอดแนม’ โดยระบุว่า…
เขาควบคุมผู้คนได้ง่าย หลากหลายวิธี จากการที่เราค้นหาสิ่งที่ชอบ เขาจะรู้หมด เขาจะเร้ากระตุ้นเราได้ตลอดเวลาและต่อเนื่อง จนเราถูกครอบงำโดยไม่รู้ตัว ยิ่งถ้าไม่ฝึกจิตใจฝึกสติ ขนาดผู้ใหญ่เองก็ยังไม่รอด พวกเด็กยิ่งแล้วใหญ่เลย
นี่คือข้อคิดรวบยอดหลังผมจากได้อ่าน ‘ทุนนิยมสอดแนม’ : ระบบทุนนิยมใหม่ใต้เงาบรรษัทเทคยักษ์ใหญ่ (The Age of surveillance capitalism, 2019) (ฉบับแปลไทย 2023, สำนักพิมพ์ bookspace) กับ ‘โฮโมดีอุส : ประวัติย่อของวันพรุ่งนี้’ (Homo Deus : A Brief History of Tomorrow)(2016)
ทุนนิยมสอดแนม คือรูปการล่าสุดของทุนนิยมที่ ‘กลายพันธุ์เป็นเนื้อร้าย’ โดยมีจุดเด่น 2 ประการคือ
(1) มันทำให้การกระจุกตัวของความมั่งคั่ง-ความรู้-อำนาจ มากระจุกตัวที่บรรษัทเทคยักษ์ใหญ่ของโลกเพียงไม่กี่บรรษัท โดยที่บรรษัทเทคเหล่านี้มีอำนาจเหนือ ‘รัฐชาติ’ หลายประเทศที่เติบใหญ่ขึ้นมาพร้อมกับ ‘ความทันสมัย’ (modernization) หรือทุนนิยมอุตสาหกรรมในศตวรรษที่ 20
(2) ประเทศที่ตระหนักถึงภัยของ ‘ทุนนิยมสอดแนม’ อย่างรวดเร็วที่สุดว่าเป็นเนื้อร้ายที่กลายพันธุ์ คือ ประเทศจีนภายใต้การปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์จีน จึงทำให้ประเทศจีนสามารถ ‘ควบคุม’ ทุนนิยมสอดแนมจีน ให้อยู่ภายใต้อำนาจรัฐอย่างที่ประเทศอื่นไม่สามารถทำได้
ประเทศอื่น ๆ จึงได้รับผลร้ายของทุนนิยมสอดแนมเข้าไปเต็มๆ ...ผลร้ายที่ว่านั้นคือ ‘การเมืองแบ่งขั้วอย่างสุดโต่ง’ ที่ประชาชนถูกอัลกอริทึมปั่นหัวให้ขัดแย้งอย่างรุนแรงแบบแบ่งขั้ว
นี่คือสิ่งที่หนังสือเล่มนี้เรียกว่า ‘อำนาจผ่านเครื่องมือ (อัลกอริทึม)’ ซึ่งเป็นอำนาจชนิดใหม่ ที่เข้ามาแผ่อิทธิพลครอบงำสังคมทางความคิด โดยที่ ‘อำนาจใหม่’ (อำนาจผ่านเครื่องมือ) ที่ว่านี้กำลังจะกลายเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดในการมีชัยชนะทางการเมืองและทางการตลาด
ในฐานะที่เป็นปัญญาชนตัวแทนของคนรุ่นเบบี้บูมเมอร์ ผมต้องยืนกรานในเจตจำนงและวิสัยทัศน์ (vision) ของคนรุ่นตัวเอง…จึงเลี่ยงไม่ได้ที่ผมจะต้องแสดงทัศนะของคนรุ่นผมต่อ ‘อนาคตดิจิทัล’ ในสังคมไทย ซึ่งรวมทั้งพิษภัยของทุนนิยมสอดแนมด้วย…
โลกดิจิทัลกำลังเข้ามาครอบครองและสร้างนิยามใหม่ให้แก่ทุกสิ่งในสังคมไทยที่เราคุ้นเคย
อารยธรรมสารสนเทศ (information civilization) กำลังก่อเกิด เพราะเทคโนโลยีดิจิทัลได้เข้าถึงผู้คนเกินกว่าครึ่งของประชากรทั้งหมดทั่วโลกไปแล้ว
