Friday, 17 May 2024
กลาโหม

ตีไข่ ใส่สี! ‘กห.’ สยบเฟกนิวส์ ยัน ‘แก๊งยากูซ่าไทย’ ถูกจับที่สหรัฐฯ ไม่ใช่ ‘ลูกชายปธ.องคมนตรี’ ย้ำ! แค่คนชื่อคล้าย

โฆษกกลาโหม ยันผู้ต้องหาคนไทย แก๊งยากูซ่าที่สหรัฐฯจับกุม คือ สุขสันต์ จุลนันท์ ไม่เกี่ยวข้อง "สันต์ จุลานนท์" ลูกชายประธานองคมนตรี แค่ชื่อ-นามสกุลคล้ายกัน พบมีคนบางกลุ่มบิดเบือน ทำเสียหายปล่อยข่าวปลอม ย้ำผู้ต้องหาไม่เคยเป็นทหาร ไม่มียศพลเอก

(16 เม.ย. 65) พลเอก คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกลาโหม ชี้แจงถึง กรณีมีการบิดเบือนข่าวการจับกุม 3 คนไทย ที่เป็นแก๊งค์ยากูซ่า ที่นิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา โดยระบุว่า ผู้ต้องหาชาวไทย คนหนึ่งชื่อ นายสุขสันต์ จุลนันท์ ว่าเป็น นายสันต์ จุลานนท์ ลูกชายพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ประธานองคมนตรี เพราะมีชื่อและนามสกุลคล้ายกันนั้นว่า ยืนยันว่า ผู้ต้องหา คนดังกล่าว ไม่ใช่ นายสันต์ จุลานนท์ และไม่เกี่ยวข้องใดๆกับ ประธานองคมนตรี

“ตอนนี้ มีการปล่อยเฟคนิวส์ ปล่อยข่าวบิดเบือน ไปเชื่อมโยงกับ บุตรชายประธานองคมนตรี เพิ่อหวังให้เกิดความเสียหาย จากการตรวจสอบกับระบบกำลังพลของกองทัพและทางตำรวจ ยืนยันว่า ผู้ต้องหาคนดังกล่าวชื่อนายสุขสันต์ จุลนันท์ ไม่ได้เป็นทหาร และไม่เคยเป็นทหาร และไม่ใช่นายสันต์ จุลานนท์ แต่อย่างใด ขอผู้ไม่หวังดี หยุดบิดเบือนข่าวในทุกช่องทาง" พลเอกคงชีพ ระบุ

พลเอกคงชีพ ระบุว่า นายสุขสันต์ จุลนันท์ เป็นคนไทยอาศัยอยู่ในอเมริกา และถือ 2 สัญชาติคือไทยและอเมริกา เป็นคนละคน กับนายสันต์ จุลานนท์ และยืนยันว่า ที่แชร์กันด้วยว่า เป็น พลเอกสุขสันต์ จุลานนท์ ก็ไม่เป็นความจริง เพราะไม่ได้เป็นทหาร แต่เพียงแต่มีชื่อและนามสกุลคล้ายๆกันเท่านั้น แต่ก็มีการมาเขียนตีไข่ใส่สี สร้างความเสียหาย
 

'เพื่อไทย' ซัด!! งบกลาโหม 8.5 หมื่นล้านบาท ประเคนกองทัพซื้ออาวุธ แบบไม่เห็นหัวประชาชน

ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ส.ส. พรรคเพื่อไทย ระดมพลอภิปรายขอให้สภาผู้แทนราษฎรปรับลดงบประมาณในส่วนที่เกี่ยวข้องกับงานด้านความมั่นคงในส่วนของหน่วยงานภายใต้กำกับของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งมีแนวโน้มในการคุกคามและแทรกแซงประชาชน รวมไปถึงขอให้ปรับลดงบประมาณในส่วนของกระทรวงกลาโหม ที่ยังคงมุ่งหน้าในการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์จำนวนมหาศาล ซึ่งขัดแย้งกับสถานการณ์ประเทศที่กำลังวิกฤต ประชาชนต้องเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจปากท้องอย่างหนักในขณะนี้

[+พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ส.ส.เชียงราย]

