Sunday, 12 May 2024
ทะลุวัง

‘รองโฆษก ปชป.’ เตือนสติ ‘แก๊งทะลุวัง’ งดหยาบคาบ-รุนแรง ชี้!! ‘ภาพ-เสียง’ ว่อนออนไลน์ อาจย้อนกลับมาทำร้ายในอนาคต

(8 ส.ค. 66) นางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ให้ความเห็นต่อกรณีพฤติกรรมการแสดงออกทางการเมืองกับผู้เห็นต่างของกลุ่มเยาวชนที่เรียกตนเองว่า ‘กลุ่มทะลุวัง’ โดยเฉพาะภาพที่ปรากฏต่อสาธารณะในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา ที่ทำให้สังคมส่วนใหญ่รับไม่ได้กับพฤติกรรมความหยาบคาย และมีการคุกคามผู้เห็นต่างในรูปแบบต่าง ๆ กัน รวมถึงมีการใช้ความรุนแรงในรูปแบบการปาข้าวของ กีดขวางการเดินทาง และทำลายสถานที่ราชการ

นางดรุณวรรณ กล่าวต่อด้วยว่า ภายใต้ระบอบประชาธิปไตย ทุกคนมีสิทธิคิดต่าง แต่ต้องมีการแสดงออกอย่างเคารพสิทธิ เสรีภาพ ของผู้อื่นด้วยจึงจะได้ชื่อว่าเป็นนักประชาธิปไตยโดยแท้จริง พฤติกรรมของกลุ่มทะลุวังเมื่อวานนี้ (7 ส.ค.66) ทำให้มีผู้ได้รับผลกระทบจากการคุกคาม รวมถึงสื่อมวลชนบางส่วนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องและอยู่ระหว่างปฏิบัติหน้าที่รายงานสถานการณ์ไปยังสาธารณะชน

ทั้งนี้จึงอยากฝากไปถึงเยาวชนกลุ่มทะลุวังว่า พฤติกรรมการแสดงออกที่แสดงถึงความหยาบคาย คุกคาม ใช้ความรุนแรง ที่เกิดขึ้นเหล่านี้ เมื่อกระทำแล้วต้องยอมรับให้ได้ว่าไม่ว่าในโลกความจริงหรือโลกดิจิทัล การกระทำมีผลของมันเสมอ สิ่งต่าง ๆ ที่เยาวชนกลุ่มนี้ตัดสินใจทำลงไป ไม่ว่าจะมาจากแรงจูงใจใด หรือมีใครอยู่เบื้องหลังก็ตาม ท้ายที่สุดจะกลายเป็น Digital Footprint คือ รอยเท้าบนโลกดิจิทัลทิ้งร่องรอยไว้บนโลกโซเชียลแพลตฟอร์มต่าง ๆ ที่ทั้งตนองและผู้อื่นเอาไปนำเสนอไว้ ตามมาหลอกหลอน ส่งผลต่อการดำเนินชีวิตของตนเองในอนาคตได้

“นอกเหนือจาก Digital Footprint ที่เยาวชนกลุ่มนี้ต้องเผชิญแล้ว การกระทำบางอย่างที่ทำเกินขอบเขตของกฎหมายก็ต้องถูกเอาผิด รับโทษทัณฑ์ เสียโอกาส หมดอนาคตได้ด้วยเช่นกัน จึงอยากแนะนำว่าพฤติกรรมการใช้ความรุนแรง อาจสร้างความสนใจได้แค่เพียงช่วงสั้น ๆ แต่ท้ายที่สุดแล้วจะส่งผลต่อการดำเนินชีวิตของตนเองได้ในระยะยาว” นางดรุณวรรณ กล่าวย้ำ

เปิดแรงบันดาลใจ ‘บุ้ง เนติพร’ แห่งกลุ่มทะลุวัง ‘ช่อ พรรณิการ์ วานิช’ คือคนที่ทำให้ตาสว่าง

(8 ส.ค. 66) จากเพจ ‘เชเนเวอร์ดาย สบ๊ายสบาย’ ได้โพสต์เรื่องราวของ ‘บุ้ง เนติพร’ นักกิจกรรมและนักเคลื่อนไหวทางการเมือง สมาชิกกลุ่มทะลุวัง ถึงจุดเริ่มต้นในการต่อสู้ทางการเมืองผ่านการสัมภาษณ์ของบุ้งในรายการ ‘Friends Talk’ ว่าคนที่ทำให้เธอตาสว่างคือ ‘ช่อ พรรณิการ์ วานิช’ ไว้ว่า…

บุ้งทะลุวัง มีพี่น้อง 3 คน เธอเป็นคนกลาง

พี่สาวเป็นทนายความ ส่วนบิดาเป็นผู้พิพากษา เคยถูกทหารยิง กระสุนเข้าท้องและทะลุออกหลังในเดือนพฤษภาคม 35

บุ้งเคยเป็นหนึ่งในคณะกรรมการนักเรียนในระหว่างศึกษาที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า

โบพี่สาวบุ้งเคยให้สัมภาษณ์ว่า “บุ้งเรียนก็เก่ง กิจกรรมก็ไม่แพ้ใคร” พร้อมกับบอกว่า สิ่งหนึ่งที่พ่อกับแม่เห็นตรงกันเกี่ยวกับบุ้งคือ การเลี้ยงดูให้น้องเป็นคนมีความมั่นใจและกล้าแสดงออก

บุ้งสอบเข้าโรงเรียนเตรียมน้อมฯ ได้เอง และผลการเรียนก็อยู่ในเกณฑ์ดีมาก 3.8, 3.9 และ 4.0 สลับกันไป กิจกรรมในโรงเรียนก็ไม่ขาด ถ้าเธอตัดสินใจทำอะไรก็จะต้องทำให้สำเร็จไม่ยอมละทิ้งความพยายามไว้กลางทาง

ทั้งนี้ นัยของ ‘ตาสว่าง’ ที่บุ้งกล่าวถึงนั้น มาจากแรงทวิตเตอร์กับการอภิปรายของ ‘ช่อ พรรณิการ์’ โดยอ้างอิงได้จากคลิปเมื่อวันที่ 9 ธ.ค. 2022 >> เริ่มนาทีที่ 12:30 >> คลิปสัมภาษณ์เต็ม : https://www.youtube.com/live/1M3LFDKbxZc?feature=share

'สุหฤท' โพสต์คอมเมนต์ถึง 4 ฝ่าย "เรามาถึงจุดตกต่ำอะไรได้ขนาดนี้"

(8 ส.ค. 66) นายสุหฤท สยามวาลา นักธุรกิจและนักจัดรายการชื่อดัง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘DJ Suharit Siamwalla’ ระบุว่า...

ความเห็นสามสี่ข้อดังนี้ (มีหลายข้อนะอ่านเพลิน)

แด่กลุ่มทะลุวัง

จะโกรธอะไรแค่ไหนก็ประท้วงแบบคนที่เจริญแล้วก็ได้ มีคนโกรธร่วมด้วยมากมาย ความหยาบคายจะกลบทุกอย่างลงสิ้น ตอนนี้หยาบเกินบรรยายจร้า ไม่มีประโยชน์นะ ลองหาครีเอทีฟสร้างสรรค์เก่ง ๆ ในกลุ่มดู

แด่เพื่อไทย

ไม่รู้ว่ามาถึงจุดนี้ได้อย่างไรเลย คืองงมาก ๆ งงแบบที่สุด ผมไม่ติดด้วยถ้าจะได้นายกจากเพื่อไทย จริง ๆ นะ ถ้ามันสง่างามมีคลาสกว่านี้ แต่ถ้าทำเพื่อให้ทักษิณกลับบ้านให้ได้ คุณทักษิณก็โหดเหี้ยมเกินเบอร์มากๆ มีอีกกี่ชีวิตในเพื่อไทยหรือคนที่รักที่แบกคุณเขาจะโกรธแค้นอ่ะ งง มากจริง ๆ มึนสุด มันไม่ใช่การพูดหลอกการหาเสียงนะ มันคือคำสัตย์ที่สัญญาไว้