แต่สิ่งที่กำลังโดนกระทบอย่างรุนแรงจริง ๆ คือ ความสั่นคลอนของ ‘เขตอภัยทานส่วนบุคคล’ (sanctuary) หรือ ‘พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์’ ในจิตใจผู้คนที่โดนกลบกลืน โดนกวาดล้าง อันเนื่องมาจากกระแสดิสรัปต์ชั่นทางเทคโนโลยีที่ตามมาด้วยความสั่นคลอนของระบบสถาบันต่าง ๆ
ผู้คนที่สูญเสีย ‘เขตอภัยทานส่วนบุคคล’ หรือพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ในจิตใจตนไปแล้ว ย่อมกลายร่างกลายพันธุ์ไปเป็น ‘ซอมบี้’ ที่อาละวาดไปทั่ว…
นับวันจำนวน ‘ซอมบี้’ ในสังคมไทยมีแต่จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะพวกซอมบี้ที่เป็น ลูกหลานของเรา
ตราบใดที่ผู้คนยังไม่รู้ทันพิษภัยของทุนนิยมสอดแนม และไม่สามารถปกปักรักษา ‘พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์’ ในจิตใจตนเอาไว้ได้ ตราบนั้น ‘โศกนาฏกรรมเงียบ’ ย่อมคืบคลานมาสู่ครอบครัวของพวกเราทุกครอบครัวโดยแทบไม่มีข้อยกเว้น
โดยที่ลูกหลานของเราคือ เหยื่อที่เปราะบางที่สุด ต่อผลกระทบในเชิงลบของ ทุนนิยมสอดแนม ซึ่งคนไทยส่วนใหญ่ยังไม่ตระหนักถึงพิษภัยของมันเลย…จนกว่าจะเกิดเหตุการณ์รุนแรงด้วยน้ำมือของเด็กและเยาวชน
ความร่ำรวยของ ‘พวกนายทุนสอดแนม’ มาจากการสร้าง ‘ตลาดพฤติกรรมล่วงหน้า’ (behaviorial futures market)
ข้อมูลเชิงพฤติกรรมที่นำมาใช้พยากรณ์ได้ดีที่สุด มาจากการแทรกแซงสถานการณ์ที่เกิดในปัจจุบัน เพื่อสะกิด โน้มน้าว ปรับค่า และต้อนพฤติกรรมให้สร้างผลกำไรมากขึ้น ผ่านกระบวนการจักรกลอัตโนมัติ (machine intelligence) ซึ่งไม่เพียง ‘รู้’ พฤติกรรมของเรา แต่ยัง ‘หล่อหลอม’ พฤติกรรมของเราอย่างมากด้วย
- เว็บพนันออนไลน์ คือตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดในการกระตุ้นพฤติกรรมของผู้คนจาก ‘โลภะ’
- การเคลื่อนไหวในโลกโซเชียลของพรรคก้าวไกล คือตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดในการกระตุ้นพฤติกรรมของผู้คนจาก ‘โทสะ’ และ ‘โมหะ’
- การคลั่งเกม เสพติดเกมออนไลน์ คือตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดในการกระตุ้นจิตใต้สำนึกของลูกหลานเราให้นิยมความรุนแรง ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดของคนอื่นและเห็นใจผู้อื่น ...สุดท้ายก็สำแดงความรุนแรงออกมาในโลกจริงจนได้