ในมาตราที่ 7 ซึ่งเป็นงบประมาณรายจ่ายของสำนักนายกรัฐมนตรีและหน่วยงานในกำกับ จะต้องปรับลดลง เนื่องจากนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีหน่วยงานในกำกับอยู่ถึง 27 หน่วยงาน มีงบประมาณรวมถึง 2.2 หมื่นล้านบาท รวมกับงบกลางเงินสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉินจำเป็น สำรองจ่ายได้อีก 9.2 หมื่นล้านบาท เป็น 1.1 แสนล้านบาท นอกจากนี้ยังรวมถึงหน่วยงานของ กอ.รมน. ที่เข้าไปล้วงลูกสั่งการหน่วยราชการในอีก 77 จังหวัดอีกด้วย ซึ่งใน 27 หน่วยงานนี้ก็มีบางหน่วยงานที่น่าจะตัดงบประมาณทั้งหมด เช่น สำนักงานคณะกรรมการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ และสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์กรมหาชน) เพราะทุกวันนี้ประชาชนก็ถูกหน่วยงานเหล่านี้คุกคามทางไซเบอร์อยู่ ยังไม่นับที่หน่วยราชการต่าง ๆ ที่ถูกล้วงลูกแทรกแซงอีก

[+ยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส. มหาสารคาม] 

ในงบประมาณ มาตรา 8 ในส่วนของกระทรวงกลาโหม ได้รับงบประมาณทั้งสิ้น 8.5 หมื่นล้านบาท โดยได้ระบุว่ามีความจำเป็นต้องปรับลด 10% ที่ได้ไปนำไปจัดซื้อเรือดำน้ำจากประเทศจีน แต่ภาวะวิกฤตเศรษฐกิจขนาดนี้ไม่สอดคล้องกับการซื้อเรือดำน้ำที่ไม่มีเครื่องยนต์ นอกจากนี้เครื่องยนต์ที่ทางการจีนต้องไปจัดหาสำหรับเรือดำน้ำที่ไทยตั้งใจจะซื้อต่อนั้น ยังเป็นเครื่องยนต์ที่ไม่มีทหารคนไหนบนโลกเคยใช้มาก่อน

นอกจากนี้ กระทรวงกลาโหมยังมีความพยายามจะจัดซื้อเครื่องบินรบ F-35A เป็นเครื่องบินใหม่ล่าสุดที่มีนวัตกรรมทางทหารและทางอวกาศที่ล้ำสมัย อย่างไรก็ตามการจัดซื้อเครื่องบินรบที่มียุทโธปกรณ์สูงเช่นนั้นไม่เหมาะสมกับวิกฤตเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน อีกทั้งยังไม่สอดคล้องกับงบประมาณแผ่นดินในเวลานี้ที่ต้องจำกัดจำเขี่ย ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นการตั้งงบประมาณไว้ลอยๆ อย่างไม่จำเป็น เพราะการจะซื้อเครื่องบินรบ F-35A นั้นจำเป็นต้องได้รับการอนุมัติจากสภาคองเกรส สหรัฐอเมริกาเสียก่อน ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีวี่แววใดๆ ว่าทางสหรัฐฯ​ จะอนุมัติขายให้

[+ทัศนีย์ บูรณุปกรณ์ ส.ส. เชียงใหม่]
ขอปรับลดงบประมาณกระทรวงกลาโหม 10% โดยเฉพาะงบที่จะใช้ในการเช่ารถหรูประจำตำแหน่ง Mercedes-Benz S500 ถึง 30 คัน ประเทศไทยมีนายพลจำนวนที่เยอะเกินกว่าที่จำเป็น หากนับย้อนไป 2561-2563 มีนายพลแต่งตั้งโยกย้ายมากกว่า 10,000 คน เท่ากับ 1 ต่อ 166 นาย ส่งผลให้งบประมาณรายจ่ายสูง อีกทั้งสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมยังมีงบลับจำนวนมาก ที่ไม่สามารถตรวจสอบได้ อีกทั้งการตั้งงบประมาณที่ไม่เกี่ยวข้องกับสายงานและไม่มีความจำเป็น เช่น การตั้งงบไอโอเพื่อโจมตีประชาชนที่มีความเห็นต่าง เป็นต้น

“ตั้งงบซื้ออาวุธทุกปี ถ้าไม่ซื้ออาวุธสักปี ประเทศไทยจะเสียเอกราชให้ใครหรือเปล่าคะ? หรือถ้าไม่ซื้อ ท่านนายกฯ จะตายหรือเปล่า ถ้าท่านนายกฯ จะเป็นจะตาย ดิฉันก็ยอมให้ท่านแล้วค่ะ จะได้เป็นบุญ แต่นี่ไม่ใช่ เพราะงบประมาณเป็นเงินภาษีประชาชน กองทัพที่ใหญ่โต งบประมาณที่เลอะเทอะ ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจที่ประชาชนกำลังหิวโหย ตั้งงบประมาณไม่เห็นหัวประชาชน จึงขอลดงบประมาณกระทรวงกลาโหม 10% เพื่อไปเพิ่มสวัสดิการและแก้เศรษฐกิจให้แก่ประชาชน”

