Saturday, 14 June 2025
ชายแดนไทย

'รังสิมันต์' สนควงแขน ‘ผบ.ทบ.’ ดูงานชายแดนไทย ชี้!! งานความมั่นคงค่อนข้างอ่อนแอ ‘ไร้แผน-ทิศทาง’

(29 ธ.ค. 66) นายรังสิมันต์ โรม ประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ บอกว่า สนใจงานชายแดนที่ไป 2 พื้นที่ คือช่องจอม จ.สุรินทร์ ซึ่งได้รับความร่วมมือจากนายทหารที่รับผิดชอบในพื้นที่เป็นอย่างดี และมีการพูดคุยเวทีให้ประชาชนเข้าร่วมด้วย ส่วนพื้นที่อ.สังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี ที่มีปัญหาลักลอบนำยางพาราเถื่อนจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามา ที่อยู่ระหว่างการทำงาน ซึ่งพื้นที่ชายแดนมีปัญหามาก ก็นำมาซึ่งอาชญากรรมต่างๆ ที่ไม่เกิดเฉพาะชายแดน แต่ทำให้อาชญากรรมต่าง ๆ เข้ามาประเทศไทยได้ด้วย เบื้องต้นยินดี ทำงานร่วมกับกองทัพให้งานชายแดนให้มีความมั่นคงและปลอดภัย แก้ปัญหาสิ่งผิดกฎหมายต่าง ๆ ได้

“ตอนนี้ฝั่งชายแดนไทย-เมียนมา ตนมองว่า เป็นพื้นที่นัยสำคัญอย่างมาก คือ ความไม่สงบในเมียนมา ที่มีการเคลื่อนไหวกันอยู่ ประการแรกคือเราจะรับมืออย่างไร ต้องยอมรับว่าในพื้นที่เมียนมามีสิ่งผิดกฎหมายหลายอย่าง เช่น ยาเสพติด คนเข้าเมืองผิดกฎหมาย แก๊งคอลเซ็นเตอร์ คาสิโน ที่คนไทยจำนวนมากไปเล่น ไปเป็นลูกค้า เงินประเทศไทยไหลออก ไม่ได้เป็นสิ่งผิดกฎหมายซะทีเดียว แต่แก๊งคอลเซ็นเตอร์กับคาสิโน อยู่ด้วยกัน เป็นสิ่งที่เราต้องจัดเตรียม วางแผน ล่วงหน้าร่วมกัน ซึ่งพื้นที่ชายแดนหลักคือทหาร ซึ่งผมยินดีมาก หากมีการทำงานร่วมกันระหว่างกองทัพกับกรรมาธิการความมั่นคงฯ ว่าจะแก้ไขปัญหาอย่างไร เพราะงานด้านความมั่นคงค่อนข้างอ่อนแอ เพราะไม่มีแผนชัดเจนว่าทิศทางของความมั่นคง ไปในทางไหนกันแน่ที่จะส่งเสริมปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนชาวไทยอย่างแท้จริง”

ต่อข้อถามที่ว่า พื้นที่หลัก ๆ ที่จะไปกับกองทัพช่วงนี้จะเป็นพื้นที่ใด นายรังสิมันต์ ระบุว่า พื้นที่เมียนมาเป็นพื้นที่สำคัญที่เราให้ความสนใจมาก ลองให้จินตนาการ อาทิ เรื่อง ยางพารา ที่เป็นยางเถื่อน ประมาณ แสนตันนั้น อาจส่งผลกับยางพาราในประเทศไทยได้ ซึ่งบางครั้งการลักลอบไม่ใช่เฉพาะยางพารา แต่จะมียาเสพติดที่จะเข้ามาด้วย ที่จะได้แก้ปัญหาไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งทุกคนพูดถึงการแก้ปัญหาแต่รูปธรรมยังไม่มี

เมื่อถามว่า จะติดต่อ ผบ.ทบ.เพื่อดูในพื้นที่และไปด้วยกันหรือไม่ นายรังสิมันต์ ระบุ เจ้ากรมยุทธการทหารบก ประสานงานกันใกล้ชิด กับ ผบ.ทบ. และเป็นที่ปรึกษาของกมธฯ วันนี้เราทำงานใกล้ชิด และประสานการดูแลคนไทยที่มีการค้ามนุษย์ ซึ่งการลงพื้นที่พร้อมกันก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจเช่นเดียวกัน

ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสงขลา สนธิกำลังกับตำรวจปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ รวบเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่ชายแดนไทย-มาเลเซีย

ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ผบช.สตม.) , พล.ต.ต.มานัด ศรีวงษา รอง ผบช.สตม. , พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม. , พล.ต.ต.ทรงโปรด สิริสุขะ ผบก.ตม.6 นำกำลัง ตม.จว.สงขลา ผนึกกำลังร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.สะเดา , เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.3 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) บช.ก , เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ. คลองแงะ และเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.6 กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) บช.ก. เมื่อวันที่ 6 มี.ค. 2567 เวลาประมาณ 14.50 น. ได้ร่วมกันจับกุม MR.CHEONG KOK WAI  อายุ 43 ปี สัญชาติ มาเลเซีย  

เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสงขลา ได้รับการประสานว่ามีบุคคลต้องสงสัยตามหมายจับ ผ่านพรมแดนเข้ามายังประเทศไทย จึงขอให้ตำรวจ สภ.สะเดา ตั้งจุดสกัด ต่อมาได้พบรถเก๋งยี่ห้อ Mercedes-benz  ติดแผ่นป้ายทะเบียน WA868W จึงตามไปถึงบริเวณแยกไฟแดงควนสะตอ เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้หยุดรถและแสดงตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจสอบ พบ MR.CHEONG KOK WAI สัญชาติมาเลเซีย ได้เชิญตัวมายัง สภ.สะเดา ตรวจสอบพบหมายจับดังกล่าว สอบถาม MR.CHEONG KOK WAI ผู้ถูกจับกุมให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และไม่ขอให้การในชั้นจับกุม

พ.ต.อ.ชินวุฒิ ตั้งวงษ์เลิศ ผกก.ตม.จว.สงขลา กล่าวว่า การจับกุมในครั้งนี้ ผบช.สตม.มีนโยบายให้เข้มงวดคัดกรองตรวจสอบประวัติบุคคล ไม่ให้มีผู้กระทำความผิดกฎหมายเข้ามาสร้างความเสียหายแก่ประเทศไทยได้ จึงขอฝากข้อมูลถึงประชาชน หากพบเบาะแสสามารถแจ้งได้ที่สายด่วนสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง 1178

สถานการณ์ความรุนแรงใน ‘เมียนมา’ เริ่มจะเบาบางลง เหตุ!! ‘งบน้อย-จีนออกมาปราม-เตรียมเดินหน้าเจรจา’

(12 ต.ค. 67) หลายวันก่อนเอย่าไปคุยถึงสถานการณ์เมียนมากับมิตรสหายสายข่าวกรองในเมียนมาท่านหนึ่งว่าทำไมช่วงนี้ความรุนแรงในเมียนมาเหมือนจะเบาบางลงอย่างเห็นได้ชัด มิตรสหายท่านนั้นได้บอกเหตุผลที่น่าสนใจทีเดียว

อันแรกคือการที่ประเทศผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการกำลังมีการจะมีเลือกตั้งผู้นำ  ทำให้นโยบายต่างประเทศไม่ชัดเจนดังนั้นพอเงินที่มาน้อยลงใบเสร็จก็ลดลงตาม

ประเด็นที่ 2 การที่จีนผู้เคยเป็นผู้สนับสนุนหลักของกลุ่มกองกำลัง 3 พี่น้องออกโรงมาปรามกลุ่มกองกำลัง 3 พี่น้องอันมาจากเหตุที่เข้าไปยึดล่าเสี้ยว ทำให้สถานการณ์ทางเหนือของเมียนมาเงียบลง

ล่าสุดทางรัฐบาลทหารเมียนมาได้ออกประกาศเชิญชวนชนกลุ่มน้อยต่าง ๆ รวมถึงกลุ่ม PDF ไปถึง NUG ให้เข้ามาเจรจาสันติภาพเพื่อเปิดทางสู่การเลือกตั้งในเมียนมา ซึ่งแน่นอนว่าประกาศนี้ถูกฝ่าย NUG ออกมาตอบโต้ทันทีว่าไม่เข้าร่วม ซึ่งถ้าถามเอย่าว่าแปลกใจไหมบอกเลยว่าไม่มีอะไรน่าแปลกใจ เพราะทางรัฐบาลทหารเมียนมาก็ต้องการคำตอบนี้จาก NUG เช่นกันและผลักดันให้ NUG กลายเป็นตัวร้ายในสายตาชาวโลก

การที่เมียนมากล้าทำแบบนี้เพราะมีพันธมิตรที่แข็งแกร่งให้การช่วยเหลือ อันได้แก่รัสเซีย จีน และอินเดีย ดังปรากฏให้เห็นแล้วว่าเมื่อจีนกับอินเดียเป็นแบ็กอัปให้เมียนมาทำให้สถานการณ์ทางเหนือและฝั่งตะวันตกเบาบางลงเหลือเพียงสถานการณ์ฝั่งตะวันออกเท่านั้น

