Saturday, 4 May 2024
ทำงานหนัก

'ชาวเน็ตจีน' เดือดจัด!! รุมจวกวัฒนธรรมโหมงานหนัก หลังมีคนเสียชีวิตจากการทำงานติดกันรวด 5 วัน

โซเชียลมีเดียจีนวิจารณ์วัฒนธรรมการทำงานหนัก '996' อีกครั้ง หลังเกิดเหตุหญิงอายุ 22 ปี เสียชีวิตหลังจากทำงานหนักมาหลายวัน

รายงานระบุว่า 'ฮุ่ยฮุ่ย' พนักงานบริษัทด้านอินเทอร์เน็ตในนครหังโจว มณฑลเจ้อเจียงทำงานล่วงเวลาถึงตี 4 ติดต่อกัน 5 วัน ก่อนจะหมดสติ

แพทย์จากโรงพยาบาลของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเจ้อเจียง เปิดเผยว่า ฮุ่ยฮุ่ยหมดสติไปแล้วเมื่อถูกส่งตัวถึงโรงพยาบาล ผิวของเธอเปลี่ยนเป็นสีม่วง เนื่องจากโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด

พ่อของเธอได้เผยแพร่วิดีโอออนไลน์เพื่อขอความช่วยเหลือเพื่อให้ลูกสาวได้รับการปลูกถ่ายหัวใจ โดยระบุว่า ลูกสาวของเขาทำงานเพื่อช่วยเหลือครอบครัว ขณะที่พวกเขากำลังดิ้นรนกับการจ่ายเงินกู้เพื่อเรียนมหาวิทยาลัยของเธอ

ในที่สุดฮุ่ยฮุ่ยก็เสียชีวิตหลังจากรักษาตัวในห้องไอซียูเป็นเวลา 6 วัน

WHO เตือน!! คนทำงานเกิน 54 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เสี่ยง 'โรคหลอดเลือดหัวใจ-เส้นเลือดในสมองแตก'

‘งานหนักไม่เคยฆ่าใครตาย’ หากมีใครมาพูดประโยคนี้ใส่มนุษย์เงินเดือนในปัจจุบัน คงเถียงสุดใจขาดดิ้นว่า ‘การทำงานหนัก สามารถทำให้ตายได้’

การทำงานในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น ‘Work from home, Work from anywhere เข้าออฟฟิศ หรือ การทำงานแบบ Hybrid เข้าออฟฟิศด้วยและทำงานที่ไหนก็ได้นั้น’ ยิ่งทำให้ทำงานหนักมากขึ้นกว่าเดิม ยิ่งการทำงานแบบ Work from home, Work from anywhere ที่หลายคนบอกว่าสบาย ทำงานที่บ้าน หรือ ทำงานจากที่ไหนก็ได้ กลายเป็นเหมือนต้องทำงาน 24 ชั่วโมง

ปัจจุบัน สังคมมีการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว และวุ่นวายมากขึ้นกว่าเดิม การต่อสู้เพื่อดิ้นรนให้อยู่รอดยิ่งทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น 'เงิน' กลายเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิต ทำให้ทุกชีวิตต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อหาเงินมาใช้จ่าย และแน่นอนว่ายิ่งต้องการเงินมากเท่าไรก็ยิ่งทำงานเยอะมากขึ้นเท่านั้น จนบางคนอาจเผลอทำงานหนักมากเกินไป พักผ่อนน้อย และละเลยในการดูแลใส่ใจสุขภาพของตนเอง

จากการศึกษาล่าสุดขององค์การอนามัยโลก หรือ WHO และองค์การแรงงานระหว่างประเทศ พบว่า คนที่ทำงานเกิน 54 ชั่วโมงต่อสัปดาห์เสี่ยงที่จะเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจและเส้นเลือดในสมองแตก 

>> สัญญาณอันตรายเตือน คุณกำลังมีปัญหากับการ Work-Life Balance จากการทำงานหนักมากเกินไป มีดังนี้...

1. ไม่มีสมาธิในการทำงาน ไม่สามารถจดจ่ออยู่กับงานได้นานๆ เหมือนแต่ก่อน 

2. อารมณ์แปรปรวน เดี๋ยวโกรธ เดี๋ยวหาย เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย หรืออยู่ดีๆ ก็หงุดหงิดใส่เพื่อนร่วมงานที่ทำอะไรผิดหูผิดตา ทั้งๆ ที่แต่ก่อนไม่เคยเป็น จนทำให้คนอื่นรู้สึกไม่ดีตามไปด้วย

3. ปลีกตัว ไม่อยากสุงสิงกับใคร ทั้งที่แต่ก่อนเป็นคนสนุกสนานร่าเริง ทั้งกับเพื่อนร่วมงานและคนในครอบครัว แต่กลับกลายเป็นอยากอยู่ตัวคนเดียว ไม่อยากคุยกับใคร เบื่อที่จะคุยกับคนอื่น เมื่อมีคนเข้ามาคุยก็จะรู้สึกหงุดหงิดและไม่อยากพูดคุยด้วย

