Friday, 18 April 2025
ตำรวจจราจร

รอง ผบ.ตร. ชื่นชมตำรวจจราจรช่วย 1 ชีวิต พาชายหมดสติส่งโรงพยาบาล

พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบประกาศเกียรติคุณ และเงินรางวัล ให้แก่ ด.ต.ชัยวัฒน์ นรารักษ์ ตำรวจฝ่ายจราจรของ สน.บุคคโล ที่ได้เข้าช่วยเหลือชายที่ป่วยใกล้เป็นลมหมดสติอยู่ภายในรถที่จอดอยู่ข้างถนนนานกว่า 40 นาที พาไปส่งรักษาที่โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า ได้อย่างปลอดภัย

โดย เมื่อเวลาประมาณ 16.00 น. ของวันที่ 9 ก.ย. 65 ด.ต.ชัยวัฒน์ นรารักษ์ ผบ.หมู่งานจราจร สน.บุคคโล ได้ขับรถตรวจตราพบรถกระบะจอดเปิดไฟส่งสัญญาณฉุกเฉินอยู่บริเวณหน้าธนาคารกสิกรไทย สาขาดาวคะนอง จึงเข้าตรวจสอบ พบคนขับรถปรับเบาะเอนนอนกุมหน้าอกอยู่ภายใน ด.ต.ชัยวัฒน์ฯ จึงได้ประสานหน่วยกู้ชีพให้การช่วยเหลือ และเนื่องจากการจราจรในช่วงเวลาดังกล่าวค่อนข้างติดขัด ด.ต.ชัยวัฒน์ฯ เกรงว่าผู้ป่วยจะไม่ปลอดภัย จึงตัดสินใจย้ายผู้ป่วยไปนอนเบาะซ้าย และขับรถพาผู้ป่วยไปส่งที่โรงพยาบาลด้วยตนเอง โดยมีตำรวจจราจรของ สน.บุคคโล และเจ้าหน้าที่อาสากู้ภัย คอยอำนวยความสะดวกเส้นทางการจราจรนำผู้ป่วยไปถึงโรงพยาบาลได้อย่างทันท่วงที 

ทั้งนี้ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ได้แสดงความชื่นชมต่อเหตุการณ์ดังกล่าว ที่ ด.ต.ชัยวัฒน์ฯ ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความใส่ใจประชาชนที่ต้องการความช่วยเหลือบนท้องถนน และสามารถใช้ไหวพริบแก้ไขสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว โดยมอบประกาศเกียรติคุณ และเงินรางวัล พร้อมทั้งให้กำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ต่อไป

พร้อมกันนี้ รอง ผบ.ตร. ได้กำชับถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนาย ให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความตั้งใจ ใส่ใจให้ความช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อน ตรวจตรารักษาความสงบ ให้ความคุ้มครองดูแลความปลอดภัยของประชาชนอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม

'พล.ต.อ.รอยฯ /ผอ.ศจร.ตร.' กำชับตำรวจจราจรทั่วประเทศเตรียมพร้อมดูแลประชาชน ที่เริ่มทยอยเดินทางกลับ อำนวยความสะดวกจราจร ขอ ปปช.ให้ความร่วมมือ ขับขี่ด้วยความไม่ประมาท และให้ใช้ความระมัดระวังในการขับขี่เป็นพิเศษเนื่องจากในห้วงนี้ มีฝนตกหนักและถนนเปียกลื่น

วันนี้ (1 ส.ค.66) พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร. ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศจร.ตร.) เปิดเผยว่า พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้สั่งการกำชับให้ดูแลอำนวยความสะดวกด้านการจราจรแก่พี่น้องประชาชนที่ใช้เส้นทางการจราจรในการเดินทางกลับหลังจากวันหยุดต่อเนื่อง โดยวันนี้เป็นวันหยุดวันที่ 5 แล้ว ทั้งประชาชนที่เดินทางกลับภูมิลำเนา และที่เดินทางออกไปท่องเที่ยวตามต่างจังหวัด ต่างเริ่มทยอยเดินทางกลับที่พัก ทำให้การจราจรมีปริมาณรถหนาแน่น สภาพการจราจรโดยรวมบนถนนสายหลักในหลายพื้นที่ติดขัดเป็นบางช่วง จึงกำชับตำรวจจราจรทั่วประเทศ พร้อมอำนวยความสะดวกจราจร ป้องกัน เเละลดอุบัติเหตุทางถนนของประชาชนในพื้นที่ ขอให้ประชาชนตรวจสอบความพร้อมของร่างกาย สภาพรถและตรวจสอบเส้นทางก่อนออกเดินทางเพื่อความปลอดภัย ประกอบกับมีประกาศเตือนของ กรมอุตุนิยมวิทยา เรื่อง ฝนตกหนักถึงหนักมาก ซึ่งวันที่ 1 – 2 ส.ค.2566 นี้มีฝนตกหนักเกือบทั้งประเทศ ซึ่งอาจจะทำเป็นปัจจัยเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุทางถนนได้ เนื่องจากทัศนวิสัยในการขับขี่จะลดลงเนื่องจากสภาพอากาศที่มีฝนตกหนัก ถนนมีสภาพเปียกลื่น ขอให้พี่น้องประชาชนใช้ความระมัดระวังในการขับขี่เป็นพิเศษด้วย หากต้องขับขี่ยานพาหนะขณะที่เกิดฝนตกหนักดังกล่าวตามที่กรมอุตุนิยมวิทยาแจ้งเตือน  ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจยังคงเน้นในการจับกุมเพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุใน 10 ข้อหาหลัก ได้แก่ 
1. ขับรถเร็วเกินกว่ากฎหมายกำหนด
2. ฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจร
3. ขับรถย้อนศร
4. ไม่พกพาใบขับขี่
5. ไม่คาดเข็มขัดนิรภัย
6. แซงในที่คับขัน
7. ขับขี่รถขณะเมาสุรา
8. ไม่สวมหมวกกันน็อก
9. ใช้รถมอเตอร์ไซค์ที่ไม่ปลอดภัย
10. ใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับรถ

ด้าน พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์ ผู้บัญชาการประจำสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานเสริมสร้างภาพลักษณ์ตำรวจจราจร ศจร.ตร. กล่าวว่า ตามที่ ผบ.ตร. ได้ออกข้อบังคับหัวหน้าเจ้าพนักงานจราจรทั่วราชอาณาจักร เพื่อกำหนดให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงใช้ในการเปิดช่องทางพิเศษ เร่งระบายรถให้กับพี่น้องประชาชนในการเดินทางในห้วงวันหยุดยาว (28 ก.ค. – 2 ส.ค.66) นั้น เบื้องต้นกองบังคับการตำรวจทางหลวง มีความพร้อมในการปฏิบัติตามข้อบังคับดังกล่าว และหากในถนนมิตรภาพ ถนนพหลโยธิน และถนนสายเอเชีย มีปริมาณรถมากในช่วงใด เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง ก็จะดำเนินการเปิดช่องทางพิเศษ เพื่อเร่งระบายรถให้พี่น้องประชาชนได้รับความสะดวกมากขึ้นในการเดินทาง 

นอกจากนี้ข้อมูลสถิติจากศูนย์ข้อมูลอุบัติเหตุทางถนน (https://www.thairsc.com/) พบว่าในห้วงวันหยุดที่ผ่านมานั้นตั้งแต่วันที่ 27 – 31 ก.ค.66 มียอดผู้เสียชีวิตสะสมแล้วถึง 153 ราย และเมื่อวาน (31 ก.ค.66) วันเดียว มียอดผู้เสียชีวิตถึง 45 ราย บาดเจ็บ 2,173 ราย สาเหตุหลักของการเกิดอุบัติเหตุก็คือ ขับรถเร็ว หลับใน ขับรถตัดหน้า/เปลี่ยนช่องทางเดินรถ(เลน)ในระยะกระชั้นชิด และเมาแล้วขับ ในส่วนการจับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจในความผิดฐานเมาแล้วขับ ตั้งแต่วันที่ 27 – 31 ก.ค.66 มียอดจับกุมสะสม 958 ราย ขอแจ้งเตือนประชาชนว่าหากท่านขับขี่รถในขณะเมาสุราและเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุแล้วมีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตนั้น จะมีความผิดต้องระวางโทษจำคุกสูงสุดถึง 10 ปี ปรับ 200,000 บาท และจะต้องถูกเพิกถอนใบอนุญาตขับรถในทันทีอีกด้วย  

ทั้งนี้หากเกิดอุบัติเหตุ หรือเหตุฉุกเฉินต้องการความช่วยเหลือ ประชาชนสามารถสอบถาม แจ้งขอความช่วยเหลือ และแจ้งเหตุขัดข้องด้านการจราจร ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ที่
โทร. 191 จราจรทุก สน./สภ.
โทร. 1197 สายด่วนตำรวจจราจรในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล
โทร. 1193 ตำรวจทางหลวงทั่วประเทศ

ในห้วงหยุดยาวนี้ ขอให้ประชาชนทุกท่านขับขี่ด้วยความระมัดระวัง เคารพกฎจราจร มีน้ำใจกับเพื่อนร่วมทาง เดินทางท่องเที่ยว และกลับภูมิลำเนาโดยสวัสดิภาพ ด้วยความห่วงใยจาก ศูนย์บริหารงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ตร.จราจรโครงการพระราชดำริ พา ‘คุณหมอ’ ฝ่าสายฝนข้ามจังหวัด นำส่ง ‘หัวใจ’ ให้คนไข้ผ่าตัด ท่ามกลางการจราจรติดขัด-เวลาจำกัด

เมื่อไม่นานนี้ พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์ ผู้บัญชาการประจำสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานเสริมสร้างภาพลักษณ์ตำรวจจราจร ศูนย์บริหารงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศจร.ตร.) เปิดเผยว่า ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ กองบังคับการตำรวจจราจร อำนวยความสะดวกการจราจรเร่งนำส่งอวัยวะหัวใจส่ง รพ.ศิริราช ได้ทันเวลา

โดยเมื่อวันที่ 11 ก.ย. 66 เวลาประมาณ 17.35 น. ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริได้รับการประสานงานจากศูนย์บริจาคอวัยวะ รพ.สมุทรสาคร ผ่านศูนย์วิทยุจราจรโครงการพระราชดำริ แจ้งว่าขอสนับสนุนนำอวัยวะหัวใจจาก รพ.สมุทรสาคร ส่งยัง รพ.ศิริราช หลังจากรับแจ้ง ตำรวจโครงการพระราชดำริได้นำกำลังตำรวจไปรอรับที่ รพ.สมุทรสาคร เพื่ออำนวยความสะดวกการจราจร เร่งนำส่งอวัยวะหัวใจไปยัง รพ.ศิริราช แต่การนำส่งหัวใจในครั้งนี้เหลือเวลาที่จำกัด และเป็นเวลาช่วงเย็นที่มีฝนตก สภาพการจราจรค่อนข้างหนาแน่น คุณหมอจึงตัดสินใจนำอวัยวะหัวใจขึ้นซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ

โดยมี ร.ต.ต.ศักดิ์ชาย กระแสร์ญาณ เป็นผู้ขับขี่มุ่งหน้าสู่โรงพยาบาลเป้าหมายทันที ระหว่างทางมีฝนตกลงมาอย่างหนัก แต่ทั้งหมอ และตำรวจทุกนายก็มีความมุ่งมั่นที่จะนำพาหัวใจดวงนี้ไปยัง รพ.ที่หมาย รวมถึงได้รับความร่วมมือจากตำรวจจราจร สน.ท้องที่ ในเส้นทางทุกพื้นที่ และผู้ใช้เส้นทางที่ช่วยเปิดทางให้จนภารกิจชีวิตในครั้งนี้สำเร็จลุล่วงด้วยดี