[+วิสาร เตชะธีราวัฒน์ ส.ส. เชียงราย]
ขอปรับลดงบประมาณกระทรวงกลาโหมลง 9% ด้วยเหตุผล 2 ประการ

1.) ประเทศไทยมีโครงการทุนพัฒนาศักยภาพนักวิจัยด้านยุทโธปกรณ์เพื่อเพิ่มศักยภาพของกองทัพและการป้องกันประเทศ แต่กองทัพกลับไม่สนับสนุน กองทัพมุ่งแต่จะซื้ออาวุธทำให้เกิดปัญหาเงินไหลออก และประเทศขาดโอกาสในการพัฒนาด้านเศรษฐกิจและเทคโนโลยีอาวุธยุทโธปกรณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในปัจจุบันการซื้อขายอาวุธระหว่างประเทศได้มีนโยบายการซื้อสินค้าระหว่างประเทศที่ระบุให้ผู้ซื้อและผู้ขายอาวุธจะต้องมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านอาวุธ มีการลงทุนร่วมกันทั้งในภาครัฐและเอกชน เพื่อพัฒนาทักษะและพัฒนาอาวุธ ซึ่งประเทศเพื่อนบ้านเราต่างใช้นโยบายนี้ แต่ไม่ทราบว่ากองทัพไทยได้ดำเนินการในเรื่องนี้หรือไม่

'บิ๊กตู่' ยัน!! ทหารทุกเหล่าทัพ หนุนรัฐบาล รับมือ 'พายุโนรู' ย้ำ!! ต้องอยู่ช่วยประชาชนในพื้นที่จนกว่าน้ำจะลด

โฆษก กห. เปิดเผยว่า กห. โดยทุกเหล่าทัพ ที่มีหน่วยทหารในพื้นที่ 25 จว.ที่ประสบอุทกภัย ยังคงกำลังพล เครื่องมือช่าง ทำงานร่วมกับจิตอาสาและหน่วยงานในพื้นที่ ให้การช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่น้ำท่วมอย่างต่อเนื่องมา โดยเฉพาะ การเร่งช่วยกันบรรจุกระสอบทรายจัดทำคันกั้นน้ำในพื้นที่เศรษฐกิจและชุมชน การเบี่ยงทางน้ำและการเร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่ รวมทั้งการอพยพประชาชนออกจากพื้นที่ การอำนวยความสะดวกการสัญจรและการแจกจ่ายสิ่งของบรรเทาทุกข์แก่ประชาชนที่ยังอยู่ในพื้นที่

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รมว.กห. ได้ย้ำสั่งการให้ทุกเหล่าทัพ เตรียมกำลังและเครื่องมือช่าง พร้อมหนุนเสริมให้การช่วยเหลือทุกจังหวัด รับมือกับ “พายุโนรู” โดยให้ติดตามสถานการณ์ แจ้งเตือนประชาชนให้ทันเหตุการณ์และเข้าไปช่วยเหลือให้ทั่วถึงไม่ซ้ำซ้อน  พร้อมย้ำให้อยู่กับประชาชนในพื้นที่จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย

สำหรับในพื้นที่ กทม.และ จว.ปริมณฑล หน่วยทหารจากทุกเหล่าทัพ ยังคงสนับสนุน กทม.และจว.ปริมณฑลอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการเตรียมรับมือจากมวลน้ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยาที่เอ่อล้นมากขึ้น จากปรับการระบายน้ำ โดยอยู่ระหว่างเร่งกรอกกระสอบทรายเสริมความแกร่งคันกั้นน้ำริมเจ้าพระยา การเร่งดูดและผลักดันน้ำออกจากพื้นที่เก็บกักน้ำและคูคลอง รวมทั้งการกำจัดขยะวัชพืชและสิ่งกีดขวางทางน้ำจำนวนมากในลำน้ำสายหลักและรอง ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญของการระบายน้ำ

‘สุทิน’ รับ!! เข้าใจผิด ‘งบประมาณกองทัพ’ มาตลอด กระจ่าง!! ต้องประเมินคู่แข่ง เพื่อหาอาวุธที่ต่อกรกันได้

