Wednesday, 4 June 2025
กระทรวงวัฒนธรรม

วธ. ดึงสภาเด็กและเยาวชน กทม. – ผู้แทนสภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทยทั่วประเทศ - ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ ร่วมเวทีระดมความเห็นใช้ทุนวัฒนธรรมสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ ร่วมสานพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจวัฒนธรรมใหม่

เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2565 เวลา 09.00 น. ดร.ยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีเปิดการอบรมเชิงปฏิบัติการ "สานพลังเด็กและเยาวชน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจวัฒนธรรมใหม่ สร้างรายได้ เสริมคุณค่าและภูมิคุ้มกันทางสังคม" โดยมีนางโชติกา อัครกิจโสภากุล ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหาร วิทยากร เยาวชนผู้เข้าอบรมฯ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ณ ศูนย์ประชุมกระทรวงวัฒนธรรม ชั้น 8 อาคารวัฒนธรรมวิศิษฏ์ กระทรวงวัฒนธรรม

ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) กล่าวว่า ปัจจุบันสังคมไทยและสังคมโลกกำลังเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงในหลายด้านไม่ว่าจะเป็นผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) การเกิดภาวะเงินเฟ้อ ความผันผวนของราคาน้ำมันในตลาดโลก รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงของนวัตกรรมทางเทคโนโลยีแบบก้าวกระโดด สิ่งต่าง ๆ ล้วนส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตและค่านิยมของคนในสังคม ซึ่งตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ในปี 2565 กระทรวงวัฒนธรรมได้ปรับภาพลักษณ์เป็น “กระทรวงสังคมกึ่งเศรษฐกิจ” ให้เป็นที่ยอมรับทั้งในและต่างประเทศ โดยการใช้วัฒนธรรม ความคิดสร้างสรรค์ พัฒนาเศรษฐกิจและสังคมไทย เพื่อพลิกฟื้นงานศิลปวัฒนธรรมและพลิกโฉมประเทศไทยให้เข้มแข็ง และมั่นคงท่ามกลางความผันผวนของโลก และที่สำคัญในวาระที่ วธ. ครบรอบ 20 ปี ได้กำหนดเป้าหมายในการส่งเสริมให้เด็ก เยาวชน และประชาชนเข้าถึงศิลปวัฒนธรรม ส่งเสริม  ให้ใช้ศักยภาพเพื่อการสร้างสรรค์ นำวัฒนธรรมมาพัฒนาคุณภาพชีวิต ส่งเสริมเศรษฐกิจและสังคมไทยให้เป็นสังคมคุณธรรม มีความสุข มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน

ดร.ยุพา กล่าวว่า ดังนั้นเพื่อเป็นการขับเคลื่อนนโยบายของ วธ. รวมถึงเป็นการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจและค่านิยมเชิงบวกด้านเศรษฐกิจวัฒนธรรมและชุมชนคุณธรรม เสริมสร้างความเข้มแข็ง เพื่อเป็นพลังร่วมของสังคมไทยในการขจัดสื่อร้าย ขยายสื่อดี และสร้างภูมิคุ้มกันให้กับเด็กและเยาวชน โดยได้เชิญวิทยากรผู้เชี่ยวชาญด้านกลยุทธ์สื่อสารการตลาดและนักจิตวิทยาศาสตร์ มาถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับการนำทุนทางวัฒนธรรมมาสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจและมีการระดมความเห็นของเด็กและเยาวชน เพื่อนำมาเป็นแนวทางและนำมาต่อยอดในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจวัฒนธรรมใหม่ วธ.จึงจัดอบรมเชิงปฏิบัติการสานพลังเด็กและเยาวชน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจวัฒนธรรมใหม่ สร้างรายได้เสริมคุณค่าและภูมิคุ้มกันทางสังคม ระหว่างวันที่ 6 - 7 สิงหาคม 2565 โดยรูปแบบการอบรมเป็นรูปแบบผสมผสานซึ่งจัดอบรมผ่านระบบการประชุมอิเล็กทรอนิกส์ ณ ศูนย์ประชุมกระทรวงวัฒนธรรม และการลงพื้นที่ศึกษาดูงาน จำนวน 2 แห่ง ได้แก่ ชุมชนกุฎีจีน เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นแหล่งเรียนรู้ที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม และเกาะลัดอีแท่น อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ต้นแบบชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง

กระทรวงวัฒนธรรม เชิญชวนประชาชน ร่วมรำลึกพระมหากรุณาธิคุณ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ผ่านบทเพลงพระราชนิพนธ์ ในบรรยากาศสายลมหนาว กับเทศกาลดนตรี MOC MU FES

เนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันที่ ๕ ธันวาคม 2565 เพื่อน้อมรำลึกและเทิดพระเกียรติในพระอัจฉริยภาพทางดนตรีสากล ในฐานะ “อัครศิลปิน” กรมส่งเสริมวัฒนธรรม (สวธ.) กระทรวงวัฒนธรรม ขอเชิญชวนประชาชนร่วมงานเทศกาลดนตรี Ministry of Culture Music Festival (MOC MU FES) ชมการแสดง “Winter Love Songs : บทเพลงพระราชนิพนธ์” และการแสดง “ลีลาศสร้างสุขกับสุนทราภรณ์” ระหว่าง ๘ - ๙ ธันวาคม ๒๕๖๕ เวลา ๑๗.๓๐ - ๒๑.๓๐ น. ณ ลานวัฒนธรรมสร้างสุข กระทรวงวัฒนธรรม ถนนเทียมร่วมมิตร กทม. (ฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย)  
     
นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) กล่าวว่า กระทรวงวัฒนธรรม โดย กรมส่งเสริมวัฒนธรรม สวธ. ได้ดำเนินโครงการเทิดพระเกียรติสถาบันพระมหากษัตริย์ เพื่อเป็นการแสดงความจงรักภักดีและรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการ โดยการจัดงานเทศกาลดนตรี Ministry of Culture Music Festival (MOC MU FES) การแสดง “Winter Love Songs : บทเพลงพระราชนิพนธ์” และการแสดง “ลีลาศสร้างสุขกับสุนทราภรณ์” ในครั้งนี้ เพื่อน้อมรำลึกเนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพ วันที่ ๕ ธันวาคม 2565 และเทิดพระเกียรติ 'อัครศิลปิน' ในฐานะที่พระองค์ทรงพระอัจฉริยภาพด้านดนตรีสากล ผ่านการแสดงดนตรีด้วยบทเพลงพระราชนิพนธ์อันทรงคุณค่า ให้พสกนิกรไทยได้มีส่วนร่วมเทิดพระเกียรติสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่ได้สร้างคุโณปการต่อประเทศนานับประการ 