แด่ผู้รักลุง

มีแต่คนด่าเพื่อไทย แต่ถ้าพรรคของลุงมาร่วมกับเพื่อไทยจริง ๆ ผมก็ว่าน่าละอายมาก ๆ มากที่สุด มันไม่มีชัยชนะอะไรเลยนะ เราอยู่บนรัฐบาลที่ตั้งขึ้นด้วยกลอุบายตั้งแต่แรก จะรักกันร่วมกันบริหารเพื่อประเทศอย่างไรอ่ะ งงมาก ๆ อึนสุด ๆ นอกจากจะสะใจที่หลอกเพื่อไทยสำเร็จ การบริหารงานราชการช่างแม่ง

แด่ก้าวไกล

คุณไม่ใช่เทวดามาจากไหนนะ มันไม่มีเทวดาที่จะอยู่ในนรกได้ อยู่ในการเมืองไทยเป็นเทวดาไม่ได้เพราะมันคือนรกที่แฝงอำนาจที่หอมหวน จงเป็นมนุษย์ที่เข้าใจมนุษย์ที่กำลังอยู่ในนรก แบบประชาชน มนุษย์แบบก้าวไกลต้องมีจุดยืนที่น่ายกย่อง สัญญาไว้สามร้อยอย่างถ้าทำสำเร็จ 299 อย่าง พลาดข้อเดียวก็ยังดี น่าจะรู้ว่าข้อไหน และโปรดรังเกียจพรรคที่บอกว่ายังไงกูก็ไม่เอาก้าวไกลแบบเหมารวม มันไร้เหตุเกินไป

ใครไม่งง กูงงครับ ว่าเรามาถึงจุดตกต่ำอะไรได้ขนาดนี้

จากผมที่เป็นมนุษย์ที่อยู่ในนรกการเมืองไทย ทุกคนอยู่กลุ่มความเชื่อไหนก็ตามจะรู้สึกแย่หมด

สุหฤท สยามการเมืองไทยหมดศักดิ์ศรีสิ้นแล้ว

'พลอย' แฉยับอดีตชีวิตเหมือน 'หยก' ถูก 'บุ้ง' ลากตัวใช้หาผลประโยชน์  ยอมคาย!! 'โดนบังคับบุกวัง-กระทำรุนแรงให้กลัว-ฮุบเงินทุนไว้กับตัว'

กลายเป็นประเด็นร้อนที่สังคมกำลังวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก สำหรับการเคลื่อนไหวของกลุ่มทะลุวังในช่วงเวลานี้ เพื่อต่อต้านการจัดตั้งรัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทย สังคมวิพากษ์วิจารณ์หนัก หลังล่าสุดบุกไปป่วนพรรคเพื่อไทย ที่แถลงข่าวจัดตั้งรัฐบาลร่วมกับพรรคภูมิใจไทย แม้กระทั่งฝ่ายที่สนับสนุนการเคลื่อนไหวของม็อบ 3 นิ้ว ยังรับพฤติกรรมของกลุ่มทะลุวังไม่ได้

การเคลื่อนไหวของกลุ่มทะลุวังในเวลานี้ จะประกอบไปด้วยตัวละครหลัก ๆ ได้แก่ เนติพร เสน่ห์สังคม หรือ บุ้ง, ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ หรือ ตะวัน, นภสินธุ์ ตรีรยาภิวัฒน์ หรือ สายน้ำ, ธนลภย์ ผลัญชัย หรือ หยก, บังเอิญ ศุทธวีร์ สร้อยคำ มือพ่นกำแพงวัดพระแก้ว โดยผู้ที่เป็นหัวโจกคือ 'บุ้ง เนติพร'

ต่อมาในโลกออนไลน์ได้มีการแฉข้อมูลจากกลุ่มทะลุวังด้วยว่า สมาชิกในกลุ่มไม่ค่อยมีความลงรอยเช่นกัน และชี้เป้าไปที่ 'บุ้ง เนติพร' ว่ามีพฤติกรรมไม่ต่างจากพวกเผด็จการนั้น

ล่าสุด 'พลอย' บุคคลที่เคยอยู่กับกลุ่มทะลุวัง ออกมาทวีตแฉข้อมูลเกี่ยวกับ 'บุ้ง เนติพร' หรือ 'บุ้ง ทะลุวัง' ระบุว่า...

เราเคยเป็นหนึ่งในเด็กที่บุ้งเอามาดูแลเหมือนหยก รู้จักกันตั้งแต่สมัยอยู่นักเรียนเลว ตอนนั้นที่บ้านเรามีปัญหาทำให้ไม่มีบ้านอยู่+โดนคดีมันต้องมีผู้ปกครอง บุ้งมาเป็นผู้ปกครองแทนพ่อแม่ที่ดูแลเราไม่ได้ บุ้งก็รับปากเรากับแม่เราว่าจะดูแลเราอย่างดี

บุ้งดูแลเราอย่างดีในช่วงแรกที่อยู่ด้วยกัน เรายังคงอยู่กับบุ้งเพราะไม่รู้จะไปอยู่ไหน บ้านก็ไม่มีให้กลับ ตอนนั้นเราเริ่มสัมผัสได้ถึงความรุนแรงในบ้านที่อยู่กับบุ้ง การถูก Child Grooming การโดนมินิพูเลท และการขูดรีดผลประโยชน์จากการเคลื่อนไหวในฐานะเยาวชนเพราะเราอายุแค่ 16

ตัวบุ้งมักจะชอบดูแลเด็กที่มีปัญหากับที่บ้านหรือมีปัญหาในชีวิตและมีแสง บุ้งจะรับเด็กมาดูแล อาสาเป็นผู้ปกครอง และค่อยๆ ใช้ประโยชน์จากเด็กคนนั้น เรากับเพื่อนโดนเอาผลงานการเคลื่อนไหวไปขอทุนเคลื่อนไหว แต่เงินทุนกลับส่งไม่ถึงเรา เพื่อนหลายคน และไม่สามารถตรวจสอบบัญชีของบุ้งได้

เรื่องการใช้ความรุนแรงของบุ้งกับเราและเพื่อนๆ เขาทำเหมือนที่ทำกับยามหน้าเพื่อไทย ตอนโมโห เขาจะใช้อารมณ์ทำให้เรารู้สึกหวาดกลัว ด้อยค่า ทำให้เรารู้สึกว่าชีวิตจะอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเขา ตามสไตล์มินิพูเลท ซึ่งตอนนั้นเรารู้สึกแบบนั้นจริงๆ เราโดนมินิพูเลทจนทุกวันนี้ยังกลับมาใช้ชีวิตยาก

บุ้งชอบให้เด็กออกมาเคลื่อนไหว เทคแอคชั่นแรงๆ โดยบุ้งบอกกับเราว่า เรายังเด็ก ต่อให้โดนคดีก็ยังไม่โดนหนักเพราะยังมีศาลเยาวชน และเด็กถ้าเจอความรุนแรงเช่น ตำรวจจับ บลาๆ จะเป็นข่าวง่าย ขอทุนง่าย ไวรัลง่ายกว่า แล้วบุ้งอ้างว่าจะซัพพอร์ตน้องๆ อยู่ข้างหลังแทน

จนเริ่มทำ #ทะลุวัง เราโดนหนักมากขึ้น บังคับให้เราออกไปทำไรเเรงๆ แรงสุดคือ เคยโดนให้ไปบุกคุกวังทวี แต่ตอนนั้นเราบอบช้ำจากการเคลื่อนไหวมามากแล้ว เหนื่อยโดนคดี เราบอกว่าสภาพจิตใจเราไม่ไหว ไม่อยากทำ ก็โดนปิดประตูใส่หน้า อยากจะหนีก็ไม่ได้ เพราะพอรู้ตัวอีกทีก็ไม่เหลืออะไรในชีวิตแล้ว

