Wednesday, 15 May 2024
กรมทางหลวง

กรมทางหลวง เตรียมจุดเช็คอินรับปีใหม่ ทำถนน-ต้นไม้สวย 

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ชื่นชมโครงการเตรียมความพร้อมจุดเช็คอินรองรับการเดินทางท่องเที่ยวของประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2565 ของกรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม ตามนโยบาย “คมนาคมสีสัน สร้างสรรค์ประเทศไทย” ที่ได้ให้หน่วยงานในสังกัดพิจารณาพื้นที่เพื่อพัฒนาเป็นจุดพักรถและให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว ตามนโยบายของรัฐบาล ในการส่งเสริมการท่องเที่ยวปลายปี อำนวยความสะดวกการเดินทางของประชาชน ส่งเสริมทัศนียภาพระหว่างการเดินทาง กระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น

ปัจจุบันกรมทางหลวง ได้เริ่มตกแต่ง ปรับปรุงป้ายและจัดเตรียมจุดเช็คอินให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์เพื่อรองรับการเดินทางท่องเที่ยวของประชาชนในช่วงฤดูหนาวและเทศกาลปีใหม่ 2565 แล้ว 11 จังหวัด จำนวน 11 จุด เช่น ดอยอินทนนท์ จ.เชียงใหม่ บนทางหลวงหมายเลข 1009 ตอน จอมทอง – ดอยอินทนนท์ บริเวณ กม.ที่ 30 – 31 , แยกไดโนเสาร์ จ.ขอนแก่น บนทางหลวงหมายเลข 12 ตอน ขอนแก่น – พรหมนิมิตร บริเวณ กม.ที่ 562 , จุดพักสูดอากาศบริสุทธ์เขาช้างสี จ.นครศรีธรรมราช บนทางหลวงหมายเลข 4238 ตอน ลานสกา – ไม้หลา บริเวณ กม.ที่ 10 เป็นต้น

'ศักดิ์สยาม' สั่งด่วน ชะลอค่าปรับ 10 เท่า M-Flow พร้อมให้กรมทางหลวงเร่งคืนค่าปรับทุกราย

'ศักดิ์สยาม' สั่งด่วน ชะลอค่าปรับ 10 เท่า ผู้ใช้ระบบ M-Flow ทุกราย จนถึง 31 มี.ค. 65 พร้อมให้กรมทางหลวงเร่งคืนค่าปรับทุกราย

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า จากปัญหา ที่กรมทางหลวง (ทล.) ได้เปิดใช้ ระบบจัดเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางอัตโนมัติแบบไม่มีไม้กั้น (M-Flow) เต็มรูปแบบ บนทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 9 (วงแหวนบางปะอิน-บางพลี) จำนวน 4 ด่าน คือ ด่านธัญบุรี 1 ด่านธัญบุรี 2 ด่านทับช้าง 1 และด่านทับช้าง 2 ตั้งแต่ วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2565 เวลา 22.00 น. ที่ผ่านมา ซึ่งตนรับทราบปัญหาผลกระทบที่เกิดขึ้นกับประชาชน ที่ต้องเสียเงินค่าปรับ 10 เท่า กรณีที่จ่ายเงินค่าผ่านทางเกิน 2 วัน ในการใช้ช่องทาง ระบบ M-Flow

สำหรับประชาชนที่ไม่ได้สมัครเป็นสมาชิก ระบบ M-Flow โดยตนได้สั่งการให้กรมทางหลวง (ทล.) ชะลอการเรียกเก็บเงินค่าปรับ 10 เท่า สำหรับผู้ที่ไม่ได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกระบบ M-Flow และได้เข้าใช้ช่องทางระบบ M-Flow ในระยะเวลา 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา ที่ได้ชำระค่าธรรมเนียมผ่านทาง ทั้งนี้เริ่มตั้งแต่วันนี้ จนถึง 31 มีนาคม 2565

‘กรมทางหลวง’ เตรียมตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริง! ปมคานสะพานกลับรถหล่นบนถนนพระราม 2

กรมทางหลวง เตรียมกรรมการตรวจสอบรายละเอียดข้อเท็จจริง ปมสะพานกลับรถหล่นบนถนนพระราม 2 ทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต ขีดเส้นให้รายงานผลภายใน 14 วัน

วันที่ 1 สิงหาคม 2565 นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง เปิดเผยว่า จากอุบัติเหตุคานสะพานลอยกลับรถ กม.34 ทางหลวงหมายเลข 35 (ถนนพระราม 2) ใกล้กับโรงพยาบาลวิภาราม อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร หล่นทับรถยนต์ ทำให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บนั้น นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้สั่งการด่วนให้อธิบดีกรมทางหลวง พร้อมด้วยผู้อำนวยการศูนย์สร้างและบูรณะสะพานที่ 3 (ปทุมธานี) และผู้อำนวยการแขวงทางหลวงสมุทรสาคร ร่วมลงพื้นที่ทันที เพื่อตรวจสอบ และหาสาเหตุของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