4. รู้สึกผิดกับงานที่ทำไม่สำเร็จมากขึ้น งานที่เคยเสร็จทันกำหนดเวลาก็เริ่มไม่ทันเวลามากขึ้น ผลงานที่เคยดีก็ไม่ดีเหมือนเดิม แม้ใส่ความพยายามเท่าเดิมแต่กลับแย่ลง ไม่ถึงตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ จนรู้สึกแย่ลงไปเรื่อยๆ และโทษตัวเองมากขึ้น

5. ป่วยบ่อยขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอาการปวดหัวไมเกรน ปวดท้อง ปวดหลัง ปวดตัว ปวดตา คลื่นไส้อาเจียน มึน ออฟฟิศซินโดรม ฯลฯ

6. คุณเลิกสนใจหรือไม่ใส่ใจตัวเอง ไม่ให้ความสำคัญกับตัวเอง ไม่ดูแลตัวเอง

7. คุณนอนไม่เป็นเวลา หลายคนอาจจะนอนไม่หลับ หรือจำนวนงานที่มากเกินไป ทำให้เวลาที่ควรค่าแก่การพักผ่อนก็ต้องมานั่งทำงาน และหันไปพึ่งยานอนหลับ ยาแก้เครียด หรือ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์เมื่อรู้สึกว่าทุกอย่างมันท่วมท้น

8. คุณทานไม่เป็นเวลา หรือ ทานน้อยกว่าปกติ  มีความเบื่ออาหาร ไม่มีความสนุก หรือความสุขในการทานอาหาร

9. คุณออกกำลังกายไม่เพียงพอ ความเหนื่อยจากการทำงานและความเครียดอาจจะทำให้ใครหลายๆ คนละเลยในการออกกำลังกาย การดูแลสุขภาพ

10. คุณไม่ใส่ใจหรือให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ หรือแม้แต่พลาดนัดสำคัญๆ บ่อยๆ

เมื่อรู้ถึงโทษของการทำงานหนักกันแล้ว หวังว่าคนวัยทำงานทุกคนจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ดูแลสุขภาพร่างกาย จิตใจของตนเองมากขึ้น ทำงานเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี มีความสุข ไม่ใช่ทำงานเพื่อนำเงินมารักษาตัว

‘นักธุรกิจอินเดีย’ แนะคนรุ่นใหม่ควรทำงาน ‘สัปดาห์ละ 70 ชม.’ เพื่อผลักดันให้ประเทศเติบโตและประสบความสำเร็จมากขึ้น

(7 พ.ย.66) นายนารายนะ เมอร์ธีย์ ผู้ก่อตั้งบริษัทอินโฟซิสต์ (Infosys) จากอินเดียและเป็นพ่อตาของนายริชี ซูนัค นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ได้จุดกระแสถกเถียงบนโซเชียลมีเดียเมื่อไม่นานมานี้ หลังจากระบุว่า คนหนุ่มสาวควรทำงานสัปดาห์ละ 70 ชั่วโมงเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศอินเดีย

แม้ผู้คนจำนวนมากบนโซเชียลมีเดียแสดงความไม่พอใจต่อความคิดเห็นของนายเมอร์ธีย์ แต่กลุ่มผู้นำอุตสาหกรรมที่ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซีเอ็นบีซีเห็นด้วยว่า การทำงานหนักอาจเป็นเรื่องจำเป็นหากอินเดียต้องการแข่งขันในเวทีโลก

“หากคุณต้องการเป็นหมายเลข 1 หากคุณต้องการดีที่สุด เช่นนั้นคนหนุ่มสาวก็ต้องทุ่มเททำงานหนักและอุทิศเวลาให้กับงาน” นายอายุชมาน กปูร ผู้ก่อตั้งเซโน (Xeno) ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์จากอินเดีย ระบุ

อินเดียกำลังพยายามแข่งขันกับสหรัฐและจีน หากเราต้องการบรรลุความยิ่งใหญ่ ใช่ นั่นคือเวลาและสิ่งที่เราต้องเสียสละ” นายกปูร กล่าว

องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ระบุว่า ปัจจุบันชาวอินเดียทำงานเฉลี่ย 47.7 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ซึ่งสูงกว่าสหรัฐ ซึ่งอยู่ที่ 36.4 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ อังกฤษ ซึ่งอยู่ที่ 35.9 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และเยอรมนี ซึ่งอยู่ที่ 34.4 ชั่วโมงต่อสัปดาห์

ขณะเดียวกันชาวอินเดียยังทำงานมากกว่าประเทศอื่น ๆ ในเอเชีย เช่น จีน ซึ่งอยู่ที่ 46.1 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ สิงคโปร์ ซึ่งอยู่ที่ 42.6 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และญี่ปุ่น ซึ่งอยู่ที่ 36.6 ชั่วโมงต่อสัปดาห์