พล.ต.ท.นิธิธรกล่าวว่า ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริได้เปิดเส้นทางนำส่งอวัยวะหัวใจ ซึ่งระยะเวลาตั้งแต่ผ่าตัดหัวใจของผู้บริจาค จนกระทั่งปลูกถ่ายให้ผู้รับ มีเวลาเพียง 4 ชั่วโมงเท่านั้น (อวัยวะหัวใจหากทำการผ่าตัดออกมาจากร่างกายของผู้บริจาคแล้วจะอยู่ได้ไม่เกิน 4 ชั่วโมง นับจากเวลาที่ปิดทางเดินเลือดในการผ่าตัดหัวใจของผู้บริจาค จนกระทั่งเปิดให้เลือดผ่านหัวใจใหม่ในร่างกายของผู้รับการปลูกถ่าย) จึงเป็นภารกิจที่ต้องแข่งกับเวลา

กรณีนำส่งอวัยวะหัวใจในครั้งนี้ นับเป็นรายที่ 73 แล้ว ที่ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำรินำส่งอวัยวะลุล่วงจนแพทย์สามารถปลูกถ่ายหัวใจ ต่อชีวิตใหม่ให้กับผู้รับบริจาคได้

ทั้งนี้ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร. ในฐานะ ผอ.ศจร.ตร. ได้ชมเชยการปฏิบัติหน้าที่ของทีมตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ ที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างมืออาชีพ มีทักษะคล่องแคล่ว สามารถให้ความช่วยเหลือ เป็นที่พึ่งของประชาชน และสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน ซึ่งถือเป็นหนึ่งตัวอย่างของตำรวจจราจรที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยจิตอาสาบริการ มีมาตรฐานสากล ตามแนวทางการสร้าง ‘สุภาพบุรุษจราจร’ ที่ ศจร.ตร.กำลังขับเคลื่อนสร้างมาตรฐานตำรวจจราจรทั่วประเทศ เพื่อยกระดับการบริการประชาชน สร้างความเชื่อถือศรัทธา และนำไปสู่การลดอุบัติเหตุบนท้องถนนในที่สุด

นอกจากนี้ พล.ต.ท.นิธิธรกล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ยังมีผู้รอรับการบริจาคอวัยวะอยู่มากกว่า 6,000 คนทั่วประเทศ จึงขอเชิญชวนประชาชนร่วมต่อลมหายใจให้กับผู้ป่วย เพราะการบริจาคอวัยวะแก่เพื่อนมนุษย์ คือที่สุดแห่งการให้ โดยตำรวจจราจรพร้อมสานต่อเจตนารมณ์ของผู้บริจาค และเติมเต็มความหวังของผู้รับบริจาค เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างชีวิตใหม่ อำนวยความสะดวกนำทางส่งต่ออวัยวะสำคัญ

พี่โจ๊ก ควง ผู้ว่าชัชชาติ ตรวจสภาพการจราจรพื้นที่สามเสน นางเลิ้ง ดูสภาพความเป็นจริง และให้กำลังใจตำรวจจราจรในพื้นที่

วันนี้ (วันพุธที่ 8 พ.ย.66) เวลาประมาณ 06.30 น. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.(มค) รับผิดชอบงานจราจร พร้อมด้วย นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ร่วมกันลงตรวจสภาพการจราจรในพื้นที่เขตสามเสน นางเลิ้ง ของกรุงเทพมหานคร ใน ถ.สามเสน , ถ.ราชดำเนิน , ถ.จรัญสนิทวงศ์ , สะพานพระราม 8 , สะพานกรุงธนบุรี เป็นหลัก ร่วมกับ พล.ต.ท.นิธิธร จิตกานนท์ ผบช.ประจำสง.ผบ.ตร. (อดีต ผบก.จร.) , พล.ต.ต.ธวัช วงศ์สง่า รรท.รอง ผบช.น. ที่รับผิดชอบงานจราจร, พ.ต.อ.สุรเชษฐ์ บัณฑิตย์ รรท.ผบก.จร., พ.ต.อ.จิรกฤต จารุณภัทร์ รอง ผบก.จร., พ.ต.อ.กมล นุ่นหอม รอง ผบก.น.1 , พ.ต.อ.จามร ทองพัน ผกก.กก.1 บก.จร. , พ.ต.อ.นิพนธ์ นิธิการุณย์เลิศ ผกก.สน.สามเสน และ พ.ต.อ.รัฐธนนท์ เอกฐิติกุลพัทธ์ ผกก.สน.นางเลิ้ง เพื่อให้เห็นสภาพความเป็นจริง โดยลงพื้นที่หน้าโรงเรียนเซนต์คาเบรียล ซึ่งเป็นโรงเรียนหลักบนถนนสามเสน ที่มีผู้ปกครองเดินทางมาส่งบุตรหลานเป็นจำนวนมาก อาจส่งผลต่อสภาพการจราจรบนถนนสามเสน ต่อเนื่องแยกซังฮี้ ที่ข้ามมาจากฝั่งธนบุรีได้ แต่ก็พบว่าทาง สน.สามเสน ได้ร่วมกับสำนักงานเขตดุสิต และ สมาคมผู้ปกครองของโรงเรียนเซนต์คาเบรียล ช่วยกันอำนวยความสะดวกการจราจร ดูแลบุตรหลานและประชาชนบริเวณดังกล่าวได้เป็นอย่างดีเยี่ยม ไม่มีปัญหารถสะสมบริเวณหน้าโรงเรียนแต่อย่างใด หลังจากนั้นได้ไปตรวจสภาพการจราจรบริเวณสะพานกรุงธนบุรี , แยกบางพลัด , ถ.จรัญสนิทวงศ์ , ถ.ราชดำเนิน และ แยก จปร. ตรวจเยี่ยมให้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรที่ปฏิบัติหน้าที่ มอบกาแฟกระป๋อง ไว้เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ รอง ผบ.ตร.(มค) เปิดเผยว่า ท่าน ผบ.ตร. ได้มอบหมายให้รับผิดชอบดูงานจราจรภาพรวมทั้งประเทศ ก่อนหน้านี้ก็ได้รับรายงานถึงปัญหาการจราจรต่าง ๆ มาแล้ว วันนี้จึงตัดสินใจลงมาให้เห็นด้วยสายตาตัวเอง และต้องการสร้างความเชื่อมั่นให้พี่น้องประชาชน พ่อแม่ ครู ผู้ปกครอง ผู้อำนวยการโรงเรียนต่าง ๆ ซึ่งปัจจุบันปัญหาการจราจรเป็นหนึ่งในปัญหาหลักของประเทศ ที่ตำรวจต้องร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ช่วยกันแก้ไขปัญหา จะทำเพียงหน่วยงานเดียวไม่ได้ โดยคิกออฟด้วยการสั่งให้สำรวจสภาพปัญหาทางกายภาพ ปัญหาภูมิประเทศ ที่ส่งผลต่อการจราจร ทำให้การจราจรติดขัด ทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ เช่น พื้นผิวการจราจรที่ขรุขระ เป็นหลุม เป็นบ่อ แล้วประสานงานกับหน่วยงานอื่น ๆ ร่วมกันช่วยกันแก้ไขปัญหา โดยตัว พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ เอง จะลงมาช่วยเสริมเติมเต็มในการช่วยประสานงานกับหน่วยงานข้างเคียง โดยเฉพาะในส่วนของ กทม. ซึ่งได้หารือร่วมกับ นายชัชชาติฯ ถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาการจราจร และการลดอุบัติเหตุ