(9 พ.ย. 66) ที่วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานเปิดการศึกษาหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ 66 พร้อมให้นโยบายตอนหนึ่งว่า เป็นหลักสูตรที่มีความสำคัญในด้านของความมั่นคง ที่เป็นหลักสูตรมีคุณค่า และสถาบันนี้เป็นสถาบันหลักด้านความมั่นคงและยินดีกับทุกคนที่ได้มีโอกาสเข้ามาเรียน ซึ่งตนโชคดีในฐานะ รมว.กลาโหม ได้มาดูความมั่นคงของประเทศ

สิ่งที่มีคุณค่าคือ การเรียนรู้ร่วมกัน 1 ปีคือยุทธศาสตร์ของวปอ. ซึ่งตนก็เคยมาศึกษาแผนยุทธศาสตร์และงานวิจัยของ วปอ. หลายครั้งนับว่ามีคุณค่าอย่างยิ่ง ดังนั้นก็จะได้ทราบแผนของรุ่นที่ 66 ตนในฐานะมาดูแลความมั่นคง ก็ต้องมีการทำความเข้าใจให้ตรงกัน  แต่การพัฒนาประเทศไม่ได้ดูที่การศึกษาเพียงอย่างเดียว แต่ต้องดูองค์ประกอบอื่น ๆ ที่บางอย่างยังมีปัญหา ต้องดูว่าการศึกษาเป็นสิ่งที่ต้องพัฒนาประเทศ แต่ยังขัดแย้งในตัวเอง จากประสบการณ์ อาชีพ 

คนเก่งมีเยอะแต่ทำงานไม่เข้ากัน ในการพัฒนาประเทศแต่ละคนคิดตามมุมมองของตัวเอง อาทิ การเมือง ก็คิดแบบการเมือง การทหารก็คิดแบบการทหาร นักวิชาการก็คิดตามแบบนักวิชาการ เพราะฉะนั้นการพัฒนาประเทศจึงไม่เป็นเอกภาพ ทำให้เห็นว่าในหลายอาชีพก็มีความขัดแย้งกัน ต่างคนต่างมีมุมของตัวเอง ขาดจุดร่วมที่อยู่ร่วมกัน

ดังนั้น วปอ.มีจุดที่สำคัญคือ มีนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ เป็นศูนย์รวมคนเก่ง ทั้งทหาร ภาคเอกชน ซึ่งเป็นโอกาสดีของประเทศ ถือว่าเป็นทีมรวมดาราโลกมาอยู่รวมกัน มีทีมเวิร์กที่ดี ทำให้เห็นว่าการมาเรียนที่นี่จะทำให้มีเครือข่ายและมุมมองที่ดี

นายสุทิน กล่าวต่อว่า สงครามในปัจจุบัน เป็นการเสียเอกราชทางเศรษฐกิจ ที่ผ่านมาเราเคยเสียมาแล้วยุค IMF ซึ่งเอกราชทางด้านความมั่นคงเราต้องคงไว้ซึ่งความมั่นคงทางวัฒนธรรม แต่เด็กรุ่นใหม่ไปเอาวัฒนธรรมต่างชาติ ไม่มีเอาวัฒนธรรมของตัวเอง ตนมองว่าเอกราชทางเศรษฐกิจทางวัฒนธรรมเป็นสิ่งสำคัญ ต้องมีการเปลี่ยนแปลง 

ในการรักษาเอกราช ตนมองว่าภัยคุกคามใหม่ที่มีคือภัยจากข้างนอก คือการรบกันข้างนอก อาทิ รัสเซีย-ยูเครน การรบในอิสราเอล และในอนาคตก็จะเกิดสงคราม 2 ขั้ว ถ้าเราวางตัวไม่ถูกและไม่ดี ประเทศไทยก็โดนดึงเข้าไปร่วมด้วย เมื่อช้างชนกัน หญ้าแพรกอย่างเราก็มีปัญหา

ดังนั้นจะมีแนวทางเพื่อให้ประเทศไทยที่เป็นหญ้าแพรกจะได้อยู่รอดเมื่อช้างสารชนกันนอกจากนี้ยังมีภัยคุกคามใหม่ อีกหลากหลายซึ่งเราต้องคิดแผนขึ้นมาเพื่อดูแลในเรื่องดังกล่าว เนื่องจากภัยคุกคามทางทหารยังคงมีอยู่