เราลาออกจากโรงเรียนเพื่อมาเคลื่อนไหว เงินก็ไม่มี ครอบครัวก็ทิ้ง ตอนนั้นเราคิดว่าเราต้องพึ่งพาแค่บุ้งเท่านั้น สุดท้ายหลุดออกมาได้ เพราะเพื่อนรอบตัวให้ความช่วยเหลือ เป็นผู้ปกครองให้แทน จนปัจจุบันเราเป็นผู้ลี้ภัย 112 อยู่ ตปท. เราก็ยังโดนเขาโจมตีในขบวนเสียๆ หายๆ อยู่เรื่อยๆ

ทั้งกล่าวหาว่าเรายักยอกเงิน หนีคดี ขโมยของ ตอแหล โดนแช่งให้ตายระหว่างลี้ภัย บางคนก็เกลียดเราจริงๆ ไปแล้วก็มี เรารู้มาเสมอว่าเรามีปัญหากับหลายฝ่ายในขบวน เรื่องหลายๆ เรื่องที่เราอยากคุยเพื่อคลี่คลาย ขอโทษ ก็ไม่มีโอกาสได้ทำเพราะเรายังโดนโจมตีอยู่ตลอดเวลา

ควรมีการถกกันเรื่องนี้สักที เด็กกับการออกมาเคลื่อนไหวเนี่ย เด็กไม่ได้เจอแค่การคุกคามจากรัฐ ครอบครัว สังคม แต่อาจจะโดนขบวน เห้ๆ ทำร้าย โดนขูดรีด ความเป็นเด็กโดนมินิพูเลท คนที่ได้รับผลกระทบก็คือตัวเด็กเอง มันส่งผลกับการใช้ชีวิตของเด็กระยะยาวมาก นี่ยังเป็นซึมเศร้าอยู่เลย

เลิกด่าหยก เด็กเป็นเหยื่อของเรื่องนี้ คนโดนมินิพูเลทมันไม่รู้ตัวหรอก หยกเจอความรุนแรงมามากตั้งแต่ติดคุก ทั้ง Cyber Bullying โดนคดี สังคมเฮงซวย ต้องมาเจอกลุ่ม #ทะลุวัง หยกเหมือนกระจกสะท้อนตัวบุ้ง หยุดโจมตีเด็กได้ หันมาสนใจ Abuser กันเยอะๆ ว่าพวกมันกำลังทำอะไรกันอยู่

ช่วยเหลือและรับฟังความต้องการของหยก หยุดให้แสงหรือโทษคนที่กำลังโดนมินิพูเลทก่อน มันละเอียดอ่อนทั้งตัวของเหยื่อและคนมินิพูเลทเอง เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าแต่ละวันเหยื่อเจอคำพูด ถูกปฏิบัติแบบไหนมาบ้าง อะไรคือความรู้สึกที่แท้จริง หัวมันปั่นป่วนไปหมดเพราะการมินิพูเลท ใช้ความรุนแรงและแก๊สไล้

เราพยายามสรุปเรื่องราวตลอด 2 ปีที่อยู่กับบุ้ง จริงๆมันมีมากกว่านั้น แต่กลัวทวิตยาวเกิน แต่อย่างนึงที่เพื่อนเราเคยถูกมินิพูเลทบอก การที่ผู้ถูกกระทำหรือตัวเด็กยังอยู่ในวังวนความรุนแรง โดนมินิพูเลท แปลว่า Abuser ประสบความสำเร็จ #ทะลุวัง

‘เนเน่-รัดเกล้า’ สลดใจ!! ‘แก๊งทะลุวัง’ อ้างสิทธิพร่ำเพรื่อ แถมใช้ความเป็นเยาวชนและสตรี เป็นโล่กำบังกระทำผิด

(9 ส.ค. 66) ‘เนเน่’ รัดเกล้า สุวรรณคีรี อดีตผู้สมัคร สส. กทม. เขต 33 บางพลัด-บางกอกน้อย พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) บุตรสาว ดร.ไตรรงค์ สุวรรณคีรี โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า…

ถ้าคำยอดฮิตของช่วงนี้คือ​ #เพ้อเจ้อ ขอเสริมอีกหนึ่งคำคือคำว่า #พร่ำเพรื่อ

จากสถานการณ์ที่กลุ่ม​ #ทะลุวัง​ ได้ไป #ระราน (ขอไม่ใช้คำว่า​ ‘ต่อสู้เพื่อสิทธิ’ เพราะมันเลยจุดนั้นไปนานแล้ว)​ #พรรคเพื่อไทย​ ที่พยายาม​ #จัดตั้งรัฐบาล2566 และเพิ่งได้มีการแถลงข่าวร่วมกับ #พรรคภูมิใจไทย​ เสร็จสิ้นไป

ได้มีการใช้วาจาที่รุนแรง​ และมีพฤติกรรมที่หยาบโลน ไร้ซึ่งการเคารพในทุกกฎเกณฑ์ และทุกธรรมเนียมปฏิบัติ...หรือกล่าวหยาบ ๆ​ สั่น ๆ​ ได้ว่า #ถ่อย...และสิ่งหนึ่งที่เนเน่​ (และเชื่อว่าอีกหลาย ๆ​ คนก็เช่นกัน)​ สังเกตเห็นได้คือ​ ด่านหน้าของ​ #ม็อบถ่อย คือ ‘เยาวชน’ และ ‘สตรี’ ซึ่งความน่าสลดใจคือเขาใช้ ความเป็นเยาวชนและความเป็นผู้หญิงมาเป็นเกราะกำบังในการกระทำความผิด

หากมีใคร มาโดนเนื้อตัวแม้เพียงน้อยก็จะ​ กรีดร้องออกมาประหนึ่งว่าถูกทำร้ายอย่างรุนแรง ตอนนี้เราเลยตกอยู่ในสถานการณ์ที่ผู้ควบคุมกฎเกณฑ์ไม่กล้ากระทำรุนแรง เพราะ​เกรงกลัวว่าจะโดนรุมประนามจากกลุ่มทัวร์ว่า​ #รังแกเยาวชน #รังแกผู้หญิงอีก​ ทั้ง ๆ​ ที่ถูกก็ควรจะว่าถูก​ ผิดก็ควรว่าผิด...กระบวนการทั้งมวลทำให้ประเทศไทยก้าวเข้าสู่การเป็นอนาธิปไตย​ (Anarchy) หรือคือเป็นบ้านเมืองที่ไร้กฎ​ ไร้เกณฑ์ อย่างช้า ๆ​ แต่ชัวร์ ๆ​...รู้ตัวกันสักทีเถอะว่าคุณ...

ใช้สิทธิความเป็น​ #เยาวชน พร่ำเพรื่อ

ใช้สิทธิความเป็น #ผู้หญิง #สตรี​ พร่ำเพรื่อ

ใช้คำว่า​ #ประชาชน​ พร่ำเพรื่อ

ใช้คำว่า​ #ประชาธิปไตย​ พร่ำเพรื่อ

ใช้คำว่า #สิทธิในการแสดงออก พร่ำเพรื่อ ​

การ​ ‘ใช้’ สิ่งต่าง ๆ​ เหล่านี้อย่างพร่ำเพรื่อ เป็นการลดคุณค่าให้กับตัวคุณเอง​ ลดคุณค่าของสิ่งเหล่านั้น และสร้างความยากลำบากให้กับผู้อื่นที่เขาพยายามต่อสู้เพื่อสิทธิเหล่านี้อย่างถูกวิธี

เราจะสู้เพื่อเสรีภาพในการแสดงออกของเยาวชนได้อย่างไรในเมื่อมีตัวอย่างของเด็กที่คิดไม่ได้ ไร้ซึ่งการเคารพกฎเกณฑ์ ไม่มี วิจารณญาณเรื่องความเหมาะสมใด ๆ เช่นนี้