ส่วนในเรื่องของการบังคับใช้กฎหมาย มีกฎหมายใหม่ออกมาหลายฉบับ เช่น พ.ร.บ.เปรียบเทียบปรับเป็นพินัย ที่ออกมาเพื่อให้สอดคล้องและคุ้มครองสิทธิของพี่น้องประชาชน บรรเทาความเดือดร้อน ซึ่งเมื่อวันที่ 3 พ.ย.66 พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ ก็จะไปเข้าพบปรึกษาหารือกับ ศ.ดร.บวรศักดิ์ อุวรรโณ ประธานกรรมการว่าด้วยการปรับเป็นพินัย ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้แนวทางในการปฏิบัติงานและจะมีการจัดอบรมเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรทั่วประเทศ ในวันพรุ่งนี้ เพื่อให้ลูกน้องมีความเข้าใจ มีความมั่นใจ เดินหน้าไปในทิศทางเดียวกันว่าการบังคับใช้กฎหมายจะบังคับใช้อย่างไร การบังคับใช้กฎหมายเราต้องทำเพื่อการจัดการจราจร จัดระเบียบสังคม ต้องไม่ทำเพื่อหวังเงินค่าปรับหรือเงินรางวัล และการตั้งด่านจราจรก็ทำเพื่อสร้างความปลอดภัยบนท้องถนน โดยมุ้งเน้นเป้าหมายที่การลดอุบัติเหตุ และให้การกระทำความผิดลดลงและหมดไป ทั้งนี้เรายังต้องตั้งด่านตามปกติ แต่ต้องไม่มีการเรียกรับผลประโยชน์ที่ด่านจราจร เพราะด่านคือตัวแทนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต้องทำให้ประชาชนเชื่อมั่น เห็นด่านต้องวิ่งเข้าด่าน เพราะเขามั่นใจในความปลอดภัย

ในเรื่องสถิติการเกิดอุบัติเหตุจราจรต่าง ๆ ต้องลดลง และต้องลดลงอย่างมีนัยนะสำคัญ ไม่ใช่ลดลงด้วยการทำตัวเลข ต้องเอาเรื่องจริงมาพูดคุยกัน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ ก็จะมาช่วยเสริมเติมเต็ม ซึ่งที่ผ่านมาในพื้นที่ก็ช่วยกันทำงานดีอยู่แล้ว และในวันนี้ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยท่าน ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ ก็ได้เตรียมการ เตรียมแผนในเทศกาลลอยกระทง เทศกาลปีใหม่ไว้เรียบร้อยแล้ว จุดประสงค์เพื่อทำให้พี่น้องประชาชนเดินทางกลับบ้านอย่างปลอดภัย มีความเชื่อมั่น มีความมั่นใจ และกลับมาทำงานด้วยความปลอดภัย สิ่งสำคัญคือการสร้างองค์ความรู้ด้านกฎหมาย สร้างวินัยจราจร สิ่งใดที่เป็นควิกวินที่ต้องรีบทำ ต้องเร่งดำเนินการ เช่น การรณรงค์ให้สวมหมวกกันน็อค การรณรงค์เมาไม่ขับ เรื่องฟุตบาท ทางเท้าต่าง ๆ เป็นต้น ทั้งหมดนี้เป็นการสนองตอบต่อนโยบายรัฐบาล ที่ต้องการให้เกิดความปลอดภัยกับพี่น้องประชาชน ประชาชนมีความเชื่อมั่น

สุดท้ายในการตรวจเยี่ยม การลงพื้นที่ ดูการปฏิบัติหน้าที่ของเพื่อนข้าราชการตำรวจ ก็จะได้นำความห่วงใยจากท่าน ผบ.ตร. ลงไปให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ สร้างขวัญและกำลังใจ ช่วยเสริม เติมเต็มเป็นสำคัญ ต่อไป 

“พล.ต.ท.นิธิธร ฯ” เยี่ยมและมอบสิ่งของบำรุงขวัญ “ร.ต.ท.มานะ ฯ” ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ ซึ่งเคยทำคลอดให้กับหญิงคลอดบุตร 109 คน ถูกรถเก๋งเฉี่ยวชนรถจักรยานยนต์ได้รับบาดเจ็บ ขณะอำนวยความสะดวกการจราจรให้กับผู้ป่วยสูงอายุที่จะไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลศิริราช

วานนี้ (12 มี.ค. 67) เวลา 14.00 น. พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์ ผบช.ประจำ สง.ผบ.ตร. /หัวหน้าคณะทำงานเสริมสร้างภาพลักษณ์ตำรวจจราจร เดินทางไปยังอาคารมหาภูมิพลราชานุสรณ์ 88 พรรษา โรงพยาบาลตำรวจเพื่อเยี่ยมและมอบสิ่งของบำรุงขวัญให้กับ ร.ต.ท.มานะ จอกโคกสูง รอง สว.งานปฏิบัติการจราจรตามโครงการพระราชดำริ 1 กก.6 บก.จร.  ที่ได้รับบาดเจ็บถูกรถยนต์เก๋งเฉี่ยวชนระหว่างการปฏิบัติหน้าที่อำนวยความสะดวกการจราจรให้กับผู้ป่วยสูงอายุที่จะไปรับการรักษาที่ รพ.ศิริราช โดยเหตุเกิดเมื่อวันที่ 4 มี.ค.67 เวลาประมาณ 12.40 น. ที่ ถ.หลานหลวง หน้าโรงแรมรอยัลปริ้นเซส หลานหลวง กรุงเทพมหานคร หลังจาก ร.ต.ท.มานะ ฯได้รับแจ้งได้นำกำลังเพื่อออกให้การช่วยเหลือ โดย ร.ต.ท.มานะ ฯ  ได้ขับขี่รถจักรยานยนต์ทางราชการ โดยใช้เส้นทาง ถ.หลานหลวง เมื่อถึงบริเวณหน้าโรงแรมรอยัลปริ้นเซส ได้เฉี่ยวชนกับรถกระบะตู้ทึบ ทำให้รถจักรยานยนต์ของ ร.ต.ท.มานะ ฯ เสียหลักและล้มลงบริเวณทางเท้า เจ้าหน้าที่นำส่ง รพ.ตำรวจ เบื้องต้นได้รับบาดเจ็บกระดูกหัวแม่มือซ้ายหัก และมีบาดแผลถลอกบริเวณมือข้างขวา ปากและใบหน้าเล็กน้อย 

ร.ต.ท.มานะฯ ปฏิบัติหน้าที่ในสังกัดตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ มาตั้งแต่ปี 2540 มีความชำนาญในการช่วยเหลือการทำคลอดฉุกเฉินให้กับประชาชนที่ประสบปัญหาการจราจรติดขัด และต้องการความช่วยเหลือในการทำการคลอดบุตรบนท้องถนน ร.ต.ท.มานะฯ จะเป็นชุดเคลื่อนที่เร็วในการเดินทางไปให้ความช่วยเหลือ ซึ่งที่ผ่านมา ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ ได้ให้ความช่วยเหลือการทำคลอดบุตรฉุกเฉินมาแล้วเป็นจำนวนถึง 281 ราย เป็นการช่วยทำคลอดด้วยฝีมือของ ร.ต.ท.มานะฯ เอง ถึง 109 ครั้ง 

พล.ต.ท.นิธิธร ฯ กล่าวว่า ในวันนี้ต้องขอขอบคุณแพทย์ รพ.ตร. ที่ทำการผ่าตัดซ่อมแซมรักษา และจัดเรียงกระดูกข้อมือที่หักของ ร.ต.ท.มานะฯ ให้เข้ารูปและเข้าที่ เพื่อให้ข้อมือข้างซ้ายของ ร.ต.ท.มานะฯ ที่หักนั้นกลับมาใช้งานได้ตามปกติโดยเร็ว เพื่อมือทั้งสองข้างจะได้หายดี และสามารถไปช่วยเหลือประชาชนจำนวนมากได้ดังเดิม

สาวสุดกลั้น โบกรถตำรวจให้ช่วยพาไปส่งที่ ‘ห้องน้ำ’ พี่จราจรไม่รอช้า พาซ้อน จยย. ส่งถึงที่ ชาวโซเชียลแห่ชื่นชม

(11 พ.ค.67) กลายเป็นคลิปที่ถูกแชร์บนโลกออนไลน์ เมื่อเกิดเหตุการณ์เร่งด่วน เรื่องทุกข์ร้อนของประชาชนที่ เจ้าหน้าที่ตำรวจรีบให้ความช่วยเหลือ

เรื่องราวดังกล่าวเกิดขึ้นกลางในเมือง ซึ่งทุกคนรู้ดีว่า การจราจรในกรุงเทพนั้นสาหัสแค่ไหน แน่นอนว่า ความปวดท้องหนักนั้นไม่เข้าใครออกใคร ถ้าข้าศึกบุกเราก็พร้อมจะแพ้พ่าย ทำให้กลายเป็นไวรัล เรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าช่วยโดยด่วน โดยเพจสืบนครบาล ระบุว่า ...

สำหรับเหตุการณ์คับขันที่เกิดขึ้น เป็นเหตุการณ์จริง ใจกลางกรุงเทพมหานคร บนถนนศรีอยุธยา ในระหว่างที่การจราจรติดขัด เพื่อนในรถตู้เกิดปวดท้องทนไม่ไหว ต้องการเข้าห้องน้ำด่วน เพราะข้าศึกประชิดประตูเมืองแล้ว กระทั่งเปิดกระจกถามเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร สน.พญาไท แล้วไหว้วานให้พี่ตำรวจพาไปส่งเข้าห้องน้ำ

เมื่อประชาชนกำลังเป็นทุกข์ขอหวังพึ่ง ตำรวจก็ไม่รีรอ ให้บริการประชาชน พาซ้อนรถจักรยานยนต์สายตรวจจราจร ไปส่งที่โรงพยาบาลสงฆ์ ซึ่งเป็นจุดที่มีห้องน้ำอยู่ใกล้ที่สุด เป็นที่พึ่งของประชาชนในทุกสถานการณ์