จากการลงพื้นที่ พบว่าเหตุเกิดในวันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม 2565 เวลาประมาณ 20.00 น. ถนนพระราม 2 ตอน สะพานข้ามแม่น้ำท่าจีน-นาโคก ที่ กม.34 บริเวณโครงการปรับปรุงสะพานกลับรถบริเวณใกล้กับโรงพยาบาลวิภาราม อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร ขณะที่เกิดเหตุเจ้าหน้าที่คุมงาน และคนงาน อยู่ระหว่างการเตรียมความเรียบร้อยพื้นที่เพื่อจะเทพื้นสะพานใหม่ หลังจากที่ได้ทุบพื้นสะพานช่วงที่ชำรุดเสียหายออกแล้ว ทันใดนั้นคานสะพานลอยตัวริมสุดได้ร่วงหล่นลงมาทับรถยนต์ที่สัญจรบนถนนพระราม 2 เป็นเหตุให้มีรถได้รับความเสียหายจำนวน 3 คัน มีผู้เสียชีวิต 2 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 2 ราย (ประชาชนในรถเกิดเหตุ เสียชีวิต 1 ราย บาดเจ็บ 1 ราย และเจ้าหน้าที่กรมทางหลวง เสียชีวิต 1 ราย บาดเจ็บ 1 ราย) ซึ่งได้ประสานให้เจ้าหน้าที่กู้ภัยนำส่งโรงพยาบาลแล้ว ทั้งนี้ได้ปิดช่องจราจรช่องทางหลัก (ขาเข้า) โดยให้วิ่งทางคู่ขนานแทน เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้ทาง

สำหรับสะพานกลับรถบนทางหลวงหมายเลข 35 หรือถนนพระราม 2 ที่ กม.34 (สะพานกลับรถบริเวณใกล้ รพ.วิภาราม) ก่อสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2536 ซึ่งได้ใช้งานมาเป็นระยะเวลานานเกือบ 30 ปี จึงมีความจำเป็นต้องบูรณะซ่อมแซมสะพาน โดยเริ่มเข้าซ่อมแซมสะพานตั้งแต่วันที่ 23 มิถุนายน 2565 ที่ผ่านมา กำหนดแล้วเสร็จในเดือนสิงหาคม 2565 ประกอบด้วยการทุบรื้อพื้นสะพานและเปลี่ยนพื้นใหม่ จำนวน 2 ช่วง งานสกัดโครงสร้างสะพานที่เสียหาย ส่วนที่อยู่บนคานคอนกรีตอัดแรง รวมทั้งบริเวณพื้นที่ส่วนของทางขึ้นทางลง เมื่อดำเนินการแล้วเสร็จจะใช้งานได้อย่างแข็งแรงปลอดภัย เพิ่มประสิทธิภาพในการกลับรถขาเข้าบนถนนพระราม 2

‘กรมทางหลวง’ เร่งเครื่องมอเตอร์เวย์ ‘นครปฐม-ชะอำ’ ดีเดย์ 19 ส.ค.นี้ เปิดทางเอกชนร่วมลงทุน

'กรมทางหลวง' ใส่เกียร์เดินหน้าชวนเอกชนรวม Market Sounding ชวนลงทุนมอเตอร์เวย์ M8 ‘นครปฐม-ชะอำ’ ปูพรมเติมโครงข่ายลงสู่ภาคใต้ 19 ส.ค.นี้

(15 ส.ค. 65) รายงานข่าวจากกรมทางหลวง (ทล.) แจ้งว่าในวันที่ 19 ส.ค. 2565 เวลา 09.00-12.00 น. ทล.เตรียมจัดรับฟังความคิดเห็นภาคเอกชน (Market Sounding) สำหรับการศึกษาความเหมาะสมในการให้เอกชนร่วมลงทุน (PPP) โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) หมายเลข 8 (M8) สายนครปฐม-ชะอำ ระยะทาง 109 กิโลเมตร (กม.)

ทั้งนี้ เพื่อให้โครงการเดินหน้า กรมทางหลวงจึงได้เชิญชวนภาคเอกชน หน่วยงานภาครัฐ และผู้สนใจ เข้าร่วมประชุมในรูปแบบการประชุมทางไกล (Video Conference) ผ่าน Zoom Cloud Meetings เพื่อนำความคิดเห็นที่ได้รับ มาใช้ประโยชน์ในการศึกษาประกอบการกำหนดแนวทาง และรูปแบบการให้เอกชนร่วมลงทุนในโครงการดังกล่าว

รายงานข่าวแจ้งว่าสำหรับการลงทุนใหม่คาดว่าจะเป็นโมเดลเดียวกับ สายบางปะอิน-นครราชสีมา (M6) และ สายบางขุนเทียน-บ้านแพ้ว และ สายบางใหญ่-กาญจนบุรี (M81) โดยรัฐลงทุนงานโยธา และ PPP ให้เอกชนลงทุนในส่วนของงานระบบ O&M ซึ่งเส้นทางนี้มีความสำคัญเพราะเป็นการเพิ่มโครงข่ายลงสู่ภาคใต้ โดยสามารถเชื่อมกับมอเตอร์เวย์สายบางใหญ่-กาญจนบุรี และสายเอกชัย-บ้านแพ้วได้ โดยในการลงทุนจะผลักดันในเฟสแรก ช่วงนครปฐม-ปากท่อ ที่เป็นส่วนสำคัญในการเชื่อมโครงการมอเตอร์เวย์ทั้ง 2 สาย

