Sunday, 1 June 2025
กลาโหม

ตีไข่ ใส่สี! ‘กห.’ สยบเฟกนิวส์ ยัน ‘แก๊งยากูซ่าไทย’ ถูกจับที่สหรัฐฯ ไม่ใช่ ‘ลูกชายปธ.องคมนตรี’ ย้ำ! แค่คนชื่อคล้าย

โฆษกกลาโหม ยันผู้ต้องหาคนไทย แก๊งยากูซ่าที่สหรัฐฯจับกุม คือ สุขสันต์ จุลนันท์ ไม่เกี่ยวข้อง "สันต์ จุลานนท์" ลูกชายประธานองคมนตรี แค่ชื่อ-นามสกุลคล้ายกัน พบมีคนบางกลุ่มบิดเบือน ทำเสียหายปล่อยข่าวปลอม ย้ำผู้ต้องหาไม่เคยเป็นทหาร ไม่มียศพลเอก

(16 เม.ย. 65) พลเอก คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกลาโหม ชี้แจงถึง กรณีมีการบิดเบือนข่าวการจับกุม 3 คนไทย ที่เป็นแก๊งค์ยากูซ่า ที่นิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา โดยระบุว่า ผู้ต้องหาชาวไทย คนหนึ่งชื่อ นายสุขสันต์ จุลนันท์ ว่าเป็น นายสันต์ จุลานนท์ ลูกชายพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ประธานองคมนตรี เพราะมีชื่อและนามสกุลคล้ายกันนั้นว่า ยืนยันว่า ผู้ต้องหา คนดังกล่าว ไม่ใช่ นายสันต์ จุลานนท์ และไม่เกี่ยวข้องใดๆกับ ประธานองคมนตรี

“ตอนนี้ มีการปล่อยเฟคนิวส์ ปล่อยข่าวบิดเบือน ไปเชื่อมโยงกับ บุตรชายประธานองคมนตรี เพิ่อหวังให้เกิดความเสียหาย จากการตรวจสอบกับระบบกำลังพลของกองทัพและทางตำรวจ ยืนยันว่า ผู้ต้องหาคนดังกล่าวชื่อนายสุขสันต์ จุลนันท์ ไม่ได้เป็นทหาร และไม่เคยเป็นทหาร และไม่ใช่นายสันต์ จุลานนท์ แต่อย่างใด ขอผู้ไม่หวังดี หยุดบิดเบือนข่าวในทุกช่องทาง" พลเอกคงชีพ ระบุ

พลเอกคงชีพ ระบุว่า นายสุขสันต์ จุลนันท์ เป็นคนไทยอาศัยอยู่ในอเมริกา และถือ 2 สัญชาติคือไทยและอเมริกา เป็นคนละคน กับนายสันต์ จุลานนท์ และยืนยันว่า ที่แชร์กันด้วยว่า เป็น พลเอกสุขสันต์ จุลานนท์ ก็ไม่เป็นความจริง เพราะไม่ได้เป็นทหาร แต่เพียงแต่มีชื่อและนามสกุลคล้ายๆกันเท่านั้น แต่ก็มีการมาเขียนตีไข่ใส่สี สร้างความเสียหาย
 

'เพื่อไทย' ซัด!! งบกลาโหม 8.5 หมื่นล้านบาท ประเคนกองทัพซื้ออาวุธ แบบไม่เห็นหัวประชาชน

ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ส.ส. พรรคเพื่อไทย ระดมพลอภิปรายขอให้สภาผู้แทนราษฎรปรับลดงบประมาณในส่วนที่เกี่ยวข้องกับงานด้านความมั่นคงในส่วนของหน่วยงานภายใต้กำกับของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งมีแนวโน้มในการคุกคามและแทรกแซงประชาชน รวมไปถึงขอให้ปรับลดงบประมาณในส่วนของกระทรวงกลาโหม ที่ยังคงมุ่งหน้าในการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์จำนวนมหาศาล ซึ่งขัดแย้งกับสถานการณ์ประเทศที่กำลังวิกฤต ประชาชนต้องเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจปากท้องอย่างหนักในขณะนี้

[+พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ส.ส.เชียงราย]

ในมาตราที่ 7 ซึ่งเป็นงบประมาณรายจ่ายของสำนักนายกรัฐมนตรีและหน่วยงานในกำกับ จะต้องปรับลดลง เนื่องจากนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีหน่วยงานในกำกับอยู่ถึง 27 หน่วยงาน มีงบประมาณรวมถึง 2.2 หมื่นล้านบาท รวมกับงบกลางเงินสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉินจำเป็น สำรองจ่ายได้อีก 9.2 หมื่นล้านบาท เป็น 1.1 แสนล้านบาท นอกจากนี้ยังรวมถึงหน่วยงานของ กอ.รมน. ที่เข้าไปล้วงลูกสั่งการหน่วยราชการในอีก 77 จังหวัดอีกด้วย ซึ่งใน 27 หน่วยงานนี้ก็มีบางหน่วยงานที่น่าจะตัดงบประมาณทั้งหมด เช่น สำนักงานคณะกรรมการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ และสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์กรมหาชน) เพราะทุกวันนี้ประชาชนก็ถูกหน่วยงานเหล่านี้คุกคามทางไซเบอร์อยู่ ยังไม่นับที่หน่วยราชการต่าง ๆ ที่ถูกล้วงลูกแทรกแซงอีก

[+ยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส. มหาสารคาม] 

ในงบประมาณ มาตรา 8 ในส่วนของกระทรวงกลาโหม ได้รับงบประมาณทั้งสิ้น 8.5 หมื่นล้านบาท โดยได้ระบุว่ามีความจำเป็นต้องปรับลด 10% ที่ได้ไปนำไปจัดซื้อเรือดำน้ำจากประเทศจีน แต่ภาวะวิกฤตเศรษฐกิจขนาดนี้ไม่สอดคล้องกับการซื้อเรือดำน้ำที่ไม่มีเครื่องยนต์ นอกจากนี้เครื่องยนต์ที่ทางการจีนต้องไปจัดหาสำหรับเรือดำน้ำที่ไทยตั้งใจจะซื้อต่อนั้น ยังเป็นเครื่องยนต์ที่ไม่มีทหารคนไหนบนโลกเคยใช้มาก่อน

นอกจากนี้ กระทรวงกลาโหมยังมีความพยายามจะจัดซื้อเครื่องบินรบ F-35A เป็นเครื่องบินใหม่ล่าสุดที่มีนวัตกรรมทางทหารและทางอวกาศที่ล้ำสมัย อย่างไรก็ตามการจัดซื้อเครื่องบินรบที่มียุทโธปกรณ์สูงเช่นนั้นไม่เหมาะสมกับวิกฤตเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน อีกทั้งยังไม่สอดคล้องกับงบประมาณแผ่นดินในเวลานี้ที่ต้องจำกัดจำเขี่ย ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นการตั้งงบประมาณไว้ลอยๆ อย่างไม่จำเป็น เพราะการจะซื้อเครื่องบินรบ F-35A นั้นจำเป็นต้องได้รับการอนุมัติจากสภาคองเกรส สหรัฐอเมริกาเสียก่อน ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีวี่แววใดๆ ว่าทางสหรัฐฯ​ จะอนุมัติขายให้