นอกจากนี้ยังมีภัยคุกคามทางด้านความคิดที่เป็นภัยอยู่ในประเทศ เวลานี้คนไทยมีความคิดเห็นหลากหลาย ที่มีต่อสถาบันสำคัญของชาติ ถูกกระทบซึ่งเป็นภัยที่สำคัญ แตกแยกทางความคิดที่มีในโซเชียล นอกจากนี้มีภัยจากการไม่เชื่อมั่นสถาบันการเมือง ที่หากไม่มีอุดมการณ์ร่วมกัน ความขัดแย้งทางการเมือง จะทำให้เป็นภัยกับทุกเรื่อง รวมไปถึงภัยจากสิ่งแวดล้อมที่ต้องจัดการขณะนี้ไม่ลงตัว เช่น ฝุ่นละอองขนาดเล็กหรือ PM 2.5 อาชญากรรมข้ามชาติ อาชญากรรมไซเบอร์ แก๊ง Call Center ข้ามชาติ ที่มีการดูดเงินในบัญชีออกไปเป็นจำนวนมาก ตนมองว่าเป็นภัยคุกคามอย่างหนัก หากเราตั้งรับภัยพวกนี้ไม่ได้ก็จบ 

แต่อย่างไรก็ตาม ผู้บัญชาการทหารสูงสุดมีศูนย์ป้องกันทางไซเบอร์ดังนั้นอยากให้ศูนย์ไซเบอร์ฯ ของกองทัพไปคุ้มครองไซเบอร์ในหน่วยงานอื่น ๆ ด้วย นอกจากนี้ภัยจากโรคระบาดก็สร้างความเสียหายย่อยยับ ซึ่งปัจจุบันพบโรคอุบัติใหม่เพิ่มขึ้น หากเราไม่ตั้งรับ จะทำให้มีผลกระทบในหลายเรื่อง รวมถึงภัยยาเสพติด สมัยก่อนมีการเฝ้าระวังกลุ่มเสี่ยง แต่ปัจจุบันกลับกลายเป็นว่า เริ่มมีปัญหาในเรื่องของเด็กติดยาเสพติดที่อายุน้อยลงต้องป้องกันตั้งแต่อยู่ในครรภ์ 

จากที่ไปดูในศูนย์เด็กเล็กพบว่า มีเด็กไม่สมบูรณ์ เนื่องจากได้รับผลกระทบจากยาเสพติด เพราะพ่อแม่ซึ่งเป็นเยาวชนติดยาและมาแต่งงานกัน ในขณะนี้กลุ่มพวกยาเสพติดกระจายอยู่ในกลุ่มของผู้นำท้องถิ่น ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ที่ทำลายทุนมนุษย์ เป็นความเศร้าใจ 

ดังนั้นความมั่นคงทางทหาร ก็มีผลกระทบเนื่องจากการรับพลทหารเข้ามาก็มีเด็กติดยาทำให้กองทัพอ่อนแอ แม้มีเครื่องบินไอพ่น F-16 หรือยุทโธปกรณ์ที่เข้มแข็ง ยาเสพติดก็เป็นสิ่งที่น่าหนักใจเนื่องจากเป็นภัยมั่นคงที่เข้ามา รวมไปถึงการทุจริตคอรัปชัน ลามไปยังข้าราชการชั้นผู้น้อย จนสุดท้ายมาตกผลึก ของความยากจน ตอนนี้สิ่งที่สูญเสียกับเอกราชคือความยากจนของคนในชาติ เช่นคนในต่างจังหวัดที่มีที่ดินจำนวนมาก ขณะนี้การถือครองที่ดินลดลง ซึ่งชาวบ้านฐานใหญ่ ของประเทศมีที่ดินไม่ถึง 10% แม้ว่าจะมีที่ดินก็ยังติดภาระ ที่อาจจะหลุดลอยไป

นอกจากนี้ยังมีเรื่องของความเหลื่อมล้ำที่ทำให้เกิดสงครามประชาชนเป็นภัยที่มองไม่เห็น กองทัพก็จะเอาไม่อยู่ จากนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความสามัคคี เพราะจากนี้ไปกลายเป็นว่าทรัพย์สินต่างๆจะอยู่กับคนกลุ่มน้อย ซึ่งพวกเราต้องคิดให้หนัก โดยภัยคุกคามใหม่ กองทัพรับมือคนเดียวไม่ได้ ทหารเก่งขนาดไหนก็รับมือไม่ได้ และสุดท้ายจะเกิดความขัดแย้งในสังคมและสะสมหลายรูปแบบ ทั้งความยากจน ความข้นแค้น มีความกดดัน จนมาทะเลาะกันในสภาและมีการลงถนน 