สงกรานต์นี้ วิ่งฟรีมอเตอร์เวย์ 7 วัน สาย 7, 9 ส่วน M6 เปิดวิ่งชั่วคราว ช่วง ‘ปากช่อง - ขามทะเลสอ’

กรมทางหลวงเปิดฟรีมอเตอร์เวย์สาย 7, สาย 9 สงกรานต์นี้ รวม 7 วันช่วง 12-18 เม.ย. 66 ส่วน M6 ช่วงปากช่อง-สีคิ้ว-ขามทะเลสอ เปิดใช้ชั่วคราวระบายจราจร พร้อมตั้งจุดให้บริการ 393 แห่งอำนวยความสะดวกและปลอดภัย 24 ชั่วโมง

(4 เม.ย. 66) นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง (ทล.) เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ระหว่างวันที่ 11-17 เมษายน 2566 คาดว่าจะมีประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนาและท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก กรมทางหลวงจึงได้เตรียมความพร้อมในการอำนวยความสะดวกและปลอดภัย เพื่อรองรับการเดินทางของประชาชนสู่ภูมิภาคต่างๆ ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของนายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม โดยได้สั่งการสำนักงานทางหลวงและแขวงทางหลวงทั่วประเทศดำเนินการตรวจสอบป้ายจราจร สัญญาณไฟจราจร ไฟฟ้าแสงสว่างให้พร้อมใช้งาน ตรวจสอบและแก้ไขจุดเสี่ยงและจุดอันตราย พร้อมบำรุงรักษาทางหลวงให้อยู่ในสภาพดี และมีรถบริการช่วยเหลือฉุกเฉินเมื่อผู้ใช้ทางเกิดอุบัติเหตุหรือรถเสีย

อีกทั้งได้ขอความร่วมมือผู้รับจ้างคืนผิวทางในพื้นที่ก่อสร้างทุกโครงการ ซึ่งหากพบว่ามีปริมาณจราจรหนาแน่นบนเส้นทางหลักจะทำการประสานงานกับตำรวจ ทางหลวง ในการอำนวยความสะดวกด้านการจราจรหรือการเปิดช่องทางพิเศษ (Reversible Lane) เพื่อให้การเดินทางของประชาชนเป็นไปอย่างสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

‘กรมทางหลวง’ ชวนเที่ยว 'ทุ่งดอกกระเจียว' ชมวิวแนวหน้าผา สัมผัสโขดหินแสนแปลกตา

(24 ก.ค. 66) กรมทางหลวง (ทล.)ดำเนินการบูรณะ ทล.2354 ตอน เทพสถิต – ซับใหญ่ ตอน 2 (ช่วงทางแยกที่จะไปทุ่งดอกกระเจียว) เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาท่องเที่ยว ณ อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม จังหวัดชัยภูมิ ชมทุ่งดอกกระเจียว ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่ชมดอกไม้ที่มีชื่อเสียงของไทย ที่ออกดอกในฤดูฝนของทุกปีให้ชื่นชมปีละครั้งเท่านั้น พร้อมทั้งดำเนินการเตรียมความพร้อมปรับปรุงทางหลวงให้สวยงาม ตามนโยบายของกระทรวงคมนาคม ที่มุ่งเน้นการกำกับดูแลการพัฒนาระบบคมนาคมให้มีความสะดวก ปลอดภัย เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว กระจายรายได้สู่ชุมชน เพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี และสนับสนุนการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน

ทั้งนี้โดยแขวงทางหลวงชัยภูมิ ได้เตรียมความพร้อมในเรื่องการอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยในการเดินทาง โดยดำเนินการบูรณะทางหลวงขนาด 2 ช่องจราจร และมีบางช่วงขนาด 4 ช่องจราจร ที่ได้รับความเสียหาย โดยทำการปูผิวทางชนิดแอสฟัลต์คอนกรีตหนา 10 ซม. พร้อมทั้งตีเส้นและเครื่องหมายจราจร ช่วง กม.15+864 – กม.18+025 นอกจากนี้หมวดทางหลวงในพื้นที่ยังได้ทำการปรับปรุงภูมิทัศน์สองข้างทาง โดยได้ ดำเนินการตัดหญ้าข้างทาง, ปรับพื้นที่ในช่วงบริเวณทางโค้ง, ทำความสะอาดแบริเออร์ รวมถึงทำความสะอาดเกาะกลางถนน สะพาน และผิวทาง 