เราจะต่อสู้เพื่อสิทธิ์ของผู้หญิงในการเมืองได้อย่างไร ในเมื่อมีตัวอย่างของผู้หญิงที่คิดไม่ได้​ และเอาเพศสภาพของตัวเองมาเป็นอาวุธอย่างนี้

เราจะต่อสู้เพื่อให้เมืองไทยมีนักการเมืองที่เป็นตัวแทนของประชาชนได้อย่างไร ในเมื่อมีตัวอย่างของประชาชนที่ไม่เคยรับฟังความเห็นต่างอย่างนี้ คนที่อาสาเป็นตัวแทนของพวกคุณเขาจะได้รับความเชื่อถือได้อย่างไร

และเราจะต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยได้ยังไง ในเมื่อคนที่บอกว่าต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ไม่เข้าใจ​ ไม่รับฟัง​ ไม่ยอมปรับตัว เพื่อที่จะเข้าร่วมสังคมกับคนอื่นได้เลย

คิดค่ะคิด มีสติ และคิดให้ได้สักที ว่าที่ทำอยู่ทุก ๆ​ วันนี้ คุณกำลังทำลายและทำร้ายอะไร...ไม่ใช่พรรคเพื่อไทย ไม่ใช่พรรคภูมิใจไทย​ แต่มันคือตัวคุณเอง และกลุ่มเยาวชน กลุ่มสตรีคนอื่น ๆ ทั่วทั้งประเทศ

คิดได้แล้ว...ช่วยหยุดด้วยนะคะ

‘อดีตคนพรรคส้ม’ ข้องใจหลัง ‘พลอย’ แฉ ‘บุ้ง เนติพร’ ตั้งคำถามชวนคิด ‘นายทุน’ หนุน ‘แก๊งทะลุวัง’ คือใคร?

จากกรณี น.ส.เบญจมาภรณ์ นิวาส หรือ พลอย ทะลุวัง อดีตแกนนำกลุ่มทะลุวัง ออกมาวิจารณ์การเคลื่อนไหวของ น.ส.เนติพร เสน่ห์สังคม หรือ บุ้ง ทะลุวัง ซึ่งรับสมอ้างเป็นผู้ปกครองเพื่อใช้ประโยชน์จากเยาวชนออกมาเคลื่อนไหวทางการเมือง โดยมีเบื้องหลังในการขอทุนเคลื่อนไหว แต่เงินทุนกลับไม่ถึงเยาวชน

ล่าสุด (9 ส.ค.66) นายคริส โปตระนันทน์ หัวหน้าพรรคเส้นด้าย และเป็นหนึ่งในผู้ร่วมจัดตั้งพรรคอนาคตใหม่ ได้โพสต์เฟซบุ๊กถึงประเด็นดังกล่าว ผ่านเฟซบุ๊ก คริส โปตระนันทน์ - Chris Potranandana ว่า…

"ผมเคยคิดนะ ว่ามันแปลกมากที่กลุ่มนี้ทำกิจกรรมได้ตรงจังหวะการเมือง คล้าย ๆ กับเป็น organized group แต่ผมยังเชื่อว่ามีเด็กบางส่วนที่อาจจะเข้าร่วมด้วยใจบริสุทธิ์จริง ๆ แต่คำถามคือ แล้วส่วนที่ organized เป็นกี่เปอร์เซ็นต์ 

วันนี้เราเจอ organizer (คนจัดการ) แล้ว คำถามที่สำคัญที่สุดคือแล้วใครคือ financier ใครให้ทุนบุ้ง และกลุ่มทะลุวัง"

‘อ.เจษฎ์’ เตือน!! ‘ก้าวไกล’ ต้องรีบปราม ‘ชาวด้อมก้าวร้าว’ ชี้!! ยิ่งปล่อยให้อาละวาด ยิ่งสร้างภาพด้านลบให้พรรค

(9 ส.ค. 66) รองศาสตราจารย์เจษฎ์ โทณะวณิก นักวิชาการด้านนิติศาสตร์ กล่าวถึงความเคลื่อนไหวของมวลชนกลุ่มทะลุวังว่า ในความเป็นพรรคก้าวไกล มันมีเรื่องของกลุ่มทะลุวัง ที่กำลังเป็นประเด็นกันอยู่ ไปจนถึงเรื่องของคณะก้าวหน้า 

สำหรับพรรคก้าวไกลเอง ปัจจุบันนี้ ไม่ได้รับการยอมรับในสายตาของพรรคการเมืองด้วยกัน ยกเว้นกลุ่มที่ต้องเข้าไปจับมือด้วยความจำเป็น ซึ่งมีไม่มากนัก ขณะที่ภาพรวม พรรคส่วนใหญ่ ไม่เอาด้วยกับก้าวไกล ด้วยประเด็นของการที่พรรคก้าวไกล มุ่งมั่นจะแก้ไข ยกเลิก ม.112 เรื่องนี้หลายพรรคเขาไปต่อด้วยไม่ได้ เพราะมันกระทบกันหมด กระเทือนกันหมด 

นอกจากนั้น อย่างที่บอกว่าพรรคก้าวไกล มันมีคณะก้าวหน้า และกลุ่มนู้นกลุ่มนี้เต็มไปหมด ซึ่งการทำงานของพรรคก้าวไกลคือ การไม่ผูกมิตร สวนทางกับธรรมชาติการเมือง ที่มันไม่มีมิตรแท้ และศัตรูถาวร แน่นอน เมื่อใครเห็นก้าวไกล ก็ไม่อยากทำงานด้วย

“มวลชนของพรรคก้าวไกล คือ ตัวฉุดพรรค ให้ดิ่งต่ำลง ยกตัวอย่าง ถ้าพรรคก้าวไกล มีความคิด มีชุดอุดมการณ์ เขาปรับแต่งได้ เรื่องการทำงานกับฝ่ายต่าง ๆ ประสบการณ์จะสอนเขาเอง เรื่องท่าทีทางการเมือง เขาจะเข้าใจ เมื่อมีพัฒนาการ เมื่อมีวุฒิภาวะ ว่าจะทำอย่างไร ให้ได้ในสิ่งที่ตั้งใจ แต่มวลชน ซึ่งไม่ว่าจะช่วงอายุไหน ก็เห็นความก้าวร้าว และไม่ย่อท้อในการสร้างเงื่อนไขไปสู่ความขัดแย้ง นี่คือ สิ่งที่แบกก้าวไกล ไปพร้อม ๆ กับดึงรั้งพรรคก้าวไกล มวลชนพรรคก้าวไกล มีความคิดดี ๆ ก็มาก เช่น การปราบทุจริต การทำลายระบบทุนผูกขาด การทำลายเรื่องเส้นสาย แต่ปัญหาคือ วิธี ที่เขามุ่งจะใช้ความรุนแรงในการทำลาย และสิ่งใหม่มาแทนที่ มันถึงได้เกิดการไล่ล่า” รองศาสตราจารย์เจษฎ์ กล่าว

เมื่อถามว่า พรรคก้าวไกล ต้องรับผิดชอบกับพฤติกรรมของมวลชนหรือไม่ รองศาสตราจารย์เจษฎ์ กล่าวว่า ตนว่าคนทำงานการเมือง เข้าไปนั่งในสภา คงไม่อยากไปไล่ล่าใคร เขาแค่ต้องการแบ่งแยก แล้วปกครอง แต่ที่สุดแล้ว พรรคการเมืองหนึ่งจะต้องรับผิดชอบต่อกองเชียร์ของตน ในแง่ของการเข้าไปห้ามปรามไม่ให้เกิดความก้าวร้าวรุนแรง ซึ่งเชื่อว่าต้องจัดการในเรื่องนี้ก่อน

‘จอม ไฟเย็น’ แฉ!! ‘บุ้ง ทะลุวัง’ ถามห่วงเด็กหรือหวังอะไรแน่? ให้ ‘หยก’ คัดทะเบียนบ้าน หวังสวมรอยผู้อุปการะ ทั้งที่คุณสมบัติไม่ถึง