โดยเราไม่มีวัฒนธรรมที่เกาะเกี่ยวเหนี่ยวนำ ดังนั้นทหารก็ต้องเข้ามาแก้ แต่ก็ยาก อีกทั้งยังจะโดนด้อยค่า ถูกแยกออกจากประชาชน บทสรุปที่สำคัญ คือการป้องกันราชอาณาจักรไม่ใช่หน้าที่ของคนไทยคนใดคนหนึ่ง ไม่ใช่เฉพาะหน้าที่ของทหารแต่เป็นของทุกภาคส่วน ทุกกระทรวงทำร่วมกันต้องช่วยกัน ตนหวังว่าทุกคนที่อยู่ที่นี่ ที่มาครบทุกสาขาอาชีพ และเป็นผู้ใหญ่ ตนเชื่อว่าทุกคนรักชาติและอยากเห็นประเทศชาติก้าวกระโดด 

คนที่มาเรียนวปอ.เป็นความหวังของกระทรวงกลาโหมในเรื่องของเครือข่าย ที่จะดำเนินงานและเป็นกำลังสำคัญ ส่วนกระทรวงกลาโหมจะทำอะไรได้บ้างนั้นในฐานะที่ตนเป็นพลเรือน และมีหลายคนพูดว่าจะรู้เรื่องของทหารและไม่ทะเลาะกับทหารหรือและเอามุมมองนักการเมืองมาทำงาน ตนขอเรียนให้สบายใจว่าความรับผิดชอบของประเทศเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดของประเทศ 

ตนมายืนตรงนี้ในฐานะตนเองและพรรค ก็ต้องรับผิดชอบ คือการปกป้องเอกราชสู้กับภัยคุกคามใหม่ ต้องทำให้กองทัพทันสมัย แข็งแกร่ง กะทัดรัด ไม่เช่นนั้นก็สู้ไม่ได้ รวมทั้งภารกิจ ต้องช่วยรัฐบาลแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ภัยธรรมชาติ ออกมาพัฒนาโดยนำทรัพยากรทางทหารมาช่วยเศรษฐกิจ กองทัพต้องมีเทคโนโลยีที่ทันสมัย ในการบริหารภายในกองทัพ เทคโนโลยีในการรบ ที่ต้องสู้กับเขาได้ อยู่แบบเดิมไม่ได้ 

"ซึ่งการจัดซื้ออย่าถามว่าจะซื้ออะไร แต่ต้องถามว่า ซื้อมาแล้วจะสู้อะไรกับเขาได้ ผมเข้าใจผิดมาตลอดเรื่องการจัดงบประมาณของกองทัพ จากเดิมที่เอาฐานเดิมมาทำ แต่กองทัพคิดอย่างนั้นไม่ได้ ต้องเอาคู่แข่งทางทหาร มาคิดด้วย อาทิ เมื่อเขามีเรือดำน้ำ มี F-16 ก็ต้องมีสิ่งที่นำมาสู้กับเขาได้ ซึ่งเป็นการตั้งงบประมาณดูคู่แข่งและคู่ต่อสู้ นับว่าเป็นความทันสมัยเช่นกัน นอกจากนี้ ต้องทันสมัยและอยู่ในใจประชาชน แม้กองทัพยิ่งใหญ่เกรียงไกรขนาดไหน ถ้าไม่อยู่ในใจประชาชนและได้ใจประชาชน ก็ไม่ได้ และสิ่งใดไม่อยู่ในใจประชาชนก็ต้องหลีกเลี่ยง" นายสุทิน กล่าว

‘สุทิน’ ขอให้มั่นใจ!! ไม่เอา ‘ข้าวเก่า’ ให้ทหารกิน ลั่น!! ทุกคนมาเป็นทหาร ‘ต้องอยู่ดี กินดี สุขภาพดี’

(13 พ.ค. 67) ที่กองพันมณฑลทหารบกที่ 15 ค่ายเพชรบุรีราชสิรินธร จ.เพชรบุรี นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและบำรุงขวัญกำลังพล หน่วยฝึกทหารใหม่ โดยได้มีการรับรายงานผู้บังคับบัญชาประจำกองถึงจำนวนผู้สมัครเข้ามาเป็นทหารเกณฑ์ พร้อมชมวิธีการฝึกทหารและปฐมพยาบาลเบื้องต้น จากนั้น ได้มอบสิ่งของเครื่องใช้ให้นายทหารใหม่ ที่มีภรรยาและลูกน้อย จำนวน 2 ราย 