“กระทรวงวัฒนธรรม ได้เปิดพื้นที่ “ลานวัฒนธรรมสร้างสุข” เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่ม ได้มีพื้นที่ทำกิจกรรมทางวัฒนธรรมร่วมกัน อาทิ กิจกรรมดนตรีในสวน ถนนสายวัฒนธรรม ศิลปะการแสดง รวมถึงตลาดนัดของดีทางวัฒนธรรม หรือเป็นพื้นที่สำหรับการออกกำลังกาย ถือเป็นการต่อยอดเผยแพร่ soft power อันจะส่งผลให้เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้ สร้างความสุขทางกายและทางใจ สร้างความสนุกสนาน เพลิดเพลิน ความรัก ความสามัคคีและความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ณ ลานวัฒนธรรมสร้างสุข ของกระทรวงวัฒนธรรม แห่งนี้ และลานวัฒนธรรมของจังหวัดต่าง ๆ จะเป็นพื้นที่สำหรับจัดกิจกรรมให้ประชาชนทุกคนได้มีส่วนร่วมสร้างความสุขไปด้วยกัน” นางยุพา กล่าว

โดยรายละเอียดการแสดงในเทศกาลดนตรี ที่จะจัดระหว่าง ๘ - ๙ ธันวาคม นี้ นายโกวิท ผกามาศ อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม เปิดเผยว่า ในวันที่ ๘ ธันวาคม เวลา ๑๗.๓๐-๒๑.๓๐ น. จะเป็นการแสดง “ลีลาศสร้างสุขกับสุนทราภรณ์” ประชาชนจะได้สนุกสนานเพลิดเพลินไปกับลีลาศและรำวงในจังหวะที่หลากหลาย บรรเลงบทเพลงโดยวงดนตรีสุนทราภรณ์ ควบคุมวงโดย ครูณรงค์ เนตรเจริญ ขับขานบทเพลงโดยนักร้องคุณภาพของวงพร้อมคลื่นลูกใหม่สุนทราภรณ์ ได้แก่ พรศุลี วิชเวช โน้ต-พรชัย เอกศิริพงษ์  จิมมี่-บัญชา รักษาจันทร์ แจน-นันทพร ซัน-ชาตรี เบนซ์-วฤณพร ต๊ะ-พิเชษฐ์ แจ๊บ-ณฤพล ผิวอ่อน ขวัญ-ชณัฐศิกาญ โอ๋-ศราวิน วงษ์สุวรรณ มีน-ณัฏฐ์นรี มะลิทอง ยุ้ย-ปิยวรรณ โอ๋-ศราวิน มุข-มุขอันดา ใจยง จะเริ่มด้วยเพลงเทิดพระเกียรติ “ราชาเป็นสง่าแห่งแคว้น และร่มเกล้า” จากนั้นจะเข้าสู่การแสดงลีลาศ ๒ ช่วง ได้แก่ ช่วงที่ ๑ ลีลาศ-รำวงกับสุนทราภรณ์ ประกอบด้วยจังหวะ รำวง คิวบัน บีกิน ช่าช่าช่า รุมบ้า กัวราช่า ตลุง วอลซ์ แทงโก้ ควิกวอลซ์ ฟอกซ์ทร็อต ควิกสเต็ป และบันนี่ฮ็อป รวมกว่า ๒๔ บทเพลง อาทิ รำวงมาตรฐาน รักวันเติมวัน เพ้อรัก บอกเธอเสียที หิมพานต์ เริงลีลาศ รื่นเริงใจ รักต่างแดน ตลุงมอญซ่อนผ้า แม่ทูนหัว ดอกไม้กับแมลง น่าเพลินใจ บ้านเรือนเคียงกัน และเพลิดเพลินกันให้เต็มอิ่ม ในช่วงที่ ๒ ลีลาศ-รำวง ในจังหวะที่หลากหลาย อีกกว่า ๑๙ บทเพลง อาทิ รำวงสาวบ้านแต้ สวยจริงรักจริง รักจริงไหม รักแม่เอ๊ย รักในลมหนาว แซมบ้าพารัก ร็อคเร่งรัก อย่าลืมฉัน เป็นต้น

‘วธ.’ จัดงาน ‘วันศิลปินแห่งชาติ’ น้อมรำลึกพระปฐมบรมศิลปินแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์ - 8 มีนาคม 2566

‘วธ.’ จัดงาน ‘วันศิลปินแห่งชาติ’ น้อมรำลึกพระปฐมบรมศิลปินแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เชิญชวนนักเรียน-ประชาชนเข้าชมนิทรรศการ เผยแพร่ประวัติและผลงานศิลปินแห่งชาติ 24 กุมภาพันธ์ - 8 มีนาคม 2566 ณ ห้องนิทรรศการหมุนเวียน ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย

(25 ก.พ. 66) เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2566 นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธีทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ศิลปินแห่งชาติผู้ล่วงลับและเปิดนิทรรศการแสดงประวัติ ผลงานของศิลปินแห่งชาติ พุทธศักราช 2564 เนื่องในวันศิลปินแห่งชาติ โดยมีนางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมผู้บริหาร คุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล ประธานกรรมการกองทุนส่งเสริมงานวัฒนธรรม นายโกวิท ผกามาศ อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ศิลปินแห่งชาติ เข้าร่วมแสดงความยินดีและชมนิทรรศการแสดงประวัติ ผลงานของศิลปินแห่งชาติ พุทธศักราช 2564 ณ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย

โดยศิลปินแห่งชาติที่เข้าร่วมงาน อาทิ สมศักดิ์ เชาว์ธาดาพงศ์, กมล ทัศนาญชลี, ศ.เกียรติศักดิ์ ชานนนารถ, วรนันท์ ชัชวาลทิพากร, สิงห์คม บริสุทธ์, เผ่า สุวรรณศักดิ์ศรี, ปัญญา วิจินธนสาร, ธงชัย รักปทุม, ชมัยภร บางคมบาง, อรสม สุทธิสาคร, รุ่งฤดี เพ็งเจริญ, วินัย พันธุรักษ์, วิรัช อยู่ถาวร, ประยงค์ ชื่นเย็น, ธนิสร์ ศรีกลิ่นดี, สุประวัติ ปัทมสูต, ทัศนีย์ ขุนทอง, ชัยชนะ บุญนะโชติ, รศ.ศุภชัย จันทร์สุวรรณ์, ศ.ปริญญา ตันติสุข, นางสุดา ชื่นบาน, นางเพ็ญศรี เคียงศิริ

นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) ประธานเปิดนิทรรศการฯ กล่าวว่า ศิลปินแห่งชาติถือเป็นปราชญ์แห่งแผ่นดิน เป็นผู้มีความรู้ความสามารถเป็นเลิศในศิลปะแขนงต่าง ๆ ที่ได้อุทิศตนสร้างสรรค์ ถ่ายทอดผลงานด้านศิลปะ เป็นประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติ ซึ่งรัฐบาลโดยกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) มีนโยบายส่งเสริม สนับสนุน และสร้างขวัญกำลังใจแก่ศิลปินแห่งชาติมาอย่างต่อเนื่อง นิทรรศการเผยแพร่ประวัติและผลงานศิลปินแห่งชาติ พุทธศักราช 2564 ที่กรมส่งเสริมวัฒนธรรมจัดขึ้นนี้ ถือเป็นการเผยแพร่ผลงาน อันทรงคุณค่าของศิลปินแห่งชาติให้เป็นที่ประจักษ์อย่างกว้างขวาง อันจะเป็นประโยชน์ และสร้างแรงบันดาลใจในการศึกษาเรียนรู้ และการสืบสานศิลปวัฒนธรรมของชาติสืบไป

กรมส่งเสริมวัฒนธรรม ฯ จัดพิธีประกาศผลและมอบรางวัล โครงการประกวดทำคลิป 'สัญจรดี วิถีไทย' ปีที่ ๓ มอบโล่เกียรติยศ-เงินรางวัลรวมกว่า 8 แสน บาท แก่เยาวชน

(วันที่ ๙ มีนาคม ๖๖ เวลา ๑๓.๓๐) นายโกวิท ผกามาศ อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธีประกาศผลและมอบรางวัลโครงการประกวดทำคลิป 'สัญจรดี วิถีไทย ปีที่ ๓ จอดรถให้ถูกที่ ขับขี่ให้ถูกทาง' เพื่อปลุกจิตสำนึกให้คนรุ่นใหม่และประชาชนทั่วไป ตระหนักถึงการใช้มารยาทไทยและรักษาวินัยจราจร สร้างวัฒนธรรมการใช้รถใช้ถนนให้สังคม โดยมีนางสาววราพรรณ ชัยชนะศิริ รองอธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม พร้อมผู้บริหาร ซึ่งมีผู้ส่งคลิปเข้าประกวดประเภทบุคคลและประเภททีมเข้ารับรางวัลโดยพร้อมเพรียง ณ หอประชุมเล็ก ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย 

นายโกวิท ผกามาศ อธิดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ประธานมอบรางวัล กล่าวว่า โครงการประกวดทำคลิป 'สัญจรดีวิถีไทย' นี้ ได้จัดขึ้นเป็นปีที่ ๓ แล้ว เป็นการทำคลิปวิดีโอในการส่งเสริมให้เกิดวินัยจราจรการขับขี่อย่างปลอดภัย การใช้ความคิดสร้างสรรค์จากการทำคลิปวิดีโอ ถือเป็นอีกปี ที่น้อง ๆ ทั้งในระดับอุดมศึกษา และมัธยมศึกษา ได้ส่งผลงานเข้ามาประกวด ในหัวข้อ “จอดรถให้ถูกที่ ขับขี่ให้ถูกทาง” ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีจากน้อง ๆ ทั่วประเทศจำนวนถึง ๒๗๔ ผลงาน ที่แสดงให้เห็นถึงความคิดสร้างสรรค์ ความตั้งใจ ในการทำคลิปเพื่อที่จะรณรงค์การขับขี่ให้ปลอดภัย มีสำนึกที่ดีต่อสังคม โดยผลงานคลิปที่ได้รับรางวัล จะได้รับการเผยแพร่ในสื่อต่าง ๆ ของกรมส่งเสริมวัฒนธรรม และเครือข่าย  จึงขอชื่นชมทุกคนและทุมทีมที่ส่งผลงานเข้าประกวด และขอแสดงความยินดีกับคลิปที่ได้รางวัล ที่จะสร้างความภาคภูมิใจและเป็นแรงบันดาลใจต่อไปในการศึกษาเรียนรู้ การเป็นตัวอย่างที่ดี เป็นอนาคตเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติต่อไป

ด้าน นางสาววราพรรณ ชัยชนะศิริ รองอธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม เปิดเผยว่า โครงการประกวดทำคลิป 'สัญจรดี วิถีไทย' ปีที่ ๓ หัวข้อ 'จอดรถให้ถูกที่ ขับขี่ให้ถูกทาง' ครั้งนี้เป็นการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐหลายภาคส่วน เพื่อสร้างวัฒนธรรมการใช้รถใช้ถนนให้สังคม แก้ไขปัญหา ปลุกจิตสำนึกการใช้รถใช้ถนน นำความเป็นไทย สร้างวินัยจราจรให้สังคม เร่งจัดทำแนวทางกิจกรรมการรณรงค์ส่งเสริมวัฒนธรรมไทย ประชาสัมพันธ์สร้างความรู้ความเข้าใจ ให้ประชาชนตระหนักและเห็นคุณค่าในการใช้รถใช้ถนนด้วยความปลอดภัย มีจิตสำนึก รับผิดชอบ มีน้ำใจ และเอื้ออาทรให้แก่กัน มีมารยาทที่ดีในขับขี่ ควบคู่กับการรักษาวินัยจราจร ซึ่งกรมส่งเสริมวัฒนธรรม (สวธ.) ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เห็นผลเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ต้องอาศัยกำลังจากทุกภาคส่วนทำงานร่วมกันอย่างจริงจังและต่อเนื่อง จึงจะสำเร็จผลอย่างยั่งยืน สวธ.จึงขอขอบคุณสถาบันการศึกษาที่ได้สนับสนุนให้นักเรียน นักศึกษาส่งผลงานร่วมประกวด พร้อมทั้งขอบใจเด็ก ๆ ทุกคน ที่สร้างสรรค์ส่งผลงานอันมีคุณค่าเข้าประกวดในครั้งนี้เป็นจำนวนมาก ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า มารยาทไทย สามารถใช้ในการขับขี่ การใช้รถใช้ถนนร่วมกันได้เป็นอย่างดี มารยาททางสังคม เป็นวัฒนธรรมของคนไทยควรยึดมั่นและปฏิบัติ เพื่อให้สังคมไทยน่าอยู่ยิ่งขึ้น 