(9 ส.ค. 66) จากกรณีที่ทวิตเตอร์ของ น.ส.เบญจมาภรณ์ นิวาส หรือ ‘พลอย’ อดีตแกนนำกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า ‘กลุ่มทะลุวัง’ ออกมาวิจารณ์การเคลื่อนไหวของ น.ส.เนติพร เสน่ห์สังคม หรือ ‘บุ้ง ทะลุวัง’ อายุ 26 ปี แกนนำกลุ่มทะลุวัง ที่รับสมอ้างเป็นผู้ปกครอง เพื่อใช้ประโยชน์จากเยาวชนออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองด้วยความรุนแรง โดยมีเบื้องหลังเพื่อไปขอทุนเคลื่อนไหว แต่เงินทุนกลับส่งไม่ถึงเยาวชนเหล่านั้น

นายนิธิวัต วรรณศิริ หรือ ‘จอม ไฟเย็น’ นักเคลื่อนไหวทางการเมือง นักร้อง และนักดนตรีวงไฟเย็น ผู้ต้องหาคดีมาตรา 112 ที่ลี้ภัยไปอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยมีสาระสำคัญ คือ ปัญหาความพยายามแย่งสิทธิ์การเป็นผู้ปกครองของ ‘หยก’ เยาวชนอายุ 15 ปี มีหลายคนตั้งคำถามว่า “แม่หยกหายไปไหน?” ยืนยันว่าแม่หยกไม่ได้หายไปไหน แค่ถูกคุกคามจากฝ่ายความมั่นคง กลุ่มปกป้องสถาบันฯ และสภาพจิตใจเปราะบางจากการถูกพรากลูกไปจากบ้าน จนต้องเก็บตัวไม่พร้อมออกสื่อหรือพื้นที่สาธารณะใดๆ

โดย ‘จอม ไฟเย็น’ กล่าวว่า แม่หยกเป็นฝ่ายประชาธิปไตย ไม่ใช่ส… วงไฟเย็นรู้จักแม่หยกมาก่อนไม่ต่ำกว่า 2 ปี ทางบ้านหยกครอบครัวพอมีฐานะ ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ให้เช่าห้องพัก มีเชื้อสายตระกูล ณ สงขลา ฐานะครอบครัวไม่เดือดร้อนสามารถส่งลูกเรียนเอกชนตั้งแต่อนุบาล-ประถม และสอบเข้ามัธยมได้ที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ หยกเริ่มสนใจการเมืองจากการชุมนุมปี 2563 แม่หยกก็ไม่ได้ปิดกั้น เพียงแต่หากจะไปร่วมชุมนุม ขอให้มีคนที่แม่รู้จักหรือไว้ใจได้ไปรับ-ไปส่งด้วยเสมอ

หยกถูกคดีมาตรา 112 จากการเขียนชอล์คบนพื้นที่การชุมนุมเสาชิงช้าเมื่อ 13 ต.ค. 2565 จากคำปราศัยสุดท้ายของ นายวัฒน์ วรรลยางกูร ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ครอบครัวหยกเริ่มถูกตำรวจคุกคามหลังจากหยกเริ่มออกไปชุมนุมครั้งแรก ที่งานรำลึกอาลัย วัฒน์ วรรลยางกูร โดยฝ่ายความมั่นคงได้ไปคุกคามหยกถึงที่โรงเรียนและคุกคามครอบครัวที่บ้าน เคยกดดันกึ่งข่มขู่พ่อแม่ว่า ถ้ามีลูกแบบนี้ตนผูกคอตายไปนานแล้ว แม่หยกเป็นคนไล่ตำรวจที่มาส่งหมายเรียกคดี 112 ที่บ้าน ให้กลับไปในครั้งแรกเพราะตำรวจอ่านชื่อมั่ว และครอบครัวหยกยังถูกตำรวจนอกเครื่องแบบตามป้วนเปี้ยนคุกคามที่บ้านเป็นระยะ

วันที่ 28 มี.ค. หยกขออนุญาตแม่ไปเที่ยวสวนสยามกับเพื่อนๆ ตอนเช้า แม่อนุญาตเฝ้ารอลูกกลับบ้านในตอนเย็น แต่ไม่ได้กลับบ้านเพราะถูกตำรวจ สน.พระราชวังจับกุม จากการติดตามไปสังเกตการณ์เหตุพ่นสีกำแพงวังที่ถูกจับขึ้นรถตำรวจไป ตำรวจพยายามยัดคดีพ่นสีกำแพงวังให้หยกแต่ไม่สำเร็จ และอ้างหมายจับคดีแรก ที่ออกมา 1 เดือน ถูกจับกุมอย่างรุนแรงและมีการล่วงละเมิดทางร่างกายจากตำรวจชายชุดจับกุม 8 นาย ยึดอุปกรณ์สื่อสารและเอกสารประจำตัวทั้งหมดไป

แม่หยกทราบข่าวก็ตกใจอย่างมาก เพราะเดิมหยกมีนัดรายงานตัวตามหมายในอีก 12 วัน แม่ได้คุยโทรศัพท์กับหยกภายหลังเมื่อทนายความมาถึง หยกแจ้งแม่ว่าไม่ต้องห่วง ขอร้องไม่ต้องมาประกันตัว เพราะจะใช้แนวทางปฏิเสธอำนาจศาล ซึ่งเป็นโมเดลของนายประเวศ ประภานุกูล ทนายความ ที่ได้ศึกษามาอย่างละเอียด หยกจึงประกาศขณะตำรวจอ่านแถลงบันทึกจับกุมว่า ไม่ขอแต่งตั้งทนายความเข้าร่วมกระบวนการ และไม่ยื่นประกันตัวใดๆ หยกได้ขอร้องให้แม่เคารพการต่อสู้กับมาตรา 112 ด้วยตัวเอง ขอให้แม่ไม่ออกมาปรากฎตัวต่อหน้าสื่อใดๆ เพราะเกรงว่าจะถูกฝ่ายความมั่นคงคุกคามอีก แม่หยกก็ยังลังเลแต่เลือกที่จะเคารพและเชื่อมั่นในแนวทางการต่อสู้ แม้จะเจ็บปวดที่ไม่ได้ดูแลลูกอย่างใกล้ชิดเหมือนที่ทำมาตลอด 15 ปี

ส่วนเรื่องคดีความ แม่หยกเคยเซ็นมอบอำนาจผู้ปกครองชั่วคราวไว้เพียงครั้งเดียวให้กับ เก็ท โมกหลวงริมน้ำ (นายโสภณ สุรฤทธิ์ธำรง) เนื่องจากหยกเคยช่วยงานกลุ่มโมกหลวงมาก่อน แม่พอรู้จักเก็ทจากข่าวการเคลื่อนไหวกิจกรรมมาบ้าง และเก็ทอยู่เป็นเพื่อนหยกตลอดในช่วงวันแรกที่ถูกควบคุมตัว ตลอดช่วงเวลาที่น้องถูกควบคุมตัว แม่ติดตามข่าวสารหยกทุกวันในทุกช่องทาง เป็นธรรมดาของแม่ที่จะเป็นห่วงถึงขั้นกินไม่ได้นอนไม่หลับ ไม่สบาย ล้มป่วย กระทบกระเทือนสภาพจิตใจ ซึ่งในความเป็นจริง เพียงแม่หยกเซ็นประกันตัว หยกก็กลับบ้านได้ เพราะคดีเกิดตอนอายุ 14 ปี ไม่ผิดอาญาอยู่แล้ว และศาลไม่ค้านประกัน แต่แม่เคารพแนวทางการต่อสู้ของหยก จึงต้องหักห้ามใจไม่ให้เผลอไปเซ็นประกันตัว แล้วทำลายการต่อสู้

