Saturday, 19 April 2025
คณะแพทยศาสตร์

4 มิถุนายน พ.ศ. 2490  วันสถาปนา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นับเป็นคณะแพทยศาสตร์แห่งที่ 2 ของประเทศไทย

คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นหน่วยงานระดับคณะวิชาของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีพระราชกฤษฎีกาประกาศตั้งเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2490 มีผลบังคับใช้ในวันที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2490 โดยสังกัดอยู่ภายใต้มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ จนกระทั่งถูกโอนมาสังกัดจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในปี พ.ศ. 2510 เป็นคณะแพทยศาสตร์แห่งที่ 2 ของประเทศไทย ถือกำเนิดจากพระราชปรารภในพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร รัชกาลที่ 8 

การดำเนินการจัดตั้งคณะแพทยศาสตร์แห่งนี้เริ่มขึ้นภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลงเพียงแปดเดือนเท่านั้น ถือเป็นช่วงเวลาที่ประเทศไทย ประสบความยากลำบากทางการเมืองและเศรษฐกิจ อีกทั้งจำเป็นต้องมีการบูรณะบ้านเมืองที่เสียหายจากการทิ้งระเบิด คณะแพทยศาสตร์แห่งนี้จึงเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาวงการสาธารณสุขของประเทศ ในช่วงเวลาที่ประเทศกำลังอยู่ในภาวะวิกฤต ควบคู่ไปกับการพัฒนามาตรฐานแพทยศาสตรศึกษา 

ปัจจุบันคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นศูนย์ความร่วมมือขององค์การอนามัยโลก 3 สาขา ได้แก่ ศูนย์ความร่วมมือด้านแพทยศาสตรศึกษา ศูนย์ความร่วมมือด้านการวิจัยการสืบพันธุ์ของมนุษย์ ศูนย์ความร่วมมือด้านการวิจัยและฝึกอบรมด้านไวรัสและโรคติดต่อจากสัตว์สู่คน

แพทย์ไทย ใช้ ‘โมเลกุลมณีแดง’ รักษาผู้ป่วยสมองตาย ให้รับรู้และตอบสนองได้ พ้นจากสภาวะสมองเสียหาย 

คนไทยจำนวนมากคงได้รู้จัก ‘โมเลกุลมณีแดง’ ซึ่งเป็นโมเลกุลที่มีชื่อภาษาอังกฤษว่า ‘REDGEM’ อันย่อมาจาก REjuvenating DNA by GEnomic Stability Molecule ซึ่ง ศาสตราจารย์ ดร.นายแพทย์อภิวัฒน์ มุทิรางกูร ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และคณะ เป็นผู้คิดค้นและพัฒนา โดย ‘โมเลกุลมณีแดง’ มีคุณสมบัติในการย้อนวัยที่ DNA เป็นกลไกสำคัญที่จะใช้แก้ปัญหาสุขภาพในสังคมสูงวัยได้ และยังมีศักยภาพในการเพิ่มรายได้ให้กับประเทศไทยด้วย”

ศ.ดร.นพ.อภิวัฒน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านอณูพันธุศาสตร์และสภาวะเหนือพันธุกรรม ได้ค้นพบกลไกต้นน้ำของความชรา โดยพบว่า DNA ของคนหนุ่มสาวจะได้รับการป้องกันจากการมี DNA gap ซึ่งมีลักษณะเหมือนกับรอยแยกบนรางรถไฟที่ทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้รางรถไฟบิดเบี้ยวจากความร้อน ในขณะที่คนชราหรือเซลล์ชราจะมี DNA gap ลดลง DNA gap จึงเป็นที่มาของการพัฒนา ‘โมเลกุลมณีแดง’ หรือ REDGEM ซึ่งมีบทบาทในการสร้าง DNA gap เพื่อช่วยในการปกป้อง DNA และทำหน้าที่ป้องกันความแก่ชราใน DNA

หลังจากที่ได้มีการทดลองใช้มณีแดงศึกษาในสัตว์ทดลอง หนู หมู ลิงแสม และกระต่าย รวมแล้วหลายร้อยตัว คณะวิจัยก็พบว่า ‘โมเลกุลมณีแดง’ มีความปลอดภัยสูงจึงน่าที่จะเป็นความหวังในการรักษาคนไข้สมองตาย ในการทดลองครั้งหนึ่งมีการทำให้สมองส่วนทำการเคลื่อนไหวในหนูตาย และพบว่า หนูไม่สามารถขยับตัวได้ แต่เมื่อให้ ‘โมเลกุลมณีแดง’ ปรากฏว่า หนูมีอาการดีขึ้นเรื่อย ๆ จนหายเป็นปกติในเวลา 14 วัน จากการศึกษา ‘โมเลกุลมณีแดง’ ทำให้ทราบเป็นความรู้ใหม่ว่า ‘โมเลกุลมณีแดง’ สามารถเพิ่มจำนวนเซลล์สมอง (ในสมองที่ถูกทำลาย) และยังทำให้เซลล์สมองที่เสียการทำงานสามารถฟื้นกลับคืนมาจนทำงานได้เป็นปกติ

และนับเป็นข่าวที่ดียิ่งของมวลมนุษยชาติ เพราะในขณะนี้ได้มีการทดลองใช้ ‘โมเลกุลมณีแดง’ ในมนุษย์แล้ว หลังจากผ่านการทดลองใช้ ‘โมเลกุลมณีแดง’ ในสัตว์ทดลองแล้วหลายร้อยตัวอย่างปลอดภัย โดยได้ใช้ ‘โมเลกุลมณีแดง’ ในการทดลองรักษา ‘น้องการ์ตูน’ นส.ดวงกมล ไชยสายัณห์ ผู้ป่วยหญิง อายุ 28 ปี 11 เดือน ซึ่งเมื่อวันที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2565 ‘น้องการ์ตูน’ มีอาการหัวใจหยุดเต้น หรือสภาวะที่หัวใจทำงานผิดปกติ จนไม่มีการบีบตัวหรือหยุดเต้นทันที โดยไม่มีอาการเตือนล่วงหน้า (Sudden cardiac arrest) จนทำให้เกิดอาการสมองตาย หรืออาการบาดเจ็บของสมองอันเป็นพิษจากการขาดออกซิเจนในสมองอย่างสมบูรณ์ (Anoxic brain damages are caused by a complete lack of oxygen to the brain)

‘น้องการ์ตูน’ จึงกลายเป็นผู้ป่วยสมองตาย ซึ่งในช่วงแรก ๆ อยู่ได้ด้วยเครื่องช่วยหายใจ และรับอาหารทางสายยาง โดยรักษาตัวอยู่ในห้อง ICU ในโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งนับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา กระทั่งโรงพยาบาลที่ ‘น้องการ์ตูน’ พักรักษาตัวอยู่พิจารณาแล้วเห็นว่า ‘น้องการ์ตูน’ คงไม่สามารถรักษาให้ดีขึ้นหรือเป็นปกติได้แล้ว จึงเสนอให้ครอบครัวพา ‘น้องการ์ตูน’ กลับไปรักษาตัวที่บ้านจังหวัดขอนแก่น แต่ครอบครัวของ ‘น้องการ์ตูน’ ไม่ยอมละทิ้งความหวังใด ๆ โดยเฉพาะคุณแม่ของ ‘น้องการ์ตูน’ ผู้เป็นข้าราชการเกษียณของกรมอนามัย เคยเป็นพยาบาลมาก่อน และจบปริญญาโทด้านเวชศาสตร์การกีฬาจากคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แม้จะเข้าใจสถานการณ์ของ ‘น้องการ์ตูน’ เป็นอย่างดี แต่ก็ไม่ได้รู้สึกสิ้นหวังอย่างใด คงพยายามค้นหาวิธีการรักษาที่จะช่วยให้บุตรสาวอาการดีขึ้นกว่าสภาพที่เป็นอยู่