สำหรับเส้นทางดังกล่าวสามารถเชื่อมโยงกับแหล่งท่องเที่ยวอื่น ๆ ในพื้นที่ใกล้เคียงได้อีกด้วย สำหรับการเดินทางไปอุทยานแห่งชาติป่าหินงามนั้น จากกรุงเทพฯ ใช้ ทล.1 (ถนนพหลโยธิน) ผ่านจังหวัดสระบุรี มุ่งหน้าสู่จังหวัดนครราชสีมา ไปตามเส้นทางอำเภอด่านขุนทด ใช้ ทล.201 ถึงแยกหนองบัวโคก เลี้ยวซ้ายไป ทล.205 มุ่งสู่อำเภอบำเหน็จณรงค์ ถึงอำเภอเทพสถิต ตัดเข้าใช้ ทล.2354  ระยะทางประมาณ 17 กม. ถึงบริเวณทางแยก แล้วเดินทางต่ออีกประมาณ 13 กม. ถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติป่าหินงาม ซึ่งตั้งอยู่บริเวณเทือกเขาในเขตตำบลบ้านไร่ อำเภอเทพสถิต จังหวัดชัยภูมิ 

อย่างไรก็ตามโดยจะเปิดอุทยานให้ท่องเที่ยวในช่วงเดือนมิถุนายน – สิงหาคม มีจุดท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยม ได้แก่ ทุ่งดอกกระเจียว เป็นพืชล้มลุกประเภทหัวที่ผลิดอกสีชมพูอมม่วงบานสะพรั่งในช่วงต้นฤดูฝน ได้รับฉายาว่าเป็น 'ราชินีแห่งป่าฝน'  นอกจากนี้ยังมีจุดท่องเที่ยวลานหินงาม เป็นบริเวณลานหินที่มีโขดหินใหญ่รูปร่างแปลกตา กระจายอยู่ในพื้นที่ และจุดชมวิวผาสุดแผ่นดิน เป็นจุดชมวิวที่มีแนวหน้าผาและชะง่อนหิน ตั้งอยู่ที่จุดสูงสุดของเทือกเขาพังเหยซึ่งมีความสูง 846 ม. จากระดับน้ำทะเลปานกลาง  

ทั้งนี้กรมทางหลวงขอความร่วมมือประชาชน โปรดขับรถด้วยความระมัดระวัง ปฏิบัติตามป้ายเตือน ป้ายแนะนำ เพื่อความปลอดภัยในการเดินทาง ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและปฏิบัติตามมาตรฐานสาธารณสุขภายใต้วิถีชีวิตรูปแบบใหม่ “ท่องเที่ยวสุขใจ ห่างไกลโควิด – 19” สวมหน้ากาก ล้างมือ รักษาระยะห่าง หากประชาชนต้องการสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่สายด่วนกรมทางหลวง 1586 (โทรฟรีทุกเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง)

‘ทล.’ เปิดขายสัญญาร่วมลงทุนที่พักริมทาง ‘ศรีราชา บางละมุง’  ตั้งแต่ 23 ส.ค.- 22 ก.ย.นี้ คาดเริ่มสร้างปี 67 เปิดเต็มรูปแบบปี 69

(17 ส.ค. 66) กรมทางหลวงเปิดขายซองชิงงานร่วมลงทุนที่พักริมทางบนมอเตอร์เวย์สาย 7 ‘ศรีราชา และบางละมุง’ จำนวน 2 สัญญาตั้งแต่ 23 ส.ค. ถึง 22 ก.ย. 66 คาดเริ่มก่อสร้างปี 67 ใช้เวลา 2 ปี เปิดบริการเต็มรูปแบบปี 69 อำนวยความสะดวกผู้ใช้ทาง

นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง เปิดเผยว่า ในวันที่ 16 สิงหาคม 2566 กรมทางหลวงได้ออกประกาศเชิญชวนโครงการร่วมลงทุน สำหรับการให้เอกชนร่วมลงทุนในการพัฒนาและบริหารจัดการที่พักริมทาง (Rest Area) บนทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 สายกรุงเทพมหานคร-บ้านฉาง จำนวน 2 โครงการ ประกอบด้วย โครงการศูนย์บริการทางหลวงศรีราชา และโครงการสถานที่บริการทางหลวงบางละมุง เพื่ออำนวยความสะดวกผู้ใช้ทางและยกระดับการให้บริการของระบบทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 สู่มาตรฐานสากล โดยจะเป็นจุดแวะพักที่ผู้เดินทางสามารถพักผ่อนอิริยาบถจากการเดินทาง ทำธุระส่วนตัว ช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุ และความสูญเสียจากความเหนื่อยล้า หรือหลับในของผู้ขับขี่ ตลอดจนช่วยให้ผู้ใช้ทางประหยัดเวลา และลดค่าใช้จ่ายจากการเดินทางเข้า-ออกทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองโดยไม่จำเป็นอีกด้วย