จากสถานการณ์สงครามในเมียนมาฝั่งตะวันออกติดแนวชายแดนไทยทำให้มูลค่าส่งออกลดลงนับหลายพันล้านบาทนี่ไม่นับปัญหาที่ไทยจะต้องมานั่งรับผิดชอบไม่ว่าจะเป็นปัญหาผู้อพยพหนีเข้าเมืองผิดกฎหมาย ผู้อพยพเข้ามาแย่งงานแย่งอาชีพคนไทยไปถึงการฟอกขาวเป็นคนไทย ปัญหาอาชญากรรม ยาเสพติดสุดท้ายคือการที่ไทยกลายเป็นแหล่งระดมทุนซื้อขายอาวุธส่งให้ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลเมียนมา

ทั้งหมดที่เอย่ากล่าวมานี้คือผลกระทบที่เกิดขึ้นแล้วในประเทศไทย แต่ทว่ารัฐบาลไทยก็ดี กองทัพไทยก็ดี ยังไม่มีนโยบายที่ชัดเจนในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ หรือจะเข้ามาเป็นอีกหนึ่งประเทศที่ช่วยสร้างความสงบสุขในเมียนมา

เอย่าก็ไม่ได้อยากจะต่อว่ารัฐบาลและกองทัพไทยในเวลานี้เข้าใจว่าทั้งรัฐบาลไทยและกองทัพคงกำลังช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อนกับสถานการณ์วาตภัยอยู่ แต่การละเลยปัญหาประเทศเพื่อนบ้าน คนที่ได้รับผลกระทบก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากคนไทยด้วยกันเอง

สุดท้ายผู้นำรัฐบาลและผู้นำกองทัพไทยควรหัดมาถามชาวบ้านตาดำ ๆ ว่าเขารู้สึกอย่างไรที่มีต่างด้าวมากมายเพ่นพ่านในประเทศไทย

‘ฮุน เซน’ สร้างเรื่อง!! เพื่อปกป้องภาพลักษณ์ ชายแดนไม่ใช่จุดจบ แต่มันคือ ‘จุดเริ่มต้น’

ช่วงปลายเดือนพฤษภาคม 2568 ข่าวใหญ่ที่คนทั้งสองฝั่งชายแดนต้องจับตา คือเหตุการณ์ 'ปะทะชายแดนช่องบก' ระหว่างทหารไทย-กัมพูชา เสียงปืนดังไม่ถึงสิบนาที แต่ 'เสียงการเมือง' ดังไกลเกินค่าย และหนึ่งในเสียงที่ดังกว่าคนอื่น ก็คือ 'สมเด็จฮุน เซน' ถึงแม้จะไม่ใช่นายกรัฐมนตรีแล้ว แต่เขาก็ยังโผล่หน้ากล้อง พูดชัดๆ ว่า “ตรงนี้เป็นดินแดนของเรา! ฉันเคยนั่งอยู่ตรงนี้ในปี 2009 แล้วจะไม่ใช่ของเรายังไง?”

ใครฟังก็รู้สึกว่า ฮุน เซนดูโกรธ ดูจริงจัง เหมือนกำลังจะทวงแผ่นดินคืน แต่พอเรามองให้ลึกลงไป…
สิ่งที่เขาทำ อาจไม่ใช่แค่ 'การปกป้องชายแดน' แต่มันคือ 'การปกป้องภาพลักษณ์ของตัวเองและครอบครัว' จากบางอย่างที่ใหญ่กว่านั้น...

ในประเทศกัมพูชา มีเรื่องหนึ่งที่พูดกันมานานแล้วแต่ยังไม่เคยเคลียร์ คือความใกล้ชิดของฮุน เซนกับ 'เวียดนาม' ย้อนกลับไปปี 1979 ฮุน เซนคือคนที่เวียดนาม 'เลือก' มาตั้งรัฐบาลหลังโค่นเขมรแดง นับแต่นั้นมา เขาก็มีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับฮานอย
บางคนบอกว่า 'เวียดนามช่วยเรา' แต่บางคนกลับมองว่า 'เวียดนามครอบงำเรา'
และนั่นแหละ คือจุดอ่อนที่ฮุน เซนหนีไม่พ้น 

เพราะเมื่อเวลาผ่านไป คนรุ่นใหม่ในกัมพูชาก็เริ่มตั้งคำถาม
ทำไมเรายังยอมเวียดนามอยู่?
ทำไมรัฐบาลถึงลงนามแนวเขตที่อาจเสียเปรียบ?
ทำไมนักลงทุนเวียดนามได้สิทธิพิเศษเยอะกว่า?
คำถามพวกนี้แรงขึ้นทุกวัน
โดยเฉพาะในโซเชียลของกลุ่มเยาวชน นักศึกษา และ NGO

แล้วฮุน เซนตอบยังไง?
แทนที่จะตอบตรงๆ…
เขาหันหน้าไปยัง 'ชายแดน' แล้วพูดว่า
> “ไทยกำลังจะมายึดแผ่นดินเรา!”
จบเลยครับ
คนหันไปสนใจเรื่องภายนอก แทนที่จะตั้งคำถามกับเวียดนาม
เหมือนเวลามีคนถามเรื่องที่เราไม่อยากตอบ เราก็ชี้ไปทางอื่นแล้วพูดว่า
> “ดูนั่นสิ ไฟไหม้!”