เมื่อคุณแม่ของ ‘น้องการ์ตูน’ ทราบถึงเรื่องราวเกี่ยวกับ ‘โมเลกุลมณีแดง’ ซึ่งน่าจะเป็นความหวังเดียวในการรักษาฟื้นฟู ‘น้องการ์ตูน’ ให้ดีขึ้นจากสภาพที่เป็นอยู่ จึงได้ติดต่อ ศ.พญ.อารีรัตน์ สุพุทธิธาดา ภาควิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟู ซึ่งท่านเคยเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของคุณแม่ของ ‘น้องการ์ตูน’ ในขณะที่เป็นนิสิตปริญญาโท และท่านได้กรุณาประสานติดต่อ ศ.ดร.นพ.อภิวัฒน์ หัวหน้าคณะผู้วิจัยฯ ‘โมเลกุลมณีแดง’ จึงมีการพูดคุยหารือกัน และครอบครัวของ ‘น้องการ์ตูน’ โดยคุณพ่อและคุณแม่ได้ร้องขอ และแสดงความสมัครใจที่จะให้ ‘น้องการ์ตูน’ ได้รับการทดลองรักษาด้วย ‘โมเลกุลมณีแดง’ ซึ่งในปัจจุบัน คณะผู้วิจัยฯ ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทาง อณูพันธุศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสภากาชาดไทยได้ทดลองทำการผลิตร่วมกัน โดยการทดลองรักษาด้วย ‘โมเลกุลมณีแดง’ ครั้งนี้ถือเป็นกระบวนการทางการแพทย์เพื่อรักษาผู้ป่วยสิ้นหวังด้วยหลักเมตตาธรรม หรือการรักษาด้วยหลักเมตตาธรรม (Compassionate treatment) ตามปฏิญญาเฮลซิงกิ ค.ศ. 2013 ของแพทยสมาคมโลก (WMA Declaration of Helsinki 2013) เป็นครั้งแรกของประเทศไทย

หลังจากที่ ‘น้องการ์ตูน’ นอนพักรักษาตัวในห้อง ICU ซึ่งแพทย์ได้ทำการรักษาตามอาการนาน 8 เดือนแล้ว แต่น้องก็ไม่มีอาการรับรู้ใด ๆ ทั้งสิ้น ซึ่งทางการแพทย์จัดว่า น้องอยู่ในสภาวะสมองเสียหายจนอยู่ใน ‘สภาพผัก’ (Anoxic brain injury vegetative state) และทำได้เพียงลืมตาเมื่อตอบสนองต่อการจับตัวแรง ๆ ของคุณพ่อและคุณแม่เท่านั้น อาการของน้องก่อนได้รับ‘โมเลกุลมณีแดง’ คือ
1. น้องต้องใช้เครื่องช่วยหายใจหลังจากมีอาการ ประมาณ 4 สัปดาห์จึงสามารถหายใจเองได้ และได้ถอดเครื่องช่วยหายใจออก ต่อมาอีกสัปดาห์น้องมีอาการไม่หายใจ แต่หัวใจยังทำงานจึงใช้เครื่องช่วยหายใจอีกครั้งเป็นเวลา 2 สัปดาห์ แล้วน้องก็สามารถหายใจเองได้อีก แล้วจึงไม่ได้ใช้เครื่องช่วยหายใจตั้งแต่นั้นอีก
2. น้องไม่รู้สึกตัว ไม่มีการตอบสนองต่อเสียงเรียก
3. สีหน้าและใบหน้าของน้องเรียบเฉย ไม่มีการแสดงอารมณ์และความรู้สึกใด ๆ
4. น้องสามารถลืมตาขวาได้ดี เมื่อถูกกระตุ้นด้วยความรู้สึกเจ็บ (Pain) ตาซ้ายลืมได้น้อยมาก บางครั้งหลับตาซ้าย บางวันตาซ้ายแดงและมีอาการบวมบ้างเล็กน้อย ตาของน้องจะมองตรงและนิ่ง ไม่มองตามเสียง ดวงตาไม่มีแววตา ไม่สามารถมองตามเสียงพูด
5. น้องไม่สามารถเอียงคอไปซ้าย-ขวาได้ นาน ๆ ครั้งจะพยายามยกคอ มีอาการตัวเกร็งและงอ ขางอเมื่อถูกกระตุ้น เช่นขณะดูดเสมหะ (Suction) หรือไอ
6. ปลายมือของน้องมีสีม่วงคล้ำ (Cyanosis) มือแบออก ไม่มีการกำมือ มือมักจะมีอาการเย็นข้างใดข้างหนึ่ง ขวาบ้าง ซ้ายบ้าง จับเท้าดูบางครั้งเย็นทั้ง 2 ข้าง และเท้าไม่สามารถขยับได้เลย

การตรวจร่างกายก่อนให้ ‘โมเลกุลมณีแดง’ เมื่อวันที่ 15/5/2566 อาการของ ‘น้องการ์ตูน’ คือ แขนและขาเกร็ง มือและเท้าเขียว หนังตาซ้ายตก (Ptosis) ลืมตาขวาเมื่อถูกกระตุ้นด้วยความรู้สึกเจ็บ (Pain) แต่ไม่สบตา น้องสามารถขยับตัวได้อย่างช้า ๆ เกร็งงอตัว หันซ้ายได้ช้ามาก