รองอธิบดีสวธ. เปิดเผยต่อว่า โครงการประกวดทำคลิป 'สัญจรดี วิถีไทย ปีที่ 3 จอดรถให้ถูกที่ ขับขี่ให้ถูกทาง' มีเงินรางวัลมูลค่ารวมกว่า 800,000 บาท แบ่งการประกวดเป็น 2 ระดับ เป็นรายบุคคล หรือทีม สมาชิกในทีมไม่เกิน ๓ คน ประกอบด้วย ระดับมัธยมศึกษา ๑ - ๖ ประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) หรือเทียบเท่า และระดับอุดมศึกษา ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) หรือเทียบเท่า โดยทีมที่ส่งผลงานเข้าร่วมทั้งหมดในปีนี้ มีจำนวน ๒๗๔ ทีม ซึ่งมีการคัดเลือกทีมที่ผ่านเข้ารอบมาทั้งหมด 26 ทีม ซึ่งทั้ง 26 ทีม ได้รับการอบรมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) จากผู้บริหารของกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ผู้กำกับภาพยนตร์ และ Youtuber ชื่อดัง เพื่อให้ผู้ประกวดที่ผ่านเข้ารอบ สามารถต่อยอดความรู้ เพิ่มความสามารถในการผลิตงาน และปรับปรุงพัฒนางานให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น โดยผลงานของผู้ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 และอันดับ 2 ทั้ง 2 ระดับ จะได้เผยแพร่ผลงานทางสื่อ Social Media สู่สาธารณะในวงกว้าง ต่อไป

‘วธ.’ ลุ้น!! ‘ภูพระบาท’ เตรียมเข้าสู่วาระบอร์ดมรดกโลกกลางปีนี้ หวัง ‘ยูเนสโก’ ขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรม

เมื่อวันที่ 26 ม.ค. 67 นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะอนุกรรมการมรดกโลกทางวัฒนธรรม เมื่อเร็วๆ นี้ รับทราบความคืบหน้าการเสนอแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมในประเทศไทย ซึ่งได้รับการบรรจุชื่อในบัญชีชั่วคราว (Tentative List) ขององค์การศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) เพื่อเสนอขอขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก โดยแหล่งอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท จังหวัดอุดรธานี หลังจากที่กรมศิลปากรจัดส่งเอกสารนำเสนอขอขึ้นทะเบียนมรดกโลกฉบับสมบูรณ์ ไปยังศูนย์มรดกโลกของยูเนสโก ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสแล้ว อาจเข้าสู่การพิจารณาในวาระการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก สมัยสามัญ ครั้งที่ 46 ในช่วงกลางปี 2567

รัฐมนตรีว่าการ วธ.กล่าวต่อว่า ส่วนแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมอื่นๆ ที่ได้รับการบรรจุชื่อในบัญชีชั่วคราวของยูเนสโก ได้แก่ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จ.นครศรีธรรมราช, พระธาตุพนม จ.นครพนม และแหล่งอนุสรณ์สถาน แหล่งและภูมิทัศน์วัฒนธรรมเชียงใหม่ ศูนย์กลางล้านนา จ.เชียงใหม่ อยู่ระหว่างการจัดทำเอกสารให้มีความสมบูรณ์ครบถ้วน ตามเกณฑ์ที่ยูเนสโกกำหนด ซึ่งขณะนี้ทั้ง 3 แหล่งมรดกทางวัฒนธรรมอยู่ในบัญชีเบื้องต้นมากว่า 6-10 ปี ดังนั้น ที่ประชุมจึงมีข้อแนะนำให้ทั้ง 3 จังหวัดปรับปรุงเนื้อหาของเอกสารให้ครบถ้วนสมบูรณ์และเป็นปัจจุบัน

เนื่องจากช่วงหลายปีที่ผ่านมาอาจจะมีข้อมูลและเอกสารเพิ่มเติม เพื่อนำเสนอต่อคณะอนุกรรมการได้พิจารณาเอกสารขอขึ้นทะเบียนมรดกโลก ของแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมที่อยู่ในบัญชีชั่วคราว ของยูเนสโก หากแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมใดปรับปรุงเอกสารแล้วเสร็จสมบูรณ์ และผ่านการพิจารณาเห็นชอบจากคณะอนุกรรมการแล้ว ก็จะนำเสนอต่อคณะกรรมการแห่งชาติ ว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลกทันที

“นอกจากนี้ ที่ประชุมได้รับรายงานจากกรมศิลปากร ภายหลัง ‘เมืองโบราณศรีเทพ’ ได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม จะต้องส่งรายงานการดำเนินงานของเมืองโบราณศรีเทพเสนอต่อยูเนสโก ภายในวันที่ 1 ธันวาคม 2567

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2566 ที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ 45 ที่กรุงริยาด ประเทศซาอุดีอาระเบีย ได้ประกาศขึ้นทะเบียน ‘เมืองโบราณศรีเทพและโบราณสถานสมัยทวารวดีที่เกี่ยวเนื่อง’ จ.เพชรบูรณ์ เป็นมรดกโลก ทำให้ปัจจุบันประเทศไทยมีแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรม รวม 4 แห่ง ได้แก่ นครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา, เมืองประวัติศาสตร์สุโขทัยและเมืองบริวารศรีสัชนาลัยและกำแพงเพชร, แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง จังหวัดอุดรธานี และเมืองโบราณศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์” นายเสริมศักดิ์กล่าว