[+ทัศนีย์ บูรณุปกรณ์ ส.ส. เชียงใหม่]
ขอปรับลดงบประมาณกระทรวงกลาโหม 10% โดยเฉพาะงบที่จะใช้ในการเช่ารถหรูประจำตำแหน่ง Mercedes-Benz S500 ถึง 30 คัน ประเทศไทยมีนายพลจำนวนที่เยอะเกินกว่าที่จำเป็น หากนับย้อนไป 2561-2563 มีนายพลแต่งตั้งโยกย้ายมากกว่า 10,000 คน เท่ากับ 1 ต่อ 166 นาย ส่งผลให้งบประมาณรายจ่ายสูง อีกทั้งสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมยังมีงบลับจำนวนมาก ที่ไม่สามารถตรวจสอบได้ อีกทั้งการตั้งงบประมาณที่ไม่เกี่ยวข้องกับสายงานและไม่มีความจำเป็น เช่น การตั้งงบไอโอเพื่อโจมตีประชาชนที่มีความเห็นต่าง เป็นต้น

“ตั้งงบซื้ออาวุธทุกปี ถ้าไม่ซื้ออาวุธสักปี ประเทศไทยจะเสียเอกราชให้ใครหรือเปล่าคะ? หรือถ้าไม่ซื้อ ท่านนายกฯ จะตายหรือเปล่า ถ้าท่านนายกฯ จะเป็นจะตาย ดิฉันก็ยอมให้ท่านแล้วค่ะ จะได้เป็นบุญ แต่นี่ไม่ใช่ เพราะงบประมาณเป็นเงินภาษีประชาชน กองทัพที่ใหญ่โต งบประมาณที่เลอะเทอะ ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจที่ประชาชนกำลังหิวโหย ตั้งงบประมาณไม่เห็นหัวประชาชน จึงขอลดงบประมาณกระทรวงกลาโหม 10% เพื่อไปเพิ่มสวัสดิการและแก้เศรษฐกิจให้แก่ประชาชน”

[+วิสาร เตชะธีราวัฒน์ ส.ส. เชียงราย]
ขอปรับลดงบประมาณกระทรวงกลาโหมลง 9% ด้วยเหตุผล 2 ประการ

1.) ประเทศไทยมีโครงการทุนพัฒนาศักยภาพนักวิจัยด้านยุทโธปกรณ์เพื่อเพิ่มศักยภาพของกองทัพและการป้องกันประเทศ แต่กองทัพกลับไม่สนับสนุน กองทัพมุ่งแต่จะซื้ออาวุธทำให้เกิดปัญหาเงินไหลออก และประเทศขาดโอกาสในการพัฒนาด้านเศรษฐกิจและเทคโนโลยีอาวุธยุทโธปกรณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในปัจจุบันการซื้อขายอาวุธระหว่างประเทศได้มีนโยบายการซื้อสินค้าระหว่างประเทศที่ระบุให้ผู้ซื้อและผู้ขายอาวุธจะต้องมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านอาวุธ มีการลงทุนร่วมกันทั้งในภาครัฐและเอกชน เพื่อพัฒนาทักษะและพัฒนาอาวุธ ซึ่งประเทศเพื่อนบ้านเราต่างใช้นโยบายนี้ แต่ไม่ทราบว่ากองทัพไทยได้ดำเนินการในเรื่องนี้หรือไม่

'บิ๊กตู่' ยัน!! ทหารทุกเหล่าทัพ หนุนรัฐบาล รับมือ 'พายุโนรู' ย้ำ!! ต้องอยู่ช่วยประชาชนในพื้นที่จนกว่าน้ำจะลด

โฆษก กห. เปิดเผยว่า กห. โดยทุกเหล่าทัพ ที่มีหน่วยทหารในพื้นที่ 25 จว.ที่ประสบอุทกภัย ยังคงกำลังพล เครื่องมือช่าง ทำงานร่วมกับจิตอาสาและหน่วยงานในพื้นที่ ให้การช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่น้ำท่วมอย่างต่อเนื่องมา โดยเฉพาะ การเร่งช่วยกันบรรจุกระสอบทรายจัดทำคันกั้นน้ำในพื้นที่เศรษฐกิจและชุมชน การเบี่ยงทางน้ำและการเร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่ รวมทั้งการอพยพประชาชนออกจากพื้นที่ การอำนวยความสะดวกการสัญจรและการแจกจ่ายสิ่งของบรรเทาทุกข์แก่ประชาชนที่ยังอยู่ในพื้นที่

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รมว.กห. ได้ย้ำสั่งการให้ทุกเหล่าทัพ เตรียมกำลังและเครื่องมือช่าง พร้อมหนุนเสริมให้การช่วยเหลือทุกจังหวัด รับมือกับ “พายุโนรู” โดยให้ติดตามสถานการณ์ แจ้งเตือนประชาชนให้ทันเหตุการณ์และเข้าไปช่วยเหลือให้ทั่วถึงไม่ซ้ำซ้อน  พร้อมย้ำให้อยู่กับประชาชนในพื้นที่จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย

สำหรับในพื้นที่ กทม.และ จว.ปริมณฑล หน่วยทหารจากทุกเหล่าทัพ ยังคงสนับสนุน กทม.และจว.ปริมณฑลอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการเตรียมรับมือจากมวลน้ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยาที่เอ่อล้นมากขึ้น จากปรับการระบายน้ำ โดยอยู่ระหว่างเร่งกรอกกระสอบทรายเสริมความแกร่งคันกั้นน้ำริมเจ้าพระยา การเร่งดูดและผลักดันน้ำออกจากพื้นที่เก็บกักน้ำและคูคลอง รวมทั้งการกำจัดขยะวัชพืชและสิ่งกีดขวางทางน้ำจำนวนมากในลำน้ำสายหลักและรอง ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญของการระบายน้ำ

‘สุทิน’ รับ!! เข้าใจผิด ‘งบประมาณกองทัพ’ มาตลอด กระจ่าง!! ต้องประเมินคู่แข่ง เพื่อหาอาวุธที่ต่อกรกันได้

(9 พ.ย. 66) ที่วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานเปิดการศึกษาหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ 66 พร้อมให้นโยบายตอนหนึ่งว่า เป็นหลักสูตรที่มีความสำคัญในด้านของความมั่นคง ที่เป็นหลักสูตรมีคุณค่า และสถาบันนี้เป็นสถาบันหลักด้านความมั่นคงและยินดีกับทุกคนที่ได้มีโอกาสเข้ามาเรียน ซึ่งตนโชคดีในฐานะ รมว.กลาโหม ได้มาดูความมั่นคงของประเทศ

สิ่งที่มีคุณค่าคือ การเรียนรู้ร่วมกัน 1 ปีคือยุทธศาสตร์ของวปอ. ซึ่งตนก็เคยมาศึกษาแผนยุทธศาสตร์และงานวิจัยของ วปอ. หลายครั้งนับว่ามีคุณค่าอย่างยิ่ง ดังนั้นก็จะได้ทราบแผนของรุ่นที่ 66 ตนในฐานะมาดูแลความมั่นคง ก็ต้องมีการทำความเข้าใจให้ตรงกัน  แต่การพัฒนาประเทศไม่ได้ดูที่การศึกษาเพียงอย่างเดียว แต่ต้องดูองค์ประกอบอื่น ๆ ที่บางอย่างยังมีปัญหา ต้องดูว่าการศึกษาเป็นสิ่งที่ต้องพัฒนาประเทศ แต่ยังขัดแย้งในตัวเอง จากประสบการณ์ อาชีพ 