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มอบเงินช่วยเหลือตำรวจจราจร สภ.เขวาใหญ่ จ.มหาสารคาม ถูกรถจักรยานยนต์พุ่งชนขณะตั้งจุดตรวจ

พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.รอง ผบ.ตร.) มอบหมายให้ พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์ ผบช.ประจำ สง.ผบ.ตร./หน.คณะทำงานเสริมสร้างภาพลักษณ์ตำรวจจราจร เป็นผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เดินทางไปยัง สภ.เขวาใหญ่ อ.กันทรวิชัย จ.มหาสารคาม เมื่อวานนี้ (30 สิงหาคม 2567) เวลา 11.45 น. เพื่อมอบเงินกองทุนสวัสดิการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำนวน 100,000 บาท กรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร สภ.เขวาใหญ่ ได้รับบาดเจ็บ ถูกรถจักรยานยนต์เฉี่ยวชนขณะปฏิบัติหน้าที่

เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อช่วงเช้าของวันที่ 7 สิงหาคม 2567 ร.ต.อ.รณชัย ภูหักทำ และตำรวจจราจร สภ.เขวาใหญ่ จ.มหาสารคาม ได้ร่วมกันวางอุปกรณ์บนพื้นถนนเพื่อตั้งจุดตรวจกวดขันวินัยจราจร บริเวณหน้าตู้ยามขามเรียง ถนนทางหลวงแผ่นดิน หมายเลข 2202 ทั้งฝั่งขาเข้าและขาออก โดยวางกรวยสะท้อนแสงตามแนวเส้นแบ่งช่องทางเดินรถ นำป้ายแผงไฟแสดงจุดตรวจ มีสัญญาณไฟวับวาบ มีป้ายชื่อผู้ควบคุมพร้อมหมายเลขโทรศัพท์ติดต่อ วางตั้งบนถนนให้เห็นเด่นชัดในเขตปลอดภัย และนำรถยนต์ของทางราชการที่ใช้ในงานจราจร มาจอดไว้เพื่อเพิ่มการมองเห็นให้ถูกต้องตามยุทธวิธีตำรวจในการตั้งจุดกวดขันวินัยจราจร และเริ่มปฏิบัติหน้าที่ในเวลา 10.00 น. จากนั้นได้มีรถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า สีแดง ขับขี่มุ่งหน้ามายังจุดตรวจด้วยความเร็ว ตำรวจจราจรในจุดตรวจได้ให้สัญญาณหยุด แต่เด็กชายอายุ 14 ปี ซึ่งเป็นผู้ขับขี่ได้พยายามจะหลบหนี จนพุ่งชน ร.ต.อ.รณชัย ฯ ได้รับบาดเจ็บ ฟันหน้าบนหัก 3 ซี่ ถูกนำส่งโรงพยาบาลมหาสารคาม โดยแพทย์วินิจฉัยว่ากระดูกขากรรไกรล่างหัก ต้องทำการรักษาอย่างต่อเนื่อง

พล.ต.ท.นิธิธรฯ ได้มอบเงินเงินกองทุนสวัสดิการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำนวน 100,000 บาท ให้กับ ร.ต.อ.รณชัย ภูหักทำ รอง สว.จร.สภ.เขวาใหญ่ ตามหลักเกณฑ์การจ่ายเงินช่วยเหลือข้าราชการตำรวจที่บาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการสวัสดิการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และได้มอบสิ่งของเครื่องบริโภคให้กับข้าราชการตำรวจ สภ.เขวาใหญ่ เพื่อเป็นขวัญกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ด้วย 

ด้าน พล.ต.ท.ประจวบฯ กล่าวว่า จากคลิปกล้องวงจรปิดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น เป็นการตั้งจุดตรวจเพื่อป้องกันและลดอุบัติเหตุจราจร การสวมหมวกนิรภัย การขับขี่รถโดยมีใบอนุญาตขับรถจากนายทะเบียนขนส่ง ไม่ขับรถขณะมึนเมาสุรา หรือของมึนเมาอย่างอื่น (เสพยาเสพติด) นั้น เป็นข้อกฎหมายตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 ซึ่งทุกคนต้องปฏิบัติตามหากมีการใช้รถใช้ถนน หากฝ่าฝืนนอกจากจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายแล้ว ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บหรือเสียชีวิตกับทั้งผู้ขับขี่และผู้ร่วมทางอีกด้วย

ทั้งนี้ ผู้ใช้รถใช้ถนนสามารถแจ้งอุบัติเหตุ เหตุร้าย หรือขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตลอด 24 ชั่วโมง ได้ที่สายด่วน 191 จราจรทุก สน./สภ.ทั่วประเทศ , สายด่วน 1197 ตำรวจจราจรในเขตกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล , สายด่วน 1193 ตำรวจทางหลวงทั่วประเทศ และสายด่วน 1599 สายด่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

พล.ต.ท.ประจวบฯ ชื่นชมตำรวจจราจรกระบี่ และตำรวจทางหลวงมอเตอร์เวย์ช่วยประชาชนพ้นเหตุอันตรายไฟไหม้รถ ดึงผู้บาดเจ็บทั้งสองเหตุ ออกจากรถก่อนไฟลุกไหม้ทั้งคัน

  