‘น้องการ์ตูน’ ได้รับ ‘โมเลกุลมณีแดง’ โดสแรกเมื่อ 15 พ.ค. 2566 โดสที่ 2 เมื่อ 23 พ.ค. โดสที่ 3 เมื่อ 30 พ.ค. และโดสที่ 4 เมื่อ 7 มิ.ย. 2566 ต่อไปนี้เป็นการสรุปอาการของ ‘น้องการ์ตูน’ หลังจากที่ได้รับ ‘โมเลกุลมณีแดง’ 4 โดสแรกของน้องในเวลา 30 วัน โดยคุณแม่ของน้องดังนี้ :
1. ดวงตา น้องสามารถลืมตาเปิดได้มากขึ้นจนตาข้างขวาสามารถลืมตาได้โตเป็นปกติ ส่วนตาข้างซ้ายซึ่งเคยลืมตาเปิดแทบไม่ได้เลยก็สามารถลืมตาได้มากกว่าครึ่งของการลืมตาปกติ และอาการแดงของตาที่น้องเคยมีก็หายแล้ว และจากที่ดวงตาเคยไร้แววตาก็สามารถมองเห็นแววตาได้
2. น้ำตา เดิมช่วง 8 เดือนน้องไม่มีน้ำตาไหลออกมาเลย หลังจากได้รับยาแล้ว เมื่อแฟน เพื่อน มาเยี่ยม หรือเมื่อคุณแม่บอกให้หายเร็ว ๆ มีน้ำตาไหลออกมา 1 ถึง 2 หยด และช่วงสัปดาห์ที่ 4 ขณะคุณแม่พูดคุยเรื่องในอดีต น้องก็มีน้ำตาไหลออกมาต่อเนื่อง นานประมาน 15 ถึง 20 นาที พร้อมทั้งบีบมือแรงมากขึ้น
3. การตื่น น้องตื่นได้เร็วขึ้น เมื่อคุณแม่เรียกในขณะที่หลับอยู่ น้องสามารถตอบสนองต่อเสียงเรียก หรือพอคุณแม่แตะตัวเบาๆ ก็ลืมตาและขยับปากแสดงถึงอาการรับรู้ของน้อง
4. การรับรู้ จากการที่น้องพยายามมองตามเสียงพูดของบรรดาผู้ที่มาเยี่ยม และมีการเอียงคอหันตามเสียงพูด แสดงว่า น้องสามารถรับรู้เสียงและภาพได้
5. สีผิว สีผิวของน้องทั้งใบหน้าและแขน เปลี่ยนจากช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา จากที่ผิวเคยมีสีคล้ำเป็นขาวใสขึ้น เป็นสัญญาณที่ดีที่แสดงถึงระบบไหลเวียนของเลือดดีขึ้น (เกิดขึ้นตั้งแต่วันแรกที่น้องได้รับยา)
6. การเอียงคอ น้องสามารถเอียงคอได้ตามเสียงของเพื่ิอน ๆ ที่มาเยี่ยมเรียก โดยที่เพื่อน ๆ ยืนอยู่ทั้งด้านซ้ายและขวา น้องพยายามหันตามเสียงเพื่อนทางด้านซ้ายพร้อมกับมองตา เมื่อเพื่อนที่อยู่ทางด้านขวาพูดก็จะหันมาทางด้านขวาและมองตาแต่น้องยังทำได้ไม่ทุกครั้ง
7. มือ ปลายมือทั้ง 2 ข้างของน้องจากที่คุณแม่จับแล้วรู้สึกเย็น (ช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา) กลายเป็นอุ่นขึ้นเช่นเดียวกับเท้าทั้ง 2 ข้าง ปลายมือและเล็บมือที่เคยมีสีม่วงคล้ำเปลี่ยนเป็นสีขมพู แสดงให้เห็นว่า ระบบไหลเวียนของหลอดเลือดส่วนปลายดีขึ้น(เปลี่ยนเป็นสีชมพูและอุ่นขึ้นตั้งแต่วันแรกที่น้องได้รับยา)
8. การบีบมือและกำมือ ในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา มือของน้องขยับไม่ได้เลยโดยมือแบออกตลอด จากที่ไม่สามารถกำมือได้หลังจากรับยาแล้ว น้องก็สามารถกำมือและแบมือได้ และสามารถบีบมือแรงจนคุณแม่รู้สึกได้อย่างชัดเจน
9. การเหยียดขาและขยับเท้า ในช่วง 8 เดือนก่อนรับยา น้องไม่สามารถเหยียดขาและขยับเท้าได้เลย หลังจากรับยาแล้ว น้องสามารถเหยียดขาและขยับเท้าได้บ้าง
10. การยกศีรษะ ยกตัว และยกแขน ในช่วง 8 เดือนที่น้องยังไม่ได้รับยา ยังไม่สามารถทำอาการเหล่านี้ได้เลย แต่หลังจากได้รับยาแล้ว ตั้งแต่สัปดาห์ที่ 2 ถึง 3 เมื่อคุณแม่กระตุ้นโดยการทำกายภาพบริหารแขนให้ น้องสามารถยกศีรษะ ยกตัว และยกศีรษะและเอียงศีรษะด้วยตัวเองได้มากขึ้น

ความสำเร็จของ “โมเลกุลมณีแดง” ในการรักษา‘น้องการ์ตูน’ ผู้ป่วยสมองเสียหายถาวร จนถือได้ว่า พ้นจากสภาวะสมองเสียหายจนอยู่ใน ‘สภาพผัก’ (Anoxic brain injury vegetative state) แล้ว นับเป็นความก้าวหน้าที่ยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ หรือความสำเร็จแห่งมนุษยชาติ ด้วยเป็นการรักษาอาการของโรคในลักษณะได้ผลเป็นครั้งแรกของโลกเลยก็ว่าได้ นับเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่นวัตกรรมที่มีคุณค่ายิ่งเกิดจากฝีมือของคณะนักวิจัยและนักวิทยาศาสตร์ของไทย และ ‘โมเลกุลมณีแดง’ จะเป็นกลไกสำคัญในอันที่จะใช้ในการแก้ปัญหาสุขภาพในสังคมสูงวัย ตลอดจนศักยภาพเชิงวิทยาศาสตร์การแพทย์ของ ‘โมเลกุลมณีแดง’ จะสามารถสร้างความมั่นคงด้านสุขภาพให้สังคมไทย และเพิ่มรายได้จากการให้บริการทางการแพทย์และสุขภาพกับประเทศไทยอีกด้วย

‘แม่น้องการ์ตูน’ โพสต์จากใจ ขอบคุณ ‘แพทย์จุฬาฯ’ ที่รักษาลูกสาว ผู้ป่วย ‘เจ้าหญิงนิทรา’ ให้กลับมารับรู้และตอบสนองได้

นางเพ็ญนิดา ไชยสายัณห์ คุณแม่ของน้องการ์ตูน ผู้ป่วยสภาวะสมองตายหรือสภาวะเจ้าหญิงนิทรา ได้โพสต์เฟซบุ๊ก เพื่อขอบคุณทีมแพทย์ จากโรงพยาบาลจุฬาฯ ที่ได้ช่วยรักษาลูกสาว จนทำให้อาการดีขึ้นมาตามลำดับ โดยระบุว่า ...

จากใจแม่ ❤️❤️❤️ วันนี้ ครบ9 เดือนแล้ว ที่น้องการ์ตูนลูกแม่ นอนพักรักษาตัว ที่ รพ.  ก่อนรับยา มณีแดง น้องนอนไม่รู้สติมานานถึง 7 เดือน  มาเดือนที่ 8  น้องได้มีโอกาสพิเศษมาก ๆได้รับการรักษาด้วยโปรแกรมหลักเมตตาธรรม ตามปฎิญญา เฮลซิงกิ ค.ศ. 2013  การใช้ยามณีแดง ในผู้ป่วยสมองเสียหายจากขาดออกซิเจน... เป็นความโชคดี ที่ทำให้แม่ได้รู้จัก ศ.ดร. นพ.อภิวัฒน์ มุทิรางกูล ผู้ค้นพบ REDGEMs  ที่ให้โอกาสน้องรับยามณีแดง หรือ REDGEMs ตั้งแต่เดือนที่8 ถึงวันนี้ 9 เดือนแล้ว น้องรับยา 5 โดสแล้ว  