‘กระทรวงวัฒนธรรม’ ดัน ‘ต้มยำกุ้ง’ ขึ้นทะเบียนมรดกโลก เพื่อผลักดันเป็น Soft Power ให้ทั่วโลกรู้จัก ‘ประเทศไทย’

(30 มิ.ย.67) น.ส.เกณิกา อุ่นจิตร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กระทรวงวัฒนธรรม นำโดย นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่ากระทรวงวัฒนธรรม ได้ดำเนินโครงการส่งเสริมการดำเนินงานมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ซึ่งมีการขึ้นทะเบียนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมระดับจังหวัดและระดับประเทศทุกปี และมีการเสนอมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของไทยเพื่อขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติต่อองค์การเพื่อการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ(ยูเนสโก)

น.ส.เกณิกา กล่าวว่า ที่ผ่านมาประเทศไทยเสนอมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของไทยเป็นรายการตัวแทนมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติและได้รับการขึ้นทะเบียนจากยูเนสโกแล้ว 4 รายการ ได้แก่ โขน นวดไทย โนรา และประเพณี“สงกรานต์ในประเทศไทย” ซึ่งปีนี้มีมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของไทย 2 รายการ ได้แก่ “ต้มยำกุ้ง”และชุด“เคบาย่า” ซึ่งชุด“เคบาย่า”ประเทศไทยได้เสนอร่วมกับมาเลเซีย บูรไนดารุสซาลาม อินโดนีเซียและสิงคโปร์ จะเข้าสู่การพิจารณาในการประชุมคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการสงวนรักษามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ครั้งที่ 19 วันที่ 2-7 ธันวาคม 2567 ณ สาธารณรัฐปารากวัย และได้เสนอ ชุดไทย และ มวยไทย  รวมทั้ง ผ้าขาวม้า เพื่อเข้าสู่การพิจารณาขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติต่อยูเนสโกด้วย

รมว.สุดาวรรณ ได้ให้กรมส่งเสริมวัฒนธรรมเตรียมจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองในโอกาสที่ต้มยำกุ้งและชุดเคบาย่า ได้เข้าสู่การพิจารณาขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติต่อยูเนสโกในปีนี้ รวมถึงจัดทำแผนล่วงหน้า 10 ปีในการเสนอมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของไทย เพื่อขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติต่อยูเนสโก ก็ให้จัดทำรายละเอียดทั้งประเภทและระยะเวลาดำเนินการ เพื่อส่งเสริมมรดกทางศิลปวัฒนธรรมและ Soft Power ด้านต่างๆของไทยให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายระดับนานาชาติ

น.ส.เกณิกา กล่าวว่า กระทรวงวัฒนธรรมได้ดำเนินการส่งเสริม Soft Power นำมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม เช่น อาหารไทย งานหัตถกรรม งานเทศกาลประเพณีมาสร้างมูลค่าเพิ่มเพื่อสร้างอาชีพ สร้างรายได้แก่ประชาชนและชุมชน ส่งเสริมเศรษฐกิจประเทศ ตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้ Soft Power ด้านต่าง ๆ ของไทยให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายระดับนานาชาติ

สมาคมนักเรียนเก่า เอ เอฟ เอส ประเทศไทย คว้ารางวัล Moral Awards 2022 เป็นองค์กรต้นแบบที่ร่วมขับเคลื่อนคุณธรรมสู่สังคมไทย

เมื่อวานนี้ (2 ก.ค.67) ศูนย์คุณธรรม(องค์การมหาชน) นำโดย คุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล ประธานกรรมการศูนย์คุณธรรม รศ. นพ.สุริยเดว ทรีปาตี ผู้อำนวยการศูนย์คุณธรรม มอบโล่รางวัล Moral Awards 2022 และเกียรติบัตรเชิดชูเกียรติ ให้แก่ สมาคมนักเรียนเก่า เอ เอฟ เอส ประเทศไทย เนื่องด้วยเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนคุณธรรมสู่สังคมด้วยโครงการตามรอยพระราชาอย่างต่อเนื่อง โดยมี นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการ มูลนิธิการศึกษาและวัฒนธรรมสัมพันธ์ไทย-นานาชาติ (เอเอฟเอส ประเทศไทย) เป็นผู้รับมอบ ณ ห้อง Auditorium สถาบันอุทยานการเรียนรู้ TK Park

รางวัล Moral Awards 2022 เป็นรางวัลที่ยกย่ององค์กรที่เป็นแบบอย่างด้านคุณธรรม ควรค่าแก่การยกย่องให้เป็นที่ประจักษ์ต่อสังคมไทย โดย รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี ผู้อำนวยศูนย์คุณธรรม กล่าวว่า ศูนย์คุณธรรมได้เล็งเห็นความสำคัญของพลังความดีที่ขับเคลื่อนคุณธรรมของสมาคมนักเรียนเก่า เอ เอฟ เอส ประเทศไทย มาอย่างต่อเนื่อง จึงได้ดำเนินการมอบโล่รางวัลพิเศษ เพื่อต้องการยกย่อง ชื่นชม ให้แก่ สมาคมนักเรียนเก่า เอ เอฟ เอส ประเทศไทย เนื่องด้วยให้การสนับสนุนโครงการตามรอยพระราชา ซึ่งเป็นโครงการน้อมนำพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เป็นโครงการเรียนรู้อย่างครบวงจร ทั้งการศึกษาดูงาน การลงมือทำกิจกรรมเสริมทักษะเรียนรู้ และต่อยอด พร้อมสร้างความเข้าใจและเข้าถึงคุณธรรม พอเพียง วินัย สุจริต จิตอาสา และกตัญญู 