โดยนายสุทิน ได้ให้โอวาทกับทหารใหม่ ว่า วันนี้ตนดีใจที่ได้มาพบมาเยี่ยม เพราะตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ก็ได้คิดและทุ่มเทกับการที่จะให้พวกเราซึ่งเป็นทหารใหม่เข้ามาในค่ายอย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีอนาคตที่ดี และเพื่อให้กองทัพมีกำลังพลที่มีคุณภาพแข็งแกร่ง ฉะนั้น การคิดและการออกมาตรการมา วันนี้ได้มาเห็นดอกผลในสิ่งที่เราคิด ซึ่งก็ดีใจและมีความสุขหลายเรื่อง เดิมทีวันนี้คิดว่าต้องมามอบนโยบายเพิ่มหลายอย่าง แต่เมื่อเข้ามาแล้วเห็นว่านโยบายที่ตนคิด ทางผู้บังคับบัญชามอบให้ไปแล้วและลงมือปฏิบัติแล้ว ซึ่งเป็นผลที่น่าพอใจ จึงแทบจะไม่ต้องมอบนโยบายอีก 

“ขอย้ำว่า ผมอยากคุยกับทหารใหม่ว่ายินดีกับพวกเราที่ได้เข้ามาเป็นทหาร ความเป็นลูกผู้ชาย ผมคิดว่าประสบการณ์สำคัญที่สุดคือประสบการณ์ที่จะต้องมาฝึกความเข้มแข็ง มาฝึกวิทยาการและการเตรียมความพร้อมที่จะรับใช้ประเทศชาติในบทบาทของการที่จะเป็นผู้ป้องกันประเทศ วันนี้ยินดีด้วยที่ได้รับโอกาสที่ดี และยินดีด้วยที่มาในยุคที่เราเป็นทหารที่ไม่ใช่มาเสียโอกาส แต่เรามาได้โอกาสที่ดี ส่วนอะไรบ้างที่เป็นโอกาสที่ดีก็อยากจะย้ำว่าเราอยากจะรับใช้ชาติ มาฟื้นฟูร่างกาย มาสร้างเสริมร่างกายให้แข็งแกร่ง หมายความว่าเรามาฝึกที่นี่เพื่อให้ร่างกายที่แข็งแรงถือเป็นลาภอันประเสริฐ เป็นโชคที่ดี เพราะหากอยู่บ้านก็ไม่มีโอกาสได้ดูแลสุขภาพที่ดีเช่นนี้ ตรงกันข้ามอาจปล่อยปะละเลย แต่การมาอยู่นี่ทำให้เราได้ฝึกระเบียบวินัย ซึ่งจะทำให้เราได้กำไรชีวิต” นายสุทิน กล่าว

นายสุทิน กล่าวด้วยว่า หลายคนพลาดพลั้งในชีวิต เช่น อาจจะเผลอไปเสพยาเสพติด เลิกไม่ได้ แต่เชื่อมั่นว่าหากพวกเรามาอยู่ที่นี่ มาเป็นทหาร ก็จะสามารถหันหลังให้กับยาเสพติดได้ ถือเป็นโอกาสที่ดี กระบวนการที่นี่จะดูแลเอาใจใส่พิเศษกับคนที่เป็นกลุ่มเสี่ยง คนที่เสพยาเสพติดไม่ใช่คนชั่ว แต่อาจจะผิดพลาดไป ทุกคนเป็นคนที่มีคุณค่าต่อครอบครัวและสังคม จึงต้องให้โอกาส และเชื่อว่าพวกเขาจะหายได้