แม่อยากบอกความรู้สึกถึงความมหัศจรรย์  2 เรื่อง คือ 1. น้องได้โอกาสรับยา มณีแดง เป็นคนแรก ของประเทศไทย จาก ศ.ดร.นพ. อภิวัฒน์ มุทิรางกูร ผู้ค้นพบ REDGEMs หรือ มณีแดง 2.มหัศจรรย์ของยา  น้องมีการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่ชัดเจนคือ  เพียง1วัน ผิวสดใสมาก จากผิวที่หมองคล้ำ  มือเท้าเย็นเป็นอุ่น เล็บเปลี่ยนจากสีม่วงคล้ำเป็นสีชมพู ทั้ง 2 ข้าง  แม่สังเกตทุกวัน น้องแสดงถึงการรับรู้ให้เห็น จากภาวะผัก หรือเจ้าหญิงนิทรา หลังให้ยาใน1 สัปดาห์ เป็นต้นไปการตื่นตัว เร็วขึ้น มีเสียง-แตะตัวเบาๆน้องก็ลืมตา น้องลืมตาโต-กะพริบตาเหมือนคนปกติได้ดีขึ้น จากเดิมที่เรียกแล้วจะตื่นช้ามากและลืมตาซ้ายแทบไม่ได้ เพราะมีอาการ หนังตาตก-ตามองไม่ตรง ตอนนี้ลืมตาได้เกือบเท่ากัน ทั้ง2 ข้างตาไม่เหล่ มองได้ตรงสมดุลย์ ตามีแววไม่เลื่อนลอย  น้องพยายามมองตามเสียงพูด  สีหน้าแสดงอารมณ์ มีขมวดคิ้ว มีน้ำตาไหล บางครั้งขยับปากอยากพูด ทำตามสั่งได้ เอียงคอไปซ้าย-ขวาได้  ทำตามสั่งได้ กำมือ-แบมือได้  แต่ต้องให้เวลาน้องสัก 2-3นาที

สิ่งที่น้องทำได้  แม่รู้สึกเหมือน ปาฏิหาริย์ ได้เกิดกับลูกแม่แล้ว  ❤️❤️❤️🙏🙏🙏 อาจารย์หมออภิวัฒน์ บอกว่าต้องให้เวลาสมองในการเจริญเติบโต ทำหน้าที่ และพัฒนาเรียนรู้ อีกเป็นเดือน .... ปี...  อาจารย์หมอ และพ่อ-แม่ บอกได้ว่า .....  ณ วันนี้  น้องกลับมาแล้ว ❤️❤️❤️ น้องมีการรับรู้แล้ว เพียงแต่ยังสื่อสารยังไม่ได้  💓💓💓 ยังพูดไม่ได้  น้องเจาะคอ รอเพียงให้น้องแข็งแรงขึ้นเท่านั้น  แม่จะเฝ้าดูแล ฝึกพัฒนาการ-การเรียนรู้ให้น้องอย่างใกล้ชิดทุกวัน ด้วยแม่มีความรู้ทางการพยาบาลและเวชศาสตร์การกีฬาที่เรียนมา ....  จะกี่วัน กี่เดือน  แม่ก็จะรอให้น้องกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม แม่จะรอด้วยความหวัง ซึ่งแม่เชื่อว่า  ผลของยามณีแดง ที่อาจารย์ให้เป็นโดส ทุกสัปดาห์  อย่างต่อเนื่อง น้องจะดีขึ้นทุกวันๆ   ❤️❤️❤️

ด้วยอานิสงค์  จากผลการใช้ยาที่เกิดความสำเร็จนี้  🙏🙏🙏ขอให้ ผู้ป่วยภาวะสมองเสียหายที่ญาติรอคอยด้วยความหวัง ได้มีโอกาสรับยามณีแดง เพราะยิ่งได้รับเร็ว ยิ่งจะช่วยให้เซลสร้างตัวขยายตัวเร็ว  และเซลกลับมาทำงานเป็นปกติได้เร็ว ผู้เป็นพ่อแม่รอคอยลูกกลับมาทุกลมหายใจ
       

👍👍👍ศ.ดร.นพ. อภิวัฒน์  มุทิรางกูร  แพทย์จุฬาฯ ผู้ค้นพบ โมเลกุล REDGEMs หรือ มณีแดง ยาอายุวัฒนะ วิทยาการสมัยใหม่ องค์ความรู้ใหม่ทางการแพทย์  มณีแดง  ช่วยสร้างเซลสมองใหม่ ระดับ DNA ช่วยต้านเซลล์ชราให้เซลล์ย้อนวัย ดิฉันขอกราบขอบพระคุณ ท่านผู้ให้โอกาสน้องได้รับยา มณีแดง  เป็นคนแรก ของประเทศไทย นี่คือ สิ่งมหัศจรรย์ ที่เกิดกับลูก ความสำเร็จนี้ คือดีใจมาก เป็นความหวังสูงสุดในชีวิตของพ่อ-แม่  ที่สุดคือเป็นความภาคภูมิใจแห่งวงการแพทย์ไทย ชาติไทย และเป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ   ❤️❤️❤️🙏🙏🙏❤️❤️❤️  และขอบคุณทุกท่านที่ให้กำลังใจค่ะ

‘ครอบครัวบุญญามณี’ รับโล่เกียรติคุณ เนื่องในวันมหิดล ปี 66 ในฐานะผู้บริจาคให้คณะแพทยศาสตร์ รพ.สงขลานครินทร์

(22 ก.ย. 66) ที่ห้องประชุมชั้น 14 อาคารเฉลิมพระบารมี โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ นายนิพนธ์ บุญญามณี อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยนางกัลยา บุญญามณี ภริยา ร่วมพิธีมอบโล่ประกาศเกียรติคุณแก่ผู้อุปการคุณมูลนิธิโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ (ม.อ.)

โดยภายในมีการแสดงวีดิทัศน์ ‘พระราชประวัติสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชกรม พระบรมราชชนก’ และวีดิทัศน์ ‘ภารกิจของมูลนิธิโรงพยาบาลสงขลานครินทร์’ มอบโล่ประกาศเกียรติคุณแก่ผู้อุปการคุณมูลนิธิโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ เนื่องในวันมหิดล ประจำปี 2566

ทั้งนี้ ครอบครัวบุญญามณี ได้ร่วมสมทบทุนบริจาคร่วมกับคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และ โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ในตลอดหลายปีที่ผ่านมา ประกอบด้วย การบริจาคสมทบทุนก่อสร้างศูนย์ผ่าตัดหัวใจรัฐบุรุษ โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ สมทบทุนก่อสร้างอาคารเย็นศิระ 3 ที่จัดสร้างขึ้น เพื่อเป็นที่พักของผู้ป่วยและญาติที่ขาดแคลนทุนทรัพย์จากต่างจังหวัด ที่มารับการรักษาที่โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ ตามแนวพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จ พระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร ผ่านมูลนิธิ รพ.สงขลานครินทร์ และสมทบทุนโครงการก่อสร้างอาคาร ‘เกิดมาต้องตอบ แทนบุญคุณแผ่นดิน’ ซึ่งจะเปิดเป็นศูนย์บริจาคอวัยวะ 99 ปี รัฐบุรุษ ‘พลเอกเปรม ติณสูลานนท์’

นอกจากนี้ นายนิพนธ์ บุญญามณี เมื่อครั้งที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่ากระทรวงมหาดไทย ได้ประสานขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล จำนวน 604 ล้านบาท ในวงเงินก่อสร้าง 1,499 ล้านบาท ผ่านการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี เพื่อก่อสร้างอาคารศูนย์ความเป็นเลิศและรองรับโรคอุบัติใหม่ อุบัติซ้ำ โรงพยาบาลสงขลานครินทร์อีกด้วย