คนเก่งมีเยอะแต่ทำงานไม่เข้ากัน ในการพัฒนาประเทศแต่ละคนคิดตามมุมมองของตัวเอง อาทิ การเมือง ก็คิดแบบการเมือง การทหารก็คิดแบบการทหาร นักวิชาการก็คิดตามแบบนักวิชาการ เพราะฉะนั้นการพัฒนาประเทศจึงไม่เป็นเอกภาพ ทำให้เห็นว่าในหลายอาชีพก็มีความขัดแย้งกัน ต่างคนต่างมีมุมของตัวเอง ขาดจุดร่วมที่อยู่ร่วมกัน

ดังนั้น วปอ.มีจุดที่สำคัญคือ มีนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ เป็นศูนย์รวมคนเก่ง ทั้งทหาร ภาคเอกชน ซึ่งเป็นโอกาสดีของประเทศ ถือว่าเป็นทีมรวมดาราโลกมาอยู่รวมกัน มีทีมเวิร์กที่ดี ทำให้เห็นว่าการมาเรียนที่นี่จะทำให้มีเครือข่ายและมุมมองที่ดี

นายสุทิน กล่าวต่อว่า สงครามในปัจจุบัน เป็นการเสียเอกราชทางเศรษฐกิจ ที่ผ่านมาเราเคยเสียมาแล้วยุค IMF ซึ่งเอกราชทางด้านความมั่นคงเราต้องคงไว้ซึ่งความมั่นคงทางวัฒนธรรม แต่เด็กรุ่นใหม่ไปเอาวัฒนธรรมต่างชาติ ไม่มีเอาวัฒนธรรมของตัวเอง ตนมองว่าเอกราชทางเศรษฐกิจทางวัฒนธรรมเป็นสิ่งสำคัญ ต้องมีการเปลี่ยนแปลง 

ในการรักษาเอกราช ตนมองว่าภัยคุกคามใหม่ที่มีคือภัยจากข้างนอก คือการรบกันข้างนอก อาทิ รัสเซีย-ยูเครน การรบในอิสราเอล และในอนาคตก็จะเกิดสงคราม 2 ขั้ว ถ้าเราวางตัวไม่ถูกและไม่ดี ประเทศไทยก็โดนดึงเข้าไปร่วมด้วย เมื่อช้างชนกัน หญ้าแพรกอย่างเราก็มีปัญหา

ดังนั้นจะมีแนวทางเพื่อให้ประเทศไทยที่เป็นหญ้าแพรกจะได้อยู่รอดเมื่อช้างสารชนกันนอกจากนี้ยังมีภัยคุกคามใหม่ อีกหลากหลายซึ่งเราต้องคิดแผนขึ้นมาเพื่อดูแลในเรื่องดังกล่าว เนื่องจากภัยคุกคามทางทหารยังคงมีอยู่

นอกจากนี้ยังมีภัยคุกคามทางด้านความคิดที่เป็นภัยอยู่ในประเทศ เวลานี้คนไทยมีความคิดเห็นหลากหลาย ที่มีต่อสถาบันสำคัญของชาติ ถูกกระทบซึ่งเป็นภัยที่สำคัญ แตกแยกทางความคิดที่มีในโซเชียล นอกจากนี้มีภัยจากการไม่เชื่อมั่นสถาบันการเมือง ที่หากไม่มีอุดมการณ์ร่วมกัน ความขัดแย้งทางการเมือง จะทำให้เป็นภัยกับทุกเรื่อง รวมไปถึงภัยจากสิ่งแวดล้อมที่ต้องจัดการขณะนี้ไม่ลงตัว เช่น ฝุ่นละอองขนาดเล็กหรือ PM 2.5 อาชญากรรมข้ามชาติ อาชญากรรมไซเบอร์ แก๊ง Call Center ข้ามชาติ ที่มีการดูดเงินในบัญชีออกไปเป็นจำนวนมาก ตนมองว่าเป็นภัยคุกคามอย่างหนัก หากเราตั้งรับภัยพวกนี้ไม่ได้ก็จบ 

แต่อย่างไรก็ตาม ผู้บัญชาการทหารสูงสุดมีศูนย์ป้องกันทางไซเบอร์ดังนั้นอยากให้ศูนย์ไซเบอร์ฯ ของกองทัพไปคุ้มครองไซเบอร์ในหน่วยงานอื่น ๆ ด้วย นอกจากนี้ภัยจากโรคระบาดก็สร้างความเสียหายย่อยยับ ซึ่งปัจจุบันพบโรคอุบัติใหม่เพิ่มขึ้น หากเราไม่ตั้งรับ จะทำให้มีผลกระทบในหลายเรื่อง รวมถึงภัยยาเสพติด สมัยก่อนมีการเฝ้าระวังกลุ่มเสี่ยง แต่ปัจจุบันกลับกลายเป็นว่า เริ่มมีปัญหาในเรื่องของเด็กติดยาเสพติดที่อายุน้อยลงต้องป้องกันตั้งแต่อยู่ในครรภ์ 

จากที่ไปดูในศูนย์เด็กเล็กพบว่า มีเด็กไม่สมบูรณ์ เนื่องจากได้รับผลกระทบจากยาเสพติด เพราะพ่อแม่ซึ่งเป็นเยาวชนติดยาและมาแต่งงานกัน ในขณะนี้กลุ่มพวกยาเสพติดกระจายอยู่ในกลุ่มของผู้นำท้องถิ่น ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ที่ทำลายทุนมนุษย์ เป็นความเศร้าใจ 

ดังนั้นความมั่นคงทางทหาร ก็มีผลกระทบเนื่องจากการรับพลทหารเข้ามาก็มีเด็กติดยาทำให้กองทัพอ่อนแอ แม้มีเครื่องบินไอพ่น F-16 หรือยุทโธปกรณ์ที่เข้มแข็ง ยาเสพติดก็เป็นสิ่งที่น่าหนักใจเนื่องจากเป็นภัยมั่นคงที่เข้ามา รวมไปถึงการทุจริตคอรัปชัน ลามไปยังข้าราชการชั้นผู้น้อย จนสุดท้ายมาตกผลึก ของความยากจน ตอนนี้สิ่งที่สูญเสียกับเอกราชคือความยากจนของคนในชาติ เช่นคนในต่างจังหวัดที่มีที่ดินจำนวนมาก ขณะนี้การถือครองที่ดินลดลง ซึ่งชาวบ้านฐานใหญ่ ของประเทศมีที่ดินไม่ถึง 10% แม้ว่าจะมีที่ดินก็ยังติดภาระ ที่อาจจะหลุดลอยไป

นอกจากนี้ยังมีเรื่องของความเหลื่อมล้ำที่ทำให้เกิดสงครามประชาชนเป็นภัยที่มองไม่เห็น กองทัพก็จะเอาไม่อยู่ จากนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความสามัคคี เพราะจากนี้ไปกลายเป็นว่าทรัพย์สินต่างๆจะอยู่กับคนกลุ่มน้อย ซึ่งพวกเราต้องคิดให้หนัก โดยภัยคุกคามใหม่ กองทัพรับมือคนเดียวไม่ได้ ทหารเก่งขนาดไหนก็รับมือไม่ได้ และสุดท้ายจะเกิดความขัดแย้งในสังคมและสะสมหลายรูปแบบ ทั้งความยากจน ความข้นแค้น มีความกดดัน จนมาทะเลาะกันในสภาและมีการลงถนน 