ตลอด 51 วันที่หยกถูกคุมขัง แม่หยกโทร.มาระบาย เล่าถึงความหลังมากมายความภาคภูมิใจในตัวลูกและเชิดชูในความกล้าหาญของลูก แม่หยกแค่อยากไปเยี่ยมก็ยังไม่กล้าและทำไม่ได้ เพราะรับปากไว้ว่าจะไม่ไปยุ่ง ไปปรากฎตัว หากจะไปเยี่ยมก็ไม่มั่นใจว่าจะทนเห็นสภาพลูกถูกขังได้ไหม เกรงว่าจะไม่สามารถห้ามใจไม่ให้ยื่นประกันได้ ซึ่งจะทำลายแนวทางการต่อสู้ที่หยกตั้งใจไว้ แม่หยกจึงเลือกไม่ปรากฎตัวสาธารณะตามที่หยกขอไว้ ได้แต่โทร.ปรับทุกข์ อัปเดตข่าวสาร เล่าเรื่องราวความหลัง ซึ่งตนก็ทำหน้าที่ประสานกับเก็ท ได้ข้อมูลว่าหยกชอบทานอะไร เพื่อคนข้างนอกจะได้หาซื้อไปเยี่ยม

แม่หยกเริ่มมีปัญหาสภาวะจิตใจหนักขึ้น เวลาซื้อกับข้าวหรือขนมที่เคยกินกันสองคนก็แทบจะกินไม่ลงหรือกินได้คำสองคำแล้วก็ร้องไห้ หลายวันเข้าก็เริ่มไม่อยากกินอะไรเลย จนปวดหัว หน้ามืด น้ำหนักลด ช่วงหลังมาจึงอาศัยการเข้าวัดทำบุญฟังธรรมเพื่อสงบจิตใจไม่ให้เครียดเรื่องลูกไปมากเกินจนทำอะไรในชีวิตประจำวันปกติไม่ได้ ซึ่งแม่หยกฝากขอบคุณทุกคนที่ร่วมเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องให้หยกได้รับอิสรภาพมาตลอด

ช่วงใกล้วันมอบตัวชั้น ม.4 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ หยกยังไม่มีวี่แววว่าจะได้รับการปล่อยตัว แม่และน้าของหยกได้ไปที่โรงเรียนวันเดียวกับที่เก็ทไปเพื่อขอโอกาสผ่อนผันเลื่อนวันมอบตัวของหยก เนื่องจากหยกถูกคุมขังอยู่ที่บ้านปราณี ซึ่งอาจารย์ก็เข้าใจและไม่ต้องการตัดโอกาสการเรียนของเด็ก จึงได้ทำเอ็มโอยูเป็นเงื่อนไขไว้กับแม่และน้าว่า หยกได้ปล่อยตัวเมื่อไหร่ให้แม่กับน้าพามามอบตัวกับโรงเรียนแล้วค่อยชำระค่าเทอมภายหลังก็ได้ แต่โรงเรียนจะยังไม่ตัดสิทธิ์เรียนแน่นอน แม้ไม่ได้มามอบตัวตามกำหนดเดิม เป็นเหตุหลักที่ทางโรงเรียนยืนยันมาตลอดว่าให้ผู้ปกครองจริงๆ เป็นผู้พาหยกมามอบตัวเท่านั้นตามเอ็มโอยู เนื่องจากระเบียบราชการถ้าผู้ปกครองตามกฎหมายไม่ได้เซ็นยินยอมมอบตัวกับโรงเรียน ก็ไม่สามารถรับเด็กมาดูแลในช่วงเวลาเรียนได้ เป็นเรื่องสำคัญทางเอกสารราชการที่อาจถูกฟ้องร้องภายหลังได้

เมื่อเปิดเทอมไปได้สักพักหนึ่ง หยกได้รับการปล่อยตัว ‘บุ้ง’ (น.ส.เนติพร เสน่ห์สังคม) ซึ่งก่อนหน้านี้ได้เข้าไปเยี่ยมหยกหลายครั้ง ก็ได้ไปรับตัวและพาหยกกลับคอนโดมิเนียม โดยตอนแรกแจ้งกับสาธารณะว่าแค่จะรีบพาไปหาหมอ พอได้ออกมาแม่หยกได้คุยกับหยกทางโทรศัพท์ตั้งแต่คืนแรก และสามารถติดต่อสื่อสารกันได้ตลอด แต่แม่หยกไม่เคยคุยกับบุ้งเพราะไม่รู้จัก ไม่รู้ว่าบุ้งคือใคร ซึ่งการที่บุ้งกล่าวกับสื่อมวลชนว่าติดต่อแม่หยกไม่ได้ หาแม่หยกไม่เจอ หยกไม่มีผู้ปกครองนั้นเป็นเรื่องโกหก วันแรกหยกขอพักกับพี่ๆ ก่อน แม่หยกก็ยังไม่ได้ว่าอะไร ปรากฎว่าวันต่อมาบุ้งพยายามแนะนำให้หยกแอบไป “คัดทะเบียนบ้านออกจากบ้านแม่ไปอยู่บ้านบุ้ง” โดยไม่บอกแม่หยกก่อน

แม่หยกได้ทราบก็ตกใจว่า ทำไมอยู่ๆ จะให้หยกคัดทะเบียนบ้านออก แล้วไม่มาถามแม่หยกซึ่งเป็นเจ้าบ้านและผู้ปกครองตามกฎหมายก่อนสักคำว่ายินยอมหรือไม่ บุ้งอ้างกับหยกว่า ตอนแรกจะให้หยกย้ายมาอยู่กับบุ้งเพราะจะใช้ในการมอบตัวเข้าเรียน รับหมายเรียก เอกสารต่างๆ ซึ่งความจริงมาทราบภายหลังว่า บุ้งก็ใช้วิธีการคล้ายกันนี้กับพลอย (น.ส.เบญจมาภรณ์ นิวาส) คือให้คัดทะเบียนบ้านออกมาอยู่กับบุ้ง เพื่อได้สิทธิ์ในการดูแลเป็นผู้ปกครอง หรือดำเนินธุรกรรมต่างๆ แทนผู้ปกครองจริงได้หากอยู่ทะเบียนบ้านเดียวกัน ซึ่งหยกก็อยากมีอิสรภาพมากกว่าเดิมตอน ม.ต้น หลังจากถูกกระทบกระเทือนจิตใจเพราะถูกคุมขังมา 51 วัน และหยกอยากเคลื่อนไหวการเมืองต่อแบบหนักๆ ซึ่งก็เข้าทางบุ้งพอดี

แต่ปัญหาคือ แม่หยกในฐานะเจ้าของบ้านและผู้ปกครองตามกฎหมายไม่ได้ให้ความยินยอม แผนให้หยกคัดทะเบียนบ้านออกเพื่อได้สิทธิ์เป็นผู้ปกครองใหม่ก็เป็นอันล่มไป แต่จุดนี้ก็เป็นจุดที่หยกเริ่มถูกมานิพูเลท (Manipulate หรือถูกหลอกใช้) ให้รู้สึกไม่โอเคกับแม่ที่แม่ไม่ยอมให้เสรีภาพในการย้ายทะเบียนบ้านออกไปอยู่กับบุ้งตามที่คาดหวังไว้ เช้าวันแรกที่บุ้งพาหยกไปโรงเรียนเอง โดยไม่ยอมพาหยกกลับบ้านไปส่งแม่หยกก่อน โรงเรียนซึ่งทำเอ็มโอยูผ่อนผันการมอบตัวล่าช้าเอาไว้ให้กับแม่และน้าของหยก จึงไม่สามารถให้บุ้งมาฉีกเอ็มโอยูเก่าแล้วมอบตัวแทนแม่หยกที่มาขอโอกาสไว้ได้