น้อมสำนึกพระเมตตาธิคุณ ‘ในหลวงรัชกาลที่ 8’ ผู้พระราชทานกำเนิดคณะแพทยศาสตร์

เมื่อวานนี้ (2 ก.พ. 67) ผู้ใช้เฟซบุ๊ก Anucha Thaewanarumitkul หรือ อนุชา เทวานฤมิตรกุล ได้โพสต์ภาพอาคาอานันทมหิดล คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่มีข้อความระบุว่า “ให้มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ ผลิตแพทย์เพิ่ม มากขึ้นให้เพียงพอ ที่จะช่วยเหลือประชาชน” ซึ่งเป็นพระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล

สำหรับพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร พระองค์ท่านทรงสร้างคุณูปการต่อวงการแพทย์และการศึกษาเป็นอย่างมาก

ทรงเป็นผู้พระราชทานกำเนิดคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งในขณะนั้นประเทศไทยยังมีการศึกษาด้านการแพทย์อยู่เพียงแห่งเดียว พระองค์จึงให้จัดตั้งคณะแพทยศาสตร์แห่งที่ 2 ขึ้น ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย จากพระราชปรารภของพระองค์ ซึ่งมีใจความตอนหนึ่งว่า "ทรงต้องการให้มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ผลิตแพทย์เพิ่มมากขึ้นให้เพียงพอที่จะช่วยเหลือประชาชน" นั้น ได้ก่อให้เกิดความตื่นตัวแก่วงการแพทย์ในประเทศไทยเป็นอย่างมาก ด้วยทรงต้องการอำนวยประโยชน์สุขให้แก่ประชาชน ช่วยเหลือ ป้องกันรักษาให้ห่างหายจากโรคภัยไข้เจ็บทั้งปวงฃ

น้อมสำนึกในพระเมตตาธิคุณ และพระมหากรุณาธิคุณอันมีเป็นอเนกประการต่อปวงชนชาวไทย

‘นร.ร้อยเอ็ดวิทยาลัย’ สอบติดคณะแพทย์ 42 คน สร้างความภาคภูมิใจ ให้ ‘พ่อ-แม่-ครูอาจารย์’ 

(7 เม.ย.67) โรงเรียนร้อยเอ็ดวิทยาลัยแจ้งข่าวดี ปรากฏว่านักเรียนม.6 ของโรงเรียนสามารถสอบผ่านการคัดเลือกเข้าศึกษาต่อมหาวิทยาลัยในคณะแพทยศาสตร์ในปีนี้ถึง 42 คน

โดยจำแนกเป็น คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล  1 คน และคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น 41 คน

ขอแสดงความยินดีกับน้อง ๆ ทุกคน

4 มิถุนายน พ.ศ. 2490 วันสถาปนา ‘คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย’ คณะแพทยศาสตร์แห่งที่ 2 ของไทย ที่ถือกำเนิดจาก ‘ในหลวง ร.8’

คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นหน่วยงานระดับคณะวิชาของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีพระราชกฤษฎีกาประกาศตั้งเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2490 มีผลบังคับใช้ในวันที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2490 โดยสังกัดอยู่ภายใต้มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ จนกระทั่งถูกโอนมาสังกัดจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในปี พ.ศ. 2510 เป็นคณะแพทยศาสตร์แห่งที่ 2 ของประเทศไทย ถือกำเนิดจากพระราชปรารภในพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร รัชกาลที่ 8

การดำเนินการจัดตั้งคณะแพทยศาสตร์แห่งนี้เริ่มขึ้นภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลงเพียงแปดเดือนเท่านั้น ถือเป็นช่วงเวลาที่ประเทศไทย ประสบความยากลำบากทางการเมืองและเศรษฐกิจ อีกทั้งจำเป็นต้องมีการบูรณะบ้านเมืองที่เสียหายจากการทิ้งระเบิด คณะแพทยศาสตร์แห่งนี้จึงเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาวงการสาธารณสุขของประเทศ ในช่วงเวลาที่ประเทศกำลังอยู่ในภาวะวิกฤต ควบคู่ไปกับการพัฒนามาตรฐานแพทยศาสตรศึกษา

ปัจจุบันคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นศูนย์ความร่วมมือขององค์การอนามัยโลก 3 สาขา ได้แก่ ศูนย์ความร่วมมือด้านแพทยศาสตรศึกษา ศูนย์ความร่วมมือด้านการวิจัยการสืบพันธุ์ของมนุษย์ ศูนย์ความร่วมมือด้านการวิจัยและฝึกอบรมด้านไวรัสและโรคติดต่อจากสัตว์สู่คน

เชียงใหม่-คณะแพทยศาสตร์ มช. แถลงข่าวสื่อมวลชน โชว์ผลงานเด่นในรอบปี 2567

คณะแพทยศาสตร์ มช. จัดงานแถลงข่าวสื่อมวลชนประจำปี 2567ในโอกาสเฉลิมฉลองครบรอบ 65 ปี คณะแพทยศาสตร์ มช. ซึ่งเป็นกิจกรรมสำคัญที่แสดงถึงบทบาทและความก้าวหน้าของคณะฯ ในการเป็นส่วนหนึ่งของสถาบันการแพทย์ชั้นนำของประเทศไทย โดยมีการนำเสนอข้อมูลและความสำเร็จในด้านต่าง ๆ พร้อมทั้งแนวทางการพัฒนาในอนาคต ภายใต้ความร่วมมือของ โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ ศูนย์ศรีพัฒน์ และ ศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์

ศ.(เชี่ยวชาญพิเศษ)นพ.บรรณกิจ โลจนาภิวัฒน์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ มช. เปิดเผยว่า “คณะแพทยศาสตร์ มช. มีผลงานเด่นที่สร้างความภาคภูมิใจทั้งในด้านวิชาการ การวิจัย และการให้บริการสุขภาพ และเป็นศูนย์กลางความเป็นเลิศทางการแพทย์ในภาคเหนือ ที่มุ่งเน้นการพัฒนาวิชาการ วิจัย การผลิตบุคลากรทางการแพทย์ และการบริการสุขภาพ เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชนและสังคมในทุกมิติ โดยได้กำหนดทิศทางและแนวทางการพัฒนาที่สอดคล้องกับความท้าทายและการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย ผ่านนโยบายหลักที่สำคัญ 

ได้แก่ การพัฒนาศักยภาพด้านการศึกษาโดยเสริมสร้างหลักสูตรแพทยศาสตร์ให้ทันสมัยและตอบสนองความต้องการของสังคมสนับสนุนการเรียนรู้แบบบูรณาการและใช้เทคโนโลยี AI ในการศึกษาการแพทย์ สร้างบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญและจริยธรรม ส่งเสริมงานวิจัยและนวัตกรรมทางการแพทย์ ผลักดันงานวิจัยที่มีผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม เพิ่มโอกาสความร่วมมือด้านวิจัยในระดับนานาชาติผ่านศูนย์วิจัยระดับมาตรฐานโลก พัฒนานวัตกรรมที่ตอบสนองต่อปัญหาสุขภาพของประชาชน ยกระดับคุณภาพการบริการทางการแพทย์ ปรับปรุงโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ 