นี่คือวิธีการเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร (data) เป็นอำนาจสายพันธุ์ใหม่ เพื่อดัดแปลงพฤติกรรม (behavioral modification)
…พวกทุนสีเทา ใช้เว็บพนันออนไลน์ สร้างซอมบี้ผีพนัน
…พรรคปฏิวัติ 2475 สายพันธุ์ใหม่ ใช้ ‘ลัทธิอำนาจผ่านเครื่องมือ’ (instrumentarianism) สร้างสาวกซอมบี้ ฯลฯ
เพราะนี่คือ อำนาจผ่านเครื่องมืออย่างอัลกอริทึม ที่รู้จักพฤติกรรมมนุษย์ดีที่สุด และทำการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของมนุษย์เหล่านั้นให้มารับใช้จุดประสงค์ของตนเอง
บัดนี้พวกนายทุนสอดแนมรู้แล้วว่า พวกเขาจะทำอะไรก็ได้ตามต้องการ ...เขาควบคุมผู้คนได้ง่าย หลากหลายวิธี จากการที่เราค้นหาสิ่งที่ชอบ เขาจะรู้หมด เขาจะเร้ากระตุ้นเราได้ตลอดเวลาและต่อเนื่อง จนเราถูกครอบงำโดยไม่รู้ตัว ยิ่งถ้าไม่ฝึกจิตใจฝึกสติ ขนาดผู้ใหญ่ก็ยังไม่รอด พวกเด็กยิ่งแล้วใหญ่เลย
***อนาคตของลูกหลานเรา กับทิศทางของการปฏิวัติมนุษย์นิยมในสังคมไทยต่อจากนี้***
ก่อนยุคทันสมัย เซเปียนส์ใช้ชีวิตโดยเอาเรื่องเล่าของพระเจ้าเป็นศูนย์กลาง (โดยเฉพาะในโลกของศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลามและศาสนาพราหมณ์)
แต่พอเข้าสู่ยุคทันสมัย เซเปียนส์ได้หันมาเอาเรื่องเล่าเกี่ยวกับมนุษย์หรือความเชื่อใหม่เรื่อง ‘มนุษย์นิยม’ เป็นศูนย์กลางแทน
นี่คือที่มาของ ‘การปฏิวัติมนุษย์นิยม’ ที่เกิดขึ้นเคียงคู่ ‘การทำให้ทันสมัย’
การปฏิวัติมนุษย์นิยมกลายเป็นหลักความเชื่อใหม่ที่ ‘พลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน’ สำหรับคนสมัยนั้น และทำให้สามารถพิชิตโลกทั้งโลกในช่วงสองสามศตวรรษที่ผ่านมาได้
ศาสนามนุษย์นิยมบูชาความเป็นมนุษย์ และคาดหวังให้มนุษย์แสดงบทบาทที่พระเจ้าเคยแสดงในศาสนาคริสต์และอิสลาม
มนุษย์นิยมคาดหวังให้ประสบการณ์ของมนุษย์เป็นฝ่ายมอบความหมายให้จักรวาล ผ่านการดึงประสบการณ์ภายในของตนออกมา…
เพื่อสร้างความหมายให้แก่โลกที่ไร้ความหมาย หัวใจของการปฏิวัติมนุษย์นิยมในยุคทันสมัย จึงมิใช่การสูญสิ้นศรัทธาในพระเจ้า แต่เป็นการหันมาศรัทธาในมนุษย์แทน
คำขวัญของมนุษย์นิยมในทางจริยธรรม คือ ‘ถ้ารู้สึกดี จงทำ’
คำขวัญของมนุษย์นิยมในทางการเมือง คือ ‘ผู้ออกเสียงรู้ดีที่สุด’
คำขวัญของมนุษ์นิยมในทางเศรษฐกิจ คือ ‘ลูกค้าถูกเสมอ’
คำขวัญของมนุษย์นิยมในทางสุนทรียศาสตร์ คือ ‘ความงามอยู่ในดวงตาของผู้ชม’