วันนี้ (24 ต.ค.67) พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.รอง ผบ.ตร.) ในฐานะผู้อำนวยการคณะทำงานขับเคลื่อนงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า หลังจากการเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้รถบัสนักเรียน เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรที่ปฏิบัติหน้าที่มีความตื่นตัวและเตรียมพร้อมในการป้องกันเหตุเพลิงไหม้รถมากขึ้นเป็นอย่างมาก โดยในสัปดาห์ที่ผ่านมา ตำรวจจราจร สภ.เมืองกระบี่ ได้ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์เพลิงไหม้รถจักรยานยนต์ และตำรวจทางหลวงมอเตอร์เวย์ ได้ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บออกจากรถยนต์ที่ประสบอุบัติเหตุพลิกคว่ำที่มีน้ำมันรั่วไหล และเป็นเหตุให้เพลิงไหม้ในเวลาต่อมา โดยทั้ง 2 กรณี ผู้บาดเจ็บได้รับการช่วยเหลือออกมาจากรถคันที่ประสบอุบัติเหตุ อย่างทันเวลาก่อนที่เพลิงจะลุกไหม้ทั้งคัน แล้วส่งต่อให้เจ้าหน้าที่กู้ภัยทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้น และนำส่งโรงพยาบาลได้อย่างปลอดภัย ต้องชมเชยตำรวจจราจร สภ.เมืองกระบี่ และตำรวจทางหลวงมอเตอร์เวย์ ที่ไปถึงที่เกิดเหตุและเข้าช่วยเหลือได้อย่างรวดเร็ว  

เหตุการณ์แรกเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา ขณะ ร.ต.ต.กฤษณะ บุตรสวัสดิ์ รอง สว.(ป.) ส.ทล.1 กก.8 บก.ทล. , ร.ต.ต.สมสมัย เดชยศดี รอง สว.(ป.) ส.ทล.1 กก.8 บก.ทล. และ ด.ต.ธีรภัทร์ จันประทักษ์ ผบ.หมู่ ส.ทล.1 กก.8 บก.ทล. กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 พบอุบัติเหตุรถกระบะพลิกคว่ำ มีผู้ได้รับบาดเจ็บติดอยู่ในรถ บริเวณ กม.ที่ 67 ขาเข้ากรุงเทพมหานคร มีน้ำมันรั่วไหลออกมาจากตัวรถ และไฟเริ่มไหม้ จึงเร่งให้การช่วยเหลือโดยนำถังดับเพลิงในรถสายตรวจของตำรวจทางหลวงออกมาทำการฉีดดับไฟ ขณะนั้นเพลิงโหมแรงขึ้น มีแนวโน้มว่าจะไม่สามารถควบคุมเพลิงได้ จนท.ตำรวจทางหลวงจึงได้ช่วยกันส่งสัญญาณขอรับการสนับสนุนถังดับเพลิงจากรถบรรทุกพ่วงที่ขับผ่านมา อีก 2 ถัง เพื่อนำมาระดมฉีดดับเพลิง จนสามารถควบคุมเพลิงได้ ก่อนนำผู้บาดเจ็บออกมาจากรถและปฐมพยาบาลเบื้องต้นได้อย่างอย่างปลอดภัย จากนั้นได้นำตัวผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาลเพื่อเข้ารับการรักษาต่อไป

เหตุการณ์ที่สอง เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2567 เวลาประมาณ 09.45 น. ขณะ ร.ต.อ.พีระยุทธ์ โนวัฒน์ รอง สว.(จร.) สภ.เมืองกระบี่ และ จ.ส.ต.นนทวัช แก่นเมือง ผบ.หมู่ (จร.) สภ.เมืองกระบี่ ได้รับแจ้งว่ามีอุบัติเหตุรถตู้โดยสารชนกับรถจักรยานยนต์ บริเวณถนนนาเตย ต.กระบี่ใหญ่ อ.เมืองกระบี่ จึงรีบไปที่เกิดเหตุเพื่ออำนวยความสะดวกด้านการจราจรและรักษาความปลอดภัย พบว่าผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ได้รับบาดเจ็บหมดสติ จึงได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่กู้ภัยกระบี่พิทักษ์ประชา และพลเมืองดีเข้าทำการช่วยเหลือและนำผู้บาดเจ็บออกจากรถจักรยานยนต์ที่ประสบอุบัติเหตุก่อนไฟลุกไหม้ท่วมทั้งคัน นำตัวส่งโรงพยาบาลเพื่อรับการรักษาต่อไป ส่วนรถจักรยานยนต์สามารถระงับเพลิงได้ในเวลาต่อมา 
 
ทั้ง 2 เหตุการณ์ดังกล่าว ได้รับการชื่นชมอย่างมากจากประชาชนที่พบเห็นเหตุการณ์และสื่อสังคมออนไลน์       

ในความพร้อม และการเดินทางมาที่เกิดเหตุด้วยความรวดเร็วของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทำให้สามารถช่วยเหลือผู้บาดเจ็บไว้ได้ รวมถึงขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจที่คอยดูแลประชาชนให้ปลอดภัยอยู่เสมอ  
 
พล.ต.ท.ประจวบ ฯ กล่าวว่า ทั้ง 2 กรณี ต้องขอบคุณและชื่นชมตำรวจจราจร สภ.เมืองกระบี่ ที่เดินทางไปที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็ว และตำรวจทางหลวงที่มีความพร้อมในเรื่องของการปฏิบัติหน้าที่ และอุปกรณ์ช่วยเหลือประชาชน มีถังดับเพลิงและชุดปฐมพยาบาลติดประจำรถตำรวจทางหลวงทุกคัน ทำให้สามารถช่วยเหลือประชาชนได้อย่างทันท่วงที ซึ่งการปฏิบัติหน้าที่อย่างรวดเร็วและการมีความพร้อมของเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้น แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในการดูแลพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง มีจิตวิญญาณของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ นับว่าเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับตำรวจทั่วประเทศ  
 
ทั้งนี้ พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์ ผบช.ประจำ สง.ผบ.ตร./หัวหน้าคณะทำงานฝ่ายเสริมสร้างภาพลักษณ์ตำรวจจราจร คณะทำงานขับเคลื่อนงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้แนะนำประชาสัมพันธ์ หากพี่น้องประชาชนพบเห็นหรือประสบเหตุ สามารถแจ้ง ขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทันทีตลอด 24 ชั่วโมง ทางช่องทาง 
- โทร. 191 จราจรทุก สน./สภ. ทั่วประเทศ  
- โทร. 1197 สายด่วนตำรวจจราจร ในเขตกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล  
- โทร. 1193 ตำรวจทางหลวงทั่วประเทศ  
- โทร. 1599 สายด่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ ช่วยนำส่งหัวใจดวงที่ 113 จากผู้ให้สู่ผู้รับได้สำเร็จ ช่วยให้หัวใจดวงนี้กลับมาเต้นอีกครั้ง