และศูนย์ศรีพัฒน์ ส่งเสริมศูนย์ความเป็นเลิศ (Centers of Excellence) ให้มีความทันสมัย มีนโยบายการรักษาเฉพาะทางที่มีความซับซ้อนสูง และขยายบริการทางการแพทย์ให้เข้าถึงชุมชนในพื้นที่ห่างไกล ด้วยคุณภาพระดับมาตรฐานสากล  ยกระดับชื่อเสียงของคณะแพทยศาสตร์ มช. สู่ระดับโลก พัฒนาความร่วมมือกับสถาบันการแพทย์ชั้นนำในต่างประเทศ เพื่อต่อยอดพันธกิจหลักทั้งการศึกษา การวิจัย และการบริการ ในปี 2567 คณะแพทยศาสตร์ มช. ได้ขับเคลื่อนโครงการเชิงรุกต่าง ๆ ที่เป็นรูปธรรม ได้แก่ การเปิดตัวเทคโนโลยีขั้นสูงทางการแพทย์ใหม่ในโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ ความสำเร็จของศูนย์วิจัยที่ได้รับรางวัลระดับนานาชาติ การเพิ่มจำนวนแพทย์ผู้เชี่ยวชาญผ่านโครงการพัฒนาบุคลากร และในปี 2568 จะมีแผนสร้างเครือข่ายด้านสุขภาพระดับภูมิภาคที่มีศูนย์กลางในเชียงใหม่ ผลักดันการวิจัยที่ต่อยอดเชิงพาณิชย์ที่สามารถนำไปใช้ได้จริงในระบบสาธารณสุข เพื่อขยายบทบาทของคณะแพทยศาสตร์ มช. ในฐานะผู้นำด้านสุขภาพของประเทศไทย และเดินหน้าสร้างความเป็นเลิศในทุกด้านเพื่อประโยชน์ของสังคมและประเทศชาติต่อไป”

จากการดำเนินงานในปีที่ผ่านมา ส่งผลให้คณะแพทยศาสตร์ และโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ได้รับรางวัลแห่งความภาคภูมิใจและผ่านการรับรองมาตรฐานจากองค์กรต่างๆระดับนานาชาติ ได้แก่ รางวัลการบริหารสู่ความเป็นเลิศ Thailand Quality Class+ (TQC+customer 2024)  The Best Quality Leadership Award 2024 จากองค์กร European Society for Quality Research ,รางวัล Certificate of Merit in Faculty Development 2024 , รางวัลนวัตกรรมการบริหารและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ปี 2023และ2024 , Thailand Social Award 2024 , รางวัลสถานศึกษาปลอดภัย ประจำปี 2567 ระดับดีเด่น , การรับรองมาตรฐาน HAIT level 2 ,การรับรองมาตรฐานสากล ด้านความ มั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ ISO/IEC และ Nursing Quality Assessment Award (NQA Award) 2024 โดยการได้รับรางวัลดังกล่าว เป็นหลักฐานสร้างความมั่นใจ ในการเป็นโรงเรียนแพทย์ในดวงใจ ของคณะแพทยศาสตร์ มช. 

รศ.นพ.นเรนทร์ โชติรสนิรมิต ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ เปิดเผยว่า “จากจำนวนผู้รับบริการของโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ ในปี 2567 โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ ได้ปรับปรุงพื้นที่ให้บริการของโรงพยาบาล โดยได้ปรับปรุงอาคารสุจิณฺโณ อาคารผู้ป่วยและอาคารที่เกี่ยวข้องได้แก่ หอผู้ป่วยสามัญ ชั้น 3,4,5,6,7,8,9,11 และหอผู้ป่วยพิเศษ ชั้น 12,13,14 อาคารสุจิณฺโณ , ห้องประชุมชั้น 15 สุจิณฺโณ , พิพิธภัณฑ์หลวงปู่แหวน “สุจิณฺโณ” , โถงชั้น 1 สุจิณฺโณ , ห้อง ICU ออร์โทปิดิกส์ ชั้น 4 , ศูนย์โรคทางเดินอาหาร ชั้น 2 , ห้องพิเศษ Palliative Care ชั้น 3 , ห้องผ่าตัดศัลยกรรมชั้น 2 อาคารผ่าตัด , ห้องผ่าตัดสูตินรีเวช ชั้น 3 , ห้องฉุกเฉิน One Stop Service , ห้องสวนหัวใจและหลอดเลือดและห้องเอ็มอาร์ไอหัวใจ , ปรับปรุงท่อแนวดิ่ง-ส่วนอาคารห้องงานระบบไฟฟ้า ดับเพลิง และห้องเก็บก๊าซทางการแพทย์และท่อลมขนส่ง 105 สถานี ทางโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ มุ่งเน้นการเป็นโรงพยาบาลในดวงใจ เพื่อคุณภาพและการให้บริการที่เป็นเลิศระดับมาตรฐานสากล

ด้านศูนย์ศรีพัฒน์ โดย ผศ.นพ. กสิสิน กลั่นกลิ่น รองผู้อำนวยการศูนย์ศรีพัฒน์ ผู้แทน ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์ ผู้อำนวยการศูนย์ศรีพัฒน์ เปิดเผยว่า “การให้บริการที่เพิ่มขึ้น ของปี 2567 ที่ผ่านมา ได้แก่การเพิ่มบริการคลินิกสูตินรีเวช เพิ่มบริการ O-shot PRP เพื่อฟื้นฟูสุขภาพและความมั่นใจของผู้หญิงด้วยเทคโนโลยี PRP (Platelet Rich Plasma) ,Wound Center เพิ่มบริการรักษาบาดแผลเรื้อรังด้วยเทคโนโลยี Vacuum Dressing ที่ช่วยเร่งกระบวนการหายของบาดแผล , Sleep Clinic เริ่มให้บริการ Home Sleep Test ซึ่งเป็นเครื่องมือตรวจการนอนหลับที่สามารถใช้งานได้ที่บ้าน เพื่อเพิ่มความสะดวกให้กับผู้ป่วย 

สำหรับแผนการเพิ่มบริการใหม่ในปี 2568  ห้องผ่าตัด (Operating Room - OR) นำเสนอเทคโนโลยีใหม่ที่ช่วยลดความเสี่ยงระหว่างการผ่าตัด เช่น ระบบนำทางผ่าตัด (Surgical Navigation) หรือเครื่องมือที่มีความแม่นยำสูง ,Wellness Center เพิ่มบริการที่ตอบโจทย์การดูแลรูปร่างและสุขภาพ ได้แก่ เทคโนโลยีกระชับสัดส่วน การฟื้นฟูภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อนสำหรับทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ,Resuscitation Unit วางแผนขยายพื้นที่ให้บริการสำหรับผู้ป่วยฉุกเฉิน และจัดตั้ง ทีมฉุกเฉินเคลื่อนที่เร็ว เพื่อตอบสนองกรณีฉุกเฉินได้อย่างมีประสิทธิภาพ แผนดังกล่าวมุ่งเน้นการตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้ป่วยด้วยการใช้เทคโนโลยีและการบริการที่ทันสมัย”