โดยเราไม่มีวัฒนธรรมที่เกาะเกี่ยวเหนี่ยวนำ ดังนั้นทหารก็ต้องเข้ามาแก้ แต่ก็ยาก อีกทั้งยังจะโดนด้อยค่า ถูกแยกออกจากประชาชน บทสรุปที่สำคัญ คือการป้องกันราชอาณาจักรไม่ใช่หน้าที่ของคนไทยคนใดคนหนึ่ง ไม่ใช่เฉพาะหน้าที่ของทหารแต่เป็นของทุกภาคส่วน ทุกกระทรวงทำร่วมกันต้องช่วยกัน ตนหวังว่าทุกคนที่อยู่ที่นี่ ที่มาครบทุกสาขาอาชีพ และเป็นผู้ใหญ่ ตนเชื่อว่าทุกคนรักชาติและอยากเห็นประเทศชาติก้าวกระโดด 

คนที่มาเรียนวปอ.เป็นความหวังของกระทรวงกลาโหมในเรื่องของเครือข่าย ที่จะดำเนินงานและเป็นกำลังสำคัญ ส่วนกระทรวงกลาโหมจะทำอะไรได้บ้างนั้นในฐานะที่ตนเป็นพลเรือน และมีหลายคนพูดว่าจะรู้เรื่องของทหารและไม่ทะเลาะกับทหารหรือและเอามุมมองนักการเมืองมาทำงาน ตนขอเรียนให้สบายใจว่าความรับผิดชอบของประเทศเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดของประเทศ 

ตนมายืนตรงนี้ในฐานะตนเองและพรรค ก็ต้องรับผิดชอบ คือการปกป้องเอกราชสู้กับภัยคุกคามใหม่ ต้องทำให้กองทัพทันสมัย แข็งแกร่ง กะทัดรัด ไม่เช่นนั้นก็สู้ไม่ได้ รวมทั้งภารกิจ ต้องช่วยรัฐบาลแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ภัยธรรมชาติ ออกมาพัฒนาโดยนำทรัพยากรทางทหารมาช่วยเศรษฐกิจ กองทัพต้องมีเทคโนโลยีที่ทันสมัย ในการบริหารภายในกองทัพ เทคโนโลยีในการรบ ที่ต้องสู้กับเขาได้ อยู่แบบเดิมไม่ได้ 

"ซึ่งการจัดซื้ออย่าถามว่าจะซื้ออะไร แต่ต้องถามว่า ซื้อมาแล้วจะสู้อะไรกับเขาได้ ผมเข้าใจผิดมาตลอดเรื่องการจัดงบประมาณของกองทัพ จากเดิมที่เอาฐานเดิมมาทำ แต่กองทัพคิดอย่างนั้นไม่ได้ ต้องเอาคู่แข่งทางทหาร มาคิดด้วย อาทิ เมื่อเขามีเรือดำน้ำ มี F-16 ก็ต้องมีสิ่งที่นำมาสู้กับเขาได้ ซึ่งเป็นการตั้งงบประมาณดูคู่แข่งและคู่ต่อสู้ นับว่าเป็นความทันสมัยเช่นกัน นอกจากนี้ ต้องทันสมัยและอยู่ในใจประชาชน แม้กองทัพยิ่งใหญ่เกรียงไกรขนาดไหน ถ้าไม่อยู่ในใจประชาชนและได้ใจประชาชน ก็ไม่ได้ และสิ่งใดไม่อยู่ในใจประชาชนก็ต้องหลีกเลี่ยง" นายสุทิน กล่าว

‘สุทิน’ ขอให้มั่นใจ!! ไม่เอา ‘ข้าวเก่า’ ให้ทหารกิน ลั่น!! ทุกคนมาเป็นทหาร ‘ต้องอยู่ดี กินดี สุขภาพดี’

(13 พ.ค. 67) ที่กองพันมณฑลทหารบกที่ 15 ค่ายเพชรบุรีราชสิรินธร จ.เพชรบุรี นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและบำรุงขวัญกำลังพล หน่วยฝึกทหารใหม่ โดยได้มีการรับรายงานผู้บังคับบัญชาประจำกองถึงจำนวนผู้สมัครเข้ามาเป็นทหารเกณฑ์ พร้อมชมวิธีการฝึกทหารและปฐมพยาบาลเบื้องต้น จากนั้น ได้มอบสิ่งของเครื่องใช้ให้นายทหารใหม่ ที่มีภรรยาและลูกน้อย จำนวน 2 ราย 

โดยนายสุทิน ได้ให้โอวาทกับทหารใหม่ ว่า วันนี้ตนดีใจที่ได้มาพบมาเยี่ยม เพราะตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ก็ได้คิดและทุ่มเทกับการที่จะให้พวกเราซึ่งเป็นทหารใหม่เข้ามาในค่ายอย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีอนาคตที่ดี และเพื่อให้กองทัพมีกำลังพลที่มีคุณภาพแข็งแกร่ง ฉะนั้น การคิดและการออกมาตรการมา วันนี้ได้มาเห็นดอกผลในสิ่งที่เราคิด ซึ่งก็ดีใจและมีความสุขหลายเรื่อง เดิมทีวันนี้คิดว่าต้องมามอบนโยบายเพิ่มหลายอย่าง แต่เมื่อเข้ามาแล้วเห็นว่านโยบายที่ตนคิด ทางผู้บังคับบัญชามอบให้ไปแล้วและลงมือปฏิบัติแล้ว ซึ่งเป็นผลที่น่าพอใจ จึงแทบจะไม่ต้องมอบนโยบายอีก 

“ขอย้ำว่า ผมอยากคุยกับทหารใหม่ว่ายินดีกับพวกเราที่ได้เข้ามาเป็นทหาร ความเป็นลูกผู้ชาย ผมคิดว่าประสบการณ์สำคัญที่สุดคือประสบการณ์ที่จะต้องมาฝึกความเข้มแข็ง มาฝึกวิทยาการและการเตรียมความพร้อมที่จะรับใช้ประเทศชาติในบทบาทของการที่จะเป็นผู้ป้องกันประเทศ วันนี้ยินดีด้วยที่ได้รับโอกาสที่ดี และยินดีด้วยที่มาในยุคที่เราเป็นทหารที่ไม่ใช่มาเสียโอกาส แต่เรามาได้โอกาสที่ดี ส่วนอะไรบ้างที่เป็นโอกาสที่ดีก็อยากจะย้ำว่าเราอยากจะรับใช้ชาติ มาฟื้นฟูร่างกาย มาสร้างเสริมร่างกายให้แข็งแกร่ง หมายความว่าเรามาฝึกที่นี่เพื่อให้ร่างกายที่แข็งแรงถือเป็นลาภอันประเสริฐ เป็นโชคที่ดี เพราะหากอยู่บ้านก็ไม่มีโอกาสได้ดูแลสุขภาพที่ดีเช่นนี้ ตรงกันข้ามอาจปล่อยปะละเลย แต่การมาอยู่นี่ทำให้เราได้ฝึกระเบียบวินัย ซึ่งจะทำให้เราได้กำไรชีวิต” นายสุทิน กล่าว