โดยมีกลุ่มเป้าหมายของโครงการ คือ บุคลากรทางการศึกษา ครู อาจารย์ นักธุรกิจ จากทั่วประเทศ ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ดำเนินโครงการมากว่า 39 ครั้ง มีผู้ร่วมกิจกรรมกว่า 5,000 คน โดยสมาคมฯ ได้สนับสนุนให้คณะคุณครูเข้ามาร่วมกิจกรรม boardgame นวัตกรรมศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนระดับสากล (from SEP to SDGs) พร้อมส่งมอบเครื่องมือชุด The King’s Journal: Learn English ให้กับตัวแทนคุณครูที่มีความตั้งใจ และมีความพร้อมจะนำไปขยายผลกับเด็กนักเรียนที่โรงเรียน ต่อไป 

อีกทั้งสมาคมฯ ยังให้ความสำคัญในการทำกิจกรรมสาธารณะประโยชน์มาอย่างต่อเนื่อง โดยให้สมาชิกเก่า สมาชิกปัจจุบัน ได้มาร่วมแบ่งปันประสบการณ์ ศักยภาพ ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ กิจกรรมค่ายพัฒนาทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษ “TRAFS English Camp” กิจกรรมส่งมอบจักรยานสำหรับนักเรียนในต่างจังหวัดที่ต้องเดินทางเป็นระยะทางไกลไป-กลับโรงเรียน “TRAFS Bike for Kids” กิจกรรมที่ดำเนินโครงการโดยสมาชิกเอง อาทิ กิจกรรมส่งเสริมการอ่านทดแทนคุณแผ่นดิน “โครงการนักอ่านบ้านนา” กิจกรรมส่งเสริมศิลปะและวัฒนธรรม “รักไหมสุรินทร์” กิจกรรมมอบทุนการศึกษาเด็กนักเรียนคนดีที่ขาดแคลนกองทุน “ปันบุญ” กิจกรรมสร้างแรงบันดาลใจพัฒนาภาวะผู้นำให้เยาวชน “2000 วัน ปั่นรอบโลก” เป็นต้น ถือเป็นแบบอย่างด้านคุณธรรมให้เป็นที่ประจักษ์ต่อสังคมไทย และสร้างแรงกระเพื่อมให้แก่สังคมสืบไป

#ศูนย์คุณธรรม #ทำดีไม่ต้องเดี๋ยว #คนดีมีพื้นที่ยืน #ความดีมีพื้นที่ในสังคม #กระทรวงวัฒนธรรม
ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่
🌐 Facebook : ศูนย์คุณธรรม Moral Center Thailand
🎥 YouTube : Moral Channel

สะเทือนใจ!! ทุบประติมากรรมปูนปั้น 'ครูทองร่วง' ทำร้านกาแฟ ช้ำหนัก!! คำพูดเจ้าอาวาสปัจจุบัน "อย่ากลัวความเปลี่ยนแปลง"

(24 ก.ย. 67) นายวรา จันทร์มณี ตัวแทนชมรมคนรักศิลปวัฒนธรรม ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'วรา จันทร์มณี' ระบุว่า...

การทุบปูนปั้นของครูทองร่วง ศิลปินแห่งชาติทำด้วยมือ แต่กลับถูกลบด้วยเท้า

การทุบประติมากรรมปูนปั้นอันงดงามลึกซึ้งของครูทองร่วง เอมโอษฐ ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (ประณีตศิลป์-ศิลปะปูนปั้น) หนึ่งในศิลปินแห่งชาติไม่กี่คนของจังหวัดเพชรบุรี ผู้เป็นตำนานเรื่องการบันทึกระบบสังคมการเมืองวัฒนธรรมมาไว้ในงานศิลปกรรม ที่วัดมหาธาตุวรวิหาร จังหวัดเพชรบุรี เพื่อทำร้านกาแฟ นับเป็นความสิ้นคิด เป็นความมักง่ายของผู้เกี่ยวข้อง เพชรบุรีเป็นเมืองช่างแท้ๆ ทำไมไม่ตระหนัก 

การที่เจ้าอาวาสบอกว่า ความเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องเจอ อย่ากลัวความเปลี่ยนแปลง โอกาสเหมือนไอติม ถ้าไม่กินก็ละลาย นั่นพูดเหมือนจะเป็นนักธุรกิจ ท่านเป็นพระ จะคิดแต่เรื่องเงินไม่ได้ ท่านต้องตระหนักถึงมิติทางสังคม เรามีวัดก็เพื่อส่งเสริมจิตวิญญาณ ศิลปกรรมส่งเสริมจิตวิญญาณ ท่านจะหาเงินก็หาไป แต่ไม่ควรทำลายศิลปวัฒนธรรม

ผมคิดว่าการปรับเปลี่ยนภูมิทัศน์วัดให้ดีขึ้น เหมาะสมแล้ว เดิมมีห้องน้ำอยู่หน้าวัด ดูไม่ดีเลย และจะไม่มีปัญหาเลยถ้าไม่มีการทุบทำลายศิลปกรรมอันทรงคุณค่าที่มีความหมายทางประวัติศาสตร์ หรือเต็มที่ก็หาทางย้ายไปจัดแสดงในที่เหมาะสม จะแก้ตัวอย่างไรก็แล้วแต่ แต่งานประติมากรรมของครูทองร่วงถูกทุบทำลายไปจากความมักง่ายของทุกคนที่เกี่ยวข้อง และเมื่อถูกทุบทำลายไปแล้ว ได้ยินข่าวว่ามีคนบอกจะปั้นให้ใหม่ จะปั้นใหม่ได้อย่างไร มันคนละเรื่องกัน ศิลปินตายไปแล้ว มือแบบนั้นไม่มีอีกแล้ว 

บ่อยครั้งที่เราเห็นศิลปกรรมถูกทำลายด้วยความโง่ แต่เพื่อถนอมน้ำใจกันเลยต้องพูดให้เพราะหน่อยว่า "เพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์" ไม่ได้มีเจตนา แล้วอะไรคือเจตนา ความไม่ใส่ใจ ปัดความผิดให้พ้นตัวคือเจตนาใช่หรือไม่ และถ้าจะมาอ้างว่าของอยู่ในวัด เป็นสิทธิ์ของวัดหรือกรรมการอะไรก็อ้างไม่ได้ วัดไม่ใช่ของเจ้าอาวาส วัดไม่ใช่สมบัติส่วนตัวของใคร วัดเป็นสมบัติสาธารณะ เขาให้มาดูแล ไม่ใช่ให้มาทำลาย การทำลายสมบัติสาธารณะ เจ้าอาวาสในฐานะผู้ดูแลต้องรับผิดชอบ