รศ.พญ.อรินทยา พรหมินธิกุล ผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ เปิดเผยว่า “ผลงานตลอดการดำเนินงานระยะเวลา 4 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2564 – 2568 ภายใต้การนำทีมบริหาร โดยการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ 4 ข้อ ได้แก่ ความเป็นเลิศด้านสุขภาพ การวิจัยและนวัตกรรม ความเป็นเลิศด้านบริการวิชาการ และความเป็นเลิศด้านการจัดการทรัพยากรและผลลัพธ์ สำหรับด้านความเป็นเลิศด้านสุขภาพ ศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์มีความมุ่งมั่นในการพัฒนาคุณภาพการให้บริการโดยที่มุ่งเน้นกลุ่มลูกค้าเป็นสำคัญ และยกระดับการให้บริการให้มีมาตรฐานตามมาตรฐานสากล ตั้งศูนย์เวชศาสตร์ผู้สูงอายุมีปริมาณผู้รับบริการที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบให้ผู้ใช้บริการได้รับบริการที่ไม่ทั่วถึง มีระยะเวลาการรอตรวจนาน  มีปัญหาตามจุดบริการต่างๆ ศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์จึงจัดตั้งศูนย์บริการผู้ป่วย หรือ Customer Service Center ขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกต่างๆแบบครบวงจร ซึ่งภายในศูนย์บริการผู้ป่วยประกอบไปด้วย เจ้าหน้าที่เวชระเบียน เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ และพยาบาลวิชาชีพ โดยจะทำหน้าที่ให้ข้อมูลต่างๆที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้บริการ ลงทะเบียนตรวจ ออกใบนัดตรวจ รับข้อร้องเรียนการให้บริการ ประสานงานเรื่องในกรณีคนไข้ที่ไม่สะดวกเดินทางมาโรงพยาบาล เช่น ส่งยาทางไปรษณีย์ เจาะเลือดที่บ้าน (Mobile LAB) และเยี่ยมคนไข้ที่บ้าน (Home visit)  รวมไปถึงคัดกรองอาการของผู้รับบริการเพื่อให้ผู้ใช้บริการได้รับการดูแลที่ทั่วถึง สะดวกสบาย รวดเร็วและเข้าถึงการบริการมากยิ่งขึ้น สามารถทำการติดต่อสอบถามได้ทั้งโทรศัพท์ ข้อความเฟสบุ๊ค และแอปพลิเคชันไลน์ ยกระดับการให้บริการให้มีมาตรฐานสากลผ่านการรับรองมาตราฐาน HA ขั้น 3 อาคารเวชศาสตร์ผู้สูงอายุ ,ผ่านการรับรองจาก สรพ. โปรแกรมการดูแลภาวะทางเดินหายใจ การอุดกั้นขณะหลับ (OSA) (ศูนย์วิเคราะห์สุขภาพการนอนหลับ) ,ผ่านการรับรองการพัฒนาคุณภาพสถานพยาบาลเฉพาะโรค หรือเฉพาะระบบคลินิคเบาหวานครบวงจรสําหรับผู้สูงอายุ (PDSC DM)  ,ผ่านการรับรองมาตรฐานสุขาภิบาลอาหาร SAN Plus “สะอาด ปลอดภัย ได้มาตรฐาน” มาตรฐานสุขาภิบาลอาหารภายใต้วิถีใหม่แบบยกระดับรับรองโดยสำนักงานสาธารณสุข จังหวัดเชียงใหม่ ,ห้องปฏิบัติการผ่านการรับรองความสามารถตามมาตรฐาน ISO 15190: 2020 และ ISO 15190: 2003จากสำนักมาตรฐาน ห้องปฏิบัติการ กระทรวงสาธารณสุข ,ผ่านการเยี่ยมสำรวจขององค์กรวิชาชีพเภสัชกรรมโรงพยาบาล ระบบยาและงานเภสัชกรรม จากสมาคมเภสัชกรรมโรงพยาบาล (ประเทศไทย)

คณแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ดำเนินการตามวิสัยทัศน์ในการผลิตบัณฑิตแพทย์ สร้างสรรค์งานวิจัย และดูแลผู้ป่วยด้วยมาตรฐานสากล ตลอด 65 ปี เรามุ่งมั่นในการเป็นโรงเรียนแพทย์ในดวงใจ เพื่อยกระดับสุขภาวะของมวลมนุษยชาติด้วยความเป็นเลิศทั้งการศึกษา การวิจัย และการบริการ ภายใต้เกณฑ์รางวัลคุณภาพระดับมาตรฐานสากล

คณะแพทยศาสตร์ มช.จัดงานวัน 'ต้อหินโลก' ภัยเงียบที่อาจนำไปสู่ภาวะตาบอดถาวร

คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยภาควิชาจักษุวิทยา จัดให้มีกิจกรรมงานวันต้อหินโลก เพื่อให้ความรู้แก่ผู้สนใจ ในเรื่องเกี่ยวกับต้อหิน ให้มีการตื่นตัว และทราบถึงความสำคัญของการตรวจตาในเวลาที่เหมาะสม ในวันที่ 13 มีนาคม 2568 ณ บริเวณห้องโถง ชั้น 1 อาคารเฉลิมพระบารมี ระหว่างเวลา 08.00 - 12.00 น. โดยได้รับเกียรติจาก รศ.พญ.อรินทยา พรหมินธิกุล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ เป็นประธานในพิธี

รศ.พญ.อรินทยา พรหมินธิกุล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ เปิดเผยว่า "โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ มีนโยบายจัดกิจกรรมเนื่องในวันต้อหินโลกอย่างต่อเนื่อง เพื่อเสริมสร้างความรู้และความตระหนักเกี่ยวกับโรคต้อหินให้กับประชาชน กิจกรรมเหล่านี้มุ่งเน้นการป้องกันและลดภาวะตาบอดจากโรคต้อหิน 

โดยภาควิชาจักษุวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผลักดันให้มีโครงการตรวจคัดกรองต้อหินประจำปี สำหรับกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุและผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นต้อหิน พัฒนาแนวทางการส่งต่อผู้ป่วยต้อหินให้เข้าถึงการรักษาได้รวดเร็วขึ้น บูรณาการการให้ความรู้เรื่องต้อหินในการอบรมบุคลากรทางการแพทย์ ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของการป้องกันและตรวจคัดกรองต้อหิน โดยหวังว่า มีผู้เข้ารับการตรวจคัดกรองต้อหินเพิ่มขึ้น สามารถพัฒนาแนวทางป้องกันและรักษาต้อหินได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดูแลและเฝ้าระวังโรคต้อหิน"

ผศ.นพ.ดำรงค์ วิวัฒน์วงศ์วนา อาจารย์ประจำหน่วยต้อหิน ภาควิชาจักษุวิทยา คณะแพทยศาสตร์มช. เปิดเผยว่า "ในปัจจุบันโรคต้อหิน เป็นสาเหตุของภาวะตาบอดของประชากรในเมืองไทยและทั่วโลกคิดเป็นอันดับสองรองจากโรคต้อกระจก แต่ภาวะตาบอดที่เกิดจากโรคต้อหินไม่สามารถรักษาให้กลับมาเห็นได้ตามปกติหากไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาตั้งแต่ระยะแรกของโรค อัตราความชุกของโรคต้อหินพบเพิ่มขึ้นตามอายุ 

ในประเทศไทย ผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปี พบมีความชุกของโรคร้อยละ 2 และเพิ่มเป็นร้อยละ 6 เมื่ออายุมากกว่า 60 ปี ผู้ป่วยต้อหินในระยะแรกจะไม่มีอาการผิดปกติ ไม่มีตามัว ไม่มีปวดตา ดังนั้นหากไม่ได้รับการตรวจตาเพื่อวินิจฉัยและรับการรักษาอย่างต่อเนื่อง ผู้ป่วยจะมีอาการตามัว มองเห็นภาพแคบลงเรื่อยๆจนกระทั่งตาบอดในที่สุด ปัจจุบันมีผู้ป่วยต้อหินเพิ่มมากขึ้นทั่วโลก ไม่เฉพาะแต่ในประเทศไทยเท่านั้น"

ภายในงานมีกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย อาทิ เสวนาวิชาการ ให้ความรู้เกี่ยวกับโรคต้อหินและแนวทางป้องกัน นิทรรศการ ให้ข้อมูลเกี่ยวกับโรคต้อหินและสุขภาพดวงตา บริการตรวจคัดกรองภาวะต้อหินและตรวจตาเบื้องต้น วัดความดันลูกตา ถ่ายภาพจอประสาทตา รับคำแนะนำจาก จักษุแพทย์ ตอบปัญหาชิงรางวัล และจับสลาก ชิงรางวัลฟรี! 