สรุปสั้น ๆ ได้ว่า พวกมนุษย์นิยมเชื่อมั่นในความรู้สึกของปัจเจกซึ่งเป็นอัตวิสัยเท่านั้นในการตัดสินทุกเรื่องราวในชีวิต ในยุคทันสมัยภายใต้การปฏิวัติมนุษย์นิยม ความรู้สึกของมนุษย์คือแหล่งกำเนิดของความหมายและอำนาจทั้งปวง
ด้วยเหตุนี้ เป้าหมายสูงสุดของชีวิตแบบมนุษย์นิยมคือการพัฒนาความรู้อย่างเต็มที่ผ่านประสบการณ์อันหลากหลายทางด้านปัญญา อารมณ์และทางกายภาพ เป้าหมายของการดำรงอยู่ คือ การกลั่นประสบการณ์ที่เป็นไปได้อย่างกว้างขวางที่สุดของชีวิตให้กลายเป็นภูมิปัญญา (wisdom)
จุดยอดสูงสุดแห่งชีวิตมีเพียงประการเดียวเท่านั้นคือ การได้วัดความรู้สึกทุกสิ่งทุกอย่างในการเป็นมนุษย์
ตั้งแต่เซเปียนส์สร้างประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของตนขึ้นในช่วง 70,000 ปีที่ผ่านมา ไม่เคยมีวัฒนธรรมไหนที่ให้ความสำคัญแก่ความรู้สึก ความปรารถนาและประสบการณ์ของมนุษย์มากเท่ามนุษย์นิยมมาก่อน
อย่างไรก็ดี ‘ลัทธิมนุษย์นิยม’ ได้แตกออกเป็นสามนิกายย่อยที่ตีความประสบการณ์ของมนุษย์แตกต่างกันไป คือ
(1) มนุษย์นิยมแบบเสรีนิยม (liberal humanism) หรือเรียกย่อๆว่า เสรีนิยม (liberalism) นี่คือมนุษย์นิยมแบบดั้งเดิมและเป็นกระแสหลักที่มองว่ามนุษย์แต่ละคนเป็นปัจเจกบุคคลที่มีความเฉพาะตัว จึงให้ความสำคัญกับเสรีภาพมากที่สุด
(2) มนุษย์นิยมแบบสังคมนิยม (socialist humanism) ที่โอบอุ้มความเคลื่อนไหวของสังคมนิยมและคอมมิวนิสต์เอาไว้ โดยให้ความสำคัญกับความเสมอภาคมากกว่าเสรีภาพ และฝากศรัทธาทั้งหมดไว้ที่พรรคการเมืองของตน (เชื่อว่าพรรคการเมืองรู้ดีที่สุด)
(3) มนุษย์นิยมแบบวิวัฒนาการ (evolutionaly humanism) เชื่อมั่นแบบยึดมั่นถือมั่นในทฤษฎีวิวัฒนาการของดาร์วิน จึงไม่ชื่อว่าวิวัฒนาการจะหยุดอยู่แค่เซเปียนส์ แต่ยังมีหนทางอีกยาวไกลที่มุ่งไปสู่การเป็น อภิมนุษย์ (superhuman)
ผู้สนับสนุนแนวคิดมนุษย์นิยมแบบวิวัฒนาการที่โด่งดังที่สุด คือพวกนาซี แต่นี่เป็นเพียงเวอร์ชั่นที่สุดโต่งของมนุษย์นิยมแบบวิวัฒนาการเท่านั้น
ลัทธินาซีเกิดขึ้นจากการจับคู่แบบมิจฉาทิฐิระหว่างมนุษย์นิยมแบบวิวัฒนาการกับทฤษฎีเชื้อชาติจำเพาะและอารมณ์คลั่งชาติอย่างรุนแรง
แปลกแต่จริง ในช่วงต้นศตวรรษที่ 21 ที่เราเห็นได้ชัดถึงขีดจำกัดของมนุษย์นิยมแบบเสรีนิยม (ที่เลยจุดพีคมาแล้ว) และมนุษยนิยมแบบสังคมนิยม (ที่ส่วนใหญ่ล้มเหลวไม่เป็นท่ายกเว้นในประเทศจีน)