นายสุทิน กล่าวด้วยว่า หลายคนพลาดพลั้งในชีวิต เช่น อาจจะเผลอไปเสพยาเสพติด เลิกไม่ได้ แต่เชื่อมั่นว่าหากพวกเรามาอยู่ที่นี่ มาเป็นทหาร ก็จะสามารถหันหลังให้กับยาเสพติดได้ ถือเป็นโอกาสที่ดี กระบวนการที่นี่จะดูแลเอาใจใส่พิเศษกับคนที่เป็นกลุ่มเสี่ยง คนที่เสพยาเสพติดไม่ใช่คนชั่ว แต่อาจจะผิดพลาดไป ทุกคนเป็นคนที่มีคุณค่าต่อครอบครัวและสังคม จึงต้องให้โอกาส และเชื่อว่าพวกเขาจะหายได้

นายสุทิน กล่าวต่อว่า เรามาอยู่ที่นี่ไม่ได้มาอยู่เปล่า ๆ ตนเห็นในประเทศเพื่อนบ้านที่สมัครไปเป็นทหาร เขาไม่ได้รายได้สักบาท มีแค่ข้าวกิน และมีที่นอน แต่ของเรามีเบี้ยเลี้ยงให้ เงินที่ได้บางคนอาจคิดว่าน้อยแต่บางคนอยู่บ้านก็ไม่เคยมีรายได้เช่นนี้ ซึ่งก็เป็นรายได้ที่ไม่น้อย และบางคนส่งให้ครอบครัวใช้ด้วย หรือบางคนเมื่อฝึกจบก็มีเงินติดตัวไป 20,000-30,000 บาท นอกจากนี้ ยังจะเรียนหนังสือด้วย ซึ่งทางกระทรวงกลาโหมก็ได้มีการจัดระบบการศึกษาให้กับนายทหารใหม่ทุกระดับ เพื่อให้สามารถศึกษาต่อได้เมื่อฝึกจบ และเมื่อปลดประจำการก็สามารถได้วุฒิได้เลย ตนบอกได้เลยว่ายุคนี้คนที่โชคดีที่สุดคือคนที่ได้เข้ามาเป็นทหาร เป็นคนที่มีสิทธิ์พิเศษเพราะจะสามารถรับราชการทหารและตำรวจนั้นได้ไม่ยาก เนื่องจากได้ให้โควตาทหารถึงร้อยละ 80 และทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ได้ให้โควตาทหารเข้าไปรับราชการตำรวจถึงร้อยละ 50 

นายสุทิน กล่าวอีกว่า ส่วนใครที่ไม่อยากรับราชการตนก็ได้เซ็นเอ็มโอยูกับบริษัทเอกชนยักษ์ใหญ่หลายบริษัท ซึ่งสามารถที่จะไปสมัครกับบริษัทเหล่านี้ได้ แล้วพวกเขาก็พร้อมที่จะรับเข้าทำงาน นอกจากนี้ ใครที่มาเป็นทหารหากกลับบ้านไปแล้วต้องมีเกียรติกลับไปด้วย รวมถึงจะทำให้ใครที่เข้ามาเป็นทหารมีโอกาสได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ 

“ผมขอเรียนด้วยความมั่นใจอีกครั้งว่าอยู่ที่นี่ตนได้กำชับมาแล้วว่าอาหารการกินต้องมีคุณภาพที่ดี ต้องกินอิ่มและนอนอุ่น เนื่องจากทางกระทรวงได้จัดสรรงบประมาณมาให้มาอย่างเพียงพอ และหากซื้ออาหารที่ไม่มีคุณภาพ ทางกระทรวงก็ต้องลงมาตรวจสอบและจัดการให้พวกเราได้อยู่ดี กินดี ส่วนข่าวที่ออกมาว่าจะซื้อข้าวเก่าให้ทหารกิน ขออย่าไปสนใจเพราะไม่เคยคิด แต่ที่ผมพูดไปเพราะผมเป็นรัฐมนตรีซึ่งเราจะต้องตอบคำถามให้สอดคล้องกับรัฐบาล สิ่งที่ผมจะทำคือทำให้ทุกคนได้อยู่ดี กินดีที่สุด เพื่อที่รุ่นน้องจะได้เข้ามาสมัครกันเยอะ ๆ ย้ำว่าถ้าอยากให้คนเข้ามาสมัครกันเยอะคือต้องทำให้อยู่ดี กินดี มีโอกาสที่ดี และอย่าไปคิดว่าจะได้กินข้าวที่ไม่ดี ไม่มีทาง ขอให้ทุกคนมั่นใจ“ นายสุทิน กล่าว

นายสุทิน กล่าวอีกว่า สำหรับคนที่สมัครเข้ามาถือว่าเป็นคนที่มีสำนึกที่ดีต่อประเทศชาติ และปีต่อไปก็อยากให้มาสมัครเป็นทหาร 100% ส่วนคนที่จับฉลากก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีสำนึกที่ดี เพราะอาจจะมีการวางแผนชีวิตไว้อย่างอื่น หรือมีภาระที่ต้องรับผิดชอบ จึงไม่อยากมาสมัคร ซึ่งก็เข้าใจได้ แต่เมื่อจับสลากติดแล้ว ก็ขอต้อนรับที่จะเข้ามารับใช้ชาติให้ดีที่สุด อย่างไรก็ตาม ทั้งกลุ่มที่สมัครและกลุ่มที่จับฉลากได้ถือเป็นความหวังของประเทศ

ทั้งนี้ ภายหลังจากการให้โอวาทกับทหารใหม่จบแล้ว นายสุทินได้วิดีโอคอลเฟอเรนซ์กับญาติของทหารใหม่ โดยได้ถามว่ากังวลหรือไม่ ที่บุตรหลานเข้ามาเป็นทหารเกณฑ์ ซึ่งญาติของทหารเกณฑ์ได้ตอบนายสุทินว่า ไม่กังวล เพราะเชื่อกองทัพจะดูแลบุตรหลานของเขาอย่างดี

‘โรม’ ขอบคุณ ‘กองทัพบก’ ประสานช่วยเหลือชาวโมร็อกโก 12 คน หลังถูกแก๊งสแกมเมอร์ลวงทำงานผิดกม. ในเมียวดี ประเทศเมียนมา

(5 ก.ค. 67) รังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการช่วยเหลือชาวโมร็อกโก 12 คนที่ถูกแก๊งสแกมเมอร์ในเมืองเมียวดี ประเทศเมียนมา หลอกลวงและควบคุมตัวไว้ใช้แรงงาน โดยได้รับการปล่อยตัวออกมาอย่างปลอดภัยแล้วเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา

รังสิมันต์กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ตนได้รับการประสานจากสถานทูตโมร็อกโกประจำประเทศไทย ขอให้ช่วยเหลือชาวโมร็อกโกที่ถูกหลอกลวงไปทำงานสแกมเมอร์ในเมืองเมียวดี ทราบจำนวนคร่าว ๆ ว่ามีประมาณ 21 คน โดยหลังจากได้ทราบชื่อและเลขพาสปอร์ตของทุกคนแล้ว ตนจึงประสานไปยังกองทัพบกไทยเพื่อขอความช่วยเหลือ