สำหรับโครงการศูนย์บริการทางหลวงศรีราชา เป็นที่พักริมทางขนาดใหญ่ ตั้งอยู่บริเวณ กม.93+500 ของทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 ช่วงชลบุรี-พัทยา ระหว่างทางแยกต่างระดับบางพระ (คีรี) และทางแยกต่างระดับหนองขาม อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี แบ่งพื้นที่เป็นสองฝั่ง คือ ฝั่งทิศทางมุ่งหน้าออกจากกรุงเทพมหานคร และฝั่งทิศทางมุ่งหน้าเข้ากรุงเทพมหานคร มีขนาดพื้นที่ฝั่งละประมาณ 59 ไร่

ส่วนโครงการสถานที่บริการทางหลวงบางละมุง เป็นที่พักริมทางขนาดกลาง ตั้งอยู่บริเวณ กม.137+100 ของทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 ช่วงพัทยา-มาบตาพุด อยู่ระหว่างทางแยกต่างระดับห้วยใหญ่ และทางแยกต่างระดับเขาชีโอน อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี แบ่งพื้นที่เป็นสองฝั่ง คือ ฝั่งทิศทางมุ่งหน้าออกจากกรุงเทพมหานคร และฝั่งทิศทางมุ่งหน้าเข้ากรุงเทพมหานคร มีขนาดพื้นที่ฝั่งละประมาณ 38 ไร่

โดยที่พักริมทางทั้ง 2 แห่งจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการที่ครบครัน ประกอบด้วย ที่จอดรถ พื้นที่พักผ่อน พื้นที่สีเขียว ห้องสุขา ที่จำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม ที่จำหน่ายสินค้าและบริการ สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง สถานีอัดประจุไฟฟ้าสำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ศูนย์บริการข้อมูลจราจรและเส้นทางการเดินทาง และการบริการอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อผู้เดินทาง

สำหรับการดำเนินงานโครงการฯ จะเป็นการร่วมลงทุนระหว่างรัฐกับเอกชน (Public Private Partnership : PPP) ในรูปแบบ PPP Net Cost โดยกรมทางหลวงจะส่งมอบพื้นที่โครงการฯ ให้เอกชนเป็นผู้ลงทุนก่อสร้างที่พักริมทางและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ รวมถึงมีหน้าที่บริหารจัดการและดูแลบำรุงรักษาโครงการฯ ตลอดจนเป็นผู้มีสิทธิ์ในการบริหารจัดการเชิงพาณิชย์และเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในรายได้ของโครงการฯ โดยต้องชำระค่าตอบแทนให้กรมทางหลวงตามเงื่อนไขที่กำหนด ภายในระยะเวลาดำเนินโครงการ 32 ปี แบ่งเป็นงาน 2 ระยะ ดังนี้

ระยะที่ 1 การออกแบบและก่อสร้าง เอกชนมีหน้าที่จัดหาแหล่งเงินทุน ออกแบบและก่อสร้างองค์ประกอบและสิ่งปลูกสร้างต่างๆ รวมถึงจัดให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกและบริการต่างๆ ให้เป็นไปตามเงื่อนไขและข้อกำหนดที่เกี่ยวข้อง ระยะเวลาไม่เกิน 2 ปี

ระยะที่ 2 การดำเนินงานและบำรุงรักษา เอกชนมีหน้าที่ดูแลและบำรุงรักษา รวมถึงการบริหารจัดการโครงการฯ ให้เป็นไปตามเงื่อนไขและข้อกำหนดที่เกี่ยวข้อง ระยะเวลาไม่เกิน 30 ปี

ทั้งนี้ การดำเนินการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนฯ ดังกล่าว เป็นไปตามขั้นตอนการคัดเลือกเอกชนที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 และระเบียบที่เกี่ยวข้อง โดยกรมทางหลวงจะจำหน่ายเอกสารสำหรับการคัดเลือกเอกชน (Request for Proposal : RFP) ของทั้ง 2 โครงการพร้อมกัน ตั้งแต่วันที่ 23 สิงหาคม ถึง 22 กันยายน 2566 ระหว่างเวลา 09.00 น. ถึง 15.00 น. สำหรับผู้ที่สนใจสามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการฯ ข้อกำหนดคุณสมบัติต่างๆ และขั้นตอนการคัดเลือกเอกชน ได้จากประกาศเชิญชวนฯ (ฉบับทางการ) ที่เว็บไซต์ www.doh.go.th หรือ www.doh-motorway.com

โดยกรมทางหลวงกำหนดให้เอกชนยื่นข้อเสนอช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2566 และคาดว่าจะดำเนินการคัดเลือกเอกชนแล้วเสร็จในต้นปี 2567 พร้อมลงนามสัญญาและเริ่มต้นก่อสร้างช่วงกลางปี 2567 เพื่อเปิดให้บริการสิ่งอำนวยความสะดวกและบริการบางส่วนในปี 2568 และเปิดให้บริการเต็มรูปแบบในปี 2569 ต่อไป

สำหรับการพัฒนาและบริหารจัดการที่พักริมทาง (Rest Area) บนทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 สายกรุงเทพมหานคร-บ้านฉาง ช่วงชลบุรี-พัทยา และช่วงพัทยา-มาบตาพุด เพื่อเปิดโอกาสให้เอกชนที่มีศักยภาพและประสบการณ์มีส่วนร่วมในการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ ตามพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 เพื่อยกระดับการให้บริการของระบบทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสู่มาตรฐานสากล