ประติมากรรม 2 ชิ้นที่ถูกทุบทำลายไป เป็นปูนปั้นประดับเสารั้วพิพิธภัณฑ์วัดมหาธาตุ หรือที่เรียกกันว่า ศาลานางสาวอัมพร บุญประคอง ซึ่งสร้างขึ้นในปี พ.ศ.2536 ประติมากรรมชิ้นแรกเป็นภาพ 'ชั่งหัวมัน' มีหนุมานทูนตาชั่งที่เอียง โดยข้างหนึ่งที่มีหัวมันสองหัว กลับมีน้ำหนักมากกว่าข้างที่มีหัวมันสามหัว เป็นการเสียดสีถากถางล้อระบบสังคมและกระบวนการยุติธรรมที่ฉ้อฉล เมื่อเรียงเวลาพบว่าประติมากรรมนี้สร้างก่อนที่จะมีโครงการชั่งหัวมันของรัชกาลที่ 9 ซึ่งมาทำที่อำเภอท่ายาง เมื่อปี 2552 

ส่วนประติมากรรมอีกชิ้นเป็นรูปอาคาร ข้างบนเป็นห้องนอนเตียงนอน มีม่านซ้ายขวาพริ้วไหวงดงาม ตรงกลางมีธรรมจักร รายล้อมด้วยเครื่องอัฐบริขาร ส่วนใต้เตียงมียักษ์ไปขดตัวนอนอยู่อย่างอึดอัด เป็นปริศนาธรรมสื่อถึงเรื่อง 'ธัมมะมัจฉริยะ' คือความตระหนี่ในธรรม มัจฉริยะแปลว่าความตระหนี่  เสียดาย เป็นกิเลสที่ทำให้คนใจแคบเห็นแก่ตัว ขาดความกรุณา การปั้นยักษ์ไปนอนขดอยู่ใต้เตียงที่อึดอัด สื่อถึงความโหดร้ายใจแคบ เป็นยักษ์รูปกายก็ร้ายอยู่แล้ว ใจยังร้าย หวงแหนวิชาความรู้ ไม่อยากให้คนอื่นรู้เท่าตน แทนที่จะนอนบนเตียงให้สบาย ก็ยอมไปขดตัวนอนอยู่ใต้เตียงเพื่ออำพรางความรู้ เดี๋ยวคนอื่นเขาจะรู้ว่าเตียงมีไว้นอนข้างบน เดี๋ยวคนอื่นเขาจะเจอความรู้

ในวัดมหาธาตุมีปูนปั้นอีกมาก ซึ่งเป็นทั้งปริศนาธรรมและการบันทึกประวัติศาสตร์ทางสังคมการเมือง วัดมหาธาตุเป็นวัดสำคัญซึ่งสันนิษฐานว่าน่าจะสร้างในสมัยทวารวดี เนื่องจากมีการขุดพบซากอิฐสมัยทวารวดีจำนวนมาก แม้แต่การขุดวางฐานรากเพื่อก่อสร้างร้านกาแฟครั้งนี้ก็ยังเห็นศิลาแลงซึ่งน่าจะอยู่ในยุคเดียวกับวัดกำแพงแลง (ตั้งอยู่ใน ต.ท่าราบ อ.เมือง เพชรบุรี) และเห็นอิฐซึ่งน่าจะอยู่ในสมัยทวารวดีเหมือนที่เจดีย์ทุ่งเศรษฐี (ชะอำ) ข้อมูลเหล่านี้ ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องควรตระหนัก ไม่ใช่ทุบทำลาย และขุดทิ้งอย่างไม่เห็นค่า ทำอย่างนี้นอกจากจะทำลายคุณค่าประวัติศาสตร์ศิลปกรรมของประเทศ แล้วยังเสียชื่อจังหวัดเพชรบุรี ไม่ไว้หน้าคนเมืองเพชร หลวงพ่อบุญรวม อดีตเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุผู้มีคุณูปการต่อศิลปกรรมเมืองเพชรบุรี ท่านรักและใส่ใจในเรื่องศิลปวัฒนธรรมมาก แต่ทำไมพอมาถึงเจ้าอาวาสรูปปัจจุบันถึงเป็นเช่นนี้

ขณะที่เมื่อวานนี้ (23 ก.ย.67) จากเฟซบุ๊ก 'นิพัทธ์พร เพ็งแก้ว' นักวิชาการนักเขียนชื่อดัง ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า...

"พ่อล้อม เพ็งแก้ว ตายไม่ถึง 2 เดือน ช่างทองร่วง เอมโอษฐ์ ศิลปินแห่งชาติ ตายไปปีกว่าๆ ได้มีการทุบงานปูนปั้นการเมืองของครูทองร่วงทิ้งไปแล้ว ที่วัดมหาธาตุ กลางเมืองเพชรบุรี เพราะวัดมหาธาตุจะใช้พื้นที่ทำร้านกาแฟ หมดพ่อล้อม หมดครูทองร่วง ต่อจากนี้ ใครเล่าจะปกป้องรักษางานปูนปั้นศิลปะการเมือง ของเมืองเพชรบุรีเอาไว้ได้"

หลังจากนั้น ด้าน พระวชิรวาที เจ้าอาวาสวัดมหาธาตุฯ จังหวัดเพชรบุรี โพสต์ข้อความระบุว่า...

"ความเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องเจอ อย่ากลัวความเปลี่ยนแปลง สิ่งสำคัญคือ 'การปรับตัว' คนที่ปรับตัวตามสถานการณ์ได้ทุกๆ วันของคุณจะกลายเป็น 'โอกาส' โอกาสเหมือนไอติม ถ้าไม่กินก็ละลาย โอกาสเป็นสิ่งที่ไม่เคยรอเราถ้ามาแล้วไม่รีบคว้าเอาไว้จะกลายเป็นอากาศ และยากที่จะพบกับช่วงเวลาอันควร หรือโอกาสอีกสักครั้ง"

‘รองโฆษก’ เผย!! รัฐบาลไทย รับมอบ 4 วัตถุโบราณบ้านเชียง อายุกว่า 3,500 ปี ชี้!! เป็นความสัมพันธ์อันดีระหว่าง ‘ไทย – สหรัฐอเมริกา’ ทางด้านวัฒนธรรม

(17 พ.ย. 67) นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า  รัฐบาล โดยกระทรวงวัฒนธรรมรับมอบโบราณวัตถุบ้านเชียง 4 ชิ้น จากสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทย ณ พระที่นั่งอิศราวินิจฉัย พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ประกอบด้วย ภาชนะดินเผา กำไลข้อมือ และลูกกลิ้งทรงกระบอกสองชิ้นที่ยังไม่ทราบการใช้งานที่แน่ชัด โดยวัตถุโบราณดังกล่าว มีลวดลายเขียนสีแดงที่เป็นเอกลักษณ์ของเครื่องปั้นดินเผาจากแหล่งโบราณคดีบ้านเชียง จ.อุดรธานี ที่ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก และได้รับยกย่องว่าเป็นศูนย์กลางของวิวัฒนาการทางวัฒนธรรม สังคม และเทคโนโลยีของมนุษย์ ยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่มีอายุกว่า 3,500 ปี 

“พิธีการส่งคืนโบราณวัตถุบ้านเชียงครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการแสดงออกถึงการให้ความสำคัญต่อแหล่งที่มาของโบราณวัตถุแล้ว ถือเป็นความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศไทยและสหรัฐอเมริกาที่ดำเนินความร่วมมือทางด้านวัฒนธรรมมาต่อเนื่อง ต่อจากการส่งคืนโบราณวัตถุประติมากรรมสำริดรูปพระศิวะ (The Standing Shiva) หรือ โกลเด้นบอย เมื่อเดือนพ.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งการนำวัตถุโบราณ ที่ห่างไกลจากประเทศไทย ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่าย โดยเฉพาะสถานทูตสหรัฐที่ติดต่อและส่งคืนวัตถุโบราณล้ำค่าชิ้นนี้ รวมถึงหน่วยงานทุกฝ่ายที่ให้ความร่วมมือโดยเฉพาะองค์การยูเนสโก” นางสาวศศิกานต์ กล่าวระบุ

นางสาวศศิกานต์ ยังกล่าวอีกว่า คณะกรรมการติดตามโบราณวัตถุในต่างประเทศ และได้วางแนวทางติดตามวัตถุโบราณคืนสู่ประเทศไทยทุก ๆ สามเดือน และได้รับแจ้งว่าสหรัฐจะส่งคืนโบราณสถานให้ไทยอีก 2 ชิ้น เป็นประติมากรรมรูปเคารพในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการตรวจพิสูจน์ และภายหลังการรับมอบโบราณวัตถุทั้ง 4 ชิ้น จะมีการจัดแสดงให้ผู้สนใจได้เข้าชมยังพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติต่อไป รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวทิ้งท้าย

กระทรวงวัฒนธรรม ร่วมส่งเสริมเยาวชนจิตอาสาปล่อยพลัง (เสียง)สร้างสรรค์ ช่อง7HD สานต่อโครงการชุมทางดาวทอง GLO Miracle Music ซีซัน2

(10 เม.ย.68) นางยุถิกา อิศรางกูร ณ อยุธยา รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม รักษาราชการแทน อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ผู้แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานเปิดโครงการ ชุมทางดาวทอง “GLO Miracle Music ซีซัน 2” ของเวทีประกวดร้องเพลงลูกทุ่งมาตราฐานระดับประเทศรายการ “ชุมทางดาวทอง” ทางช่อง 7HD โดยมีนางสาวลิปิการ์ กำลังชัย รองอธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม, นางสาววราพรรณ ชัยชนะศิริ รองอธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม, ร้อยตำรวจโท ดร.มนัส โนนุช ประธานมูลนิธิมิราเคิล ออฟไลฟ์ และประธานสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ , นายพัฒนพงศ์ หนูพันธ์ กรรมการผู้จัดการช่อง 7HD , นายบริพันธ์ ชัยภูมิ ประธานโครงการ มิราเคิล มิวสิค และผู้บริหารบริษัท เซเว่นสตาร์สตูดิโอ จำกัด ให้การต้อนรับ ณ สตูดิโอ ช่อง 7HD

โครงการดังกล่าว เป็นความร่วมมือของกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ร่วมกับ มูลนิธิมิราเคิล ออฟไลฟ์ , สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล (GLO) , สถานีโทรทัศน์ช่อง 7HD และบริษัท เซเว่นสตาร์สตูดิโอ จำกัด สร้างปรากฏการร่วมกันบนเวทีประกวดร้องเพลงลูกทุ่งมาตราฐานระดับประเทศรายการ “ชุมทางดาวทอง” ทางช่อง 7HD จัดทำโครงการ ชุมทางดาวทอง “GLO Miracle Music ซีซัน 2”  เพื่อส่งเสริมเยาวชนให้แสดงศักยภาพ ร่วมสร้าง Soft Power ผ่านการขับร้องบทเพลงลูกทุ่ง  มุ่งเน้นให้เยาวชนรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และเพื่อเพิ่มทักษะด้านการร้องเพลง สานต่ออาชีพศิลปินในฝัน 

สำหรับบรรยากาศของการแถลงข่าว เปิดเวทีด้วยความคึกคักจากคณะกลองยาว “โอบะ เสียงเหน่อ” ก่อนพบโชว์ไฮไลท์จาก “อาบูม ธนกร” แชมป์มิราเคิล มิวสิค ซีซัน1 ที่ก้าวสู่เวที “ชุมทางดาวทอง” ในฐานะศิลปินน้องใหม่ป้ายแดงจับไมค์ร้องโชว์ซิงเกิ้ลแรก “สโนไวท์” พร้อมเผยโฉมหน้าน้องๆ ผู้เข้าประกวด 77 คน จากตัวแทน 77 จังหวัด ผู้ผ่านการคัดเลือกจากสภาวัฒนธรรมจังหวัดสู่เวทีประกวดอันทรงเกียรติ 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top