ปรากฏว่า มนุษยนิยมแบบวิวัฒนาการกลับผงาดขึ้นมาแทนและมีแนวโน้มว่าจะกลายมาเป็นกระแสหลักในการก่อร่างสร้างศตวรรษที่ 21 หลังจากนี้ ผ่านการผลักดันโครงการมนุษย์เทพหรือโฮโมดีอุส
โครงการ Homo Deus (มนุษย์เทพ) ที่กำลังวิจัยและพัฒนาอยู่ในปัจจุบัน กับความก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์และเทคโนโลยีชีวภาพ คือพลังทางวัตถุที่หนุนหลังแนวคิดมนุษย์นิยมแบบวิวัฒนาการให้ผงาดขึ้นมาอีกครั้งหลังจากนี้
พร้อมกันนั้น ศาสนาเทคโนโลยี (techno-religion) ในยุคดาต้านิยมกำลังจะเข้ามาแทนศาสนามนุษย์นิยมที่ครองโลกในยุคทันสมัย (ยุคทุนนิยม) มาอย่างยาวนาน
เพราะพร้อมๆกับการเกิดขึ้นของมวลชนที่เป็น ‘มนุษย์ที่ไร้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ’ จำนวนมหาศาล ที่เป็นผลมาจากการปฏิวัติปัญญาประดิษฐ์ในอนาคตอันใกล้
ความเชื่อความศรัทธาเรื่องมนุษย์นิยมแบบเสรีนิยมจะถูกบ่อนทำลายในระดับฐานราก
ปัจจุบัน ขบวนรถไฟแห่ง ‘ความก้าวหน้า’ ได้เริ่มเคลื่อนออกจากสถานีที่ชื่อทุนนิยมและมนุษย์นิยมไปแล้ว
สังคมไหน องค์กรไหน ปัจเจกคนไหนที่พลาดขบวนนี้จะไม่มีโอกาสอีกเป็นครั้งที่สอง
การจะหาที่นั่งในขบวนนี้ได้ สังคมนั้น องค์กรนั้น ผู้นั้นจำเป็นต้องเข้าใจเทคโนโลยีของศตวรรษที่ 21 โดยเฉพาะอำนาจของเทคโนโลยีชีวภาพและอัลกอริทึม
ผู้ที่ขึ้นรถไฟแห่งความก้าวหน้าในยุคดาต้านิยมได้ทัน จะได้รับอำนาจวิเศษแห่งการสร้างสรรค์และการทำลาย ส่วนพวกที่ถูกทอดทิ้งไว้ข้างหลังจะต้องเผชิญกับการสูญพันธุ์ไม่ช้าก็เร็ว
เป็นที่น่าสนใจว่า ในการแย่งชิงความเป็นเจ้าโลกในยุคดาต้านิยมต่อจากนี้ระหว่างจีนกับสหรัฐ ขณะที่จีนเลือกโมเดล ‘มนุษย์นิยมแบบสังคมนิยม’ อย่างชัดเจน
ส่วนสหรัฐกลับเลือกโมเดล ‘มนุษย์นิยมแบบวิวัฒนาการ’ ผ่านโครงการโฮโมดีอุสมากกว่า …ฉะนั้นจงอย่างแปลกใจที่คนเขียน Homo Deus เป็นคนยิว
ส่วนประเทศไทย คนไทยโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ยังสับสนในตัวเองอยู่เลยว่าจะผลักดันการปฏิวัติมนุษย์นิยมไปทางไหนกันแน่?
คนรุ่นใหม่ที่เป็นลูกหลานของเรา ดูเหมือนจะฝากความหวังของ ‘การปฏิวัติมนุษย์นิยม’ (การปฏิวัติล้มเจ้าล้มสถาบันในสายตาของฝั่งอนุรักษ์นิยม) ไว้ที่ ‘พรรคการเมืองของพวกเขา’ ซึ่งค่อนข้างชัดว่าเป็น ‘มนุษย์นิยมแบบสังคมนิยม’ ที่บูชาเลื่อมใส รัฐสวัสดิการ
คนรุ่นใหม่ คิดดีแล้วหรือว่านี่คือ ทิศทางไทยที่ถูกต้อง?
‘ถ้านายไม่อ่านหนังสือ นายจะไปรู้อะไร?’ (อาจารย์ศิลป์ พีระศรี)