พูดง่ายๆ คือ...
ฮุน เซนไม่ได้กลัวไทยรุกล้ำดินแดน
แต่เขากลัว 'คนในประเทศ' จะรุกล้ำความชอบธรรมของตระกูลตัวเอง

จบตอน
เหตุการณ์ที่ชายแดน คือหมากเบี่ยงประเด็น
คำพูดแข็งกร้าว คือกำแพงป้องกันศัตรูที่มองไม่เห็น
และในขณะที่โลกกำลังมองว่าไทย-กัมพูชาจะปะทะกันไหม?
ฮุน เซนกำลังชนะอยู่เงียบๆ บนกระดานภายในบ้านของเขาเอง

‘ฮุน เซน’ โพสต์เดือด!..ท้าทายไทยจับกุมนักเคลื่อนไหว สวมชุดเครื่องแบบทหารเขมร ปลุกปั่นสถานการณ์ชายแดน

(10 มิ.ย. 68) สมเด็จฯ ฮุน เซน ประธานองคมนตรีและประธานวุฒิสภากัมพูชา โพสต์ข้อความรุนแรงผ่านเฟซบุ๊ก Samdech Hun Sen of Cambodia เรียกร้องให้ทางการไทยจับกุมนักเคลื่อนไหวฝ่ายค้านกัมพูชาที่อาศัยอยู่ในไทย โดยกล่าวหาว่าเป็น “คนทรยศชาติ” ที่สมคบคิดกับศัตรูเพื่อทำลายประเทศตัวเอง และท้าทายว่าหากไทยไม่มีส่วนรู้เห็น ก็ควรกล้าหาญจับกุมส่งกลับกัมพูชา

สมเด็จฯ ฮุน เซน อ้างอิงแถลงการณ์จากคณะกรรมการตำรวจแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทยกัมพูชา ที่ชี้เป้าบัญชีโซเชียลมีเดีย TikTok "Amy Richard310" และเฟซบุ๊ก "Piseth P G EM" ว่าเผยแพร่ข้อมูลเท็จและวิดีโอโฆษณาชวนเชื่อ เพื่อบ่อนทำลายกองทัพและสร้างความเข้าใจผิดให้สาธารณชน โดยระบุว่าบุคคลเบื้องหลังคือ นายเอม พิเศฐ (Em Piseth) อายุ 37 ปี หัวหน้าเครือข่ายเยาวชนกัมพูชาทั่วโลกในประเทศไทย

ทางการกัมพูชากล่าวหาว่า นายเอม พิเศฐ ซึ่งเดิมเป็นชาวจังหวัดพระวิหารและปัจจุบันอาศัยอยู่ที่กรุงเทพมหานคร มีการสวมเครื่องแบบทหารปลอมอย่างผิดกฎหมาย และใช้โซเชียลมีเดียโพสต์เนื้อหาเชิงลบ กุเรื่องขึ้นเพื่อต่อต้านรัฐบาลกัมพูชาอย่างต่อเนื่อง 

ขณะเดียวกัน พลเอกเตีย เซ็ยฮา รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ปฏิเสธข่าวลือที่ถูกเผยแพร่ในคลิปดังกล่าวอย่างสิ้นเชิง โดยยืนยันว่ากัมพูชาไม่ได้ถอนทหารออก และเตือนนายเอมให้หยุดการกระทำดังกล่าว พร้อมกล่าวว่า “คุณไม่ใช่ทหาร คุณไม่ได้อยู่ในกัมพูชา อย่าสร้างปัญหาให้มากนัก... ไม่มีใครเชื่อคุณอีกแล้ว” โดยโฆษกตำรวจกรุงพนมเปญจึงเตือนประชาชนให้ใช้วิจารณญาณรอบคอบ ไม่หลงเชื่อข้อมูลที่ไม่มีแหล่งอ้างอิงชัดเจน และงดแสดงความคิดเห็นที่อาจสร้างความสับสน

ขณะนี้ทางการกัมพูชาอยู่ระหว่างสอบสวนและจะดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมาย พร้อมขอให้ประชาชนติดตามข้อมูลจากหน่วยงานภาครัฐเท่านั้น และขอให้อยู่ในความสงบเชื่อมั่นในการแก้ไขปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาของรัฐบาล กรณีนี้สะท้อนความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างรัฐบาลกัมพูชากับกลุ่มนักเคลื่อนไหวฝ่ายค้านที่หลบหนีไปอยู่ในต่างประเทศ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top