หลังจากนั้น กองทัพบกได้พูดคุยกับเหยื่อ และพยายามเจรจากับกองกำลังติดอาวุธที่ควบคุมพื้นที่ที่แหล่งสแกมเมอร์แห่งนั้นตั้งอยู่ เพื่อขอให้กองกำลังดังกล่าวเจรจากับกลุ่มทุนที่เป็นเจ้าของสแกมเมอร์ให้ปล่อยตัวเหยื่อชาวโมร็อกโกที่ถูกหลอกไป จนสุดท้ายสามารถช่วยเหลือออกมาได้ในช่วงเช้าวันนี้จำนวน 12 คน โดยมีบางคนจ่ายเงินให้กับหัวหน้าแก๊งสแกมเมอร์เพื่อแลกกับการปล่อยตัวไปแล้วก่อนหน้านี้ ส่วนที่เหลือตัดสินใจอยู่ทำงานต่อ

รังสิมันต์กล่าวต่อไปว่า ไม่เพียงแต่ชาวโมร็อกโกเท่านั้น แต่ยังมีคนไทยและคนต่างชาติอีกจำนวนมากที่ถูกหลอกลวงให้เข้าไปทำงานเป็นสแกมเมอร์ในเมืองต่าง ๆ ของเมียนมาที่อยู่ติดกับชายแดนไทย จึงยิ่งตอกย้ำให้เห็นถึงความสำคัญเร่งด่วนของปัญหานี้ และจำเป็นที่รัฐบาลไทยต้องมองปัญหานี้เป็นวาระระดับชาติได้แล้ว โดยต้องดำเนินมาตรการต่าง ๆ อย่างเข้มงวดเพื่อปกป้องประชาชนจากการถูกหลอกไปทำงาน ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน และถูกขโมยทรัพย์สินจากการที่แก๊งสแกมเมอร์โทรศัพท์เข้ามาหลอกลวงคนในประเทศ

“ไม่ใช่แค่ชาวไทย ไม่ใช่แค่ชาวโมร็อกโก แต่มีคนทั่วโลกที่ถูกหลอกไปอยู่ตรงนั้น และมันไม่ใช่แค่การค้ามนุษย์เท่านั้น แต่ยังมีการหลอกลวงเอาทรัพย์สินของคนไทย มีกิจกรรมที่ผิดกฎหมายอีกมากมายอยู่ในบริเวณนั้น ผมคิดว่าประเทศไทยควรจะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นวาระหลักระดับชาติ” รังสิมันต์กล่าว

รังสิมันต์กล่าวทิ้งท้ายว่า สุดท้ายนี้ตนต้องขอขอบคุณกองทัพบกไทยเป็นอย่างยิ่ง หากเรื่องนี้ไม่ได้รับความช่วยเหลือจากกองทัพบก เราคงไม่สามารถช่วยเหลือชาวโมร็อกโกได้ การที่กองทัพบกได้เพียรพยายามและใช้เวลาในการเจรจาแก้ปัญหาเรื่องนี้อย่างจริงจัง เป็นสิ่งที่มีคุณค่ามาก จึงขอขอบคุณบุคลากรทุกคนที่เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือครั้งนี้จากใจจริง

'หมอพรรคส้ม' ห้าว!! ลุกตัดงบกลาโหม ปมขยายโรงงานยาทหาร ด้าน 'จิรายุ' สวน!! เพราะบางยาให้เอกชนผลิตไม่ได้ ต้องควบคุมไง

เมื่อวานนี้ (5 ก.ย. 67) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกกระทรวงกลาโหมฝ่ายการเมือง กล่าวถึงกรณีที่ น.ส.กัลยพัชร รจิตโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อภิปรายตัดงบกระทรวงกลาโหม ในส่วนของการสร้างโรงงานเภสัชกรรมทหารแห่งใหม่ 938 ล้านบาท โดยยกข้อมูลที่สับสน ไม่เป็นความจริง นำพาสังคม ไปสู่ความเข้าใจผิดในหลายประเด็น เช่น การตั้งคำถามเกี่ยวกับยาซูโดเอฟีดรีน (pseudoephedrine) หรือยาที่เรียกกันว่า ยาเสียตัว โดยกล่าวว่า ‘หลัง ๆ ยาชนิดนี้ไม่มีขายเท่าไรเพราะเป็นสารตั้งต้นยาบ้า ยาไอซ์‘ พร้อมนำมาอภิปรายผูกติดกับข้อมูลที่ว่า ‘ไทยส่งออกยาไอซ์สูงสุดอันดับ 1’ นับเป็นการกล่าวร้ายประเทศไทยบ้านเกิดของคนไทยอย่างน่าตกใจ จงใจนำข้อมูลที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกัน มาอภิปรายเชื่อมโยงกันให้ประชาชนเข้าใจผิด จนทำให้คนไทยทั้งประเทศไทยเสียหาย

จึงขอเรียกร้องให้ สส.คนดังกล่าว อภิปรายด้วย ‘ความทรงภูมิใหม่’ เพื่อชี้แจงความจริงต่อสังคมว่า ผู้ที่สามารถจำหน่ายซูโดอีฟีดรีนสูตรเดี่ยวนั้น ความจริงคือผลิตได้เฉพาะผู้รับอนุญาตให้มีไว้ในครอบครองหรือใช้ประโยชน์ฯ กระทรวง ทบวง กรม สภากาชาดไทย องค์การเภสัชกรรม หรือ ‘สถาบันอื่นของทางราชการตามที่รัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษา’ เท่านั้น ดังนั้น โรงงานเภสัชกรรมทหาร เป็นหน่วยงานในกระทรวงกลาโหม จำเป็นต้องผลิตทางการแพทย์ตามกฎหมาย และยานี้ห้ามขายในร้านขายยาทั่วไปตามกฎหมายอยู่แล้ว

นายจิรายุ กล่าวอีกว่า การอภิปรายในสภา โดยไม่มีฐานข้อมูลรองรับที่ว่า ‘แทบทั้งโลกเลิกผลิตซูโดอีฟีดรีนแล้ว ไปใช้ยาตัวอื่น’ ไม่เป็นความจริง ณ วันนี้ยังมีการผลิตยาดังกล่าวเพื่อใช้ในการรักษาพยาบาล เป็นยาที่มีประสิทธิภาพในการรักษาสูง ซึ่งเรื่องนี้ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ ‘หน่วยงานใดเป็นผู้ผลิต’ แต่ที่ผ่านมาคือ ‘การควบคุมการใช้ยา‘ โดยปัจจุบัน ยาชนิดนี้ถูกจัดให้อยู่กลุ่มวัตถุออกฤทธิ์ประเภท 2 (วจ.2) การใช้ต้องขออนุญาตทุกครั้งและจำกัดการใช้ ในทางการแพทย์ ยาทั้ง 2 ตัว เป็นยาที่อยู่ในกลุ่มที่ใช้รักษาภาวะอาการเดียวกัน ทั้งหมดจึงเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วย