ซึ่งทางโรงเรียนก็ได้รับหยกเข้าเรียนไว้ก่อน แต่ผ่อนผันให้หยกมามอบตัวพร้อมผู้ปกครองตัวจริงตามเอ็มโอยูให้ถูกต้อง โดยแจ้งกำหนดระยะวันเวลาหมดเขตกับหยก แต่จนท้ายที่สุดบุ้งก็ไม่ยอมพาหยกกลับไปส่งแม่ เพื่อให้ได้เซ็นมอบตัวตามเอ็มโอยูเดิม ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ฝ่ายความมั่นคงสบช่องทำลายโอกาสทางการศึกษาของหยกโดยที่ไม่ควรจะต้องเสีย

เช้าวันนั้น บุ้งอ้างกับสื่อมวลชนว่า “หาแม่น้องไม่เจอ-ติดต่อแม่น้องไม่ได้-น้องไม่มีผู้ปกครองมา” ความจริงคือ

1.) แม่หยกยังพำนักบ้านเดิม แค่มีคนพาหยกไปพักที่อื่น ไม่พากลับบ้าน
2.) หยกกับแม่ยังติดต่อกันได้ตลอดตั้งแต่ออกมา แม่เขาแค่ไม่คุยกับบุ้งเพราะเป็นใครก็ไม่รู้ อยู่ๆ มาฉีกเอ็มโอยูที่ไปของทำไว้กับโรงเรียน ด้วยการพาหยกไปมอบตัวทั้งที่ไม่เกี่ยวข้อง
3.) หยกไม่มีผู้ปกครองมา เพราะบุ้งไม่ได้พาหยกไปส่งบ้านผู้ปกครอง ซึ่งแม่หยกเตรียมการพาหยกมอบตัวกับโรงเรียนตามที่ขอทำเอ็มโอยูไว้แล้ว แต่กลับพยายามให้หยกคัดทะเบียนบ้านออกแทน นี่คือจุดเริ่มต้นของการโกหกใส่ร้ายแม่หยก ซึ่งนำมาซึ่งความโกลาหลทั้งหลายต่างๆ ต่อจากนั้นดำเนินต่อมาเรื่อย เพื่อคงไว้ให้การโกหกครั้งแรกยังเป็นความจริง

หลังจากนั้น บุ้งไปออกช่องวอยซ์ทีวี พูดโจมตีให้คนเข้าใจว่าครอบครัวหยกใช้ความรุนแรง หยกเลยออกมา เพื่อบุ้งจะได้หาทางสวมเป็นผู้อุปการะใหม่ และจากการที่หลายฝ่ายได้ฟังจากบุ้งด้านเดียว ก็แทบหลงทางในการแก้ปัญหาเรื่องสิทธิ์การเข้าเรียน บางฝ่ายถึงกับจะหาทางไปแจ้งความจับแม่หยก ข้อหาทอดทิ้งบุตร เพื่อให้บุ้งได้กลายเป็นผู้ปกครองตัวจริงแทนเสียด้วยซ้ำ ไปกันใหญ่มากๆ โดยที่แม่หยกแทบไม่ทราบเลยว่ากำลังตกเป็นจำเลยสังคมโดยไม่ทันรู้ตัวและยังไม่ได้ทำอะไรผิด

หลังจากนั้น ตนก็ได้คุยกับแม่หยกไม่กี่ครั้ง ซึ่งทุกครั้งก็ไม่ได้ยินยอมใดๆ กับการที่หยกจะไปอยู่กับใครก็ไม่รู้ จะมาเอาลูกไปได้ยังไง ซึ่งพักหลังสภาพจิตใจของแม่หยกก็ค่อนข้างย่ำแย่ลงไปมาก จากการขบวนที่บอกเป็นฝ่ายประชาธิปไตยด้วยกันพรากลูกไปจากอ้อมอกยาวนาน พอเรื่องราวหยกกับที่โรงเรียนเริ่มใหญ่โต ข้อมูลจากฝ่ายบุ้งทำให้สังคมหันมาโทษใส่แม่หยกกันเสียมาก อาจารย์และผู้ปกครองที่มีแนวคิดส… ในโรงเรียนบางส่วนก็ผสมโรง กลุ่ม ศชอ. ก็ปักหมุดลงบ้านล่าแม่มดครอบครัวน้องกันอีกระลอกใหญ่ ลามไปถึงพ่อหยกที่อยู่ต่างจังหวัดก็ถูกตามถึงบ้าน แม่หยกซึ่งอยู่ในสภาวะจิตใจย่ำแย่อยู่เดิมก็ต้องหาพื้นที่หลบทั้งตำรวจที่ตามคุกคาม ทั้งพวกล่าแม่มด ทั้งสื่อที่ตามขุดคุ้ย เพราะไม่ต้องการเปิดเผยตัวตนสาธารณะในสภาพไม่พร้อมและเสี่ยงถูกคุกคามจากกระแสสังคมเข้าใจผิด

ข้อสรุปในเรื่องนี้คือ การพาหยกไปอยู่ที่อื่นที่กำลังทำกันอยู่นี้ไม่ได้ผ่านการได้รับยินยอมจากแม่ของหยก ซึ่งเป็นผู้ปกครองตามกฎหมายที่ได้ทำเอ็มโอยูขอมอบตัวหยกล่าช้าไว้กับโรงเรียน เป็นปัจจัยเสริมทำให้สูญเสียสถานภาพนักเรียนไป จากที่ฝ่ายความมั่นคงพยายามมาแต่แรกที่จะขังหยกจนเลยวันมอบตัว พูดถึงเรื่องสิทธิเด็กและเยาวชน ถ้าหยกยังอายุเพียง 15 ปี ไม่ถึง 18 ปีบริบูรณ์ กฎหมายก็ไม่ได้ให้สิทธิ์หยกเลือกผู้ปกครองใหม่ได้ตามใจชอบ ต่อให้หยกไปด้วยอย่างเต็มใจ ก็ไม่ใช่สิ่งที่ถูกกฎหมาย ถ้าผู้ปกครองไม่ยอม เทียบกับคดีพรากผู้เยาว์ การล่อลวงด้วยสิ่งใดให้เด็กรู้สึกเต็มใจไปด้วย หรือแม้แต่เด็กอยากไปด้วยเอง หากผู้ปกครองไม่ได้ยินยอมก็ผิดอยู่วันยังค่ำ

ทำไมแม่ทิ้งน้อง? ตอบว่า แม่ไม่เคยทิ้งหยกเลยตลอดมาตั้งแต่หยกถูกจับขัง การถูกตำรวจคุกคามทางเพศ การถูกลิดรอนเสรีภาพอย่างรุนแรงในคดี 112 และการที่ถูกบุ้งมานิพุเลทจนหยกได้รับอิทธิพลทางลักษณะนิสัยมา “ประท้วงแม่” ตอนที่ทนายสิทธิมนุษยชนพยายามพาหยกกลับไปคุยกับแม่ นั่นต่างหากที่ทำให้เรื่องบานปลายมาขนาดนี้

ทำไมแม่น้องไม่แจ้งความ? ตอบว่า แม่หยกเป็นฝ่ายประชาธิปไตยด้วยกัน ไม่ได้ต้องการทำร้ายพี่ๆ เพื่อนๆ ของลูกสาวตน เพราะมันจะสร้างบาดแผลในใจที่ยากจะสมานในระยะยาว แม้จะเจ็บปวดก็จำต้องกล้ำกลืนเพราะยังแคร์หัวใจลูก ถ้าสมมติในอนาคตมีกฎหมายให้เด็กอายุ 15-18 ปี สามารถเลือกผู้ปกครองใหม่ได้เองตามใจ ตนจะยกกรณีนี้มาพิจารณาใหม่

“ถ้าบุ้ง ทะลุวัง คือขบวน คุณคือขบวนที่เลวร้ายมากที่ใส่ร้ายครอบครัวน้องที่เป็นฝ่ายประชาธิปไตยด้วยกัน เพื่อหวังกับประโยชน์เฉพาะหน้า และเป็นขบวนที่ทิ้งเหยื่อคนอื่นๆ อย่างแม่น้อง ครอบครัวน้องเอาไว้ข้างหลัง ในวันที่แม่น้องถูกข่มขู่ ขุดคุ้ย คุกคาม โดยไม่มีแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว ที่คิดจะช่วยเซฟสวัสดิภาพทางร่างกายและจิตใจให้ครอบครัวน้อง ในขณะที่ตัวเองได้รับประโยชน์จากลูกเขาเต็มๆ” จอม ไฟเย็น ระบุ

จอม ไฟเย็น กล่าวว่า ปัจจุบันตนติดต่อแม่หยกไม่ได้แล้ว แต่ครั้งสุดท้ายที่คุยในแชท ญาติของหยกยืนยันว่าแม่หยกไม่เคยไปตกลงอะไรใดๆ กับบุ้งไว้ ตามที่มีคนพยายามอ้างว่า “น้องตกลงกันกับแม่แล้วว่าจะให้แม่หายไป” ทั้งสิ้น อันตรายที่สุดอย่างไรหากยังพยายามไม่ให้แม่กับหยกได้ปรับความเข้าใจกันให้เร็วที่สุด?

หากกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เข้ามาแทรกแซงเรื่องนี้ หยกจะไม่ได้อยู่ทั้งกับแม่หรือบุ้ง แต่จะกลายเป็นบ้านปราณีที่เคยขังหยก ระหว่างที่รอ พม. หาผู้อุปการะใหม่ ซึ่งสภาพบุ้งเองไม่ผ่านเกณฑ์ผู้รับอุปการะบุตรบุญธรรมของ พม. แน่นอน

พม.จะเข้าแทรกแซงจังหวะไหน? ตอบว่า หลังจากหยกถูกปล่อยตัว นายอานนท์ กลิ่นแก้ว แกนนำกลุ่ม ศปปส. ไปแจ้งความคดี 112 กับหยกเพิ่มไว้อีก 6 คดี หมายเรียกฉบับที่ 1 ที่ 2 กำลังทยอยมา แต่บุ้งก็จะไม่มีทางรู้ว่าวันไหนเมื่อไหร่ และมารู้อีกทีตอนตำรวจถือหมายจับมาล็อกตัวหยกไปแล้ว ถ้า พม. มาพร้อมตำรวจแล้วพบว่าเด็กไม่มีผู้ปกครองหรือผู้รับมอบอำนาจอยู่ด้วย มันจะจบที่บ้านปราณีโดยที่ยังไม่ต้องเริ่มคดี 112 เลยด้วยซ้ำ

“ลองถามตัวเองว่าคุณห่วงเด็กจริงๆ หรือกำลังห่วงอะไรกันแน่?” จอม ไฟเย็น กล่าวทิ้งท้าย

‘โบว์ ณัฏฐา’ งัดหลักฐานความสัมพันธ์ ‘ก้าวไกล-ทะลุวัง’ เคยประกันตัว ‘ตะวัน’ ชูรูป ‘บุ้ง’ ในสภา แต่วันนี้บอกไม่รู้จักกัน

จากกรณี นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล อดีต สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนักกิจกรรมกลุ่มทะลุวัง ที่รวมตัวไปที่พรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 7 ส.ค. 66 ที่ผ่านมา โดยอ้างว่าไม่ทราบรายละเอียด และไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัวทุกคน โดยปฏิเสธว่าพรรคก้าวไกลไม่ได้เกี่ยวข้องหรืออยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวของกลุ่มดังกล่าว

ล่าสุด (10 ส.ค.66) น.ส.ณัฏฐา มหัทธนา หรือ โบว์ นักกิจกรรมเพื่อสิทธิมนุษยชน โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ‘Bow Nuttaa Mahattana’ ระบุว่า เมื่อปีที่แล้ว ศาลเคยมอบหมาย คุณพิธา ในฐานะนายประกัน ‘ตะวัน ทะลุวัง’ ให้ดูแลให้จำเลยปฏิบัติตามเงื่อนไขการประกันตัว

ต่อมา น.ส.ณัฏฐา ยังได้แชร์ข่าวกรณีศาลอาญาสั่งปล่อยชั่วคราว ‘ตะวัน’ อดีตสมาชิกทะลุวัง เป็นเวลา 1 เดือน - ติดกำไลข้อเท้าอีเอ็ม โดยวางเงื่อนไขห้ามกระทำการกระทบสถาบันฯ ห้ามก่อความวุ่นวาย ตั้ง ‘พิธา’ เป็นผู้กำกับดูเเลให้ปฏิบัติตามเงื่อนไข รวมทั้งกรณีตำรวจยื่นถอนประกันตัวชั่วคราวผู้ชุมนุมกลุ่มทะลุวัง หลังบุกก่อความวุ่นวายที่พรรคเพื่อไทย

นอกจากนี้ น.ส.ณัฏฐายังได้แนบรูปภาพพร้อมคอมเมนต์เพิ่มเติมว่า รูป ‘บุ้ง ทะลุวัง’ ที่ชูในสภาวันนั้น…วันนี้ไม่รู้จักกันแล้ว

‘เจี๊ยบ อมรัตน์’ เดือด!! ถูกสังคมตีฟูไม่หยุด ยัน!! ไม่เคยพูดว่า ไม่รู้จักกลุ่ม #ทะลุวัง

(15 ก.ย. 66) ‘เจี๊ยบ-อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล’ อดีต สส.พรรคก้าวไกล ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า…

สื่อมวลชนที่พาดหัวข่าวโดยปราศจากความรับผิดชอบ ให้กลุ่มนายแบกนางแบกเอาไปตีฟูไม่หยุดหย่อน อาจจำเป็นต้องอธิบายอย่างจริงใจเพื่อบันทึกไว้

การให้สัมภาษณ์ครั้งนั้นที่ตึกไทยซัมมิท (ราวต้นเดือนส.ค.66) ดิฉันพูดว่านักกิจกรรมในช่วงหลังๆ มีกลุ่มใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมายหลายกลุ่ม ดิฉันรู้จักไม่ครบทุกกลุ่มไม่ครบทุกคน แต่ที่คุ้นเคยคือกลุ่มแรกๆ เช่น เพนกวิน, อานนท์, โตโต้ ตอนนี้โตโต้และหลายคนก็มาเป็น สส.พรรคก้าวไกลแล้ว

ดิฉัน ‘ไม่เคยพูด’ ว่าไม่รู้จักกลุ่ม #ทะลุวัง ข้อเท็จจริงคือรู้จักแต่ผิวเผิน พบเห็นกันตามกิจกรรมการเมืองไม่เคยคุยกันจริงจัง เคยได้เบอร์ของบุ้งมาในช่วงที่ไปเยี่ยม #ตะวันแบม อดอาหารหน้าศาลฎีกาสนามหลวง จึงขอเบอร์บุ้งมาเพื่อจะโทรไถ่ถามอาการคืบหน้าของตะวันแบม เมื่อมีเรื่อง #หยก เกิดเป็นข่าวขึ้นมาจึงโทรไปถามบุ้งว่าทำไมแม่หยกถึงไม่พาลูกไปมอบตัว แล้วนัดคุยกันเรื่องนี้แบบเจอตัว 1 ครั้งเพราะสงสัยเรื่องแม่หยกมากๆ ว่าหายไปไหน จะให้ช่วยอะไรหรือไม่เพื่อให้หยกเข้าเรียนได้ การคุยครั้งนั้น ดิฉันแนะนำไปว่าถ้าประท้วงวิธีรุนแรงอาจจะทำให้เสียแนวร่วมการต่อสู้ 

หลังจากนั้น เห็นว่ามีหลายหน่วยออกมาเคลื่อนไหวช่วยเหลือ มีการนัดพูดคุยระหว่างหน่วยงานทางการศึกษาและสิทธิมนุษยชนกับทาง รร. จึงไม่ได้ติดต่ออะไรกันอีกนอกจากติดตามอ่านข่าวจากสื่อมวลชน และรู้สึกเสียใจกับเคสของหยก

#สื่อเสี้ยม
#บันทึกไว้ 14 ก.ย. 66


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top