เมื่อวานนี้ (7 ก.พ.68) พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์ ผู้บัญชาการศึกษา ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานเสริมสร้างภาพลักษณ์จราจร ศูนย์บริหารงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กำกับดูงานงานจราจร ได้ให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาและอำนวยความสะดวกการจราจร การป้องกันและลดอุบัติเหตุ ตลอดจนการช่วยเหลือประชาชนที่ต้องการความช่วยเหลือบนท้องถนน ซึ่งล่าสุดได้รับรายงานว่าตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ กองบังคับการตำรวจจราจร ได้ช่วยเหลืออำนวยความสะดวกการจราจรเร่งนำอวัยวะหัวใจส่งโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ต่อลมหายใจให้ชีวิตใหม่เป็นหัวใจดวงที่ 113 โดยได้รับความร่วมมืออย่างดีจากประชาชน รวมถึงตำรวจทางหลวง จึงนำส่งได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย 

ทั้งนี้ ภารกิจนำส่งอวัยวะหัวใจครั้งล่าสุดนี้ เป็นการส่งต่อหัวใจดวงที่ 113 เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งหัวใจได้ถูกผ่าตัดออกจากผู้บริจาคเวลาประมาณ 11.00 น. แพทย์นำหัวใจเดินทางออกจากโรงพยาบาลใน จ.ลำปาง เวลา 11.43 น. ตำรวจทางหลวงลำปางเร่งเปิดทางนำส่งไปยังสนามบินลำปางอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาเพียง 4 นาที ซึ่งกระบวนการทั้งหมดมีเวลาอีกเพียง 4 ชั่วโมงเท่านั้นในการนำหัวใจปลูกถ่ายให้ผู้รับ ทำให้เร่งรัดต้องนำส่งให้ถึงโรงพยาบาลปลายทางก่อนเวลา 15.00 น. เครื่องบินยกตัวในเวลา 12.00 น. ใช้เวลา 2 ชั่วโมง ในการลำเลียงอวัยวะหัวใจมาถึงสนามบินแสงตะวัน ต.คลองสี่ อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ในเวลาประมาณ 14.00 น. และเวลาตาม GPS ต้องใช้เวลาถึง 1 ชั่วโมง 16 นาที เพื่อนำส่งโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ หากเดินทางปกติอาจทำให้เกินเวลาและเสียหัวใจดวงนี้ไป ศูนย์บริจาคอวัยวะสภากาชาดไทยจึงประสานขอสนับสนุนตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ ช่วยในภารกิจการนำส่งโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ หลังจากรับแจ้ง ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริได้นำกำลังไปรอรับบริเวณสนามบินแสงตะวัน เพื่ออำนวยความสะดวกการจราจร เร่งนำส่งอวัยวะหัวใจไปยังโรงพยาบาลจุดหมาย ใช้เส้นทางผ่านถนนมอเตอร์เวย์วงแหวนตะวันออก ขึ้นทางด่วนจตุโชติ-รามอินทรา ลงด่านพระราม 4 โดยมีรถจักรยานยนต์ของตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ จำนวน 7 คัน นำทางให้รถพยาบาล ซึ่งได้รับความร่วมมือจากประชาชนผู้ใช้เส้นทางที่ช่วยเปิดทางให้ ใช้เวลาปฏิบัติภารกิจเพียง 38 นาทีเท่านั้น นำส่งอวัยวะลุล่วงจนแพทย์สามารถปลูกถ่ายหัวใจ ต่อชีวิตใหม่ให้กับผู้รับบริจาคได้สำเร็จ

ทั้งนี้ พล.ต.อ.ไกรบุญฯ ชมเชยการปฏิบัติหน้าที่ของทีมตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ รวมถึงตำรวจทางหลวง ที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างมืออาชีพ มีทักษะคล่องแคล่ว สามารถให้ความช่วยเหลือ เป็นที่พึ่งของประชาชน และสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน ซึ่งถือเป็นหนึ่งตัวอย่างของตำรวจจราจรที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยจิตอาสาบริการ มีมาตรฐานสากล ตามแนวทางการสร้าง 'สุภาพบุรุษจราจร' ที่คณะทำงานเสริมสร้างภาพลักษณ์ตำรวจจราจรกำลังขับเคลื่อนสร้างมาตรฐานตำรวจจราจรทั่วประเทศ เพื่อยกระดับการบริการประชาชน สร้างความเชื่อถือศรัทธา 

นอกจากนี้ พล.ต.ท.นิธิธรฯ กล่าวว่า ขณะนี้ยังมีผู้รอรับการบริจาคอวัยวะอยู่ประมาณ 7,500 คนทั่วประเทศ จึงขอเชิญชวนประชาชนร่วมต่อลมหายใจให้กับผู้ป่วย โดย 1 ผู้ให้สามารถช่วยได้ 8 ชีวิต การบริจาคอวัยวะแก่เพื่อนมนุษย์ คือที่สุดแห่งการให้ โดยตำรวจจราจรพร้อมสานต่อเจตนารมณ์ของผู้บริจาค และเติมเต็มความหวังของผู้รับบริจาค เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างชีวิตใหม่ อำนวยความสะดวกนำทางส่งต่ออวัยวะสำคัญ ทั้งนี้ หากประชาชนต้องการความช่วยเหลือ สามารถติดต่อประสานงานตำรวจโครงการพระราชดำริ ได้ที่สายด่วนกองบังคับการตำรวจจราจร 1197


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top