ส่วนวาทกรรมที่ว่า ‘การผลิตยาไม่ใช่ภารกิจของกองทัพ’ และ ‘กองทัพทำงานที่ไม่ใช่ธุระ’ พร้อมไล่เรียงเนื้อหาเพื่อเข้าสู่ปลายทางการตัดงบสร้างโรงงานเภสัชกรรมทหารแห่งใหม่ที่จังหวัดราชบุรีนั้น ข้อเท็จจริงคือ โรงงานเภสัชกรรมทหาร เกิดขึ้น พ.ศ. 2484 - 2488 ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ในช่วงที่การผลิตยาเพื่อช่วยเหลือประชาชน และ ทหารในภาวะสงคราม จนปัจจุบันยังอยู่ในสังกัดปลัดกระทรวงกลาโหม ผลิตยาเพื่อใช้ในกองทัพ และที่ผ่านมาโรงงานเภสัชกรรมทหาร ช่วย GPO องค์การเภสัชกรรม ภายใต้กำกับของกระทรวงสาธารณสุข ผลิตยาใช้ในยามวิกฤต เช่น ช่วงสถานการณ์น้ำท่วมปี 2554 ที่องค์การเภสัชกรรม ผลิตยาไม่ทัน เช่นกัน

ส่วนการอภิปรายเชิงประชดประชันว่า ‘ทหารเป็นหวัดคัดจมูกกันเยอะขนาดนั้นเลยเหรอคะ’ ทั้งที่โรงงานเภสัชกรรมทหาร ผลิตยาป้อนเข้าโรงพยาบาลอื่นๆ เพื่อให้ประชาชนทั่วไปใช้ยานี้ได้ เนื่องจากเป็นยาที่ควบคุมการผลิต และจำเป็นที่จะต้องควบคุมการผลิต และส่งให้กับโรงพยาบาลเพื่อรักษาคนไข้ การยกเอาฤทธิ์ของยาที่ถูกจำกัดการใช้ และนำเหตุผลว่ายานั้นเป็นสารตั้งต้นของยาเสพติดขึ้นมาอภิปราย เพื่อ ‘สร้างความกลัว’ ให้กับสังคม ทำให้เข้าใจผิดคิดว่า ยานี้ให้โทษมากกว่าให้คุณ เป็นสิ่งที่ผู้ที่เป็นแพทย์ ไม่สมควรทำ และพรรคการเมืองเองก็ไม่สมควรที่จะเผยแพร่ข้อมูลด้านเดียวให้ประชาชนเข้าใจผิด

ขณะที่ผู้ใช้เฟซบุ๊ก 'Passakorn Ton Kongsakorn' ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า... "ห้ามทหารผลิตยา แต่สนับสนุนสุราเสรี ไม่เลวจริงทำไม่ได้นะครับ"

'สหายใหญ่' บนเก้าอี้เสนาบดีกลาโหม 'อดีต' บอก 'อนาคต' อะไรควรไม่ควรทำ

ถ้าจะเอ่ยนามอดีตนักศึกษา ปัญญาชนที่เข้าป่าจับปืน ร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ในห้วงปี 2519-2525 เพื่อต่อสู้กับรัฐบาลภายใต้ธงทฤษฎีของ พคท.ในขณะนั้นว่า "อำนาจรัฐได้มาด้วยกระบอกปืน" แต่สุดท้ายต้องคืนรังกลับมาเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย (ผรท.) และมีโอกาสเข้าสู่วงการการเมือง มีบทบาท มีชื่อเสียง...ก็ต้องบอกว่ามีหลายสิบหรือนับร้อย...

หาได้มีเฉพาะ ภูมิธรรม เวชยชัย 'บิ๊กอ้วน' หรือ 'สหายใหญ่' รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ที่กำลังเป็นตำบลกระสุนตกอยู่ในขณะนี้ไม่...

ขอเอ่ยชื่อ 'บิ๊กเนม' อดีตสหาย ที่ออกจากป่าเมื่อ 40-50 ปีก่อน สู่สภาหรือเป็นเสนาบดีพอเป็นตัวอย่างสักจำนวนหนึ่ง....

มงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา, ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ อดีตรมต., พินิจ จารุสมบัติ อดีตสส./รมต., จาตุรนต์ ฉายแสง สส./อดีตรมต., นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช อดีตรมต., ประสาร มฤคพิทักษ์ อดีตสว., อดิษร เพียงเกษ สส./อดีตรมต., ประพันธ์  คูณมี อดีตสว., นพ.เหวง จิราการ อดีตสส., ศุภชัย โพธิ์สุ อดีตรองประธานสภาฯ, นพ.พลเดช ปิ่นประทีป อดีตสว./รมต. ฯลฯ

คนเหล่านี้ก็เหมือนกับนักศึกษา ประชาชนอีก 2-3,000 คนที่หนีกระเจิงหลังการล้อมปราบในเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 ไปร่วมกับ พคท. โดย หงา  คาราวาน, อ.ธีรยุทธ บุญมี, ดร.เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ฯลฯ ก็อยู่ในชะตากรรมนี้...ก่อนที่ทั้งหมดจะพบว่า พคท. ก็ไม่ใช่ทางออกของประเทศ...

การทำสงครามประชาชนระหว่าง พคท.กับ รัฐบาลนับแต่วันเสียงปืนแตก 7 ส.ค.2508 จนถึงวันที่นักศึกษาประชาชนถั่งโถมโหมแรงไฟ...ในห้วงเวลาดังกล่าว ปิดฉากลงด้วยต้นทุนค่าใช้จ่ายที่แสนแพง ทั้งชีวิตเลือดเนื้อของทั้งสองฝ่าย และความขัดแย้งแตกแยกของสังคมไทย...
 
โชคดีที่ประเทศไทยในห้วงเวลาดังกล่าวมี ในหลวง ร.9 ที่มีพระราชวิสัยทัศน์อันลุ่มลึกยาวไกลดังที่ได้พระราชทานให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวบีบีซีว่า...การที่พระองค์ทรงพระกรณียกิจทั้งปวงไม่ได้เป็นการต่อสู้กับ พคท. หากแต่สู้กับความยากจนของคนไทยทั้งหมด หากแก้ปัญหาได้คนไทยเหล่านั้นก็จะได้ประโยชน์ด้วย...

และปี 2523-2525 เรายังมีความโชคดีที่มาถูกที่ถูกเวลา คือ คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 66/2523 ( และ 65/2525) ว่าด้วยการต่อสู้เพื่อเอาชนะคอมมิวนิสต์ ที่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตนายกฯ คนที่ 16 เป็นผู้ลงนาม...แม้เป็นเพียงคำสั่งสำนักนายกฯ แต่พลานุภาพมากล้น ช่วยหยุดความขัดแย้งและการหลั่งเลือดล้มตาย...

กรณีของ 'สหายใหญ่' ที่โดนอดีตทหารหาญบางส่วนต่อต้าน คงไม่ได้ต่อต้านไม่ให้เป็นรัฐมนตรี แต่ติดใจที่ทำไมต้องมานั่งเก้าอี้ รมว.กลาโหม แต่ 'สหายใหญ่' ก็พยายามชี้แจงแล้วทำนองว่า เหตุการณ์ในอดีตร่วม 50 ปีก็ให้มันผ่านพ้นไป วันนี้ตนเข้าใจและมั่นใจในการอยู่ร่วมกับกองทัพและช่วยกันพัฒนา...

วิเคราะห์และมองแบบไม่สลับซับซ้อน มองโลกในแง่ดี ก็ต้องเชื่อไว้ก่อนว่าสหายใหญ่คงรู้โจทย์ดีว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ นั่งกินกาแฟกับอดีตรมว.หลาโหม สุทิน คลังแสง สักสองถ้วยก็มองทะลุแล้ว...