โรคต้อหินเป็นภัยเงียบที่อาจนำไปสู่ภาวะตาบอดถาวร หากไม่ได้รับการตรวจพบและรักษาอย่างทันท่วงที

'แพทย์จุฬาฯ รุ่น 35' ออกโรงค้าน!! ประเทศไทย ไม่พร้อมมี 'กาสิโน' ชี้!! พนันถูกกฎหมาย จะนำ ‘ความเสื่อมเสียทางศีลธรรม’ มาสู่สังคม

(7 เม.ย. 68) ศิษย์เก่า คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รุ่น 35 ออกแถลงการณ์คัดค้านร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร โดยระบุว่า พวกเรา ในนามของศิษย์เก่าคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รุ่นที่ 35 ผู้มีรายชื่อดังต่อไปนี้ ขอร่วมคัดค้าน ร่างพระราชบัญญัติประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร เนื่องจากเห็นว่า ร่างฯ ดังกล่าว มีการอนุญาตให้มีการเล่นการพนันอย่างถูกกฏหมายอยู่ จะนำมาซึ่งความเสื่อมทางศีลธรรมของสังคมไทยอย่างมาก

ประเทศไทยยังไม่พร้อมที่จะมีการพนัน แม้จะทำให้ถูกกฏหมายในช่วงเวลานี้ อีกทั้งกระบวนการบังคับใช้กฎหมาย หรือความโปร่งใสในการบริหารจัดการยังไม่เป็นที่ไว้วางใจ และยังไม่มีความชัดเจนในหลายส่วน เราไม่สนับสนุนการดำเนินการทางกฎหมายเพื่อให้มีการเปิดบ่อนการพนัน หรือกาสิโนในประเทศไทย จึงได้ร่วมลงนามคัดค้านการเสนอ พ.ร.บ. ดังกล่าว เข้าสู่สภาในช่วงเวลานี้

ขอให้รัฐบาลและนักการเมืองที่เกี่ยวข้อง โปรดพิจารณาให้ถี่ถ้วนอีกครั้ง

รายชื่อ แพทย์จุฬาฯ รุ่น 35 ที่คัดค้านคาสิโน
1.ศ.นพ.รื่นเริง ลีลานุกรม ประธานรุ่น 35 อดีตประธานราชวิทยาลัยวิสัญญีแพทย์ 
2.พญ.จันทร์ทิพย์ เอกศิลป์ 
3.นพ.พรเอก อภิพันธุ์ 
4.นาวาอากาศเอก พญ.ภัทรวดี นาราวงศ์ 
5.นาวาอากาศโท นพ.ศักดา นาราวงศ์ 
6.นพ.วิศิษฐ์ วทานิยกุล 
7.นพ. สมรัช หิรัญยะวะสิต 
8.นพ. สวัสดิ์ ไตรตรึงษ์ทัศนา 
9.นพ. ยุทธชัย ตริสกุล 
10.นพ. มนตรี ลักษณ์สุวงศ์ 
11.พญ.มณฑา ไชยะวัฒน 
12.นพ.นรินทร์ บัญชานุรัตน์ 
13.นพ.วิสิทธิ์ เสถียรวันทนีย์ 
14.นพ.ปริทรรศ ศิลปกิจ 
15.นพ.สมชาย ไวกิตติพงษ์ 
16.นพ.ชลทิศ อุไรฤกษ์กุล 
17.พญ.เอมอร วาสนสิริ 
18.นพ.ประพันธ์ ชนม์ยืน 
19.ศ.ดร.นพ.พรชัย สิทธิศรัณย์กุล 
20.นพ.พรชัย วงศ์อุไรเลิศกุล
21.พญฺ.สุจิตรา ทศบวร 
22.นพ.สมบูรณ์ ทศบวร 
23.นพ.โกวิท คัมภีรภาพ 
24.นพ.กิจชัย ภัทรกุลพงษ์ 
25.นพ.นรชาติ รัตนชาตะ 
26.นพ.ประดิษฐ์ ไชยบุตร 
27.พญ.สมนึก ไพบูลย์เกษมสุทธิ 
28.นพ.พิชญ์ ไพบูลย์เกษมสุทธิ 
29.นพ.สุนทร ไกรสุวรรณ 
30.นพ.ชัยชาญ ดีโรจนวงศ์ 
31.นพ.วิชาญ ลือสมบูรณ์ 
32.นพ.เสกสรรค์ แซ่แต้ 
33.นพ.เสถียร เทศวิเชียรชัย 
34.นพ.สมชาย จิตเป็นธม 
35.นพ.กนก กนกวงศ์นุวัฒน์ 
36.นพ.อดุลย์ สายสังข์ 
37.ศ นพ สุทธิพงศ์ วัชรสินธุ 
38.นพ.สมคิด วิระเทพสุภรณ์ 
39.นพ.ทิวา พงศ์บุญชู 
40.พล.ร.ท.วิชัย มนัสศิริวิทยา 
41.นพ.นเรศ วิไลสกุลยง 
42.นพ.ศิริพงษ์ ปาจรีย์
43.นพ.ชำนาญ เตชะนิรัติศัย 
44.นพ.พงศธร อาสนศักดิ์ 
45.นพ.พรสรรพ์ ปุญญาภิบาล 
46.นพ.พิชัย วิจักขณ์พันธ์ 
47.นพ.สามภพ สาระกุล 
48.พญ.วิภา สาระกุล 
49.นพ.ธีรพงษ์ บุญยะลีพรรณ 
50.นพ.วิชัย ลีวรรณนภาใส 
51.พลอากาศโท นพ.นพดล วีรยางกูร 
52.นพ.สมคิด สุพรรณ์ 
53.นพ.สงัด วงศ์สิโรจน์กุล 
54.นพ.ธวัช คงคาลัย 
55.ศ.นพ.เทวารักษ์ วีระวัฒกานนท์ 
56.พ.อ.(พ.) นพ.ประสิทธิ์ จงฤทธิพร 
57.นพ.ปัญญา สินธุรัตเวช 
58.นพ.สุธีร์ พันธ์ทองลาภทวี 
59.ศ.นพ.สมศักดิ์ คุปต์นิรัติศัยกุล 
60.พล.ต.ท.สุพล จงพาณิชย์กุลธร 
61.นพ.กัมปนาท ตั้งอมตะกุล 
62.พล.อ.ท ไกรเลิศ เธียรนุกุ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top