‘กรมทางหลวง’ เผย โครงการขยายสายทางรอบเกาะสมุย ใกล้เสร็จแล้ว หวังยกระดับคุณภาพชีวิต-ส่งเสริมการท่องเที่ยว จ.สุราษฎร์ธานี

(12 ก.ย.66) นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง เปิดเผยถึงความคืบหน้าการดำเนินการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง และโครงข่ายทางหลวงในพื้นที่ภาคใต้ พร้อมเร่งดำเนินโครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 4169 สายทางรอบเกาะสมุยให้แล้วเสร็จตลอดสายระยะทาง 50 กิโลเมตร เพื่อรองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจ ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน และส่งเสริมการท่องเที่ยว อำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยวให้สามารถเดินทางได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย ตามนโยบายของรัฐบาล

กรมทางหลวง โดยสำนักก่อสร้างทางที่ 1 เร่งดำเนินโครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 4169 สายทางรอบเกาะสมุย ซึ่งมีระยะทางทั้งหมด 50 กิโลเมตร โดยที่ผ่านมากรมทางหลวงได้ขยายเส้นทางแล้วเสร็จรวมระยะทาง 34.53 กิโลเมตร และเปิดให้บริการแก่ประชาชนไปแล้ว ยังคงเหลือ ตอน บ.หัวถนน - บ.เฉวง ซึ่งเป็นช่วงสุดท้าย โดยตอนนี้มีจุดเริ่มต้นที่ กม.14+000 ท้องที่บ้านหัวถนน ตำบลหน้าเมือง อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี และจุดสิ้นสุดที่ กม.29+531 ท้องที่บ้านเฉวง ตำบลบ่อผุด อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ระยะทางยาวประมาณ 15.531 กิโลเมตร ลักษณ

โครงการเดิมเป็นทางหลวงขนาด 2 ช่องจราจร กรมทางหลวงเล็งเห็นถึงความสำคัญและศักยภาพของสายทาง จึงบูรณะก่อสร้างเป็นมาตรฐานทางชั้น 1 ขนาด 2 ช่องจราจร และบางช่วงเป็นขนาด 4 ช่องจราจร ไป - กลับ ผิวทางแอสฟัลต์คอนกรีต กว้างช่องจราจรละ 3.50 เมตร มีทางเท้ากว้างข้างละ 2.50 เมตร สำหรับรูปแบบการก่อสร้างแบ่งตามลักษณะภูมิประเทศและความกว้างของเขตทางหลวงโดยคำนึงถึงการใช้ประโยชน์ของพื้นที่ให้เหมาะสมกับเขตทางหลวง เนื่องจากสภาพพื้นที่โดยทั่วไปเป็นภูมิประเทศสลับเนินเขา ย่านชุมชนที่อยู่อาศัยหนาแน่น พร้อมกับให้มีระบบระบายน้ำที่มีประสิทธิภาพ เพื่อช่วยแก้ปัญหาน้ำท่วมขัง รวมงานติดตั้งไฟฟ้าแสงสว่างและไฟสัญญาณจราจรบนทางหลวง งบประมาณรวม 700 ล้านบาท ปัจจุบันการก่อสร้างคืบหน้าประมาณร้อยละ 89.35 คาดว่าการก่อสร้างจะแล้วเสร็จประมาณเดือนมีนาคม 2567 ซึ่งกระทรวงคมนาคมได้เร่งผลักดันการดำเนินงานของโครงการ เพื่อเติมเต็มโครงข่ายทางหลวงให้สมบูรณ์ตลอดสายทาง

‘สุริยะ’ สั่ง ‘กรมทางหลวง’ เร่งซ่อมถนน ทล.213 ทรุดตัว หลัง ปชช. ร้องเรียน ‘จราจรติดขัด - เสี่ยงเกิดอุบัติเหตุ’

(20 ก.ย. 66) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม สั่งการกรมทางหลวง (ทล.) เร่งรัดดำเนินการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนชาวตำบลเกิ้ง จังหวัดมหาสารคาม ให้สามารถสัญจรได้อย่างสะดวกปลอดภัยโดยด่วน จากกรณีมีข้อร้องเรียนถนนสาย ทล.213 บริเวณถนนถีนานนท์ ตำบลเกิ้ง อำเภอเมืองมหาสารคาม เกิดเหตุไหล่ทางทรุดตัวและแตกร้าว เหลือช่องจราจรที่สามารถสัญจรได้เพียง 1 ช่องจราจรเท่านั้น ส่งผลให้การจราจรติดขัดเป็นระยะทางยาวและเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งมีปัญหาภายหลังจากเกิดเหตุอุทกภัย ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2565 แต่ในปัจจุบันยังไม่ได้รับการแก้ไข

นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง เปิดเผยว่า แขวงทางหลวงมหาสารคามได้รายงานบริเวณจุดเกิดเหตุดังกล่าว การประปาส่วนภูมิภาคได้ดำเนินการดึงท่อลอดในโครงการงานย้ายแนวท่อประปาออกจากแนวประสบภัยธรรมชาติผนังกั้นลำน้ำชีทรุดตัว บริเวณ ทล.213 ตอน มหาสารคาม - หนองขอน ระหว่าง กม. ที่ 3+642 - 3+940 เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาและอุปสรรคในการบูรณะซ่อมแซม ทล.213 

แต่เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2566 บริเวณดังกล่าวได้เกิดไหล่ทางทรุดตัว ผิวจราจรบวมตัวและแตกร้าว มีน้ำและสารละลายเบนไทไนท์ (Bentonite) ที่ใช้ในการคว้านเจาะท่อลอดไหลขึ้นบนผิวจราจร ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจาก ช่วงวันที่ 15 - 17 กันยายน ที่ผ่านมา เกิดฝนตกหนักต่อเนื่องในพื้นที่และพื้นที่ตอนบนตลอดลำน้ำไหลผ่าน ทำให้ระดับน้ำเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากระดับน้ำเดิมประมาณ 0.60 เมตร ส่งผลให้ดินโดยรอบรูเจาะที่ระดับความลึกประมาณ 5.70 เมตร เกิดการอิ่มตัว ทำให้สารละลายเบนไทไนท์ไม่สามารถแทรกตัวออกด้านข้างและด้านล่างของรูเจาะได้ จึงเกิดการไหลดันขึ้นด้านบน ดันให้ชั้นผิวทางบวมตัวขึ้นและแตกร้าว

อีกทั้งพื้นที่ดังกล่าวไม่สามารถปิดการจราจร เพื่อเจาะรูระบายน้ำได้ เนื่องจาก ทล.213 เป็นเส้นทางหลักเข้าสู่จังหวัดมหาสารคาม มีการจราจรติดขัดในชั่วโมงเร่งด่วน ทั้งนี้ ได้สั่งการให้เร่งแก้ปัญหาผลกระทบจากการดันท่อลอดของการประปาส่วนภูมิภาค โดยเร่งดำเนินการปรับปรุงชั้นโครงสร้างทางให้มีความแข็งแรงด้วยวิธีการอุดรอยแตกร้าวด้วยซีเมนต์มวลเบส รวมถึงการปรับปรุงชั้นพื้นทางโดยวิธีงานหมุนเวียนวัสดุชั้นทางเดิมมาใช้ใหม่ (Pavement In - Place Recycling) และการปรับปรุงชั้นผิวทางแอสฟัลท์ติกคอนกรีต

อีกทั้งปรับช่วงเวลาสัญญาณไฟจราจรระหว่างแยกดอนยม (ทางเข้ามหาวิทยาลัยมหาสารคาม) - แยกวังยาว เพื่อให้มีความสัมพันธ์และสอดรับกันมากขึ้น พร้อมปรับช่องจราจรให้รถจักรยานยนต์ใช้ช่องทางในช่องไหล่ทาง เพื่อลดการตัดกระแสจราจรในช่องทางหลัก รวมถึงการติดตั้งป้ายเตือน ป้ายแนะนำ และอุปกรณ์อำนวยความปลอดภัยเพิ่มเติมเพื่อความปลอดภัยแก่ผู้ใช้เส้นทางตามข้อสั่งการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จ พร้อมเปิดการจราจรให้ใช้เส้นทางได้ปกติภายในวันที่ 22 กันยายนนี้ หากประชาชนต้องการสอบถามสภาพเส้นทาง สภาพการจราจร หรือต้องการความช่วยเหลือสามารถติดต่อได้ที่สำนักงานทางหลวง แขวงทางหลวง หมวดทางหลวงในพื้นที่ และสายด่วน ทล. โทร. 1586 

'กรมทางหลวง' อัปเดต!! เอกชนประมูลชิงที่พักริมทางบนมอเตอร์เวย์สาย 7 เตรียมยื่นข้อเสนอร่วมลงทุนฯ ปลายเดือน พ.ย.นี้ รู้ผลต้นปี 67

สรุปผลการจำหน่ายเอกสารสำหรับการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนโครงการที่พักริมทาง (Rest Area) บนมอเตอร์เวย์ สาย 7 ของกรมทางหลวง เอกชนเตรียมยื่นข้อเสนอร่วมลงทุนฯ ปลายเดือนพฤศจิกายนนี้

กรมทางหลวงปิดการจำหน่ายเอกสารสำหรับการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนโครงการที่พักริมทาง (Rest Area) บนมอเตอร์เวย์ สาย 7 เป็นที่เรียบร้อย โดยมีภาคธุรกิจเอกชนจำนวนมากให้ความสนใจเข้าร่วมซื้อเอกสารฯ ดังกล่าว กำหนดยื่นข้อเสนอ 22 พฤศจิกายน 2566 และคาดว่าจะสรุปผลการคัดเลือกเอกชนต้นปี 67

​นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง เปิดเผยว่า ตามที่กรมทางหลวงได้ออกประกาศเชิญชวนโครงการร่วมลงทุนสำหรับการให้เอกชนร่วมลงทุนในการพัฒนาและบริหารจัดการที่พักริมทาง (Rest Area) บนทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 สายกรุงเทพมหานคร - บ้านฉาง จำนวน 2 โครงการ ประกอบด้วยโครงการศูนย์บริการทางหลวงศรีราชา และโครงการสถานที่บริการทางหลวงบางละมุง และได้จำหน่ายเอกสารสำหรับการคัดเลือกเอกชน (Request for Proposal: RFP) ของทั้ง 2 โครงการพร้อมกัน ตั้งแต่วันที่ 23 สิงหาคม ถึง 22 กันยายน 2566 ที่ผ่านมานั้น ผลปรากฏว่ามีเอกชนจำนวนมากให้ความสนใจซื้อเอกสารฯ ดังกล่าว เพื่อนำไปศึกษารายละเอียดสำหรับการเตรียมจัดทำข้อเสนอ การร่วมลงทุน สรุปได้ดังนี้ 

​โครงการศูนย์บริการทางหลวงศรีราชา มีผู้สนใจซื้อเอกสารสำหรับการคัดเลือกเอกชน จำนวน 8 ราย ประกอบด้วย  

1. บริษัท ปตท. บริหารธุรกิจค้าปลีก จำกัด  
2. บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด มหาชน  
3. บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน)  
4. บริษัท กัลฟ์ อินฟราสตรัคเจอร์ จำกัด  
5. บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)  
6. บริษัท เจริญโภคภัณฑ์วิศวกรรม จำกัด  
7. บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
8. บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน)​

โครงการสถานที่บริการทางหลวงบางละมุง มีผู้สนใจซื้อเอกสารสำหรับการคัดเลือกเอกชน จำนวน 5 ราย ประกอบด้วย

1. บริษัท ปตท. บริหารธุรกิจค้าปลีก จำกัด  
2. บริษัท กัลฟ์ อินฟราสตรัคเจอร์ จำกัด  
3. บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)  
4. บริษัท เจริญโภคภัณฑ์วิศวกรรม จำกัด
5. บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน)  

ขั้นตอนต่อไป กรมทางหลวงได้กำหนดให้มีการจัดประชุมชี้แจงโครงการ (Pre-Bidding Meeting) ในวันที่ 27 กันยายน 2566 เพื่อชี้แจงรายละเอียดโครงการฯ ที่เอกชนควรทราบ พร้อมจัดกิจกรรมเยี่ยมชมโครงการ (Site Visit) ในวันที่ 4 ตุลาคม 2566 และกำหนดให้เอกชนยื่นข้อเสนอในวันที่ 22 พฤศจิกายน 2566 โดยคาดว่าจะดำเนินการคัดเลือกเอกชนแล้วเสร็จในต้นปี 2567 พร้อมลงนามสัญญาและเริ่มต้นก่อสร้างช่วงกลางปี 2567 เพื่อเปิดให้บริการสิ่งอำนวยความสะดวกและบริการบางส่วนในปี 2568 และเปิดให้บริการเต็มรูปแบบในปี 2569 ต่อไป

สำหรับการดำเนินงานโครงการฯ จะเป็นการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (Public Private Partnership: PPP) ในรูปแบบ PPP Net Cost โดยกรมทางหลวงจะส่งมอบพื้นที่โครงการฯ ให้เอกชนเป็นผู้ลงทุนก่อสร้างที่พักริมทางและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ รวมถึงมีหน้าที่บริหารจัดการและดูแลบำรุงรักษาโครงการฯ ตลอดจนเป็นผู้มีสิทธิ์ในการบริหารจัดการเชิงพาณิชย์และเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในรายได้ของโครงการฯ โดยต้องชำระค่าตอบแทนให้กรมทางหลวงตามเงื่อนไขที่กำหนด ภายในระยะเวลาดำเนินโครงการ 32 ปี แบ่งเป็นงาน 2 ระยะ ดังนี้ 

ระยะที่ 1 การออกแบบและก่อสร้าง เอกชนมีหน้าที่จัดหาแหล่งเงินทุน ออกแบบและก่อสร้างองค์ประกอบและสิ่งปลูกสร้างต่างๆ รวมถึงจัดให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกและบริการต่างๆ ให้เป็นไปตามเงื่อนไขและข้อกำหนดที่เกี่ยวข้อง ระยะเวลาไม่เกิน 2 ปี
ระยะที่ 2 การดำเนินงานและบำรุงรักษา เอกชนมีหน้าที่ดูแลและบำรุงรักษา รวมถึงการบริหารจัดการโครงการฯ ให้เป็นไปตามเงื่อนไขและข้อกำหนดที่เกี่ยวข้อง ระยะเวลาไม่เกิน 30 ปี

สามารถติดตามข้อมูลข่าวสารได้ที่
👍Website : www.doh.go.th
👍Facebook : @departmentofhighway
👍Twitter : @prdoh1
👍TiKTOK  : https://www.tiktok.com/@doh.thailand 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top