เมื่อวันที่ 5 ก.ย.คุณเปลว สีเงิน เจ้าสำนักไทยโพสต์ ก็เขียนบทความยาวเกี่ยวกับเรื่องบิ๊กอ๊วน...แต่บทสรุปอยู่ตรงชื่อเรื่องว่า 'เก้าอี้กห.นั่งได้ -แต่อย่าซน'

ทีมงานบิ๊กอ้วนและตัวบิ๊กอ้วน ควรหาอ่านเป็นเครื่องเตือนใจ...และถ้าเป็นไปได้ช่วยสำเนาไปให้คนชื่อ 'ทักษิณ' อ่านด้วย...เพราะจะว่าไปป๋าเปลวแกไม่ได้ระแวงคนชื่อภูมิธรรม แต่แกไม่ไว้ใจทักษิณ...

เดิมทีวันนี้ 'เล็ก เลียบด่วน' ตั้งใจจะวิเคราะห์ประเด็นโผทหาร...เผือกร้อนในมือ 'บิ๊กอ้วน' แท้ ๆ แต่นำร่องซะยืดย้วย...ขอยกเรื่องโผทหารไปตอนหน้าล่ะกัน

งานหนัก!! ‘บิ๊กอ้วน’ แต่งตั้งโยกย้ายทหารระดับนายพล ‘บิ๊กปู-ทัพบก’ ไม่น่าพลิก ส่วน ‘บิ๊กแมว-ทัพเรือ’ รอลุ้น

ในจันทร์ที่ (16 ก.ย. 67) เวลา 10.00 น. คงเป็นทั้งฤกษ์งามยามดีและฤกษ์สะดวกที่ ‘บิ๊กอ้วน’ หรือ ‘สหายใหญ่’ - ภูมิธรรม เวชยชัย รมว.กลาโหม เจ้าของรหัสเรียกขาน ‘สนามไชย 1’ จะไปสักการะศาลหลักเมืองและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในกระทรวงกลาโหม ก่อนจะไปรับฟังบรรยายสรุป-มอบนโยบายและรับประทานอาหารกับปลัดกลาโหม ผบ.เหล่าทัพ     

แน่นอนภาพการตรวจแถวกองทหารเกียรติยศของ ‘บิ๊กอ้วน’ จะถูกโฟกัสและใครหลายคนที่ยังมีอารมณ์ค้าง ปมประเด็นความเป็น ‘สหายใหญ่’ ก็คงจะนำไปเม้าท์มอยตามประสา...ซึ่งภูมิธรรมก็คงจะทำใจปลงใจเอาไว้แล้ว คงไม่หนักใจเท่ากับการบ้านที่จะต้องทำให้บรรลุนโยบายและวัตถุประสงค์…

เฉพาะหน้า…มีโจทย์ร้อนที่ ‘สนามไชย 1’ จะต้องถอดสลักก็คือ โผทหารร้อน ๆ ที่รมว.กลาโหม คนก่อน (สุทิน คลังแสง) ประชุมคณะกรรมการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารระดับนายพล หรือ ‘บอร์ดโยกย้าย’ 6 คน ได้เคาะเอาไว้เป็นเบื้องต้นแล้ว ซึ่งน่าสนใจก็คือในส่วนของกองทัพบก และ กองทัพเรือ…

เอาเฉพาะไฮไลต์ขอแปะโผร้อน ๆ ไว้ดังนี้ 

>>กองทัพบก
-พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ (ตท.26) เสธ.ทบ. เป็น ผบ.ทบ.
-พล.อ.ณัฐวุฒิ นาคะนคร (ตท.24) ที่ปรึกษาพิเศษทบ.เป็น รอง ผบ.ทบ.
-พล.อ.วสุ เจียมสุ (ตท.25) รองผอ.สนง.รมน.เป็น ผู้ช่วย ผบ.ทบ.
-พล.ท.ชิษณุพงศ์ รอดศิริ (ตท.26) แม่ทัพภาคที่ 1 ผู้ช่วย ผบ.ทบ.
-พล.ท.ธงชัย รอดย้อย (ตท.25) รองเสธ.ทบ.เป็น เสธ.ทบ. 
-พล.ท.อมฤต บุญสุยา (ตท.27) แม่ทัพน้อยที่ 1 เป็นแม่ทัพภาคที่ 1
-พล.ท.บุญสิน พาดกลาง (ตท.26) แม่ทัพน้อยภาคที่ 2 เป็น มทภ.2
-พล.ท.กิตติพงษ์ แจ่มสุวรรณ (ตท.23) แม่ทัพน้อยที่ 3 เป็นแม่ทัพภาคที่ 3
-พล.ต.ไพศาล หนูสังข์  รองแม่ทัพภาคที่ 4 เป็น แม่ทัพภาคที่ 4

>>กองทัพเรือ
-พล.ร.อ.จิรพล ว่องวิทย์ (ตท.23) ที่ปรึกษาพิเศษ ทร. เป็น ผบ.ทร.

สั้น ๆ ที่อยากจะขีดเส้นใต้เอาไว้ก็คือ ในส่วนของกองทัพบกแม้จะมีเบื้องลึกเบื้องหลังให้เจาะลึก โดยเฉพาะการ (จะ) ผงาดของพล.อ.พนา หรือ ‘บิ๊กปู’ นั้นสาหัสยิ่ง...และคาดว่าท่าน ‘บิ๊กอ้วน’ ไม่น่าจะกล้าปรับเปลี่ยนใด ๆ อีก

ที่อาจจะเปิดช่องให้ ‘บิ๊กอ้วน’ คิดใหม่จัดใหม่ได้ถ้าจะมีก็อาจจะเป็นกรณี ผบ.ทร.ที่ พล.ร.อ.อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผบ.ทร.(ตท.23) ยืนยันว่าต้องเป็น ‘บิ๊กแมว’ พล.ร.อ.จิรพล ที่เรียนจบนอก (โรงเรียนนายเรือเยอรมันเมอร์วิค) ไม่ได้มาจาก 5 ฉลามเสือ ถือว่าแหวกม่านประเพณีและหลักนิยมเดิม ๆ ทำให้ตัวเต็งอีก 3 คนคือ พล.ร.อ.ชลทิศ นาวานุเคราะห์ ผช.ผบ.ทร. (ตท.23), พล.ร.อ.วรวุธ พฤกษารุ่งเรือง เสธ.ทร. (ตท.24) และพล.ร.อ.สุวิน แจ้งยอดสุข (ตท.25) รองผบ.ทร. ได้แต่นั่งมองหน้ากันตาปริบ ๆ และไม่กี่วันก่อนปรากฏว่าหลังโผออกได้มีใบปลิวโจมตีบิ๊กแมวทั้งเรื่องปัญหาการทำงานและเรื่องจริยธรรมส่วนตัว…

เรียกกันว่าเล่นกันแรง...สมควรที่ท่านบิ๊กอ้วนจะได้หยุดศึกทหารน้ำในขณะนี้...ไม่ว่าจะเลือกบิ๊กแมวหรือบิ๊กใดก็ตาม…เพราะปัญหาในกองทัพเรือที่จะต้องแก้นั้นมีเพียบ...!!


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top