นายสุทิน กล่าวต่อว่า เรามาอยู่ที่นี่ไม่ได้มาอยู่เปล่า ๆ ตนเห็นในประเทศเพื่อนบ้านที่สมัครไปเป็นทหาร เขาไม่ได้รายได้สักบาท มีแค่ข้าวกิน และมีที่นอน แต่ของเรามีเบี้ยเลี้ยงให้ เงินที่ได้บางคนอาจคิดว่าน้อยแต่บางคนอยู่บ้านก็ไม่เคยมีรายได้เช่นนี้ ซึ่งก็เป็นรายได้ที่ไม่น้อย และบางคนส่งให้ครอบครัวใช้ด้วย หรือบางคนเมื่อฝึกจบก็มีเงินติดตัวไป 20,000-30,000 บาท นอกจากนี้ ยังจะเรียนหนังสือด้วย ซึ่งทางกระทรวงกลาโหมก็ได้มีการจัดระบบการศึกษาให้กับนายทหารใหม่ทุกระดับ เพื่อให้สามารถศึกษาต่อได้เมื่อฝึกจบ และเมื่อปลดประจำการก็สามารถได้วุฒิได้เลย ตนบอกได้เลยว่ายุคนี้คนที่โชคดีที่สุดคือคนที่ได้เข้ามาเป็นทหาร เป็นคนที่มีสิทธิ์พิเศษเพราะจะสามารถรับราชการทหารและตำรวจนั้นได้ไม่ยาก เนื่องจากได้ให้โควตาทหารถึงร้อยละ 80 และทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ได้ให้โควตาทหารเข้าไปรับราชการตำรวจถึงร้อยละ 50 

นายสุทิน กล่าวอีกว่า ส่วนใครที่ไม่อยากรับราชการตนก็ได้เซ็นเอ็มโอยูกับบริษัทเอกชนยักษ์ใหญ่หลายบริษัท ซึ่งสามารถที่จะไปสมัครกับบริษัทเหล่านี้ได้ แล้วพวกเขาก็พร้อมที่จะรับเข้าทำงาน นอกจากนี้ ใครที่มาเป็นทหารหากกลับบ้านไปแล้วต้องมีเกียรติกลับไปด้วย รวมถึงจะทำให้ใครที่เข้ามาเป็นทหารมีโอกาสได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ 

“ผมขอเรียนด้วยความมั่นใจอีกครั้งว่าอยู่ที่นี่ตนได้กำชับมาแล้วว่าอาหารการกินต้องมีคุณภาพที่ดี ต้องกินอิ่มและนอนอุ่น เนื่องจากทางกระทรวงได้จัดสรรงบประมาณมาให้มาอย่างเพียงพอ และหากซื้ออาหารที่ไม่มีคุณภาพ ทางกระทรวงก็ต้องลงมาตรวจสอบและจัดการให้พวกเราได้อยู่ดี กินดี ส่วนข่าวที่ออกมาว่าจะซื้อข้าวเก่าให้ทหารกิน ขออย่าไปสนใจเพราะไม่เคยคิด แต่ที่ผมพูดไปเพราะผมเป็นรัฐมนตรีซึ่งเราจะต้องตอบคำถามให้สอดคล้องกับรัฐบาล สิ่งที่ผมจะทำคือทำให้ทุกคนได้อยู่ดี กินดีที่สุด เพื่อที่รุ่นน้องจะได้เข้ามาสมัครกันเยอะ ๆ ย้ำว่าถ้าอยากให้คนเข้ามาสมัครกันเยอะคือต้องทำให้อยู่ดี กินดี มีโอกาสที่ดี และอย่าไปคิดว่าจะได้กินข้าวที่ไม่ดี ไม่มีทาง ขอให้ทุกคนมั่นใจ“ นายสุทิน กล่าว

นายสุทิน กล่าวอีกว่า สำหรับคนที่สมัครเข้ามาถือว่าเป็นคนที่มีสำนึกที่ดีต่อประเทศชาติ และปีต่อไปก็อยากให้มาสมัครเป็นทหาร 100% ส่วนคนที่จับฉลากก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีสำนึกที่ดี เพราะอาจจะมีการวางแผนชีวิตไว้อย่างอื่น หรือมีภาระที่ต้องรับผิดชอบ จึงไม่อยากมาสมัคร ซึ่งก็เข้าใจได้ แต่เมื่อจับสลากติดแล้ว ก็ขอต้อนรับที่จะเข้ามารับใช้ชาติให้ดีที่สุด อย่างไรก็ตาม ทั้งกลุ่มที่สมัครและกลุ่มที่จับฉลากได้ถือเป็นความหวังของประเทศ

ทั้งนี้ ภายหลังจากการให้โอวาทกับทหารใหม่จบแล้ว นายสุทินได้วิดีโอคอลเฟอเรนซ์กับญาติของทหารใหม่ โดยได้ถามว่ากังวลหรือไม่ ที่บุตรหลานเข้ามาเป็นทหารเกณฑ์ ซึ่งญาติของทหารเกณฑ์ได้ตอบนายสุทินว่า ไม่กังวล เพราะเชื่อกองทัพจะดูแลบุตรหลานของเขาอย่างดี


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top