นายเมอร์ธีย์ ได้วิจารณ์คนรุ่นใหม่ในอินเดียที่รับพฤติกรรมไม่ค่อยน่าพึงปรารถนามาจากตะวันตก โดยเอ่ยว่า คนรุ่นใหม่อินเดียไม่ทำงานหนักมากพอ

“อินเดียเป็นหนึ่งในประเทศที่มีผลิตภาพการทำงานต่ำสุดในโลก คนหนุ่มสาวของเราต้องพูดว่า นี่คือประเทศของฉัน ฉันต้องการทำงาน 70 ชั่วโมงต่อสัปดาห์” นายเมอร์ธีย์กล่าว

'หนุ่มจีน' แชร์!! ทุ่มงานหนักทั้งชีวิต จนสมหวังได้เงินเดือนหลักแสน แต่สุดท้าย 'ป่วยอัมพาตครึ่งซีก-เกือบตาย' ใช้เวลา 6 ปีฟื้นสภาพ

เมื่อไม่นานมานี้ เว็บไซต์ต่างประเทศ รายงานว่า ชายชาวจีนวัย 31 ปีเล่าถึงการต่อสู้กับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตถึงขีดต่ำสุด ตื่นขึ้นมาพบว่าตัวเองเป็นอัมพาตครึ่งซีก จากที่เคยมีรายได้เดือนละ 2 แสนกว่าบาท ต้องสู้ชีวิต 6 ปีกว่า สุขภาพจึงจะกลับมาเหมือนเดิม แชร์เป็นอุทาหรณ์

ตามรายงานเผยว่า ชายชาวจีนรายนี้ได้โพสต์เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตจากนิสัยเสียเดิม ๆ จนทำให้เป็นอัมพาตครึ่งซีก ซึ่งเขาใช้เวลาฟื้นฟูร่างกายนานถึง 6 ปีถึงจะกลับมาเป็นปกติ โดยช่วงเช้าวันหนึ่ง ตื่นนอนมาพร้อมกับอาการที่ร่างกายซีกหนึ่งของเขาไม่สามารถขยับได้ แขนขาซ้ายควบคุมไม่ได้ และพูดไม่ชัด

ต่อมา พบว่าใบหน้าของเขาเป็นอัมพาตและไม่สามารถแสดงสีหน้าใด ๆ ที่ซีกซ้ายได้ พร้อมกับอาการอ่อนแรงแบบเฉียบพลันซึ่งทำให้เขาสลบไปในที่สุด และตื่นขึ้นมาอีกครั้งที่โรงพยาบาลหลังต้องนอนเป็นผู้ป่วยโคม่าถึง 3 วัน

แพทย์ได้วินิจฉัยว่า เขามีอาการโรคหลอดเลือดสมองตีบ และอัมพาตครึ่งซีก ดั่งโลกพังทลายชีวิตช่วงนั้นกำลังรุ่งสุด ๆ เพราะเขามีรายได้ต่อเดือนอยู่ที่ 50,000 หยวน คิดเป็นเงินไทยราว 2.5 แสนบาท ใช้ความเพียรพยายามนานกว่า 10 ปี

อย่างไรก็ตาม แพทย์ได้อธิบายถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดสมองตีบไว้ว่า มาจากพฤติกรรมที่ทำเป็นประจำ คือ การนอนพักผ่อนไม่เพียงพอ โดยเฉลี่ยเพียง 4-5 ชั่วโมงต่อวันเท่านั้น เพราะเขาทำงานหนักตั้งแต่เรียนจบเพื่อจะมีชีวิตที่ดีขึ้น และนี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาเกือบเอาชีวิตไม่รอด

ชายรายนี้ยังกล่าวอีกว่า จากคนที่เคยมีรายได้เดือนละหลักแสน หลังจากเกิดเรื่องนี้ทำชีวิตพลิกชั่วข้ามคืน เนื่องจากเขาสูญเสียความสามารถในการทำงาน ทำให้เขาไม่มีรายได้ เขาต้องไปโรงพยาบาลทุกวัน เพื่อรับการบำบัดฟื้นฟู กายภาพบำบัด

ทั้งนี้ เขาได้ทิ้งท้ายไว้ว่า เขายังโชคดีที่มีแม่ ภรรยา และครอบครัวที่คอยดูแล เขาต้องใช้เวลาในการฝึกหัดสิ่งต่าง ๆ ใหม่ทั้งหมดเหมือนเป็นเด็กทารก เช่น การเดิน และการพูด ตอนนี้ผ่านมาแล้ว 6 ปี ร่างกายทุกส่วนของเขาเกือบจะเป็นปกติ สามารถกลับมาทำงานได้แล้ว


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top